M’Cheyne Bible Reading Plan
ดาวิดพิชิตชาวอัมโมน(A)
19 ต่อมากษัตริย์นาหาชแห่งอัมโมนสิ้นพระชนม์ และโอรสของพระองค์ขึ้นครองราชย์แทน 2 ดาวิดทรงรำพึงว่า “เราจะแสดงความกรุณาต่อฮานูนบุตรนาหาชเพราะบิดาของเขาเคยแสดงความกรุณาต่อเรา” ดาวิดจึงทรงส่งทูตไปแสดงความเสียใจต่อฮานูนที่สูญเสียราชบิดา
แต่เมื่อคณะทูตของดาวิดมาเข้าเฝ้าฮานูนที่ดินแดนอัมโมนเพื่อแสดงความเห็นใจต่อเขา 3 พวกขุนนางชาวอัมโมนทูลฮานูนว่า “ฝ่าพระบาททรงคิดว่าดาวิดให้เกียรติแก่ราชบิดาของฝ่าพระบาทโดยส่งคนเหล่านี้มาแสดงความเห็นใจต่อฝ่าพระบาทหรือ? พวกเขามาสอดแนมดูลาดเลาก่อนเข้าโจมตีไม่ใช่หรือ?” 4 ดังนั้นฮานูนจึงจับคนของดาวิดโกนเคราและตัดเสื้อผ้าตรงสะโพกออก แล้วปล่อยไป
5 เมื่อดาวิดทรงทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงส่งผู้สื่อสารไปพบคนเหล่านั้นเพราะพวกเขารู้สึกอับอายขายหน้าอย่างมาก กษัตริย์ตรัสว่า “จงพักอยู่ที่เยรีโคจนกว่าเคราจะขึ้นดังเดิม แล้วค่อยกลับมา”
6 ถึงตอนนี้ชาวอัมโมนตระหนักดีว่าได้ยั่วยุดาวิดอย่างร้ายแรง ฮานูนและชาวอัมโมนจึงนำเงินหนักประมาณ 34 ตัน[a] ไปจ้างรถม้าศึกและพลรถรบจากอารัมนาหะราอิม อารัม มาอาคาห์ และโศบาห์ 7 ฮานูนทรงจ้างรถม้าศึก 32,000 คันและพลรถรบ และให้เงินกษัตริย์มาอาคาห์กับกองทัพซึ่งมาตั้งค่ายพักอยู่ใกล้เมืองเมเดบา ขณะที่ชาวอัมโมนเคลื่อนทัพมาจากเมืองต่างๆ เพื่อสู้รบ
8 เมื่อดาวิดทรงทราบเช่นนั้นก็ส่งโยอาบและกองทัพอิสราเอลทั้งหมดไป 9 กองทัพอัมโมนออกมาตั้งประจันหน้ากับกองทัพของดาวิดที่ทางเข้าเมืองของพวกเขา ในขณะที่บรรดากษัตริย์ซึ่งเสด็จมาร่วมรบด้วยนั้นตั้งค่ายอยู่ในที่โล่งนอกเมือง
10 โยอาบเห็นว่ากองกำลังของศัตรูตั้งแนวรบอยู่ทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ก็จัดกำลังทหารฝีมือดีที่สุดของอิสราเอลส่วนหนึ่งไปรับมือชาวอารัม 11 โยอาบให้ทหารส่วนที่เหลืออยู่ภายใต้การบัญชาการของอาบีชัยน้องชายของเขา และจัดทัพเคลื่อนออกไปรับมือกับชาวอัมโมน 12 โยอาบกล่าวว่า “ถ้าพวกอารัมแข็งแกร่งเกินกำลังของเรา เจ้าจงมาช่วยเรา แต่ถ้าพวกอัมโมนแข็งแกร่งเกินกำลังของเจ้า เราจะไปช่วยเจ้า 13 จงเข้มแข็งและให้เราต่อสู้อย่างกล้าหาญเพื่อพี่น้องร่วมชาติของเรา และเพื่อนครแห่งพระเจ้าของเรา องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกระทำตามที่ทรงเห็นชอบ”
14 แล้วโยอาบกับกองทหารก็บุกเข้าโจมตี ชาวอารัมก็ถอยหนี 15 เมื่อชาวอัมโมนเห็นชาวอารัมล่าถอย พวกเขาก็ถอยหนีจากอาบีชัยน้องชายของโยอาบเข้าไปในเมือง โยอาบจึงยกทัพกลับมายังกรุงเยรูซาเล็ม
16 หลังจากชาวอารัมเห็นว่าถูกอิสราเอลรุกไล่พวกเขาก็ส่งคนไปนำกำลังชาวอารัมจากอีกฟากหนึ่งของ แม่น้ำยูเฟรติสโดยแม่ทัพโชฟาคของฮาดัดเอเซอร์นำทัพมา
17 เมื่อดาวิดทรงทราบข่าว พระองค์ทรงระดมพลอิสราเอลทั้งหมดและข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปรบกับศัตรู ทรงตั้งแนวรบประจันหน้ากับชาวอารัมและสู้รบกัน 18 แต่พวกเขาพ่ายหนีต่อหน้าอิสราเอล และดาวิดทรงสังหารพลรถรบของพวกเขาเจ็ดพันคนกับทหารราบอีกสี่หมื่นคน และทรงสังหารโชฟาคแม่ทัพของพวกเขาด้วย
19 เมื่อข้ารับใช้ของฮาดัดเอเซอร์เห็นว่าพวกเขาพ่ายแพ้อิสราเอลก็ขอสงบศึกและยอมเป็นเมืองขึ้นของดาวิด ชาวอารัมจึงไม่กล้ามาช่วยชาวอัมโมนสู้รบอีกเลย
การยึดเมืองรับบาห์(B)
20 ในฤดูใบไม้ผลิอันเป็นช่วงที่กษัตริย์ทั้งหลายมักออกไปรบ โยอาบนำทัพอิสราเอลไปทำลายล้างดินแดนของชาวอัมโมน แล้วเขาก็ไปล้อมเมืองรับบาห์ แต่ดาวิดยังคงประทับอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม โยอาบโจมตีรับบาห์และทิ้งให้เป็นซากปรักหักพัง 2 ดาวิดทรงถอดมงกุฎจากพระเศียรของกษัตริย์[b]ของพวกเขามาสวมบนพระเศียรของพระองค์ มงกุฎนั้นทำด้วยทองคำหนักประมาณ 34 กิโลกรัม[c]ประดับเพชรนิลจินดา ดาวิดทรงริบของเชลยได้มากมายจากเมืองนั้น 3 และทรงเกณฑ์ชาวเมืองนั้นให้มาทำงานโดยใช้เลื่อย จอบ เสียมและขวาน ดาวิดทรงทำเช่นนี้กับทุกเมืองของอัมโมน แล้วดาวิดกับกองทัพทั้งหมดก็กลับกรุงเยรูซาเล็ม
สงครามกับชาวฟีลิสเตีย(C)
4 ต่อมามีการสู้รบกับชาวฟีลิสเตียอีกที่เกเซอร์ ครั้งนั้นสิบเบคัยชาวหุชาห์ได้สังหารสิปปัยวงศ์วานของพวกมนุษย์ยักษ์เรฟาอิม และชาวฟีลิสเตียก็ยอมแพ้
5 ในการรบกับฟีลิสเตียอีกครั้งหนึ่ง เอลฮานันบุตรยาอีร์ได้สังหารลามีน้องชายของโกลิอัทชาวกัท ผู้ซึ่งถือหอกด้ามใหญ่เหมือนไม้กระพั่นทอผ้า
6 ในการรบอีกครั้งที่เมืองกัท คนร่างยักษ์ผู้หนึ่งมีนิ้วมือนิ้วเท้าข้างละ 6 นิ้วรวมเป็น 24 นิ้ว ซึ่งเป็นวงศ์วานราฟาเช่นกัน 7 ได้มาข่มขู่อิสราเอล แต่ถูกโยนาธานบุตรชิเมอาพี่ชายของดาวิดสังหาร
8 แล้วดาวิดและทหารปลิดชีพคนเหล่านี้ซึ่งเป็นวงศ์วานของราฟาแห่งเมืองกัท
1 จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้าเปโตรผู้เป็นอัครทูตของพระเยซูคริสต์
ถึงบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้ ท่านทั้งหลายคือคนแปลกหน้าที่อาศัยในโลกเพียงชั่วคราว ผู้ได้กระจัดกระจายไปทั่วแคว้นปอนทัส กาลาเทีย คัปปาโดเซีย เอเชียและบิธีเนีย 2 พระเจ้าพระบิดาได้ทรงเลือกสรรพวกท่านตามที่พระองค์ทรงทราบล่วงหน้าแล้วผ่านทางการทรงชำระให้บริสุทธิ์ของพระวิญญาณ เพื่อให้พวกท่านมาเชื่อฟังพระเยซูคริสต์และรับการประพรมด้วยพระโลหิตของพระองค์
ขอพระคุณและสันติสุขมีแด่พวกท่านอย่างล้นเหลือ
สรรเสริญพระเจ้าสำหรับความหวังอันยืนยง
3 สรรเสริญพระเจ้าพระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา! ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่เข้าในความหวังอันยืนยงโดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ 4 และเข้าในมรดกอันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสียหรือเลือนหายไปซึ่งทรงเตรียมไว้ในสวรรค์เพื่อพวกท่าน 5 โดยความเชื่อพระเจ้าได้ทรงปกป้องพวกท่านไว้ด้วยฤทธานุภาพของพระองค์จนถึงความรอดซึ่งพร้อมแล้วที่จะทรงสำแดงในยุคสุดท้าย 6 พวกท่านชื่นชมยินดียิ่งนักในเรื่องนี้ แม้ขณะนี้ท่านต้องทนความทุกข์โศกชั่วระยะหนึ่งจากการทดลองสารพัดอย่าง 7 สิ่งเหล่านี้มีมาเพื่อพิสูจน์ว่าท่านมีความเชื่อแท้ ความเชื่อนี้ล้ำค่ายิ่งกว่าทองคำซึ่งเสื่อมสลายไปแม้ได้ทำให้บริสุทธิ์แล้วด้วยไฟ ความเชื่อนี้ก่อให้เกิดคำสรรเสริญ เกียรติและศักดิ์ศรีเมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมาปรากฏ 8 แม้ท่านยังไม่เห็นพระองค์แต่ก็รักพระองค์ แม้ขณะนี้ท่านไม่เห็นพระองค์ แต่ก็เชื่อในพระองค์และเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดีอันยิ่งใหญ่สุดจะพรรณนา 9 เพราะท่านกำลังรับความรอดแห่งจิตวิญญาณของท่านอันเป็นเป้าหมายแห่งความเชื่อของท่าน
10 บรรดาผู้เผยพระวจนะผู้ได้กล่าวถึงพระคุณที่จะมีมาถึงท่านนั้น ได้ตั้งใจสืบเสาะค้นหาอย่างถี่ถ้วนที่สุดเกี่ยวกับความรอดนี้ 11 พวกเขาพยายามพิเคราะห์ดูว่าสิ่งที่พระวิญญาณของพระคริสต์ในพวกเขาได้บ่งชี้ไว้นั้นจะเกิดขึ้นเมื่อใดและจะเกิดขึ้นอย่างไร เมื่อพระองค์ได้ทำนายถึงการทนทุกข์ของพระคริสต์และบรรดาพระเกียรติสิริที่จะตามมา 12 พวกเขาได้รับการสำแดงว่าสิ่งต่างๆ ที่ได้พยากรณ์ถึงนั้นไม่ใช่เพื่อพวกเขาเอง แต่เพื่อพวกท่าน บัดนี้บรรดาผู้ประกาศข่าวประเสริฐได้แจ้งสิ่งต่างๆ เหล่านี้แก่ท่านแล้วโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งส่งมาจากสวรรค์ แม้แต่ทูตสวรรค์ยังปรารถนาจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้
จงบริสุทธิ์
13 เพราะฉะนั้นจงเตรียมความคิดจิตใจให้พร้อม จงรู้จักบังคับตนเอง จงตั้งความหวังแน่วแน่ในพระคุณซึ่งจะประทานแก่ท่านเมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมาปรากฏ 14 ในฐานะลูกที่เชื่อฟัง อย่าดำเนินตามตัณหาชั่วซึ่งท่านเคยมีเมื่อใช้ชีวิตอย่างผู้ที่ไม่รู้ความจริง 15 แต่ท่านทั้งหลายจงบริสุทธิ์ในการทุกอย่างที่ท่านทำเหมือนอย่างที่พระองค์ผู้ทรงเรียกท่านนั้นบริสุทธิ์ 16 เพราะมีเขียนไว้ว่า “จงบริสุทธิ์เพราะเราบริสุทธิ์”[a]
17 ในเมื่อท่านทูลต่อพระบิดาผู้ทรงตัดสินการกระทำของแต่ละคนโดยไม่ลำเอียง ก็จงดำเนินชีวิตด้วยความเคารพยำเกรงในฐานะที่เป็นคนแปลกหน้าในโลกนี้ 18 เพราะท่านรู้ว่าพระองค์ได้ทรงไถ่ท่านพ้นจากวิถีชีวิตอันไร้แก่นสารซึ่งท่านรับสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ พระองค์ไม่ได้ทรงไถ่ท่านด้วยสิ่งที่เสื่อมสลายได้เช่นเงินหรือทอง 19 แต่ด้วยพระโลหิตล้ำค่าของพระคริสต์ผู้เป็นลูกแกะอันปราศจากตำหนิหรือข้อบกพร่องใดๆ 20 พระองค์ได้ทรงเลือกสรรพระคริสต์ไว้ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก แต่ทรงให้พระคริสต์ปรากฏในวาระสุดท้ายนี้เพื่อท่านทั้งหลาย 21 โดยทางพระคริสต์ท่านจึงเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายและประทานพระเกียรติสิริให้แก่พระองค์ ดังนั้นความเชื่อและความหวังของท่านจึงอยู่ในพระเจ้า
22 บัดนี้เมื่อท่านได้ชำระตัวให้บริสุทธิ์ด้วยการเชื่อฟังความจริงเพื่อจะรักพี่น้องอย่างจริงใจแล้ว ก็จงรักกันอย่างลึกซึ้งด้วยใจจริง[b] 23 เพราะท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว ไม่ใช่เกิดจากเมล็ดพันธุ์อันเสื่อมสลายได้ แต่จากเมล็ดพันธุ์อันไม่รู้เสื่อมสลายคือพระวจนะของพระเจ้าอันทรงชีวิตและยืนยงถาวร 24 เพราะ
“มวลมนุษยชาตินั้นเหมือนหญ้า
และเกียรติทั้งปวงของพวกเขาเหมือนดอกไม้ในท้องทุ่ง
ต้นหญ้าเหี่ยวเฉาและดอกไม้ร่วงโรยไป
25 แต่พระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้ายืนยงนิรันดร์”[c]
และพระวจนะนั้นคือข่าวประเสริฐซึ่งได้ประกาศแก่ท่านแล้ว
โยนาห์ไปยังนีนะเวห์
3 แล้วมีพระดำรัสจากองค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงโยนาห์เป็นครั้งที่สองว่า 2 “จงไปนีนะเวห์นครใหญ่ และประกาศแก่ชาวกรุงนั้นตามที่เราสั่งเจ้า”
