M’Cheyne Bible Reading Plan
เจ้าหน้าที่ของซาโลมอน
4 กษัตริย์ซาโลมอนปกครองทั่วทั้งอิสราเอล 2 มีเจ้าหน้าที่ชั้นสูงดังนี้คือ อาซาริยาห์บุตรศาโดกเป็นปุโรหิต 3 เอลีโฮเรฟและอาหิยาห์บุตรชิชาเป็นเลขา เยโฮชาฟัทบุตรอาหิลูดเป็นผู้บันทึกสาสน์ 4 เบไนยาห์บุตรเยโฮยาดาเป็นผู้บัญชาการทหาร ศาโดกและอาบียาธาร์เป็นปุโรหิต[a] 5 อาซาริยาห์บุตรนาธานเป็นผู้ควบคุมผู้ว่าราชการ ศาบุดบุตรนาธานเป็นปุโรหิตและสหายของกษัตริย์ 6 อาหิชาร์เป็นผู้ควบคุมวัง อาโดนีรามบุตรอับดาเป็นผู้ควบคุมพวกที่ถูกเกณฑ์มาให้ทำงานหนัก
7 ซาโลมอนมีผู้ว่าราชการประจำเขต 12 คนที่ควบคุมทั่วอิสราเอล เป็นผู้จัดการเรื่องอาหารสำหรับกษัตริย์และวังของท่าน แต่ละคนมีหน้าที่จัดหาอาหารเป็นเวลา 1 เดือนในแต่ละปี 8 รายชื่อของพวกเขาคือ เบนเฮอร์ ประจำแถบภูเขาเอฟราอิม 9 เบนเดเคอร์ ประจำในมาคาส ชาอัลบิม เบธเชเมช และเอโลนเบธฮานัน 10 เบนเฮเสด ประจำในอารุบโบท (โสโคห์และทั่วดินแดนเฮเฟอร์ขึ้นอยู่กับเขา) 11 เบนอาบีนาดับ ประจำในนาฟาทโดร์ทั้งหมด (เขามีทาฟัทบุตรหญิงของซาโลมอนเป็นภรรยา) 12 บาอานาบุตรอาหิลูด ประจำในทาอานาค เมกิดโด และเบธชานทั้งหมดที่อยู่ข้างศาเรธาน ใต้เมืองยิสเรเอล และตั้งแต่เบธชานถึงอาเบลเมโฮลาห์ไปจนถึงอีกฟากของโยกเมอัม 13 เบนเกเบอร์ ประจำในราโมทกิเลอาด (หมู่บ้านหลายแห่งของยาอีร์บุตรมนัสเสห์ ซึ่งอยู่ในกิเลอาดเป็นของเขา อีกทั้งอาณาเขตอาร์โกบในบาชาน ซึ่งเป็น 60 เมืองใหญ่ที่มีกำแพง และดาลประตูทองสัมฤทธิ์) 14 อาหินาดับบุตรอิดโด ประจำในมาหะนาอิม 15 อาหิมาอัส ประจำในนัฟทาลี (เขาได้บาเสมัทบุตรหญิงของซาโลมอนเป็นภรรยา) 16 บาอานาบุตรหุชัย ประจำในอาเชอร์และเบอาโลท 17 เยโฮชาฟัทบุตรปารูอาห์ ประจำในอิสสาคาร์ 18 ชิเมอีบุตรเอลา ประจำในเบนยามิน 19 เกเบอร์บุตรอุรี ประจำในแผ่นดินกิเลอาด (แผ่นดินของสิโหนกษัตริย์ของชาวอาโมร์ และของโอกกษัตริย์แห่งบาชาน) มีผู้ว่าราชการคนเดียวที่ประจำในแผ่นดินนี้
ความมั่งคั่งและสติปัญญาของซาโลมอน
20 ยูดาห์และอิสราเอลมีคนจำนวนมากราวกับเม็ดทรายบนชายฝั่งทะเล เขาทั้งหลายใช้ชีวิตโดยได้ดื่มกินอย่างบริบูรณ์ และมีสันติสุข 21 ซาโลมอนปกครองทั่วอาณาจักรทั้งปวง ตั้งแต่แม่น้ำยูเฟรติสไปจนถึงแผ่นดินของชาวฟีลิสเตีย และถึงเขตแดนอียิปต์ คนทั้งหลายนำเครื่องบรรณาการมาถวาย และรับใช้ซาโลมอนตลอดชีวิตของท่าน
22 เสบียงอาหารที่จัดหาให้ซาโลมอนในแต่ละวัน คือแป้งสาลีชั้นเยี่ยม 30 โคร์[b] และข้าวสาลีบด 60 โคร์ 23 โคอ้วนพี 10 ตัว โคจากทุ่งหญ้า 20 ตัว แกะ 100 ตัว นอกจากนี้มีกวางผู้ ละมั่ง เก้งผู้ และไก่อ้วนพีอีกด้วย 24 เพราะท่านครอบครองทั่วอาณาจักรต่างๆ ตั้งแต่ด้านตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส จากทิฟสาห์ถึงกาซา ครอบครองเหนือบรรดากษัตริย์จากทางตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส และมีความสงบกับเมืองข้างเคียง 25 ยูดาห์และอิสราเอลก็อยู่อย่างปลอดภัยตลอดชีวิตของซาโลมอน ตั้งแต่เมืองดานกระทั่งถึงเมืองเบเออร์เช-บา แต่ละคนมีสวนองุ่นและต้นมะเดื่อเป็นของตนเอง 26 ซาโลมอนมีคอกม้า 40,000 คอก[c]สำหรับม้าประจำรถศึก และมีทหารม้า 12,000 คน 27 บรรดาผู้ว่าราชการประจำเขตดังกล่าวจัดหาสิ่งเหล่านี้ให้กษัตริย์ซาโลมอน และให้ทุกคนที่มารับประทานกับกษัตริย์ซาโลมอน แต่ละคนจัดหาตามเดือนของตนโดยไม่ให้สิ่งใดขาดตกบกพร่อง 28 แต่ละคนนำข้าวบาร์เลย์และฟางมาเก็บในยุ้งฉางสำหรับม้าศึกและม้าชนิดอื่นตามหน้าที่
29 และพระเจ้าประทานสติปัญญาและความเข้าใจที่ลึกซึ้งอย่างถ่องแท้แก่ซาโลมอน ท่านมีความรู้กว้างไกลสารพัดดั่งเม็ดทรายบนชายฝั่งทะเล 30 สติปัญญาของซาโลมอนจึงลึกล้ำกว่าสติปัญญาของชนชาวตะวันออกทุกคนและสติปัญญาของคนในอียิปต์ทั้งสิ้น 31 เพราะว่าท่านเฉลียวฉลาดกว่าชายอื่นใด ฉลาดกว่าเอธานชาวเอศราค และเฮมาน คาลโคล์ และดาร์ดาบรรดาบุตรของมาโฮล และกิตติศัพท์ของท่านเลื่องลือไปทั่วประชาชาติทั้งปวงที่อยู่รอบข้าง 32 ท่านแต่งสุภาษิต 3,000 ข้อ และท่านมีบทเพลง 1,005 บท 33 ท่านกล่าวถึงต้นไม้ตั้งแต่ไม้ซีดาร์แห่งเลบานอน จนถึงต้นหุสบซึ่งงอกออกมาจากกำแพง ท่านยังได้กล่าวถึงสัตว์ป่า นก สัตว์เลื้อยคลาน และปลาด้วย 34 มีคนจากชนชาติทั้งปวงที่บรรดากษัตริย์ของแผ่นดินโลกส่งมา เพื่อฟังคำพูดอันกอปรด้วยสติปัญญาของซาโลมอน เพราะได้ยินคำเลื่องลือถึงสติปัญญาของท่าน
การตระเตรียมสร้างพระตำหนัก
5 เมื่อฮีรามกษัตริย์แห่งไทระทราบว่า ซาโลมอนได้รับการเจิมให้เป็นกษัตริย์แทนบิดาของท่าน ฮีรามจึงให้บรรดาผู้ส่งสาสน์ของท่านมาเข้าเฝ้าซาโลมอน เพราะว่าฮีรามมีไมตรีจิตต่อดาวิดเสมอมา 2 ซาโลมอนจึงให้คนไปบอกฮีรามว่า 3 “ท่านทราบว่า ดาวิดบิดาของเราสร้างพระตำหนักเพื่อยกย่องพระนามของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านไม่ได้ เพราะศึกสงครามที่ศัตรูคุกคามอยู่โดยรอบ จนกระทั่งพระผู้เป็นเจ้าทำให้พวกเขายอมอยู่ใต้ฝ่าเท้าของท่าน 4 และบัดนี้พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราได้โปรดให้เรามีความสงบสุขจากประชาชาติรอบข้าง ไม่มีทั้งศัตรูหรือวิบัติใดๆ 5 ฉะนั้นเราจึงตั้งใจจะสร้างพระตำหนักเพื่อยกย่องพระนามของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา ดังที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับดาวิดบิดาของเราว่า ‘เราจะให้บุตรของเจ้านั่งบนบัลลังก์ของเจ้าแทนเจ้า เขาจะเป็นผู้ที่สร้างตำหนักเพื่อนามของเรา’ 6 ฉะนั้นบัดนี้ ขอให้ท่านสั่งตัดต้นซีดาร์แห่งเลบานอนให้เราด้วย ผู้รับใช้ของเราจะมาช่วยกันกับผู้รับใช้ของท่าน และเราจะมอบค่าจ้างให้ผู้รับใช้ของท่านตามค่าแรงที่ท่านตั้งราคาไว้ เพราะท่านก็ทราบแล้วว่า ไม่มีผู้ใดในท่ามกลางพวกเราที่ชำนาญในการตัดไม้เหมือนกับชาวไซดอน”
7 ทันทีที่ฮีรามได้ยินคำพูดของซาโลมอน ท่านก็ยินดียิ่งนักและกล่าวว่า “สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าในวันนี้ เพราะพระองค์ได้มอบบุตรผู้เรืองปัญญาแก่ดาวิด เพื่อปกครองชนชาติที่ยิ่งใหญ่นี้” 8 และฮีรามให้คนไปรายงานซาโลมอนว่า “ข้าพเจ้าได้ทราบข่าวที่ท่านส่งให้ข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าพร้อมจะปฏิบัติตามที่ท่านต้องการในเรื่องไม้ซุงซีดาร์และไม้สน 9 พวกผู้รับใช้ของข้าพเจ้าจะนำซุงจากเลบานอนส่งเป็นแพซุงมาทางทะเล ให้ล่องไปยังสถานที่ที่ท่านกำหนด และข้าพเจ้าจะให้ส่งไม้ที่นั่น และท่านก็จะได้รับไม้ไปได้ และสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาจะได้รับจากท่านก็คือ เสบียงอาหารสำหรับวังของข้าพเจ้า”
10 ดังนั้นฮีรามจึงจัดการให้ตัดไม้ซีดาร์และไม้สนให้แก่ซาโลมอนตามความต้องการ 11 ในเวลาเดียวกันซาโลมอนก็ได้มอบข้าวสาลี 20,000 โคร์ เป็นอาหารสำหรับครัวเรือนของท่าน และน้ำมันบริสุทธิ์ 20,000 โคร์ ให้แก่ฮีรามเป็นประจำทุกปี 12 และพระผู้เป็นเจ้ามอบสติปัญญาแก่ซาโลมอน ดังที่พระองค์สัญญาท่านไว้ และมีสันติไมตรีระหว่างฮีรามและซาโลมอน ทั้งสองก็ได้กระทำสนธิสัญญาต่อกัน
13 กษัตริย์ซาโลมอนเกณฑ์แรงงานจากทั่วอิสราเอล นับจำนวนคนที่ถูกเกณฑ์ได้ 30,000 คน 14 ท่านใช้พวกเขาไปที่เลบานอน โดยจัดเป็นเวร 10,000 คนต่อเดือน ให้อยู่ที่เลบานอน 1 เดือน และอยู่บ้าน 2 เดือน มีอาโดนีรามเป็นผู้ควบคุมพวกที่ถูกเกณฑ์มาทำงานหนัก 15 ซาโลมอนให้คนจำนวน 70,000 คนทำหน้าที่แบกหาม และ 80,000 คนสกัดหินในแถบภูเขา 16 นอกจากนี้ยังมีบรรดาหัวหน้างาน 3,300 คนของซาโลมอนที่ควบคุมงานและสั่งการกับคนทำงาน 17 กษัตริย์สั่งพวกเขาให้ขนหินก้อนใหญ่ที่มีคุณภาพสูง เพื่อวางฐานรากของพระตำหนักด้วยหินที่แต่งแล้ว 18 ดังนั้นช่างก่อสร้างของซาโลมอนและฮีราม และพวกชาวเกบาลก็ตัดและเตรียมไม้และหินเพื่อสร้างพระตำหนัก
มีชีวิตได้ด้วยพระคุณ
2 เมื่อก่อน ท่านตายแล้วเพราะการล่วงละเมิดและการกระทำบาปทั้งปวง 2 ดังที่ท่านเคยปฏิบัติมาแต่ก่อน ในยามที่ยังใช้ชีวิตทางโลก และดำเนินตามวิถีผู้อยู่ในระดับปกครองแห่งอำนาจในย่านอากาศ[a] และเป็นวิญญาณที่กำลังจัดการพวกบุตรที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า 3 แต่ก่อนพวกเราเคยดำเนินชีวิตในกิเลสฝ่ายเนื้อหนัง[b]เหมือนกับคนเหล่านั้น คือทำตามความต้องการของเนื้อหนังและความคิดเห็น และตามธรรมชาติแล้วเราก็เป็นพวกที่ถูกลงโทษเหมือนกับคนอื่นๆ นั่นแหละ 4 แต่เพราะพระเจ้าเป็นผู้เปี่ยมด้วยความเมตตา ด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่มีต่อพวกเรา 5 ได้โปรดให้เรามีชีวิตด้วยกันกับพระคริสต์ แม้เราตายแล้วเพราะการล่วงละเมิด พวกท่านมีชีวิตรอดพ้นได้ด้วยพระคุณ 6 และให้เราฟื้นคืนชีวิตในพระองค์ และให้เรานั่งกับพระองค์ในอาณาเขตสวรรค์ เพราะเราผูกพันในพระเยซูคริสต์ 7 เพื่อว่าในยุคต่อๆ ไปพระองค์จะได้แสดงพระคุณอันยิ่งใหญ่ซึ่งเกินที่จะเปรียบเทียบได้ จากการที่พระองค์กรุณาต่อเราในพระเยซูคริสต์ 8 ด้วยว่าท่านได้รับความรอดพ้นโดยพระคุณอันเกิดจากความเชื่อ ไม่ได้มาจากการปฏิบัติตนของพวกท่านเอง แต่เป็นสิ่งที่พระเจ้ามอบให้ 9 ไม่ใช่ผลที่ได้จากการปฏิบัติตนซึ่งไม่มีใครจะเอามาอวดอ้างได้ 10 เพราะเราเป็นผลงานของพระองค์ซึ่งสร้างขึ้นให้ผูกพันในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ปฏิบัติสิ่งที่ดีงามอันเป็นสิ่งที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ล่วงหน้าให้เราทำ
เป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์
11 ฉะนั้น จงจำไว้ว่าแต่ก่อนพวกท่านเป็นบรรดาผู้ที่เป็นคนนอกฝ่ายกาย และพวกที่ถือว่าตนเป็น “พวกที่เข้าสุหนัต” ได้เรียกท่านว่า “พวกที่ไม่เข้าสุหนัต” โดยที่พวกเขาเข้าสุหนัตด้วยฝีมือมนุษย์ 12 จงจำไว้ว่าในเวลานั้นพวกท่านแยกไปจากพระคริสต์ ไม่มีส่วนร่วมกับชาติอิสราเอล และเป็นคนแปลกถิ่นต่อพันธสัญญาที่พระองค์ได้สัญญาไว้ ท่านอยู่ในโลกโดยไม่มีความหวัง โดยไม่มีพระเจ้า 13 ครั้งหนึ่งท่านเคยอยู่ห่างไกล แต่บัดนี้ด้วยความผูกพันในพระเยซูคริสต์ โลหิตของพระคริสต์ได้นำท่านเข้ามาใกล้ 14 ด้วยว่าพระองค์เป็นสันติสุขของเรา เป็นผู้ที่ทำให้เราทั้งสองฝ่ายเป็นหนึ่งเดียวกัน และทำลายกำแพงกั้นแห่งความเป็นปฏิปักษ์ โดยการสละกายของพระองค์ 15 พระองค์ทำให้กฎแห่งพระบัญญัติและข้อบังคับต่างๆ เป็นโมฆะ เพื่อให้คนจากสองฝ่ายถูกผสานเป็นคนใหม่คนเดียวในพระองค์ เป็นการทำให้เกิดสันติสุข 16 และเพื่อทำให้ทั้งสองฝ่ายคืนดีกับพระเจ้าในลักษณะของความเป็นหนึ่งโดยผ่านไม้กางเขน ซึ่งเป็นการทำลายความเป็นปฏิปักษ์ 17 และพระองค์ได้มาประกาศสันติสุขแก่พวกท่านทั้งที่อยู่ห่างไกลและแก่บรรดาผู้อยู่ใกล้ 18 โดยทางพระองค์ทำให้เราทั้งสองฝ่ายมีโอกาสเข้าถึงพระบิดาได้โดยพระวิญญาณองค์เดียว 19 ดังนั้นพวกท่านไม่ใช่คนแปลกถิ่นหรือชาวต่างแดน แต่ท่านเป็นพี่น้องร่วมชาติด้วยกันกับบรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า และเป็นคนในครอบครัวของพระเจ้า 20 ได้รับการเสริมสร้างขึ้นบนฐานรากของพวกอัครทูตและบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นศิลามุมเอก 21 พระองค์เป็นผู้ทำให้ทั้งเรือนเชื่อมต่อกันและขยายต่อเติมขึ้นเป็นวิหารอันบริสุทธิ์แด่พระผู้เป็นเจ้า 22 พวกท่านก็กำลังถูกสร้างขึ้นด้วยกันในพระองค์ ให้เป็นที่สถิตของพระวิญญาณของพระเจ้าเช่นกัน
เผยความกล่าวโทษภูเขาเสอีร์
35 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 2 “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงหันหน้าสู่ภูเขาเสอีร์และเผยความกล่าวโทษให้เรา 3 และจงพูดว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ ‘ดูเถิด เราจะขัดขวางเจ้า ภูเขาเสอีร์เอ๋ย และเราจะยื่นมือของเราออกเพื่อลงโทษเจ้า และเราจะทำให้เจ้าเป็นที่รกร้างและพังพินาศ 4 เราจะทำให้เมืองต่างๆ ของเจ้าพังพินาศ และเจ้าจะกลายเป็นที่รกร้าง และเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า 5 เพราะเจ้ามุ่งร้ายอิสราเอลตลอดมา และมอบประชาชนของเขาให้แก่อำนาจของพลังดาบในเวลาที่พวกเขาตกอยู่ในความวิบัติ ในเวลาที่พวกเขาถูกลงโทษขั้นสุดท้าย’” 6 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนี้ว่า “ฉะนั้น ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ฉันใด เราจะทำให้เจ้าประสบกับการนองเลือด และเลือดจะตามล่าเจ้า เพราะเจ้าไม่เกลียดชังเลือด ฉะนั้นเลือดจะตามล่าเจ้า 7 เราจะทำให้ภูเขาเสอีร์พินาศและกลายเป็นที่รกร้าง และเราจะกำจัดทุกคนที่เข้าออกไปจากที่นั่น 8 และเราจะให้มีคนตายเต็มภูเขา บรรดาพวกที่ถูกดาบสังหารจะล้มลงบนเนินเขา ในหุบเขา และแหล่งน้ำในหุบเขา 9 เราจะทำให้เจ้าเป็นที่รกร้างตลอดไป และเมืองต่างๆ ของเจ้าจะไม่มีผู้อยู่อาศัย แล้วเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า
10 เพราะเจ้าพูดดังนี้ว่า ‘สองประชาชาติกับสองดินแดนนี้จะต้องเป็นของเรา และพวกเราจะยึดมาครอบครอง’ ถึงแม้ว่าเราซึ่งเป็นพระผู้เป็นเจ้าอยู่ที่นั่น” 11 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนี้ว่า “ฉะนั้น ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ฉันใด เราจะกระทำต่อเจ้าตามความโกรธและความอิจฉาที่เจ้าแสดงให้เห็นจากความเกลียดชังที่เจ้ามีต่อพวกเขา และเราจะทำให้ตัวเราเป็นที่รู้จักในท่ามกลางพวกเขาเมื่อเราตัดสินโทษเจ้า 12 และเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า
เราได้ยินเจ้าพูดถากถางต่อภูเขาของอิสราเอลว่า ‘กลายเป็นที่รกร้างเสียแล้ว และถูกมอบให้พวกเราเขมือบกิน’ 13 และพวกเจ้าพูดยกยอตนเองเป็นการต่อต้านเรา ไม่ยับยั้งปากและต่อว่าเรา เราได้ยินทุกคำพูด” 14 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “ขณะที่ทั่วทั้งโลกยินดี เราจะทำให้เจ้าเป็นที่รกร้าง 15 เพราะเจ้ายินดีเมื่อเห็นสิ่งที่พงศ์พันธุ์อิสราเอลได้รับเป็นมรดกจะเป็นที่รกร้าง เราจึงจะกระทำต่อเจ้า เจ้าจะเป็นที่รกร้าง ทั้งภูเขาเสอีร์และเอโดมทั้งหมด แล้วพวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า”
โปรดให้ชีวิตแก่พวกเราอีก
ถึงหัวหน้าวงดนตรี ของตระกูลโคราห์ เพลงสดุดี
1 โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์โปรดปรานแผ่นดินของพระองค์
พระองค์ทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของยาโคบคืนสู่สภาพเดิม
2 พระองค์ยกโทษความชั่วของชนชาติของพระองค์
พระองค์ลบล้างบาปทั้งปวงของเขา เซล่าห์
3 พระองค์ถอนความโกรธเกรี้ยวทั้งหมด
และหันจากความกริ้วอันร้อนแรงของพระองค์
4 โอ พระเจ้าผู้ช่วยให้รอดพ้นของเรา ทำให้พวกเราคืนสู่สภาพเดิมอีก
และให้ความไม่พอใจของพระองค์ที่มีต่อพวกเรายุติลงเถิด
5 พระองค์จะกริ้วพวกเราไปตลอดกาลหรือ
ความกริ้วของพระองค์จะต้องค้างต่อไปทุกชั่วอายุคนหรือ
6 พระองค์จะไม่ให้พวกเราคืนสู่สภาพเดิม และให้ชีวิตแก่พวกเรา
เพื่อชนชาติของพระองค์จะได้ยินดีในพระองค์หรือ
7 โอ พระผู้เป็นเจ้า ให้พวกเราเห็นความรักอันมั่นคงของพระองค์เถิด
และให้พวกเราได้รับความรอดพ้น
8 ข้าพเจ้าจะฟังว่าพระเจ้ากล่าวอะไร
เพราะพระผู้เป็นเจ้าจะให้ความสันติสุขแก่ชนชาติของพระองค์ แก่ผู้ภักดีของพระองค์
แต่พวกเขาอย่าได้หันกลับไปสู่ความโง่เขลาอีกเลย
9 แน่นอน ความรอดพ้นที่มาจากพระองค์อยู่ใกล้บรรดาผู้เกรงกลัวพระองค์
เพื่อพระบารมีจะได้อยู่ในแผ่นดินของเรา
10 ความรักอันมั่นคงจะพบกับความสัตย์จริง
ความชอบธรรมจะสวมกอดกับความสันติสุข
11 ความภักดีจะผุดขึ้นจากแผ่นดินโลก
และความชอบธรรมจะมองลงมาจากสวรรค์
12 พระผู้เป็นเจ้าจะมอบสิ่งดีๆ ให้ด้วย
และแผ่นดินโลกของเราจะเกิดผลให้เก็บเกี่ยวได้มาก
13 ความชอบธรรมจะไปล่วงหน้าพระองค์
และเตรียมทางให้แก่เท้าของพระองค์ที่ย่างไป
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation