M’Cheyne Bible Reading Plan
เยฮูรับการเจิมเป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอล
9 เอลีชาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าเรียกชายคนหนึ่งในกลุ่มผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้ามา และบอกเขาว่า “จงเตรียมตัวให้พร้อม เอาผอบน้ำมันนี้ติดมือไปที่ราโมทกิเลอาด 2 เมื่อเจ้าไปถึง ก็ให้ถามหาเยฮูบุตรเยโฮชาฟัทผู้เป็นบุตรของนิมชี และจงไปหาเขา ขอให้เขาปลีกตัวออกมาจากเพื่อนๆ และพาเขาเข้าไปในห้องชั้นใน 3 แล้วเทผอบน้ำมันบนศีรษะของเขา พูดกับเขาว่า พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า ‘เราเจิมเจ้าให้เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล’ จากนั้นก็รีบเดินหนีออกไป อย่ารีรอ”
4 ดังนั้น ชายหนุ่มผู้รับใช้ของผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าจึงเดินทางไปยังราโมทกิเลอาด 5 เมื่อไปถึง ดูเถิด บรรดาผู้บังคับกองพันทหารกำลังประชุมกันอยู่ เขาพูดว่า “โอ ท่านผู้บังคับบัญชา ข้าพเจ้ามีข้อความมาส่งให้ท่าน” เยฮูถามว่า “ถึงใครในพวกเรา” เขาตอบว่า “โอ ท่านผู้บังคับบัญชา ข้อความนั้นมีมาถึงท่าน” 6 ท่านจึงลุกขึ้นและเข้าไปในบ้าน ชายหนุ่มจึงเทน้ำมันบนศีรษะของเขา และพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ว่า ‘เราเจิมเจ้าให้เป็นกษัตริย์ปกครองชนชาติของพระผู้เป็นเจ้า คือปกครองอิสราเอล 7 และเจ้าจงทำลายพงศ์พันธุ์ของอาหับนายของเจ้า เพื่อเราจะสนองตอบที่นางเยเซเบลได้สังหารบรรดาผู้รับใช้ คือผู้เผยคำกล่าวของเรา และสังหารผู้รับใช้ทั้งปวงของพระผู้เป็นเจ้า 8 ด้วยว่า ทั้งพงศ์พันธุ์ของอาหับจะต้องพินาศไป และเราจะกำจัดผู้ชายของอาหับทุกคน ไม่ว่าทาสหรืออิสระในอิสราเอล 9 และเราจะทำให้พงศ์พันธุ์ของอาหับเป็นเหมือนกับพงศ์พันธุ์ของเยโรโบอัมบุตรเนบัท และเหมือนกับพงศ์พันธุ์ของบาอาชาบุตรอาหิยาห์ 10 และพวกสุนัขจะกินร่างของเยเซเบล ในเขตพื้นที่ของยิสเรเอล จะไม่มีใครฝังศพของนาง’” ครั้นแล้วเขาก็เปิดประตูหนีไป
11 เมื่อเยฮูกลับออกไปหาบรรดาผู้รับใช้ของเจ้านายของท่าน พวกเขาถามท่านว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือ ทำไมคนวิกลจริตนั่นจึงมาหาท่าน” ท่านตอบว่า “พวกท่านก็ทราบดีว่า คนประเภทนั้นพูดเรื่องอะไรบ้าง” 12 พวกเขาพูดว่า “ไม่จริง บอกพวกเรามาเถอะ” เยฮูตอบว่า “เขาพูดกับเราว่า พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า ‘เราเจิมเจ้าให้เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล’” 13 ในทันใดนั้น พวกเขาทุกคนต่างก็ปลดเสื้อผ้าของตนออก และปูไว้ที่ขั้นบันไดใต้เท้าท่าน และเป่าแตรงอน[a]ประกาศว่า “เยฮูเป็นกษัตริย์”
เยฮูลอบสังหารโยรัมและอาหัสยาห์
14 เยฮูบุตรเยโฮชาฟัทผู้เป็นบุตรของนิมชีจึงคิดกบฏต่อโยรัม (ฝ่ายโยรัมกับชาวอิสราเอลทั้งปวงก็ได้เฝ้าระวังอยู่ที่ราโมทกิเลอาดเนื่องจากการโจมตีของฮาซาเอลกษัตริย์แห่งอารัม 15 แต่กษัตริย์โยรัมได้กลับมาพักฟื้นที่ยิสเรเอลหลังจากที่ต้องบาดเจ็บเพราะชาวอารัม) ดังนั้นเยฮูพูดว่า “ถ้าเป็นความประสงค์ของพวกท่าน ก็อย่าปล่อยให้ผู้ใดเล็ดลอดออกไปจากราโมทกิเลอาด และไปส่งข่าวที่ยิสเรเอล” 16 แล้วเยฮูก็ขึ้นรถศึกไปยังยิสเรเอล เพราะว่าโยรัมนอนป่วยอยู่ที่นั่น และอาหัสยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ได้ลงมาเยี่ยมโยรัม
17 ทหารยามที่ยืนเฝ้าอยู่บนหอคอยที่ยิสเรเอลเห็นเยฮูกับพรรคพวกกำลังมา จึงพูดว่า “ข้าพเจ้าเห็นคนพวกหนึ่ง” โยรัมพูดว่า “ใช้ทหารม้าออกไปพบพวกเขา และถามเขาว่า ‘ท่านมาอย่างสันติหรือ’” 18 ดังนั้นทหารม้าจึงออกไปพบท่าน และถามว่า “กษัตริย์ถามดังนี้ว่า ‘ท่านมาอย่างสันติหรือ’” เยฮูถามว่า “ท่านเกี่ยวข้องอะไรกับสันติเล่า ไปข้างหลังโน่น ขี่ม้าตามหลังเรามา” ทหารยามรายงานว่า “ผู้สื่อสาสน์ไปถึงพวกเขาแล้ว แต่เขาไม่กลับมา” 19 ดังนั้น ท่านจึงให้ทหารม้าคนที่สองไป ซึ่งเมื่อไปถึงก็ถามว่า “กษัตริย์ถามดังนี้ว่า ‘ท่านมาอย่างสันติหรือ’” เยฮูตอบว่า “ท่านเกี่ยวข้องอะไรกับสันติเล่า ไปข้างหลังโน่น ขี่ม้าตามหลังเรามา” 20 ทหารยามรายงานอีกว่า “เขาไปถึงพวกนั้นแล้ว แต่เขาไม่กลับมา และการขับรถศึกดูเหมือนวิธีการขับของเยฮูบุตรของนิมชี เพราะเขาขับอย่างบ้าระห่ำ”
21 โยรัมพูดว่า “เตรียมให้พร้อม” พวกเขาเตรียมรถศึกให้พร้อม และโยรัมกษัตริย์แห่งอิสราเอลกับอาหัสยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ ต่างก็ขับรถศึกของตนออกไปเพื่อปะทะกับเยฮู และได้พบกันในบริเวณที่ดินของนาโบทชาวยิสเรเอล 22 เมื่อโยรัมเห็นเยฮู ท่านถามว่า “เยฮู ท่านมาอย่างสันติหรือ” ท่านตอบว่า “จะมีสันติอย่างไรได้ ตราบที่ยังมีการบูชารูปเคารพและการใช้วิทยาคมของเยเซเบลมารดาของท่านมากมายเช่นนี้” 23 โยรัมก็เบี่ยงบังเหียนไปมาและหนีไป ขณะที่บอกอาหัสยาห์ว่า “อาหัสยาห์ พวกนี้ทรยศเรา” 24 เยฮูโก่งคันธนูอย่างสุดกำลัง และยิงโยรัมระหว่างอก ลูกธนูปักที่หัวใจ ท่านจึงล้มลงในรถศึก 25 เยฮูสั่งบิดคาร์ผู้บังคับการรถศึกของท่านว่า “เอาศพของท่านไปทิ้งในทุ่งนาของนาโบทชาวยิสเรเอล จำได้ไหม เมื่อคราวที่เจ้ากับเราขี่ม้าเคียงกันอยู่ข้างหลังอาหับบิดาของท่าน พระผู้เป็นเจ้าพยากรณ์เรื่องนี้เกี่ยวกับท่าน 26 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ‘เมื่อวานเท่าที่เราเห็นนาโบทและบรรดาบุตรของเขาถูกสังหารเช่นไร เราก็จะตอบสนองแก่อาหับบนที่ดินแห่งนี้’ ฉะนั้นจงเอาศพของท่านไปทิ้งบนที่ดินนี้ ตามคำของพระผู้เป็นเจ้า”[b]
