Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
1 พงศาวดาร 3-4

เชื้อสายของดาวิด

(2ซมอ.3:2-5; 5:14-16; 1พศด.14:4-7)

โอรสของดาวิดที่ประสูติในเฮโบรน ได้แก่

อัมโนนโอรสหัวปี ประสูติจากนางอาหิโนอัมแห่งยิสเรเอล องค์ที่สองคือดาเนียลประสูติจากนางอาบีกายิลแห่งคารเมล

องค์ที่สามคืออับซาโลม ประสูติจากนางมาอาคาห์ธิดากษัตริย์ทัลมัยแห่งเกชูร์

องค์ที่สี่คืออาโดนียาห์ ประสูติจากนางฮักกีท

องค์ที่ห้าคือเชฟาทิยาห์ ประสูติจากนางอาบีทัล

องค์ที่หกคืออิทเรอัม ประสูติจากนางเอกลาห์

ทั้งหกพระองค์นี้ประสูติในเฮโบรน ที่ซึ่งดาวิดครองราชย์อยู่เจ็ดปีหกเดือน

ดาวิดทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็มอีก 33 ปี

โอรสซึ่งประสูติที่นั่น ได้แก่

ชัมมุวา[a] โชบับ นาธัน และโซโลมอน ทั้งสี่องค์นี้ประสูติจากนางบัทเชบา[b] ธิดาอัมมีเอล ดาวิดมีโอรสองค์อื่นๆ อีก ได้แก่ อิบฮาร์ เอลิชูอา[c] เอลีเฟเลท โนกาห์ เนเฟก ยาเฟีย เอลีชามา เอลียาดา และเอลีเฟเลท รวมเป็นเก้าองค์ รายชื่อเหล่านี้ไม่รวมโอรสที่ประสูติจากสนม ดาวิดทรงมีธิดาชื่อว่าทามาร์ด้วย

กษัตริย์ยูดาห์

10 โอรสของโซโลมอนคือเรโหโบอัม

ซึ่งมีบุตรคืออาบียาห์

ซึ่งมีบุตรคืออาสา

ซึ่งมีบุตรคือเยโฮชาฟัท

11 ซึ่งมีบุตรคือเยโฮรัม[d]

ซึ่งมีบุตรคืออาหัสยาห์

ซึ่งมีบุตรคือโยอาช

12 ซึ่งมีบุตรคืออามาซิยาห์

ซึ่งมีบุตรคืออาซาริยาห์

ซึ่งมีบุตรคือโยธาม

13 ซึ่งมีบุตรคืออาหัส

ซึ่งมีบุตรคือเฮเซคียาห์

ซึ่งมีบุตรคือมนัสเสห์

14 ซึ่งมีบุตรคืออาโมน

ซึ่งมีบุตรคือโยสิยาห์

15 โอรสของโยสิยาห์ ได้แก่

โยฮานันโอรสหัวปี

องค์ที่สองคือเยโฮยาคิม

องค์ที่สามคือเศเดคียาห์

องค์ที่สี่คือชัลลูม

16 ผู้ครองราชย์สืบต่อจากเยโฮยาคิม ได้แก่

เยโฮยาคีน[e]ผู้เป็นโอรส

และเศเดคียาห์

ราชวงศ์หลังจากตกเป็นเชลย

17 วงศ์วานของเยโฮยาคีนผู้ตกเป็นเชลย ได้แก่

เชอัลทิเอลโอรสของพระองค์ 18 มัลคีราม เปดายาห์ เชนาสซาร์ เยคามิยาห์ โฮชามา และเนดาบียาห์

19 บุตรของเปดายาห์ ได้แก่

เศรุบบาเบลกับชิเมอี

บุตรของเศรุบบาเบล ได้แก่

เมชุลลามกับฮานันยาห์

บุตรสาวคือเชโลมิท

20 และบุตรคนอื่นๆ อีกห้าคน ได้แก่

ฮาชูบาห์ โอเฮล เบเรคิยาห์ ฮาสาดิยาห์ และยูชับเฮเสด

21 วงศ์วานของฮานันยาห์ ได้แก่

เปลาทียาห์และเยชายาห์กับบุตรทั้งหลายของเรไฟยาห์ ของอารนัน ของโอบาดีห์ และของเชคานิยาห์

22 วงศ์วานของเชคานิยาห์ ได้แก่

เชไมอาห์และบุตรคือ ฮัททัช อิกาล บารียาห์ เนอารียาห์ และชาฟัท รวมหกคน

23 บุตรของเนอารียาห์ ได้แก่

เอลีโอนัย ฮิสคีอาห์ และอัสรีคัม รวมสามคน

24 บุตรของเอลีโอนัย ได้แก่

โฮดาวิยาห์ เอลียาชีบ เปไลยาห์ อักขูบ โยฮานัน เดไลยาห์ และอานานี รวมเจ็ดคน

ตระกูลอื่นๆ ของยูดาห์

วงศ์วานของยูดาห์ ได้แก่

เปเรศ เฮสโรน คารมี เฮอร์ และโชบาล

เรอายาห์บุตรของโชบาลซึ่งเป็นบิดาของยาหาท ยาหาทเป็นบิดาของอาหุมัยและลาฮาด คนเหล่านี้อยู่ในตระกูลโศราห์

บุตร[f]ของเอตามได้แก่ ยิสเรเอล อิชมา อิดบาช และฮัสเซเลลโพนีผู้เป็นธิดา เปนูเอลบิดาของเกโดร์ และเอเซอร์บิดาของ หุชาห์

คนเหล่านี้คือวงศ์วานของเฮอร์ ซึ่งเป็นบุตรชายหัวปีของเอฟราธาห์และเป็นบิดา[g] ของเบธเลเฮม

อัชฮูร์บิดาของเทโคอา มีภรรยาสองคนคือ เฮลาห์กับนาอาราห์

นางนาอาราห์ให้กำเนิดอาหุสซาม เฮเฟอร์ เทเมนี และฮาอาหัชทารี คนเหล่านี้เป็นวงศ์วานของนางนาอาราห์

ส่วนนางเฮลาห์ให้กำเนิด

เศเรท โศหาร์ เอทนาน และโคสซึ่งเป็นบิดาของอานูบกับฮัสโซเบบาห์ และตระกูลต่างๆ ของอาหารเฮลบุตรฮารูม

ยาเบสเป็นผู้ที่ทรงเกียรติกว่าพี่ๆ น้องๆ มารดาตั้งชื่อเขาว่า ยาเบส[h] เพราะนางกล่าวว่า “เพราะเราคลอดเขาด้วยความเจ็บปวด” 10 ยาเบสอธิษฐานต่อพระเจ้าแห่งอิสราเอลว่า “ขอทรงโปรดอวยพรข้าพระองค์ และขยายพรมแดนของข้าพระองค์! ขอพระหัตถ์ของพระองค์อยู่กับข้าพระองค์ และปกป้องข้าพระองค์จากภยันตราย เพื่อข้าพระองค์จะพ้นจากความเจ็บปวด” และพระเจ้าประทานตามที่เขาทูลขอ

11 เคลูบพี่น้องของชูฮาห์ มีบุตรคือเมหิร์ผู้เป็นบิดาของเอชโทน 12 เอชโทนเป็นบิดาของเบธราฟา ปาเสอาห์และเทหินนาห์ซึ่งเป็นบิดาของอิร์นาหาช[i] คนเหล่านี้เป็นคนของเรคาห์

13 บุตรของเคนัส ได้แก่

โอทนีเอลกับเสไรอาห์

บุตรของโอทนีเอล ได้แก่

ฮาธาทกับเมโอโนธัย[j] 14 เมโอโนธัยเป็นบิดาของโอฟราห์

เสไรอาห์เป็นบิดาของโยอาบบิดาแห่งเกหะราชิม[k] ที่ได้ชื่อเช่นนั้นเพราะมีช่างฝีมือจำนวนมากอาศัยอยู่

15 บุตรของคาเลบผู้เป็นบุตรเยฟุนเนห์ ได้แก่

อิรู เอลาห์ และนาอัม

บุตรของเอลาห์ ได้แก่

เคนัส

16 บุตรของเยฮาลเลเลล ได้แก่

ศิฟ ศิฟาห์ ทิรียา และอาสาเรล

17 บุตรของเอสราห์ ได้แก่

เยเธอร์ เมเรดเอเฟอร์ และยาโลน ภรรยาคนหนึ่งของเมเรดให้กำเนิดมิเรียม ชัมมัย และอิชบาห์ผู้เป็นบิดาของเอชเทโมอา 18 (ภรรยาชาวยูดาห์ของเอชเทโมอาให้กำเนิดเยเรดบิดาของเกโดร์ เฮเบอร์บิดาของโสโคและเยคูธีเอลบิดาของศาโนอาห์) คนเหล่านี้คือบุตรของบิธิยาห์ธิดาฟาโรห์ ซึ่งเมเรดแต่งงานด้วย