3 โยนาห์ก็เชื่อฟังพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าและไปยังนีนะเวห์ นครนั้นใหญ่มาก ต้องใช้เวลาสามวันจึงเดินทางทั่ว 4 ในวันแรกโยนาห์ตั้งต้นเดินเข้าไปในกรุงนั้น เขาประกาศว่า “อีกสี่สิบวันนีนะเวห์จะถูกทำลาย” 5 ชาวนีนะเวห์ก็เชื่อพระเจ้า พวกเขาประกาศให้มีการถืออดอาหาร แล้วชาวกรุงทุกคนตั้งแต่ผู้ใหญ่ที่สุดจนถึงผู้น้อยที่สุดสวมเสื้อผ้ากระสอบ
6 เมื่อกษัตริย์นีนะเวห์ทรงทราบเรื่องนี้ ก็ทรงลุกขึ้นจากบัลลังก์ ถอดฉลองพระองค์ออก เอาเสื้อผ้ากระสอบคลุมพระองค์ และประทับในกองฝุ่นธุลี 7 แล้วทรงออกประกาศในกรุงนีนะเวห์ว่า
“โดยพระราชกฤษฎีกาของกษัตริย์ และขุนนางทั้งหลาย
“ห้ามไม่ให้ผู้ใดหรือสัตว์ตัวใดกินหรือดื่มอะไร 8 แต่ให้ทั้งคนและสัตว์ห่มตัวด้วยผ้ากระสอบ ให้ทุกคนทูลอ้อนวอนพระเจ้าอย่างเร่งด่วน และให้เลิกทำชั่ว เลิกการทารุณ 9 ใครจะรู้ได้ พระเจ้าอาจจะทรงอดกลั้นพระทัยไว้ และด้วยพระเมตตา พระองค์อาจจะทรงหันจากพระพิโรธอันรุนแรง เพื่อเราจะไม่ต้องพินาศ”
10 เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรการกระทำของพวกเขาและเห็นเขาเลิกทำชั่ว ก็ทรงเอ็นดูสงสารและไม่ได้ทำลายพวกเขาตามที่ทรงคาดโทษไว้
คำอุปมาเรื่องผู้หว่าน(A)
8 หลังจากนั้นพระเยซูเสด็จไปตามเมืองและหมู่บ้านต่างๆ ทรงประกาศข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า สาวกทั้งสิบสองคนอยู่กับพระองค์ 2 พร้อมกับพวกผู้หญิงซึ่งทรงรักษาให้หายจากวิญญาณชั่วและโรคต่างๆ ผู้หญิงเหล่านี้ได้แก่ มารีย์ (ที่เรียกว่าชาวมักดาลา) ที่ทรงขับผีออกจากนางเจ็ดตน 3 โยอันนาภรรยาของคูซาคนต้นเรือนของเฮโรด สูสันนา และคนอื่นๆ อีกมากมาย ผู้หญิงเหล่านี้ช่วยสนับสนุนพวกเขาด้วยทรัพย์สินของตน
4 ขณะผู้คนจำนวนมากมาชุมนุมกันอยู่และประชาชนจากเมืองนั้นเมืองนี้กำลังพากันมาเข้าเฝ้าพระเยซู พระองค์ตรัสคำอุปมานี้ว่า 5 “ชาวนาคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช ขณะที่หว่าน บางเมล็ดก็ตกตามทาง ถูกเหยียบย่ำและนกในอากาศก็มาจิกกินไปหมด 6 บางเมล็ดตกบนกรวดหิน เมื่องอกขึ้นมาก็เหี่ยวเฉาเพราะขาดความชุ่มชื้น 7 บางเมล็ดก็ตกกลางพงหนาม ถูกหนามงอกขึ้นมาปกคลุม 8 แต่ยังมีบางเมล็ดที่ตกบนดินดี งอกขึ้นมาแล้วเกิดผลมากกว่าที่หว่านไว้ร้อยเท่า”
เมื่อพระองค์กล่าวถึงตรงนี้ก็ทรงพูดเสียงดังว่า “ใครมีหูที่จะฟังก็จงฟังเถิด”
9 เหล่าสาวกมาทูลถามพระองค์ถึงความหมายของคำอุปมานี้ 10 พระองค์ตรัสว่า “ความลับของอาณาจักรของพระเจ้า ทรงโปรดให้พวกท่านรู้ แต่กับคนอื่นนั้นเรากล่าวเป็นคำอุปมาเพื่อว่า
“ ‘แม้ได้ดูพวกเขาก็ไม่เห็น
แม้ได้ฟังพวกเขาก็ไม่เข้าใจ’[a]
11 “ความหมายของคำอุปมาก็คือ เมล็ดที่หว่านคือพระวจนะของพระเจ้า 12 ที่หล่นตามทางคือผู้ที่ได้ยิน แล้วมารก็มาชิงพระวจนะไปจากใจของเขาเพื่อไม่ให้เขาเชื่อและได้รับความรอด 13 ที่ตกลงบนหินคือผู้ที่ได้ยิน แล้วรับพระวจนะด้วยความยินดีแต่ไม่หยั่งรากลึก เขาเชื่อเพียงชั่วระยะหนึ่ง แต่เมื่อถูกทดลองก็เลิกราไป 14 เมล็ดพืชที่ตกกลางพงหนามคือผู้ที่ได้ยิน แต่ขณะที่เขาดำเนินชีวิตไปตามทางของเขาก็ถูกความพะวักพะวน ทรัพย์สมบัติ และความสนุกบันเทิงในชีวิตกีดขวาง เขาจึงไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ 15 แต่เมล็ดที่ตกบนดินดีนั้นคือผู้ที่จิตใจดีงามสูงส่ง ผู้ได้ยินพระวจนะแล้วรับไว้และเกิดผลด้วยความอดทนบากบั่น
ตะเกียงบนเชิงตะเกียง
16 “ไม่มีใครจุดตะเกียงแล้วซ่อนไว้ในถังหรือวางไว้ใต้เตียง แต่ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียงเพื่อคนที่เข้ามาเห็นแสงสว่าง 17 เพราะไม่มีสักสิ่งที่ซ่อนไว้แล้วจะไม่ถูกเปิดเผย ไม่มีสักสิ่งที่ปิดบังไว้จะไม่มีใครรู้หรือไม่ถูกเปิดโปง 18 เหตุฉะนั้นจงเอาใจใส่สิ่งที่เจ้าได้ยินได้ฟังให้ดี ผู้ใดที่มีอยู่แล้วจะได้รับเพิ่มขึ้น ส่วนผู้ที่ไม่มี แม้สิ่งที่เขาคิดว่าเขามีก็จะถูกเอาไปจากเขา”
มารดากับน้องชายของพระเยซู(B)
19 ขณะนั้นมารดากับน้องๆ ของพระเยซูมาหาพระองค์ แต่ไม่สามารถเข้าใกล้พระองค์ได้เพราะคนแน่นมาก 20 มีบางคนมาทูลพระองค์ว่า “มารดากับน้องชายของท่านยืนอยู่ข้างนอกต้องการจะพบท่าน”
21 พระองค์ทรงตอบว่า “มารดาและน้องชายของเราคือบรรดาผู้ที่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้าและนำไปปฏิบัติ”
พระเยซูทรงห้ามพายุ(C)
22 วันหนึ่งพระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกว่า “ให้เราข้ามทะเลสาบไปอีกฟากหนึ่งเถิด” พวกเขาจึงพากันลงเรือไป 23 ขณะที่เขาแล่นเรือไปพระเยซูบรรทมหลับ เกิดพายุใหญ่กลางทะเลสาบ น้ำซัดเข้าเรือ และพวกเขาตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง
24 เหล่าสาวกเข้ามาปลุกพระองค์และทูลว่า “พระอาจารย์ พระอาจารย์ เรากำลังจะจมแล้ว!”
พระองค์ทรงลุกขึ้นห้ามลมและคลื่น พายุก็สงบลงและทุกอย่างก็สงบเงียบ 25 พระองค์ทรงถามเหล่าสาวกว่า “ความเชื่อของพวกท่านอยู่ที่ไหน?”
พวกเขากลัวและประหลาดใจ ต่างถามกันว่า “นี่คือใครหนอ? แม้แต่ลมและคลื่นก็ยังเชื่อฟังคำสั่งของพระองค์”
การรักษาคนถูกผีสิง(D)
26 พวกเขาแล่นเรือมาถึงแดนเกราซา[b]ซึ่งอยู่คนละฟากกับกาลิลี 27 เมื่อพระเยซูทรงขึ้นจากเรือ พระองค์ทรงพบชายคนหนึ่งจากเมืองนั้นซึ่งถูกผีเข้าสิง นานแล้วที่ชายคนนี้ไม่สวมเสื้อผ้าไม่อยู่ในบ้าน แต่อาศัยอยู่ตามอุโมงค์ฝังศพ 28 เมื่อเขาเห็นพระเยซูก็ส่งเสียงร้องและซบลงแทบพระบาทแล้วตะโกนสุดเสียงว่า “พระเยซู พระบุตรของพระเจ้าสูงสุด พระองค์ต้องการอะไรจากข้าพระองค์? ขอโปรดอย่าทรมานข้าพระองค์เลย!” 29 เพราะพระเยซูได้ตรัสสั่งวิญญาณชั่ว[c]ให้ออกมาจากชายผู้นี้ ผีได้สิงเขาหลายครั้งแล้ว แม้เอาโซ่ล่ามมือเท้าของเขาและวางยามเฝ้า เขาก็หักโซ่ตรวนเสียและผีขับไสเขาให้ออกไปอยู่ในที่เปลี่ยว
30 พระเยซูตรัสถามเขาว่า “เจ้าชื่ออะไร?”
เขาทูลว่า “ชื่อกอง” เพราะมีผีหลายตนสิงอยู่ในตัวเขา 31 และพวกมันพร่ำอ้อนวอนพระองค์ไม่ให้ทรงสั่งให้มันกลับไปยังนรกขุมลึก
32 แถวนั้นมีสุกรฝูงใหญ่หากินอยู่แถบเนินเขา พวกผีจึงทูลวิงวอนพระเยซูให้ทรงอนุญาตให้พวกมันไปสิงในฝูงสุกรและพระองค์ทรงอนุญาต 33 พวกผีจึงออกจากชายคนนั้นเข้าไปสิงในสุกร แล้วสุกรทั้งฝูงก็กระโจนจากหน้าผาลงทะเลสาบจมน้ำตายหมด
34 เมื่อบรรดาคนเลี้ยงสุกรเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นก็วิ่งเข้าไปเล่าเรื่องนี้ในเมืองและหมู่บ้าน 35 ผู้คนพากันออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อพวกเขามาหาพระเยซูก็พบว่าผีได้ออกจากชายคนนั้นไปแล้ว เขานั่งอยู่แทบพระบาทพระเยซูสวมใส่เสื้อผ้าและมีสติดี พวกเขาก็กลัว 36 ผู้ที่เห็นเหตุการณ์จึงเล่าให้ผู้คนฟังว่าชายซึ่งถูกผีสิงหายเป็นปกติได้อย่างไร 37 ชาวเกราซาทั้งปวงจึงขอร้องพระเยซูให้ทรงไปจากพวกเขาเพราะพวกเขากลัวมาก พระองค์จึงเสด็จลงเรือจากไป
38 ชายคนที่ผีได้ออกไปจากเขาแล้วนั้นอ้อนวอนขอไปกับพระองค์ แต่พระเยซูทรงส่งเขากลับไปและตรัสสั่งว่า 39 “จงกลับไปบ้านและเล่าให้ใครๆ ฟังว่าพระเจ้าทรงกระทำการเพื่อท่านมากเพียงใด” คนนั้นจึงไปเล่าให้คนทั่วเมืองฟังว่าพระเยซูทรงกระทำการเพื่อเขามากเพียงใด
เด็กผู้หญิงที่เสียชีวิตและหญิงที่ป่วย(E)
40 เมื่อพระเยซูทรงข้ามฟากกลับมา ฝูงชนพากันต้อนรับพระองค์เพราะพวกเขากำลังรอคอยพระองค์อยู่ 41 แล้วมีชายคนหนึ่งชื่อไยรัสเป็นนายธรรมศาลา มาหมอบลงแทบพระบาทพระเยซูและทูลอ้อนวอนให้พระองค์เสด็จไปที่บ้านของเขา 42 เพราะลูกสาวคนเดียวของเขากำลังจะตาย เด็กหญิงนี้อายุราวสิบสองขวบ
ขณะพระเยซูเสด็จไปผู้คนเบียดเสียดพระองค์แน่นขนัด 43 ที่นั่นมีหญิงคนหนึ่งตกเลือดเรื้อรังมาสิบสองปี[d]แล้ว แต่ไม่มีใครรักษานางให้หายได้ 44 นางมาข้างหลังพระองค์และแตะชายฉลองพระองค์ ทันใดนั้นเลือดก็หยุดไหล
45 พระเยซูตรัสถามว่า “ใครแตะต้องเรา?”
คนทั้งปวงต่างก็ปฏิเสธ เปโตรทูลว่า “พระอาจารย์ ผู้คนรุมล้อมเบียดเสียดพระองค์”
46 แต่พระเยซูตรัสว่า “มีคนแตะเรา เรารู้ว่าฤทธิ์อำนาจซ่านออกจากตัวเรา”
47 ฝ่ายหญิงนั้นเห็นว่าไม่อาจหลบเลี่ยงไปได้ก็กลัวจนตัวสั่นและเข้ามาหมอบลงแทบพระบาท นางกราบทูลพระองค์ต่อหน้าคนทั้งปวงถึงสาเหตุที่แตะต้องพระองค์และที่นางหายโรคทันที 48 พระองค์จึงตรัสกับนางว่า “ลูกสาวเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าทำให้เจ้าหายโรค จงกลับไปด้วยสันติสุขเถิด”
49 พระเยซูตรัสยังไม่ทันขาดคำก็มีคนจากบ้านของไยรัสนายธรรมศาลามาบอกว่า “ลูกสาวของท่านเสียชีวิตแล้ว อย่ารบกวนพระอาจารย์อีกเลย”
50 พระเยซูทรงได้ยินก็ตรัสกับไยรัสว่า “อย่ากลัวเลย จงเชื่อเท่านั้นแล้วลูกสาวจะหาย” 51 เมื่อมาถึงบ้านของไยรัส พระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ใครติดตามเข้าไปยกเว้นเปโตร ยากอบกับยอห์น และบิดามารดาของเด็ก 52 ขณะนั้นคนทั้งปวงกำลังร้องไห้ไว้อาลัยแก่เด็กนั้น พระเยซูตรัสว่า “หยุดร้องไห้เถิด เด็กน้อยยังไม่ตายเพียงแต่หลับอยู่”
53 พวกเขาหัวเราะเยาะพระองค์เพราะรู้ว่าเด็กตายแล้ว 54 แต่พระเยซูทรงจับมือเด็กน้อยและตรัสว่า “ลูกเอ๋ย ลุกขึ้นเถิด!” 55 วิญญาณของเด็กก็กลับมา ทันใดนั้นเด็กหญิงก็ลุกขึ้นยืน แล้วพระเยซูตรัสสั่งให้นำอาหารมาให้เด็กรับประทาน 56 บิดามารดาของเด็กต่างประหลาดใจ แต่พระองค์ทรงสั่งพวกเขาไม่ให้บอกเรื่องที่เกิดขึ้นนี้กับใคร
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.