27 เมื่ออาหัสยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์เห็นเหตุการณ์ ท่านก็หนีไปทางทิศที่จะไปยังเบธฮักกาน เยฮูจึงตามล่าไป และพูดว่า “ยิงท่านด้วยอีกคน” พวกเขาจึงยิงท่านขณะที่อยู่ในรถศึกตรงทางที่จะไปยังกูร์ ซึ่งอยู่ใกล้กับอิบเลอัม ท่านหนีไปจนถึงเมืองเมกิดโด และสิ้นชีวิตที่นั่น 28 ทหารรับใช้นำศพของท่านขึ้นรถศึกไปยังเมืองเยรูซาเล็ม และบรรจุศพท่านในที่เก็บศพกับบรรพบุรุษของท่านในเมืองของดาวิด
29 ในปีที่สิบเอ็ดของโยรัมบุตรอาหับ อาหัสยาห์เริ่มครองราชย์ที่ยูดาห์
เยฮูประหารเยเซเบล
30 เมื่อเยฮูไปยังยิสเรเอล เยเซเบลก็ทราบเรื่อง นางจึงเขียนตาและตกแต่งผม และมองออกไปทางหน้าต่าง 31 และขณะที่เยฮูเข้าประตูเมือง นางถามว่า “เจ้าก็เหมือนศิมรีผู้สังหารนายตนเอง เจ้ามาอย่างสันติหรือ”[c] 32 ท่านเงยหน้าขึ้น มองดูที่หน้าต่าง และพูดว่า “ใครเป็นฝ่ายเรา มีใครบ้าง” ขันทีสองสามคนมองดูท่าน 33 ท่านจึงสั่งว่า “โยนตัวนางลงมา” ดังนั้นพวกเขาจึงโยนตัวนางลงมา เลือดนางสาดกระเด็นถูกกำแพงและฝูงม้า และม้าทั้งหลายก็เหยียบย่ำร่างของนาง 34 และท่านเข้าไปข้างใน ดื่มและรับประทาน ท่านพูดว่า “จงจัดการกับหญิงที่ถูกแช่งสาปคนนี้ เอานางไปฝัง เพราะนางเป็นบุตรหญิงของกษัตริย์” 35 แต่เมื่อพวกเขาจะไปฝังศพของนาง พวกเขาก็ไม่พบร่างของนาง นอกจากส่วนที่เหลืออยู่คือกะโหลกศีรษะ เท้า และอุ้งมือของนาง 36 เมื่อพวกเขากลับมาแจ้งให้ท่านทราบ ท่านพูดว่า “นี่คือคำของพระผู้เป็นเจ้า ที่พระองค์กล่าวผ่านเอลียาห์ชาวทิชบีผู้รับใช้ของพระองค์ว่า ‘สุนัขจะกินเนื้อเยเซเบลในที่ดินของยิสเรเอล’[d] 37 ศพของเยเซเบลจะเป็นเหมือนมูลสัตว์ในทุ่งนาบนที่ดินของยิสเรเอล จึงไม่มีผู้ใดพูดได้ว่า ‘นี่คือเยเซเบล’”
6 จงให้ทุกคนที่อยู่ใต้แอกแห่งความเป็นทาส ถือว่านายของตนสมควรแก่การได้รับความเคารพโดยบริบูรณ์ เพื่อว่าพระนามของพระเจ้า และการสั่งสอนของเราจะได้ไม่ถูกกล่าวหาว่าร้าย 2 สำหรับคนที่มีนายเป็นผู้มีความเชื่อ ก็อย่าขาดความเคารพต่อนายเพราะว่าเป็นพี่น้องกัน แต่ควรจะรับใช้ให้ดียิ่งขึ้น เพราะผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการรับใช้นั้นเป็นผู้มีความเชื่อและเป็นที่รัก
ความรักเงิน
จงสั่งสอนและสนับสนุนให้กระทำตามสิ่งที่กล่าวนี้ 3 ถ้าผู้ใดสอนสิ่งที่ผิดหลักคำสอน และไม่เห็นด้วยกับการสั่งสอนที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา และการสั่งสอนที่เป็นทางของพระเจ้า 4 ผู้นั้นก็เป็นคนหยิ่งผยองและไม่เข้าใจสิ่งใด เขาชอบใส่ใจในเรื่องปัญหาโต้แย้ง และวิวาทในเรื่องคำพูดอันเป็นเหตุให้เกิดการอิจฉา มีความเห็นที่ไม่ลงรอยกัน ว่าร้าย ไม่ไว้วางใจกัน 5 และขัดเคืองกันเป็นประจำระหว่างผู้เสื่อมศีลธรรมและปราศจากความจริง ซึ่งเหมาเอาว่า ทางของพระเจ้าเป็นช่องทางหาความร่ำรวยได้ 6 แต่ความจริงแล้วการใช้ชีวิตในทางของพระเจ้า มีประโยชน์ยิ่งหากว่ามีความพึงพอใจ 7 เพราะเราไม่ได้นำสิ่งใดเข้ามาในโลก ดังนั้นเราไม่สามารถนำอะไรออกไปจากโลกเช่นกัน 8 ถ้าเรามีอาหารและเสื้อผ้า ก็ให้เราพอใจกับสิ่งเหล่านั้น 9 บรรดาคนที่อยากร่ำรวยก็ตกอยู่ในสิ่งยั่วยุ ติดบ่วงแร้ว และตกอยู่ในความต้องการอันโง่เขลาและเป็นภัย ซึ่งทำให้คนถลำลงสู่ความหายนะและความพินาศ 10 เพราะการรักเงินก็เป็นต้นตอแห่งความชั่วทุกอย่าง บางคนที่เห็นแก่เงินก็ได้หลงออกไปจากความเชื่อแล้ว และระทมใจด้วยความทุกข์เป็นที่สุด
ต่อสู้อย่างดีที่สุดในด้านความเชื่อ
11 แต่ท่านเองเป็นคนของพระเจ้า จงหลีกเลี่ยงจากสิ่งเหล่านี้ และมุ่งมั่นในความชอบธรรม ในทางของพระเจ้า ความเชื่อ ความรัก ความมานะและความอ่อนโยน 12 จงต่อสู้ให้ดีที่สุดในด้านความเชื่อ จงยึดชีวิตอันเป็นนิรันดร์ที่พระเจ้าเรียกให้ท่านรับไว้ ซึ่งท่านก็ได้ให้คำยอมรับอย่างหนักแน่นว่าท่านเชื่อ ต่อหน้าพยานหลายคน 13 ข้าพเจ้ากำชับต่อหน้าพระเจ้าผู้ให้ชีวิตแก่ทุกสิ่ง และต่อหน้าพระเยซูคริสต์ผู้ให้คำยอมรับอย่างหนักแน่นต่อหน้าปอนทิอัสปีลาตในคำพยานของพระองค์ 14 ว่าให้ท่านรักษาคำสั่งไว้ อย่าให้ด่างพร้อย หรือเป็นที่ติเตียนได้จนกว่าพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราจะปรากฏ 15 ซึ่งพระเจ้าจะแสดงให้ปรากฏตามเวลาอันเหมาะสม พระองค์ผู้ได้รับการสรรเสริญและสูงสุดแต่พระองค์เดียว กษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง และพระผู้เป็นเจ้าเหนือเจ้าทั้งปวง 16 พระองค์เพียงพระองค์เดียวที่เป็นอมตะ และดำรงชีวิตในความสว่างซึ่งไม่มีใครเข้าใกล้ได้ ผู้ซึ่งไม่มีใครเคยเห็นหรือจะเห็นได้ พระเกียรติและฤทธานุภาพจงมีแด่พระองค์นิรันดร์กาล อาเมน
17 จงกำชับพวกที่ร่ำรวยในยุคปัจจุบันไม่ให้หยิ่งผยอง หรือหวังในความมั่งมี อันเป็นสิ่งที่เอาแน่ไม่ได้ แต่ให้เขาตั้งความหวังในพระเจ้าผู้จัดหาทุกสิ่งให้เราเพื่อความสุขใจ 18 จงกำชับให้พวกเขาทำดี ให้พรั่งพร้อมด้วยการกระทำความดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และพร้อมเสมอที่จะแบ่งปัน 19 การกระทำเช่นนี้พวกเขาจะสะสมทรัพย์สมบัติให้ตนเองดั่งรากฐานอันมั่นคงสำหรับยุคที่จะมาถึง เพื่อว่าพวกเขาจะได้ยึดไว้ซึ่งชีวิตอันแท้จริง
คำลงท้าย
20 ทิโมธีเอ๋ย จงรักษาสิ่งที่ถูกมอบให้อยู่ในความดูแลของท่านไว้ให้ดี จงเลี่ยงจากการพูดที่ไร้คุณธรรม และการขัดแย้งในการโต้เถียงซึ่งเรียกกันอย่างผิดๆ ว่าเป็น “ความรู้” 21 บางคนได้ประกาศตัวว่ามีความรู้ แต่ก็พลาดเป้าหมายไปจากความเชื่อ
ขอพระคุณจงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด
1 คำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้ามาถึงโฮเชยาบุตรของเบเออรี ในสมัยของกษัตริย์อุสซียาห์ โยธาม อาหัส และเฮเซคียาห์ ซึ่งเป็นบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ และในสมัยของกษัตริย์เยโรโบอัมบุตรของเยโฮอาชกษัตริย์แห่งอิสราเอล
ภรรยาและบุตรของโฮเชยา
2 เมื่อพระผู้เป็นเจ้าเริ่มกล่าวผ่านโฮเชยา พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโฮเชยาดังนี้ “จงไปรับหญิงผู้ผิดประเวณีมาเป็นภรรยาของเจ้า และมีลูกๆ ที่เกิดจากการผิดประเวณี เพราะแผ่นดินประพฤติผิดประเวณีอย่างร้ายแรงเมื่อได้ทอดทิ้งพระผู้เป็นเจ้า” 3 ดังนั้นท่านจึงไปรับโกเมอร์บุตรสาวของดิบลาอิมมาเป็นภรรยา และนางตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชาย
4 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับท่านดังนี้ “จงตั้งชื่อเขาว่า ยิสเรเอล[a] เพราะอีกไม่นานเราจะลงโทษพงศ์พันธุ์ของเยฮูที่ฆ่ายิสเรเอล และเราจะทำให้อาณาจักรของพงศ์พันธุ์อิสราเอลหมดสิ้นลง 5 และในวันนั้น เราจะหักแอกของอิสราเอลในหุบเขายิสเรเอล”
6 ต่อมานางตั้งครรภ์อีกและให้กำเนิดบุตรหญิง และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับท่านดังนี้ “จงตั้งชื่อเธอว่า โลรุหะมาห์[b] เพราะเราจะไม่มีความเมตตาต่อพงศ์พันธุ์อิสราเอลอีกต่อไป จะไม่ยกโทษให้พวกเขาเลย 7 แต่เราจะมีเมตตาต่อพงศ์พันธุ์ยูดาห์ และเราจะช่วยพวกเขาให้รอดปลอดภัย แต่มิใช่ด้วยคันธนู ดาบหรือสงคราม หรือด้วยม้าและทหารม้า แต่โดยพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเขา”
8 เมื่อนางหย่านมโลรุหะมาห์แล้ว นางก็ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชาย 9 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ “จงตั้งชื่อเขาว่า โลอัมมี[c] เพราะเจ้าไม่ใช่ชนชาติของเรา และเราไม่ใช่พระเจ้าของพวกเจ้า
10 ถึงกระนั้นจำนวนลูกหลานของอิสราเอลจะมากมายเปรียบได้กับเม็ดทรายบนชายฝั่งทะเล ซึ่งนับไม่ถ้วน และในสถานที่ซึ่งพวกเขาถูกกล่าวถึงว่า ‘เจ้าไม่ใช่ชนชาติของเรา’ พวกเขาจะได้รับเรียกว่า ‘บรรดาบุตรของพระเจ้าผู้ดำรงอยู่’[d] 11 บรรดาบุตรของยูดาห์และบรรดาบุตรของอิสราเอลจะถูกรวบรวมเข้าด้วยกัน และพวกเขาจะแต่งตั้งผู้นำคนหนึ่ง พวกเขาทุกคนจะขึ้นไปจากแผ่นดิน เพราะวันของยิสเรเอลจะเป็นวันที่ยิ่งใหญ่
י โยธ
73 พระองค์สร้างและปั้นข้าพเจ้าด้วยมือของพระองค์เอง
โปรดให้ข้าพเจ้าเข้าใจอย่างถ่องแท้เพื่อเรียนรู้พระบัญญัติของพระองค์
74 บรรดาผู้เกรงกลัวพระองค์จะเห็นข้าพเจ้า และยินดี
เพราะข้าพเจ้ามีความหวังในคำกล่าวของพระองค์
75 โอ พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าทราบว่าการตัดสินของพระองค์กอปรด้วยความชอบธรรม
และพระองค์ลงโทษข้าพเจ้าเพราะความสัตย์จริงของพระองค์
76 ขอความรักอันมั่นคงของพระองค์ปลอบโยนข้าพเจ้า
ตามที่พระองค์ได้สัญญาไว้กับผู้รับใช้ของพระองค์
77 โปรดให้ข้าพเจ้าได้รับความเมตตาเถิด ข้าพเจ้าจะได้คงชีวิตอยู่
เพราะข้าพเจ้ายินดีในกฎบัญญัติของพระองค์
78 ให้พวกที่ยโสต้องอับอายที่กระทำผิดต่อข้าพเจ้าด้วยการโกหก
ส่วนข้าพเจ้าก็จะใคร่ครวญถึงข้อบังคับของพระองค์
79 ขอให้บรรดาผู้เกรงกลัวพระองค์กลับมาหาข้าพเจ้าเถิด
ให้เขาได้ทราบคำสั่งของพระองค์
80 ขอให้ใจข้าพเจ้าปราศจากข้อตำหนิใดๆ ในเรื่องกฎเกณฑ์ของพระองค์
เพื่อข้าพเจ้าจะได้ไม่ต้องอับอาย
כ คอฟ
81 จิตวิญญาณของข้าพเจ้าอ่อนล้า เพราะการรอคอยความรอดพ้นจากพระองค์
ข้าพเจ้ามีความหวังในคำกล่าวของพระองค์
82 ข้าพเจ้ารอคอยคำสัญญาของพระองค์จนตาพร่าพราย
ข้าพเจ้าถามว่า “เมื่อไหร่พระองค์จะปลอบประโลมข้าพเจ้า”
83 เพราะข้าพเจ้ากลายเป็นเหมือนถุงหนังเหล้าองุ่นที่ถูกห้อยทิ้งไว้ท่ามกลางกลุ่มควัน
แม้กระนั้น ข้าพเจ้าก็ยังไม่ลืมกฎเกณฑ์ของพระองค์
84 ผู้รับใช้ของพระองค์จะต้องอดทนนานเพียงไร
เมื่อไหร่พระองค์จะตัดสินพวกที่กดขี่ข่มเหงข้าพเจ้า
85 คนยโสที่ขุดหลุมพรางดักข้าพเจ้า
เป็นพวกที่ไม่เชื่อฟังกฎบัญญัติของพระองค์
86 พระบัญญัติทั้งหมดของพระองค์ล้วนน่าเชื่อถือ
คนพวกนั้นข่มเหงข้าพเจ้าด้วยการลวงหลอก โปรดช่วยข้าพเจ้าด้วย
87 พวกเขาเกือบจะทำให้ชีวิตในแผ่นดินโลกของข้าพเจ้าต้องยุติลง
แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ลืมข้อบังคับของพระองค์เลย
88 โปรดให้ข้าพเจ้ามีชีวิตตามความรักอันมั่นคงของพระองค์
และข้าพเจ้าจะรักษาคำสั่งที่มาจากปากของพระองค์
ל ลาเมด
89 โอ พระผู้เป็นเจ้า คำกล่าวของพระองค์ยังคงอยู่อย่างมั่นคง
ในสวรรค์ตลอดกาล
90 ความสัตย์จริงของพระองค์ยืนยงอยู่ทุกยุคทุกสมัย
พระองค์ได้สร้างแผ่นดินโลกซึ่งก็ยังคงอยู่
91 สิ่งเหล่านี้คงอยู่ มาจนถึงทุกวันนี้ได้ก็เพราะคำสั่งของพระองค์
เพราะทุกสิ่งเป็นผู้รับใช้ของพระองค์
92 ถ้าหากว่าข้าพเจ้าไม่ยินดีในกฎบัญญัติของพระองค์
ข้าพเจ้าก็คงตายไปแล้วด้วยความทุกข์ยาก
93 ข้าพเจ้าไม่มีวันลืมกฎบัญญัติของพระองค์
เพราะพระองค์ได้ให้ข้าพเจ้าคงชีวิตอยู่ได้ด้วยกฎบัญญัติ
94 ข้าพเจ้าเป็นของพระองค์ โปรดช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้นเถิด
เพราะข้าพเจ้าได้แสวงหาคำสั่งของพระองค์
95 พวกคนชั่วจึงคอยที่จะทำให้ข้าพเจ้าพินาศ
แต่ข้าพเจ้าใส่ใจในคำสั่งของพระองค์
96 ข้าพเจ้าเห็นแล้วว่าความบริบูรณ์ในสิ่งทั้งปวงมีขอบเขตจำกัด
แต่พระบัญญัติของพระองค์หามีขีดจำกัดไม่
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation