M’Cheyne Bible Reading Plan
9 ชนอิสราเอลทุกคนมีชื่ออยู่ในบันทึกลำดับวงศ์ตระกูลซึ่งบันทึกไว้ในจดหมายเหตุกษัตริย์แห่งอิสราเอล ชนยูดาห์ต้องตกไปเป็นเชลยที่บาบิโลนเพราะไม่ซื่อสัตย์
ประชากรในเยรูซาเล็ม(A)
2 พวกแรกที่กลับมาอาศัยอยู่ในเมืองของตนอีกครั้งมีชนอิสราเอล ปุโรหิต ชนเลวี และผู้ช่วยงานในพระวิหาร
3 คนจากเผ่ายูดาห์ เบนยามิน เอฟราอิม และมนัสเสห์ที่มาอาศัยในเยรูซาเล็ม ได้แก่
4 อุธัยผู้เป็นบุตรของอัมมีฮูด ผู้เป็นบุตรของอมรี ผู้เป็นบุตรของอิมรี ผู้เป็นบุตรของบานี วงศ์วานของเปเรศบุตรยูดาห์
5 จากเชื้อสายชิโลห์ ได้แก่
อาสายาห์ผู้เป็นบุตรหัวปี และบุตรทั้งหลายของเขา
6 จากเชื้อสายเศราห์ ได้แก่
เยอูเอล
และคนจากยูดาห์รวมจำนวน 690 คน
7 จากเผ่าเบนยามิน ได้แก่
สัลลูผู้เป็นบุตรของเมชุลลาม ผู้เป็นบุตรของโฮดาวิยาห์ ผู้เป็นบุตรของหัสเสนูอาห์
8 อิบเนยาห์ผู้เป็นบุตรของเยโรฮัม เอลาห์ผู้เป็นบุตรของอุสซี ผู้เป็นบุตรของมิครี และเมชุลลามผู้เป็นบุตรของเชฟาทิยาห์ ผู้เป็นบุตรของเรอูเอล ผู้เป็นบุตรของอิบนียาห์
9 รวมคนจากเผ่าเบนยามินตามบันทึกลำดับวงศ์ตระกูลได้ 956 คน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นหัวหน้าครอบครัว
10 บรรดาปุโรหิต ได้แก่
เยดายาห์ เยโฮยาริบ ยาคีน
11 อาซาริยาห์เจ้าหน้าที่ดูแลพระนิเวศของพระเจ้าผู้เป็นบุตรของฮิลคียาห์ ผู้เป็นบุตรของเมชุลลาม ผู้เป็นบุตรของศาโดก ผู้เป็นบุตรของเมราโยท ผู้เป็นบุตรของอาหิทูบ
12 อาดายาห์ผู้เป็นบุตรของเยโรฮัม ผู้เป็นบุตรของปาชเฮอร์ ผู้เป็นบุตรของมัลคียาห์ และมาอาสัยผู้เป็นบุตรของอาดีเอล ผู้เป็นบุตรของยาเซราห์ ผู้เป็นบุตรของเมชุลลาม ผู้เป็นบุตรของเมชิลเลมิท ผู้เป็นบุตรของอิมเมอร์
13 มีปุโรหิตซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวรวม 1,760 คน เป็นผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในพระนิเวศของพระเจ้า
14 จากเผ่าเลวี ได้แก่
เชไมอาห์ผู้เป็นบุตรของหัสชูบ ผู้เป็นบุตรของอัสรีคัม ผู้เป็นบุตรของฮาชาบิยาห์จากตระกูลเมรารี 15 บัคบัคคาร์ เฮเรช กาลาล และมัททานิยาห์ ผู้เป็นบุตรของมีคา ผู้เป็นบุตรของศิครี ผู้เป็นบุตรของอาสาฟ 16 โอบาดีห์ผู้เป็นบุตรของเชไมอาห์ ผู้เป็นบุตรของกาลาล ผู้เป็นบุตรของเยดูธูน และเบเรคิยาห์ผู้เป็นบุตรของอาสา ผู้เป็นบุตรของเอลคานาห์ ผู้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านต่างๆ ของชาวเนโทฟาห์
17 ยามเฝ้าประตู ได้แก่
ชัลลูมผู้เป็นหัวหน้า อักขูบ ทัลโมน และอาหิมานกับพี่น้องของเขา 18 ยามเฝ้าประตูเหล่านี้ล้วนเป็นคนจากค่ายของเลวี พวกเขายังคงรับผิดชอบประตูหลวงด้านตะวันออกจนถึงทุกวันนี้ 19 ชัลลูมผู้เป็นบุตรโคเร ผู้เป็นบุตรของเอบียาสาฟ ผู้เป็นบุตรของโคราห์ ชัลลูมและเพื่อนร่วมงานซึ่งอยู่ในตระกูลเดียวกับเขา (ตระกูลโคราห์)รับผิดชอบเฝ้าอยู่ที่ธรณีประตูของพลับพลา[a] เหมือนที่บรรพบุรุษของตนรับผิดชอบดูแลทางเข้าที่ประทับขององค์พระผู้เป็นเจ้า 20 แต่เดิมฟีเนหัสบุตรเอเลอาซาร์เป็นผู้ดูแลยามเหล่านี้ และองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับเขา 21 เศคาริยาห์บุตรเมเชเลมิยาห์เป็นยามประตู ดูแลทางเข้าเต็นท์นัดพบ
22 ผู้ที่ได้รับเลือกเป็นยามเฝ้าที่ธรณีประตูรวม 212 คน มีรายชื่ออยู่ในบันทึกลำดับวงศ์ตระกูลของหมู่บ้านของตน ดาวิดกับผู้ทำนายซามูเอลได้แต่งตั้งให้ประจำหน้าที่ 23 พวกเขากับวงศ์วานมีหน้าที่ดูแลทางเข้าพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่เรียกว่าพลับพลา 24 ยามเฝ้าประตูประจำการอยู่ทั้งสี่ด้านคือด้านตะวันออก ตะวันตก เหนือ และใต้ 25 พี่น้องของเขาจากหมู่บ้านต่างๆ ผลัดเวรกันมาช่วยงานคราวละเจ็ดวัน 26 หัวหน้ายามเฝ้าประตูทั้งสี่คนซึ่งเป็นชนเลวีได้รับความไว้วางใจให้รับผิดชอบห้องต่างๆ และคลังต่างๆ ในพระนิเวศของพระเจ้า 27 พวกเขาต้องเฝ้ายามประจำตำแหน่งรอบพระนิเวศของพระเจ้าตลอดคืน และจะมาไขกุญแจเปิดประตูทุกเช้า
28 บางคนมีหน้าที่ดูแลภาชนะต่างๆ ซึ่งใช้ในงานพระวิหาร จะตรวจนับเมื่อรับเข้าหรือนำออก 29 บางคนรับผิดชอบส่วนต่างๆ ของอาคาร ภาชนะทั้งปวงในสถานนมัสการ ตลอดจนแป้ง เหล้าองุ่น น้ำมัน เครื่องหอม และเครื่องเทศ 30 แต่ปุโรหิตบางคนดูแลการผสมเครื่องเทศ 31 มัททีธิยาห์คนเลวี ผู้เป็นบุตรหัวปีของชัลลูมตระกูลโคราห์ ได้รับมอบหมายหน้าที่ทำขนมปังถวายบูชา 32 พี่น้องตระกูลโคฮาทบางคนมีหน้าที่จัดเตรียมขนมปังวางไว้บนโต๊ะทุกวันสะบาโต
33 บรรดานักดนตรีซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวต่างๆ ของเลวี พักอยู่ในห้องที่พระวิหาร และได้รับการยกเว้นจากหน้าที่อื่นๆ เพราะต้องรับผิดชอบงานทั้งกลางวันและกลางคืน
34 คนเหล่านี้คือหัวหน้าครอบครัวและผู้นำต่างๆ ของชนเลวี มีรายชื่อตามบันทึกลำดับวงศ์ตระกูล พวกเขาพักอาศัยอยู่ที่เยรูซาเล็ม
ลำดับวงศ์ตระกูลของซาอูล(B)
35 เยอีเอลบิดา[b]ของกิเบโอนอาศัยอยู่ที่กิเบโอน
ภรรยาของเขาคือมาอาคาห์ 36 บุตรหัวปีของเขาชื่ออับโดน บุตรคนต่อๆ มาได้แก่ ศูร์ คีช บาอัล เนอร์ นาดับ 37 เกโดร์ อาหิโย เศคาริยาห์ และมิกโลท 38 มิกโลทเป็นบิดาของชิเมอัม พวกเขาอาศัยอยู่ใกล้ๆ ญาติพี่น้องในเยรูซาเล็มเช่นกัน
39 เนอร์เป็นบิดาของคีชผู้เป็นบิดาของซาอูล ผู้เป็นบิดาของโยนาธาน มัลคีชูวา อาบีนาดับ และเอชบาอัล[c]
40 บุตรของโยนาธาน ได้แก่
เมริบบาอัล[d]ผู้เป็นบิดาของมีคาห์
41 บุตรของมีคาห์ ได้แก่
ปีโธน เมเลค ทาเรีย และอาหัส[e]
42 อาหัสเป็นบิดาของยาดาห์ ยาดาห์[f]เป็นบิดาของอาเลเมท อัสมาเวท และศิมรี ศิมรีเป็นบิดาของโมซา 43 โมซาเป็นบิดาของบิเนอา ผู้เป็นบิดาของเรไฟยาห์ ผู้เป็นบิดาของเอเลอาสาห์ ผู้เป็นบิดาของอาเซล
44 อาเซลมีบุตรชายหกคน ตามรายชื่อดังนี้
อัสรีคัม โบเครู อิชมาเอล เชอาริยาห์ โอบาดีห์ และฮานาน คนเหล่านี้เป็นบุตรของอาเซล
ซาอูลฆ่าตัวตาย(C)
10 ครั้งนั้นอิสราเอลสู้รบกับฟีลิสเตีย อิสราเอลแตกหนี และผู้คนมากมายล้มตายบนภูเขากิลโบอา 2 ทหารฟีลิสเตียประชิดตัวซาอูลกับโอรส และได้สังหารโอรสทั้งสามคือโยนาธาน อาบีนาดับ และมัลคีชูวา 3 การรบเป็นไปอย่างดุเดือด ทหารฟีลิสเตียยิงธนูเข้าใส่ซาอูล พระอาการสาหัส
4 ซาอูลตรัสกับผู้เชิญอาวุธว่า “จงชักดาบออกมาแทงทะลุร่างของเรา มิฉะนั้นพวกที่ไม่ได้เข้าสุหนัตเหล่านี้จะมาฆ่าเราและนำความอัปยศมาให้เรา”
แต่ผู้เชิญอาวุธไม่กล้าทำ ฉะนั้นซาอูลจึงโถมพระกายลงบนดาบของพระองค์เอง 5 เมื่อผู้เชิญอาวุธเห็นว่าซาอูลสิ้นพระชนม์แล้ว ก็ทุ่มกายลงบนดาบของตนตายตามไป 6 เป็นอันว่าซาอูลกับโอรสทั้งสามและทั้งราชวงศ์สิ้นชีวิตไปด้วยกัน
7 เมื่อชนอิสราเอลในหุบเขาเห็นกองทัพแตกหนี และเห็นว่าซาอูลกับโอรสสิ้นพระชนม์ ก็พากันละทิ้งบ้านเมืองหนีไป ชาวฟีลิสเตียก็เข้ายึดครอง
8 วันรุ่งขึ้นเมื่อชาวฟีลิสเตียออกมาปลดของมีค่าจากศพ ก็พบร่างของซาอูลและโอรสอยู่บนภูเขากิลโบอา 9 พวกเขาจึงปลดยุทธภัณฑ์ของซาอูลและตัดพระเศียรไป แล้วส่งผู้สื่อสารไปทั่วแดนฟีลิสเตีย ประกาศข่าวท่ามกลางเทวรูปและประชาชน 10 พวกเขาเก็บยุทธภัณฑ์ของซาอูลไว้ในวิหารของเทพเจ้าของตน และแขวนพระเศียรของซาอูลไว้ในวิหารของพระดาโกน
11 เมื่อชาวยาเบชกิเลอาดได้ยินถึงการกระทำของชาวฟีลิสเตียต่อซาอูล 12 ผู้กล้าหาญทั้งหมดของพวกเขาก็ออกไปนำพระศพของซาอูลกับโอรสทั้งสามกลับมาที่ยาเบช แล้วฝังพระอัฐิไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ในเมืองยาเบช แล้วพากันถืออดอาหารเป็นเวลาเจ็ดวัน
13 ซาอูลสิ้นพระชนม์เพราะไม่ซื่อสัตย์ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ได้ปฏิบัติตามพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า ถึงกับขอคำปรึกษาจากคนทรง 14 ซาอูลไม่ได้ทูลถามองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จึงทรงประหารซาอูล และยกอาณาจักรให้แก่ดาวิดบุตรของเจสซี
12 เพราะฉะนั้นในเมื่อเรามีพยานหมู่ใหญ่พรั่งพร้อมรอบด้านเช่นนี้แล้ว ก็ให้เราละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่และบาปที่เกาะแน่น ให้เราวิ่งด้วยความอดทนบากบั่นไปตามลู่ที่ทรงกำหนดไว้สำหรับเรา 2 ให้เราเพ่งมองที่พระเยซูผู้ทรงลิขิตความเชื่อและทรงทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์ พระองค์ทรงทนรับกางเขนและไม่ใส่พระทัยในความอัปยศของไม้กางเขนเพราะเห็นแก่ความชื่นชมยินดีที่อยู่เบื้องหน้า และพระองค์ได้ประทับที่เบื้องขวาพระที่นั่งของพระเจ้า 3 ท่านทั้งหลายจงใคร่ครวญถึงพระองค์ผู้ทรงทนการต่อต้านเช่นนั้นจากคนบาป เพื่อว่าท่านจะได้ไม่อ่อนล้าและท้อแท้ใจ
พระเจ้าทรงตีสอนบุตรของพระองค์
4 ในการขับเคี่ยวกับบาป ท่านยังไม่ได้ต่อสู้จนถึงกับหลั่งเลือด 5 และท่านได้ลืมถ้อยคำให้กำลังใจซึ่งมีมาถึงท่านในฐานะบุตรว่า
“ลูกเอ๋ย อย่าละเลยการตีสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า
อย่าท้อใจเมื่อพระองค์ทรงตำหนิท่าน
6 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสอนผู้ที่พระองค์ทรงรัก
และทรงลงโทษทุกคนที่ทรงรับเป็นบุตร”[a]
7 จงทนความทุกข์ยากโดยถือเสมือนว่าเป็นการตีสอน พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อท่านในฐานะบุตร เพราะบุตรคนไหนบ้างที่บิดาไม่เคยตีสอน? 8 หากท่านไม่ถูกตีสอน (และทุกคนได้รับการตีสอน) ท่านก็เป็นบุตรนอกกฎหมายและไม่ใช่บุตรแท้ 9 ยิ่งไปกว่านั้นเราทั้งปวงล้วนมีบิดาซึ่งเป็นมนุษย์ผู้ตีสอนเราและเราเคารพนับถือท่านที่ทำเช่นนั้น ยิ่งกว่านั้นสักเพียงใดที่เราควรอยู่ในโอวาทของพระบิดาแห่งจิตวิญญาณของเราและมีชีวิตอยู่! 10 บิดาของเราตีสอนเราชั่วระยะหนึ่งตามที่คิดเห็นว่าดีที่สุด แต่พระเจ้าทรงตีสอนเราเพื่อประโยชน์ของเรา เพื่อเราจะได้มีส่วนในความบริสุทธิ์ของพระองค์ 11 ไม่มีการตีสอนใดดูน่าชื่นใจในเวลานั้น มีแต่จะเจ็บปวด แต่ภายหลังจะเกิดผลเป็นความชอบธรรมและสันติสุขแก่บรรดาผู้รับการฝึกฝนโดยการตีสอนนั้น
12 เพราะฉะนั้นจงทำให้แขนที่อ่อนแรงและเข่าที่อ่อนล้าเข้มแข็งขึ้น 13 “จงทำทางที่ราบเรียบสำหรับเท้าของท่าน”[b] เพื่อคนง่อยจะไม่พิการแต่กลับเป็นปกติดี
เตือนไม่ให้ปฏิเสธพระเจ้า
14 จงเพียรพยายามที่จะอยู่อย่างสงบสุขร่วมกับคนทั้งปวงและเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะถ้าปราศจากความบริสุทธิ์แล้วก็ไม่มีใครจะได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย 15 จงระวังอย่าให้ใครพลาดไปจากพระคุณของพระเจ้า และอย่าให้มีรากขมขื่นงอกขึ้นมาสร้างความเดือดร้อน และทำให้คนเป็นอันมากแปดเปื้อนมลทิน 16 จงระวัง อย่าให้ใครผิดศีลธรรมทางเพศ หรือไม่อยู่ในทางพระเจ้าแบบเอซาวผู้ขายสิทธิบุตรหัวปีแลกกับอาหารมื้อเดียว 17 ท่านทั้งหลายทราบอยู่ว่าในภายหลังเมื่อเอซาวต้องการรับพรนี้เป็นมรดกก็ถูกปฏิเสธ เขาไม่อาจแก้ไขอะไรได้แม้เขาจะแสวงหาพรนั้นด้วยน้ำตา
18 ท่านทั้งหลายไม่ได้มายังภูเขาที่จับต้องได้และที่ลุกเป็นไฟ ไม่ได้มายังความมืด ความมืดมนและพายุ 19 ไม่ได้มายังเสียงแตรกระหึ่มหรือพระสุรเสียงตรัสซึ่งบรรดาผู้ที่ได้ยินแล้ววอนขออย่าได้ตรัสคำใดๆ กับเขาอีก 20 เพราะพวกเขาไม่อาจทนกับคำบัญชาที่ว่า “แม้แต่สัตว์ที่แตะต้องภูเขานั้นก็จะต้องถูกหินขว้างตาย”[c] 21 สิ่งที่เห็นนั้นน่าหวาดกลัวยิ่งนักจนโมเสสกล่าวว่า “ข้าพเจ้ากลัวจนตัวสั่น”[d]
22 แต่ท่านทั้งหลายได้มาถึงภูเขาศิโยน คือถึงนครของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ คือเยรูซาเล็มแห่งสวรรค์ ท่านได้มาถึงที่ซึ่งทูตสวรรค์มากมายได้ชุมนุมกันอย่างร่าเริงยินดี 23 มาสู่คริสตจักรแห่งบุตรหัวปีผู้มีชื่อจารึกไว้ในสวรรค์ ท่านได้มาถึงพระเจ้าผู้ทรงพิพากษามวลมนุษย์ มายังวิญญาณจิตของคนชอบธรรมซึ่งทรงทำให้สมบูรณ์แล้ว 24 มาสู่พระเยซูผู้ทรงเป็นคนกลางแห่งพันธสัญญาใหม่ และมาถึงโลหิตประพรมซึ่งกล่าวถึงสิ่งที่ดียิ่งกว่าโลหิตของอาแบล
25 จงระวังอย่าปฏิเสธพระองค์ผู้ตรัสอยู่ ถ้าพวกเขายังหนีไม่พ้นเมื่อปฏิเสธพระองค์ผู้ตรัสเตือนในโลก เราย่อมจะหนีไม่พ้นยิ่งขึ้นเพียงใดหากเราหันหนีพระองค์ผู้ทรงเตือนเราจากสวรรค์? 26 ครั้งนั้นพระสุรเสียงของพระองค์ทำให้โลกสะเทือนสะท้าน แต่บัดนี้พระองค์ทรงสัญญาไว้ว่า “เราจะไม่เพียงเขย่าโลกนี้อีกครั้งหนึ่ง แต่จะเขย่าฟ้าสวรรค์ด้วย”[e] 27 คำว่า “อีกครั้งหนึ่ง” บ่งบอกว่าสิ่งที่สั่นคลอนได้คือสิ่งที่ทรงสร้างขึ้นนั้นจะถูกขจัดทิ้ง เพื่อให้เหลืออยู่แต่สิ่งที่ไม่สั่นคลอน
28 เพราะฉะนั้นในเมื่อเรากำลังได้รับอาณาจักรอันไม่อาจสั่นคลอนได้ ก็ให้เราขอบพระคุณและนมัสการพระเจ้าอย่างที่ทรงพอพระทัย ด้วยความยำเกรงและด้วยความครั่นคร้าม 29 เพราะว่า “พระเจ้าทรงเป็นไฟอันเผาผลาญ”[f]
วิบัติแก่ผู้ที่ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน
6 วิบัติแก่เจ้าผู้ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ในศิโยน
และแก่เจ้าผู้รู้สึกปลอดภัยบนภูเขาสะมาเรีย
เจ้าผู้มีชื่อเสียงโด่งดังของชาติชั้นนำ
ผู้ซึ่งประชากรอิสราเอลมาหา!
2 จงไปพิเคราะห์ดูคาลเนห์
แล้วไปยังฮามัทเมืองใหญ่
และลงไปยังเมืองกัทในฟีลิสเตีย
อาณาจักรเหล่านั้นดีกว่าอาณาจักรทั้งสองของเจ้าหรือ?
ดินแดนของเขาใหญ่กว่าของเจ้าหรือ?
3 เจ้าเลื่อนวันเลวร้ายออกไป
แต่กลับนำยุคอันน่าสยดสยองเข้ามาใกล้
4 เจ้านอนบนเตียงประดับงาช้าง
และเหยียดกายบนตั่ง
เจ้ากินลูกแกะชั้นดี
และลูกวัวอ้วนพี
5 เจ้าเล่นพิณอย่างเบิกบานใจเหมือนดาวิด
และแต่งเพลงใหม่ๆ สำหรับเครื่องดนตรี
6 เจ้าดื่มเหล้าองุ่นเต็มชาม
และใช้เครื่องชโลมกายชั้นดี
แต่เจ้าไม่ทุกข์โศกในความย่อยยับของโยเซฟ
7 ฉะนั้นเจ้าจะอยู่ในกลุ่มพวกแรกที่ตกเป็นเชลย
การเลี้ยงฉลองและการเอกเขนกของเจ้าจะจบสิ้นลง
องค์พระผู้เป็นเจ้า
8 พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตทรงปฏิญาณโดยอ้างพระองค์เอง พระยาห์เวห์พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ประกาศว่า
“เราชิงชังความหยิ่งผยองของยาโคบ
และเกลียดป้อมต่างๆ ของเขา
เราจะปล่อยเมืองนี้
และปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในนั้น”
9 หากมีชายสิบคนเหลืออยู่ในบ้านหลังหนึ่ง พวกเขาก็จะตายด้วย 10 และหากมีญาติคนหนึ่งที่จะเผาศพ จะมาแบกศพออกไปนอกบ้าน และถามผู้ที่ยังซ่อนตัวอยู่ที่นั่นว่า “มีใครอยู่กับเจ้าอีกไหม?” และเขาตอบว่า “ไม่มี” แล้วเขาก็จะพูดว่า “เงียบๆ! อย่าให้เราเอ่ยพระนามของพระยาห์เวห์”
11 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงบัญชาไว้แล้ว
และจะทรงฟาดบ้านหลังใหญ่ให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ฟาดบ้านหลังเล็กให้เป็นเศษเล็กเศษน้อย
12 ม้าวิ่งบนโตรกเขาขรุขระหรือ?
คนใช้วัวไถที่นั่นหรือ?
แต่เจ้าก็เปลี่ยนความยุติธรรมให้เป็นยาพิษ
และเปลี่ยนผลแห่งความชอบธรรมให้กลายเป็นความขมขื่น
13 เจ้าผู้ยินดีในการพิชิตโลเดบาร์[a] และพูดว่า
“เรายึดคารนาอิม[b]ไว้ได้ด้วยกำลังของเราเองไม่ใช่หรือ?”
14 เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ประกาศว่า
“พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย
เราจะเรียกชาติหนึ่งมาสู้กับเจ้า
ซึ่งจะกดขี่ข่มเหงเจ้าตลอดทาง
ตั้งแต่เลโบฮามัท[c]ถึงหุบเขาอาราบาห์”
มารีย์ไปเยี่ยมเอลีซาเบธ
39 ในเวลานั้นมารีย์เตรียมตัวและรีบรุดไปยังเมืองหนึ่งในแดนเทือกเขาแห่งยูเดีย 40 นางเข้าไปในบ้านของเศคาริยาห์และกล่าวทักทายเอลีซาเบธ 41 เมื่อเอลีซาเบธได้ยินคำทักทายของมารีย์ ทารกในครรภ์ของนางก็ดิ้น และนางเอลีซาเบธเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ 42 จึงร้องเสียงดังว่า “ในหมู่สตรีท่านได้รับพระพรและลูกที่ท่านจะคลอดออกมาก็ได้รับพระพร! 43 แต่เหตุใดข้าพเจ้าจึงได้รับความโปรดปรานถึงเพียงนี้ที่มารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้ามาเยี่ยมข้าพเจ้า? 44 ทันทีที่ข้าพเจ้าได้ยินเสียงทักทายของท่าน ทารกในครรภ์ของข้าพเจ้าก็ดิ้นด้วยความชื่นชมยินดี 45 ความสุขมีแก่หญิงที่เชื่อว่าสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับนางนั้นจะสำเร็จ!”
บทเพลงของมารีย์(A)
46 มารีย์จึงกล่าวว่า
“จิตใจของข้าพเจ้าสรรเสริญยกย่องพระเจ้า
47 และจิตวิญญาณของข้าพเจ้าชื่นชมยินดีในพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของข้าพเจ้า
48 เพราะพระองค์ทรงเอาพระทัยใส่
ฐานะอันต่ำต้อยของผู้รับใช้ของพระองค์
นับแต่นี้ไปคนทุกชั่วอายุจะเรียกข้าพเจ้าว่าผู้ได้รับพร
49 เพราะว่าองค์ทรงฤทธิ์ได้ทรงกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพื่อข้าพเจ้า
พระนามของพระองค์บริสุทธิ์
50 พระเมตตาของพระองค์แผ่มาถึงบรรดาผู้ที่ยำเกรงพระองค์
ทุกชั่วอายุสืบไป
51 พระองค์ทรงประกอบกิจอันยิ่งใหญ่ด้วยพระกรของพระองค์
พระองค์ทรงกระทำให้ผู้ที่ผยองอยู่ในส่วนลึกของความคิดกระจัดกระจายไป
52 พระองค์ทรงปลดเจ้านายลงจากบัลลังก์
แต่ทรงยกผู้ต่ำต้อยขึ้น
53 พระองค์ทรงให้ผู้หิวโหยอิ่มเอมด้วยสิ่งดี
แต่ทรงส่งคนมั่งมีไปมือเปล่า
54 พระองค์ทรงช่วยอิสราเอลผู้รับใช้ของพระองค์
ทรงไม่ลืมที่จะเมตตา
55 ต่ออับราฮัมและวงศ์วานของเขาตลอดไป
ตามที่พระองค์ได้ตรัสไว้กับบรรพบุรุษของเรา”
56 มารีย์พักอยู่กับเอลีซาเบธราวสามเดือนแล้วจึงกลับบ้าน
กำเนิดของยอห์นผู้ให้บัพติศมา
57 เมื่อถึงกำหนดคลอด เอลีซาเบธก็ให้กำเนิดบุตรชาย 58 ญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านได้ยินว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสำแดงความเมตตายิ่งใหญ่แก่นาง พวกเขาก็มาร่วมยินดี
59 ในวันที่แปดพวกเขามาร่วมพิธีเข้าสุหนัตของทารกนั้น และพวกเขากำลังจะตั้งชื่อให้ทารกนั้นว่าเศคาริยาห์ตามบิดา 60 แต่มารดาของเขาท้วงติงว่า “ไม่ได้! จะต้องเรียกเด็กคนนี้ว่ายอห์น”
61 พวกเขาบอกนางว่า “ในหมู่ญาติของท่านไม่มีใครใช้ชื่อนั้น”
62 แล้วพวกเขาทำท่าทางถามบิดาของทารกว่าต้องการตั้งชื่อลูกว่าอะไร 63 เขาจึงขอแผ่นกระดานมาเขียนลงไปว่า “ชื่อของเขาคือยอห์น” สร้างความประหลาดใจแก่คนทั้งหลาย 64 ทันใดนั้นปากของเขาก็เปิด ลิ้นของเขาก็หายติดขัด แล้วเขาก็เริ่มกล่าวสรรเสริญพระเจ้า 65 เพื่อนบ้านของเขาล้วนเต็มไปด้วยความเกรงกลัวและผู้คนพากันโจษจันเรื่องนี้ทั่วแดนเทือกเขาแห่งยูเดีย 66 ทุกคนที่ได้ยินเรื่องนี้ก็ประหลาดใจและถามกันว่า “ต่อไปทารกนี้จะเป็นอย่างไรหนอ?” เพราะพระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่กับเขา
บทเพลงของเศคาริยาห์
67 ฝ่ายเศคาริยาห์ผู้เป็นบิดาก็เปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และกล่าวพยากรณ์ว่า
68 “สรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอล
เพราะพระองค์เสด็จมาไถ่ประชากรของพระองค์
69 พระองค์ทรงชูเขาสัตว์[a]แห่งความรอดสำหรับเรา
ในพงศ์พันธุ์ดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์
70 (ตามที่พระองค์ได้ตรัสไว้ผ่านเหล่าผู้เผยพระวจนะผู้บริสุทธิ์ในโบราณกาล)
71 เป็นความรอดจากเหล่าศัตรู
และจากเงื้อมมือของคนทั้งปวงผู้ชิงชังเรา
72 เพื่อทรงสำแดงพระเมตตาแก่บรรพบุรุษของเรา
และเป็นการรำลึกถึงพันธสัญญาอันบริสุทธิ์ของพระองค์
73 คือคำปฏิญาณที่ทรงให้ไว้แก่อับราฮัมบรรพบุรุษของเรา
74 เพื่อช่วยเราให้พ้นจากเงื้อมมือของเหล่าศัตรู
และให้เราสามารถรับใช้พระองค์โดยปราศจากความกลัว
75 ในความบริสุทธิ์และความชอบธรรมต่อหน้าพระองค์ตลอดวันคืนของเรา
76 “ส่วนเจ้า ลูกของพ่อ เจ้าจะได้ชื่อว่าผู้เผยพระวจนะขององค์ผู้สูงสุด
เพราะเจ้าจะนำหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อเตรียมทางสำหรับพระองค์
77 เพื่อให้ประชากรของพระองค์รู้ถึงความรอด
ผ่านการทรงอภัยบาปของพวกเขา
78 เพราะโดยพระเมตตาอันอ่อนโยนของพระเจ้าของเรา
รุ่งอรุณจากฟ้าสวรรค์จึงมาเยือนเรา
79 ส่องสว่างแก่บรรดาผู้อยู่ในความมืด
และในเงาของความตาย
เพื่อนำย่างเท้าของเราสู่ทางแห่งสันติสุข”
80 ฝ่ายทารกนั้นก็เติบโตขึ้นมีความเข้มแข็งด้านจิตวิญญาณ และเขาอาศัยอยู่ในถิ่นกันดารจวบจนมาปรากฏตัวแก่สาธารณชนอิสราเอล
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.