19 ภรรยาของโฮดียาห์เป็นน้องสาวของนาฮัม

มีบุตรเป็นบิดาของเคอีลาห์แห่งการมี และเอชเทโมอาแห่งมาอาคาห์

20 บุตรของชิโมน ได้แก่

อัมโนน รินนาห์ เบนฮานัน และทิโลน

วงศ์วานของอิชอี ได้แก่ โศเหทกับเบนโศเฮท

21 บุตรของเชลาห์ผู้เป็นบุตรของยูดาห์ ได้แก่ เอร์บิดาของเลคาห์ ลาอาดาห์บิดาของมาเรชาห์ และตระกูลช่างผ้าลินินที่เมืองเบธอัชเบอา 22 โยคิมชาวโคเซบา โยอาช และสาราฟซึ่งปกครองในโมอับและเมืองยาชูบิเลเฮม (บันทึกเหล่านี้มาจากครั้งโบราณ) 23 พวกเขาเป็นช่างปั้นหม้อผู้อาศัยอยู่ที่เนทาอิมกับเกเดราห์ และทำงานถวายกษัตริย์

วงศ์วานของสิเมโอน(A)

24 วงศ์วานของสิเมโอน ได้แก่

เนมูเอล ยามิน ยาริบ เศราห์ และชาอูล

25 ชาอูลมีบุตรชื่อชัลลูม หลานชื่อมิบสัม และเหลนชื่อมิชมา

26 วงศ์วานของมิชมา ได้แก่

ฮัมมูเอลซึ่งมีบุตรชื่อศักเกอร์ และหลานชื่อชิเมอี

27 ชิเมอีมีบุตรชายสิบหกคน บุตรสาวหกคน แต่พี่น้องของชิเมอีมีบุตรน้อย ดังนั้นทั้งตระกูลของพวกเขาจึงมีจำนวนคนไม่มากเหมือนชาวยูดาห์ 28 พวกเขาอาศัยอยู่ที่เมืองเบเออร์เชบา เมืองโมลาดาห์ เมืองฮาซาร์ชูอัล 29 บิลฮาห์ เอเซม โทลัด 30 เบธูเอล โฮรมาห์ ศิกลาก 31 เบธมาร์คาโบท ฮาซารสูสิม เบธบิรี และชาอาราอิม เมืองเหล่านี้เป็นของพวกเขาจวบจนรัชกาลของดาวิด 32 หมู่บ้านโดยรอบได้แก่ เอตาม อายิน ริมโมน โทเคน และเอชัน รวมห้าแห่ง 33 และหมู่บ้านทั้งปวงโดยรอบเมืองเหล่านี้จดบาอาลัท[l] คือถิ่นฐานของพวกเขา และพวกเขาเก็บบันทึกลำดับวงศ์ตระกูลเอาไว้

34 เมโชบับ ยัมเลค โยชาห์บุตรอามาซิยาห์ 35 โยเอล เยฮูบุตรโยชิบิยาห์ผู้เป็นบุตรของเสไรอาห์ ผู้เป็นบุตรของอาสิเอล 36 เอลีโอนัย ยาอาโคบาห์ เยโชไฮยาห์ อาสายาห์ อาดีเอล เยสิมีเอล เบไนยาห์ 37 และศิซาบุตรซิฟี ผู้เป็นบุตรอัลโลน ผู้เป็นบุตรเยดายาห์ ผู้เป็นบุตรชิมรี ผู้เป็นบุตรเชไมอาห์

38 รายชื่อข้างต้นนี้เป็นผู้นำของตระกูล ซึ่งครอบครัวของพวกเขาขยายใหญ่ 39 และพวกเขาได้ไปยังรอบนอกของเกโดร์สู่ฟากตะวันออกของหุบเขา เพื่อเสาะหาทุ่งหญ้าสำหรับเลี้ยงแพะแกะ 40 พวกเขาพบทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ อุดมสมบูรณ์ และสงบสุข มีเชื้อสายของฮามอาศัยอยู่ที่นั่นมาก่อน

41 ในรัชกาลกษัตริย์เฮเซคียาห์แห่งยูดาห์ คนทั้งหมดตามบันทึกรายชื่อข้างต้นได้บุกเข้าโจมตีและทำลายล้าง[m]เชื้อสายของฮามกับชาวเมอูนีซึ่งอาศัยอยู่ที่นั่นจนหมดสิ้น ดังที่เห็นเด่นชัดจวบจนบัดนี้ แล้วตั้งรกรากแทนเนื่องจากมีทุ่งหญ้าสำหรับฝูงแพะแกะของตน 42 และชนเผ่าสิเมโอนเหล่านี้จำนวนห้าร้อยคน นำโดยเปลาทียาห์ เนอารียาห์ เรไฟยาห์ และอุสซีเอลซึ่งล้วนเป็นบุตรของอิชอี พากันบุกแดนเทือกเขาเสอีร์ 43 พวกเขาทำลายล้างชนชาวอามาเลขที่ยังเหลืออยู่ แล้วอาศัยอยู่ที่นั่นตราบจนบัดนี้

ฮีบรู 9

การนมัสการในพลับพลาของโลกนี้

พันธสัญญาแรกนั้นมีกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการนมัสการและมีสถานนมัสการของโลกนี้ พลับพลาถูกตั้งขึ้น ในห้องแรกมีคันประทีป โต๊ะและขนมปังเบื้องพระพักตร์ เรียกห้องนี้ว่าวิสุทธิสถาน หลังม่านชั้นที่สองคือห้องซึ่งเรียกว่า อภิสุทธิสถาน ในห้องนี้มีแท่นทองคำสำหรับเผาเครื่องหอมและหีบพันธสัญญาหุ้มด้วยทองคำ ซึ่งภายในหีบมีภาชนะทองคำบรรจุมานา ไม้เท้าของอาโรนซึ่งผลิตาออกมา และแผ่นศิลาแห่งพันธสัญญา เหนือหีบนั้นมีรูปปั้นของเครูบแห่งองค์ผู้ทรงพระเกียรติสิริ ปีกของเครูบกางออกคลุมฝาหีบซึ่งเป็นที่ลบมลทินบาป[a] แต่เราไม่อาจจะกล่าวถึงรายละเอียดของสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้ในตอนนี้

เมื่อจัดทุกสิ่งตามนี้แล้ว เหล่าปุโรหิตก็เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในห้องชั้นนอกเป็นกิจวัตร แต่มีเพียงมหาปุโรหิตเท่านั้นที่เข้าสู่ห้องชั้นในปีละครั้ง และต้องนำเลือดเข้าไปถวายเพื่อตัวเองและเพื่อบาปโดยไม่เจตนาของเหล่าประชากร พระวิญญาณทรงสำแดงโดยสิ่งเหล่านี้ว่า ตราบใดที่พลับพลาแรกยังตั้งอยู่ ทางเข้าสู่อภิสุทธิสถานก็ยังไม่เปิด นี่เป็นภาพสำหรับยุคปัจจุบัน บ่งชี้ว่าของถวายและเครื่องบูชาเหล่านั้นไม่สามารถชำระจิตสำนึกของผู้นมัสการได้ 10 สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องของอาหาร เครื่องดื่ม และการชำระต่างๆ ตามระเบียบพิธี ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติภายนอกจนกว่าจะถึงเวลาของระบบใหม่

พระโลหิตของพระคริสต์

11 เมื่อพระคริสต์ทรงมาในฐานะมหาปุโรหิตแห่งสิ่งประเสริฐต่างๆ ซึ่งได้มาถึงแล้ว[b] พระองค์ทรงผ่านเข้าสู่พลับพลาที่ยิ่งใหญ่กว่าและสมบูรณ์กว่า ซึ่งไม่ได้สร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์ กล่าวคือไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ทรงสร้างนี้ 12 พระองค์ไม่ได้ทรงเข้าไปด้วยเลือดแพะหรือเลือดวัว แต่พระองค์ทรงเข้าไปสู่อภิสุทธิสถานด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้เพียงครั้งเดียวเป็นพอและได้การไถ่บาปชั่วนิรันดร์มา 13 เลือดแพะเลือดวัวหรือเถ้าถ่านจากวัวตัวเมียที่ประพรมลงบนผู้มีมลทินตามระเบียบพิธีได้ชำระเขาให้บริสุทธิ์ เพื่อเขาจะสะอาดภายนอก 14 แล้วยิ่งกว่านั้นสักเพียงใดพระโลหิตของพระคริสต์ผู้ถวายพระองค์เองอย่างปราศจากตำหนิแด่พระเจ้าโดยทางพระวิญญาณนิรันดร์ ย่อมชำระจิตสำนึกของเราจากการกระทำอันนำไปสู่ความตาย[c] เพื่อเราจะได้รับใช้พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่!

15 ด้วยเหตุนี้พระคริสต์จึงทรงเป็นคนกลางของพันธสัญญาใหม่ เพื่อบรรดาผู้ที่ทรงเรียกนั้นจะได้รับมรดกนิรันดร์ซึ่งทรงสัญญาไว้ เพราะพระคริสต์ได้ทรงวายพระชนม์เป็นค่าไถ่เพื่อปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระจากบาปซึ่งได้ทำภายใต้พันธสัญญาแรก

16 ในกรณีของพินัยกรรม[d] จำเป็นต้องพิสูจน์ว่าผู้ทำพินัยกรรมนั้นสิ้นชีวิตแล้ว 17 เพราะพินัยกรรมจะมีผลบังคับใช้ก็ต่อเมื่อผู้ทำตายแล้ว หากผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่พินัยกรรมจะไม่มีผลอะไร 18 ด้วยเหตุนี้แม้แต่พันธสัญญาแรกจะมีผลบังคับใช้ก็ต้องมีเลือด 19 เมื่อโมเสสประกาศบทบัญญัติทุกข้อแก่เหล่าประชากรทั้งปวงแล้ว เขาก็นำเลือดลูกวัวพร้อมด้วยน้ำ ขนแกะสีแดงและกิ่งหุสบมาประพรมหนังสือม้วนและเหล่าประชากร 20 เขากล่าวว่า “นี่คือเลือดแห่งพันธสัญญาซึ่งพระเจ้าทรงบัญชาให้ท่านทั้งหลายรักษา”[e] 21 และเขาใช้เลือดประพรมพลับพลาและทุกสิ่งที่ใช้ในพิธีต่างๆ เช่นเดียวกัน 22 อันที่จริงบทบัญญัติระบุให้ชำระแทบทุกสิ่งด้วยเลือด และถ้าไม่มีการหลั่งเลือดก็ไม่มีการอภัยบาป

23 ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องชำระสิ่งต่างๆ อันเป็นแบบจำลองของสวรรค์ด้วยเครื่องบูชาเหล่านี้ ส่วนของในสวรรค์เองต้องชำระด้วยเครื่องบูชาที่ดียิ่งกว่า 24 เพราะพระคริสต์ไม่ได้เข้าสู่สถานนมัสการที่มนุษย์สร้างขึ้นซึ่งเป็นเพียงแบบจำลองมาจากของแท้ พระองค์ทรงเข้าสู่สวรรค์โดยตรง บัดนี้ทรงปรากฏต่อหน้าพระเจ้าเพื่อเราทั้งหลาย 25 ทั้งไม่ได้ทรงเข้าสู่สวรรค์เพื่อถวายพระองค์เองซ้ำแล้วซ้ำอีกแบบที่มหาปุโรหิตเข้าสู่อภิสุทธิสถานทุกๆ ปีพร้อมด้วยเลือดซึ่งไม่ใช่เลือดของตัวเอง 26 หากเป็นเช่นนั้นพระคริสต์คงต้องทนทุกข์ทรมานหลายครั้งนับตั้งแต่ทรงสร้างโลก แต่บัดนี้พระองค์ทรงปรากฏในปลายยุคเพียงครั้งเดียวเป็นพอ เพื่อกำจัดบาปให้หมดสิ้นโดยถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชา 27 เหมือนที่มนุษย์ถูกกำหนดให้ตายครั้งเดียว หลังจากนั้นต้องพบกับการพิพากษา 28 พระคริสต์ก็ทรงถวายพระองค์เองครั้งเดียวเพื่อลบล้างบาปของประชาชนเป็นอันมาก และพระองค์จะทรงปรากฏเป็นครั้งที่สอง ไม่ใช่เพื่อรับแบกบาปแต่เพื่อนำความรอดมายังบรรดาผู้ซึ่งรอคอยพระองค์

อาโมส 3

เรียกพยานมากล่าวโทษอิสราเอล

ประชากรอิสราเอลเอ๋ย จงฟังพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ต่อว่าพวกเจ้า ต่อว่าครอบครัวทั้งหมดที่เรานำออกมาจากอียิปต์ ความว่า

“เจ้าเท่านั้นที่เราได้เลือกสรรไว้
จากเผ่าพันธุ์ทั้งปวงในโลก
ฉะนั้นเราจะลงโทษเจ้า
เนื่องด้วยบาปทั้งสิ้นของเจ้า”

สองคนจะเดินไปด้วยกันได้หรือ?
หากทั้งคู่ไม่ได้ตกลงกันไว้ก่อน
เมื่อสิงโตล่าเหยื่อไม่ได้
มันจะคำรามลั่นป่าหรือ?
เมื่อมันจับสัตว์อะไรไม่ได้
มันจะร้องครวญครางอยู่ในถ้ำหรือ?
เมื่อไม่ได้วางเหยื่อล่อไว้
นกจะตกลงในกับดักซึ่งวางอยู่ที่พื้นดินได้หรือ?
หากไม่มีอะไรไปติด
กับดักจะลั่นขึ้นได้หรือ?
เมื่อเสียงแตรดังขึ้นในเมือง
ผู้คนจะไม่ตกใจหรือ?
เมื่อเกิดภัยพิบัติในเมืองใด
องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเป็นผู้บันดาลหรือ?

แน่ทีเดียว พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตจะไม่ทรงกระทำสิ่งใด
โดยไม่เปิดเผยแผนการของพระองค์
ให้บรรดาผู้เผยพระวจนะซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ได้รู้

เมื่อสิงโตคำราม
ใครบ้างจะไม่กลัว?
เมื่อพระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสแล้ว
ใครเล่าจะไม่เผยพระวจนะ?

จงป่าวร้องแก่ป้อมแห่งอัชโดด
และแก่ป้อมแห่งอียิปต์ว่า
“จงมาชุมนุมกันบนภูเขาของสะมาเรีย
มาดูความโกลาหลวุ่นวายในเมืองนั้น
และดูการกดขี่ข่มเหงท่ามกลางประชากรของเมืองนั้น”

10 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “บรรดาผู้สะสมของริบของปล้นไว้ในป้อมต่างๆ
ไม่รู้จักทำสิ่งที่ถูกต้อง”

11 ฉะนั้น พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสว่า

“ศัตรูจะมาล้างผลาญแผ่นดินนั้น
เขาจะทลายที่มั่น
และปล้นป้อมปราการต่างๆ ของเจ้า”

12 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“เหมือนคนเลี้ยงแกะช่วยแกะออกมาจากปากสิงโต
ได้แค่กระดูกขาสองชิ้นและเศษหูชิ้นเดียวฉันใด
ชาวอิสราเอลจะได้รับการช่วยเหลือแบบเดียวกันฉันนั้น
คือคนเหล่านั้นที่นั่งอยู่บนขอบเตียงของพวกเขา ในสะมาเรีย
และนั่งอยู่บนเก้าอี้ในดามัสกัส[a]

13 องค์พระผู้เป็นเจ้า พระยาห์เวห์พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ประกาศว่า “จงฟัง แล้วไปกล่าวโทษพงศ์พันธุ์ยาโคบว่า

14 “ในวันที่เราลงโทษอิสราเอลเพราะบาปทั้งหลายของพวกเขา
เราจะทำลายแท่นบูชาแห่งเบธเอล
เชิงงอนแท่นจะถูกเฉือนออก
และร่วงหล่นลงกับพื้น
15 เราจะทลายตำหนักฤดูหนาว
พร้อมทั้งตำหนักฤดูร้อน
บ้านต่างๆ ที่ตกแต่งด้วยงาช้างจะถูกทำลาย
คฤหาสน์ทั้งหลายจะสูญสิ้นไป”
            องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

สดุดี 146-147

146 จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า[a]

จิตวิญญาณของข้าพเจ้าเอ๋ย จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด

ข้าพเจ้าจะสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดชีวิต
ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าของข้าพเจ้าตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่
อย่าวางใจในเจ้านาย
ในมนุษย์ซึ่งช่วยอะไรไม่ได้
เมื่อวิญญาณออกจากร่างเขาก็คืนสู่ดิน
ในวันนั้นเอง แผนการต่างๆ ของเขาก็จบสิ้น
ความสุขมีแก่ผู้ที่มีพระเจ้าของยาโคบเป็นความช่วยเหลือของเขา
ผู้ที่ฝากความหวังไว้กับพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขา

องค์ผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก
ท้องทะเลและสรรพสิ่งในนั้น
พระองค์ผู้ดำรงความซื่อสัตย์ไว้เป็นนิตย์
พระองค์ทรงให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกข่มเหงรังแก
และประทานอาหารแก่ผู้ที่หิวโหย
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปลดปล่อยผู้ที่ถูกคุมขังให้เป็นอิสระ
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้คนตาบอดเห็นได้
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยกชูผู้ที่แบกภาระหนัก
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรักผู้ชอบธรรม
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพิทักษ์รักษาคนต่างด้าว
ทรงค้ำชูลูกกำพร้าพ่อและหญิงม่าย
แต่ทรงล้มแผนการของคนชั่วร้าย

10 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงครอบครองอยู่นิรันดร์
ศิโยนเอ๋ย พระเจ้าของท่านทรงครอบครองตลอดทุกชั่วอายุ

จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า

147 จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า[b]

เป็นการดีที่จะร้องเพลงสดุดีพระเจ้าของเรา
ช่างน่าชื่นใจและสมควรอย่างยิ่งที่จะสรรเสริญพระองค์!

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างเยรูซาเล็มขึ้น
พระองค์ทรงรวบรวมเชลยอิสราเอลกลับคืนมา
พระองค์ทรงรักษาผู้ที่ดวงใจแหลกสลาย
และสมานรอยแผลของเขาเหล่านั้น
พระองค์ทรงกำหนดจำนวนของดวงดาว
และทรงตั้งชื่อให้ดาวทุกดวง
องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรานี้ทรงยิ่งใหญ่นัก และทรงฤทธานุภาพเกรียงไกร
ความเข้าใจของพระองค์ไร้ขีดจำกัด
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงค้ำชูผู้ถ่อมใจ
แต่ทรงเหวี่ยงคนชั่วร้ายลงกับดิน

จงร้องเพลงขอบพระคุณองค์พระผู้เป็นเจ้า
บรรเลงพิณถวายแด่พระเจ้าของเรา

พระองค์ทรงคลุมฟ้าสวรรค์ด้วยเมฆ
พระองค์ประทานฝนแก่ผืนแผ่นดิน
และทรงทำให้หญ้าบนเนินเขางอกงาม
พระองค์ประทานอาหารแก่สัตว์ทั้งปวง
และแก่ลูกกาเมื่อร้องขอ

10 พระองค์ไม่ได้ทรงชื่นชมยินดีในกำลังของม้า
ทั้งไม่ได้ทรงปีติยินดีในกำลังขาของมนุษย์
11 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงชื่นชมบรรดาผู้ที่ยำเกรงพระองค์
ผู้ที่ฝากความหวังไว้ในความรักมั่นคงของพระองค์

12 เยรูซาเล็มเอ๋ย จงเทิดทูนองค์พระผู้เป็นเจ้า
ศิโยนเอ๋ย จงสรรเสริญพระเจ้าของเจ้า

13 เพราะพระองค์ทรงผนึกความแข็งแกร่งแห่งประตูเมืองของเจ้า
และทรงอวยพรประชากรของเจ้าซึ่งอยู่ภายในเจ้า
14 พระองค์ประทานสันติภาพทั่วเขตแดนของเจ้า
และทรงให้เจ้าอิ่มเอมด้วยข้าวสาลีอย่างดีที่สุด

15 พระองค์ทรงส่งพระบัญชามายังโลก
พระวจนะของพระองค์แพร่ไปโดยเร็ว
16 พระองค์ทรงกระจายหิมะลงมาดั่งปุยขนแกะ
และโปรยปรายน้ำค้างแข็งดั่งขี้เถ้า
17 พระองค์ทรงส่งลูกเห็บมาเกรียวกราวดั่งก้อนกรวด
ผู้ใดจะทนต่อพายุอันเหน็บหนาวของพระองค์ได้?
18 เมื่อพระองค์ตรัส ลูกเห็บก็หลอมละลาย
เมื่อพระองค์ทรงกระตุ้นสายลม น้ำก็ไหลไป

19 พระองค์ทรงสำแดงพระวจนะของพระองค์แก่ยาโคบ
สำแดงบทบัญญัติและกฎหมายของพระองค์แก่อิสราเอล
20 พระองค์ไม่ได้ทรงกระทำเช่นนี้ต่อประชาชาติอื่นๆ
พวกเขาไม่รู้บทบัญญัติของพระองค์

จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.