Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
1 พงศ์กษัตริย์ 1

ดาวิดในยามชรา

ในยามที่กษัตริย์ดาวิดชรามากแล้ว แม้ว่าจะมีคนช่วยท่านสวมเสื้อผ้าหลายตัว แต่ท่านก็ไม่รู้สึกอุ่นขึ้น ฉะนั้นบรรดาผู้รับใช้ของท่านจึงทูลว่า “ให้เสาะหาหญิงสาวสักคนหนึ่งมาให้เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์เถิด และให้เธออยู่ปรนนิบัติกษัตริย์ และคอยรับใช้ท่าน ให้เธออยู่ในอ้อมกอดของท่าน เพื่อเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์จะได้อุ่นขึ้น” ดังนั้น พวกเขาจึงเฟ้นหาสาวงามทั่วแผ่นดินอิสราเอล และได้พบอาบีชากชาวชูเนม พวกเขาจึงนำเธอมาเข้าเฝ้ากษัตริย์ หญิงสาวผู้นี้งดงามมาก คอยรับใช้และปรนนิบัติท่าน แต่กษัตริย์ไม่มีเพศสัมพันธ์กับเธอ

อาโดนียาห์ตั้งตนเป็นกษัตริย์

ฝ่ายอาโดนียาห์บุตรของนางฮักกีทตั้งตัวขึ้นด้วยการกล่าวว่า “เรานี่แหละจะเป็นกษัตริย์” เขาจึงหารถศึกและทหารม้า อีกทั้งชาย 50 คนวิ่งนำหน้าเขาไป บิดาของเขาไม่เคยตั้งคำถามที่จะทำให้เขาไม่พอใจ ดังเช่นว่า “ทำไมเจ้าจึงกระทำเช่นนี้เช่นนั้น” เขาเป็นคนรูปงามมาก เป็นลูกลำดับต่อจากอับซาโลม เขาปรึกษากับโยอาบบุตรของนางเศรุยาห์ และกับอาบียาธาร์ปุโรหิต พวกเขาจึงปฏิบัติตามอาโดนียาห์ และช่วยเหลือเขา แต่ศาโดกปุโรหิต[a] เบไนยาห์บุตรของเยโฮยาดา[b] นาธานผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า[c] ชิเมอี เรอี และเหล่าทหารกล้าของดาวิดไม่ได้เป็นฝ่ายอาโดนียาห์

อาโดนียาห์ถวายแกะ โค และสัตว์อ้วนพีเป็นเครื่องสักการะที่ข้างๆ หินงู ซึ่งอยู่ติดกับเอนโรเกล เขาเชิญพี่น้องผู้ชาย บรรดาบุตรของกษัตริย์ และข้าราชสำนักของยูดาห์ทั้งปวงมา 10 แต่เขาไม่ได้เชิญทั้งนาธานผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า หรือเบไนยาห์ หรือเหล่าทหารกล้า และซาโลมอนน้องชายของเขา

นาธานและบัทเช-บาเข้าเฝ้าดาวิด

11 ครั้นแล้วนาธานพูดกับบัทเช-บามารดาของซาโลมอนว่า “ท่านไม่ทราบหรือว่าอาโดนียาห์บุตรของนางฮักกีทได้ตั้งตนเป็นกษัตริย์ และดาวิดเจ้านายของเราไม่ทราบเรื่องนี้ 12 ฉะนั้น กรุณามาเถิด ข้าพเจ้าขอแนะนำท่าน เพื่อท่านจะได้รักษาชีวิตของตัวเองและชีวิตของซาโลมอนบุตรของท่านให้รอด 13 จงไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ดาวิดทันที และถามว่า ‘เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ไม่ได้สัญญากับผู้รับใช้ของท่านดังนี้หรือว่า “ซาโลมอนบุตรของเจ้าจะครองราชย์ต่อจากเรา และเขาจะนั่งบนบัลลังก์ของเรา” แล้วเหตุใดอาโดนียาห์จึงได้เป็นกษัตริย์เล่า’ 14 และขณะที่ท่านกำลังพูดกับกษัตริย์ ข้าพเจ้าจะตามหลังท่านเข้ามา เพื่อสนับสนุนสิ่งที่ท่านพูด”

15 ดังนั้นบัทเช-บาจึงไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ที่ห้องส่วนตัว (ในเวลานั้นกษัตริย์ชรามากแล้ว และอาบีชากชาวชูเนมกำลังปรนนิบัติกษัตริย์อยู่) 16 บัทเช-บาก้มแสดงความเคารพต่อกษัตริย์ และกษัตริย์กล่าวว่า “เจ้าต้องการสิ่งใด” 17 นางพูดว่า “เจ้านายของข้าพเจ้า ท่านสัญญากับผู้รับใช้ของท่านในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านดังนี้ว่า ‘ซาโลมอนบุตรของเจ้าจะครองราชย์ต่อจากเรา และเขาจะนั่งบนบัลลังก์ของเรา’ 18 แต่มาบัดนี้ ดูเถิด อาโดนียาห์ได้เป็นกษัตริย์ แม้กระทั่งเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ก็ไม่ทราบเรื่องนี้ 19 เขาได้ถวายโค สัตว์อ้วนพี และแกะมากมาย และได้เชิญบรรดาบุตรของกษัตริย์ทุกคน อาบียาธาร์ปุโรหิต และโยอาบผู้บังคับกองพันทหาร แต่เขาไม่ได้เชิญซาโลมอนผู้รับใช้ของท่าน 20 และบัดนี้เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ ชาวอิสราเอลทั้งปวงกำลังมองท่านอยู่ เพื่อให้บอกพวกเขาว่า ใครเป็นคนต่อไปหลังจากท่าน ที่จะนั่งบนบัลลังก์ของเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ 21 มิฉะนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ เมื่อเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์สิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่านแล้ว ข้าพเจ้ากับซาโลมอนบุตรของข้าพเจ้าก็จะกลายเป็นฝ่ายกบฏ”

22 ขณะที่นางกำลังพูดกับกษัตริย์ นาธานผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าก็เข้ามา 23 มีคนแจ้งกษัตริย์ว่า “นาธานผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว” เมื่อนาธานเข้ามาอยู่ ณ เบื้องหน้ากษัตริย์ ท่านก้มหน้าลงซบพื้น 24 นาธานพูดว่า “เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ ท่านเคยกล่าวไว้หรือว่า ‘อาโดนียาห์จะครองราชย์ต่อจากเรา และเขาจะนั่งบนบัลลังก์ของเรา’ 25 เพราะวันนี้เขาได้ลงไปถวายโค สัตว์อ้วนพี และแกะจำนวนมากเป็นเครื่องสักการะ และได้เชิญบรรดาบุตรของกษัตริย์ทุกคน ผู้บัญชากองทัพทั้งหลาย และอาบียาธาร์ปุโรหิต และดูเถิด พวกเขากำลังดื่มกินอยู่เบื้องหน้าอาโดนียาห์ และพูดกันว่า ‘ขอกษัตริย์อาโดนียาห์มีอายุยืนนาน’ 26 แต่เขาไม่ได้เชิญข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่าน ศาโดกปุโรหิต เบไนยาห์บุตรของเยโฮยาดา และซาโลมอนผู้รับใช้ของท่าน 27 เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ได้จัดการเรื่องดังกล่าว โดยท่านยังไม่ได้บอกให้บรรดาผู้รับใช้ของท่านให้รู้หรือว่า ใครควรจะนั่งบนบัลลังก์ของเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์เป็นคนต่อไป”

ซาโลมอนได้รับเจิมให้เป็นกษัตริย์

28 ครั้นแล้วกษัตริย์ดาวิดจึงตอบว่า “จงเรียกบัทเช-บาให้มาหาเรา” นางจึงเข้ามาเฝ้ากษัตริย์ และยืน ณ เบื้องหน้าท่าน 29 จากนั้นกษัตริย์ก็สาบานว่า “พระผู้เป็นเจ้าช่วยให้เราได้มีชีวิตพ้นจากศัตรูทุกคน ฉะนั้น ตราบที่พระองค์มีชีวิตอยู่ฉันใด 30 เราขอสาบานกับเจ้าด้วยพระนามของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลว่า ‘ซาโลมอนบุตรของเจ้าจะครองราชย์ต่อจากเรา และเขาจะนั่งบนบัลลังก์ของเราแทนที่เรา’ ในวันนี้เราจะกระทำตามคำกล่าวที่ว่านั้น” 31 และบัทเช-บาก็ก้มลงหน้าซบพื้นแสดงความเคารพต่อกษัตริย์ และพูดว่า “ขอให้กษัตริย์ดาวิดเจ้านายของข้าพเจ้ามีชีวิตยิ่งยืนนานเถิด”

32 กษัตริย์ดาวิดกล่าวว่า “เรียกศาโดกปุโรหิต นาธานผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า และเบไนยาห์บุตรของเยโฮยาดาให้มาหาเรา” เขาเหล่านั้นจึงมาเข้าเฝ้ากษัตริย์ 33 และกษัตริย์กล่าวกับพวกเขาว่า “จงเอาบรรดาผู้รับใช้ของเจ้านายของพวกท่านไป และให้ซาโลมอนบุตรของเราขึ้นขี่ล่อของเรา และนำเขาลงไปยังบ่อน้ำพุกีโฮน 34 และให้ศาโดกปุโรหิตกับนาธานผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าเจิมเขา ให้เป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอลที่นั่น แล้วเป่าแตรงอน[d]พร้อมกับประกาศว่า ‘ขอกษัตริย์ซาโลมอนมีอายุยืนนาน’ 35 และพวกท่านจงตามหลังเขาขึ้นมา และให้เขามานั่งบนบัลลังก์ของเรา เพราะว่าเขาจะเป็นกษัตริย์แทนเรา เราได้แต่งตั้งเขาให้เป็นผู้ปกครองอิสราเอลและยูดาห์” 36 และเบไนยาห์บุตรของเยโฮยาดาตอบกษัตริย์ว่า “อาเมน ขอให้พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์กล่าวเช่นนั้นด้วยเถิด 37 ตราบที่พระผู้เป็นเจ้าได้สถิตกับเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์เช่นไร ขอให้พระองค์สถิตกับซาโลมอนเช่นนั้น และโปรดให้บัลลังก์ของซาโลมอนยิ่งใหญ่กว่าของกษัตริย์ดาวิดเจ้านายของข้าพเจ้าเถิด”

38 ดังนั้น ศาโดกปุโรหิต นาธานผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า เบไนยาห์บุตรของเยโฮยาดา ชาวเคเรธ และชาวเปเลท ต่างก็ลงไปจัดให้ซาโลมอนขึ้นขี่ล่อของกษัตริย์ดาวิด และนำท่านไปยังบ่อน้ำพุกีโฮน 39 และศาโดกปุโรหิตเอาเขาสัตว์บรรจุน้ำมันจากกระโจมมาเจิมซาโลมอน แล้วพวกเขาก็เป่าแตรงอน ประชาชนก็ร้องตะโกนเสียงดังว่า “ขอกษัตริย์ซาโลมอนมีอายุยืนนาน” 40 และประชาชนทั้งปวงก็ตามท่านขึ้นไป พลางเป่าขลุ่ย และชื่นชมยินดียิ่งนัก เสียงดังสนั่นจนพื้นดินสั่นสะเทือน

41 ขณะที่เขาเหล่านั้นกำลังจะสิ้นสุดงานเลี้ยงฉลอง อาโดนียาห์และบรรดาผู้รับเชิญทั้งปวงที่อยู่ด้วยก็ได้ยินเสียง และเมื่อโยอาบได้ยินเสียงแตรงอน เขาพูดว่า “เสียงอึกทึกในเมืองเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน” 42 ในขณะที่เขากำลังพูดอยู่ ดูเถิด โยนาธานบุตรของอาบียาธาร์ปุโรหิตก็มา อาโดนียาห์พูดว่า “เข้ามาสิ เพราะว่าท่านเป็นคนดี คงจะนำข่าวดีมา” 43 โยนาธานตอบอาโดนียาห์ว่า “ไม่ใช่เช่นนั้น ด้วยว่ากษัตริย์ดาวิดเจ้านายของพวกเราได้แต่งตั้งซาโลมอนให้เป็นกษัตริย์แล้ว 44 และกษัตริย์ได้ให้ศาโดกปุโรหิต นาธานผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า เบไนยาห์บุตรของเยโฮยาดา พวกชาวเคเรธ และชาวเปเลทไปกับท่าน และพวกเขาได้ให้ท่านขี่ล่อของกษัตริย์ 45 ศาโดกปุโรหิตและนาธานผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าได้เจิมท่านให้เป็นกษัตริย์ที่บ่อน้ำพุกีโฮน และทุกคนก็ได้ขึ้นไปจากที่นั่นด้วยความชื่นชมยินดี จนทั้งเมืองเกิดเสียงอึกทึก ซึ่งเป็นเสียงที่ท่านได้ยิน 46 ซาโลมอนก็นั่งบนราชบัลลังก์ 47 ยิ่งกว่านั้น บรรดาผู้รับใช้ของกษัตริย์ได้มาแสดงความยินดีกับกษัตริย์ดาวิดเจ้านายของพวกเราว่า ‘ขอพระเจ้าของท่านโปรดให้นามของซาโลมอนเป็นที่โด่งดังยิ่งกว่านามของท่าน และโปรดให้บัลลังก์ของซาโลมอนยิ่งใหญ่กว่าของท่าน’ และกษัตริย์ก็ก้มตัวลงกราบที่เตียงนอน 48 และกษัตริย์ยังกล่าวอีกว่า ‘ขอพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลได้รับพระพรเถิด พระองค์ได้มอบให้ผู้หนึ่งนั่งบนบัลลังก์ของเราในวันนี้ และเราก็เห็นด้วยตาของเราเอง’”

49 ครั้นแล้วบรรดาผู้รับเชิญของอาโดนียาห์ก็ตัวสั่นเทาและลุกขึ้น ต่างก็กลับไปตามทางของตน 50 อาโดนียาห์เกรงกลัวซาโลมอน เขาจึงลุกขึ้น และไปจับที่เชิงงอนของแท่นบูชา 51 และมีคนรายงานแก่กษัตริย์ซาโลมอนว่า “ดูเถิด เขาจับที่เชิงงอนที่แท่นบูชา พูดว่า ‘ให้กษัตริย์ซาโลมอนสาบานกับเราก่อนว่า ท่านจะไม่ใช้ดาบสังหารผู้รับใช้ของท่าน’” 52 ซาโลมอนกล่าวว่า “ถ้าเขาแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนดี ผมบนศีรษะของเขาก็จะไม่ร่วงถึงพื้นดิน แต่ถ้าพบว่าเขามีความชั่วร้าย เขาก็จะต้องตาย” 53 กษัตริย์ซาโลมอนให้คนไปนำตัวเขาลงมาจากแท่นบูชา เขาจึงลงมาแสดงความเคารพต่อกษัตริย์ซาโลมอน และซาโลมอนพูดกับเขาว่า “กลับไปบ้านของพี่เถิด”

กาลาเทีย 5

อิสรภาพในพระคริสต์

พระคริสต์ปลดปล่อยให้เราเป็นอิสระ เพื่อเราจะได้เป็นอิสระอย่างแท้จริง ฉะนั้นจงยืนหยัดไว้ และอย่าเข้าเทียมแอกเป็นทาสอีก

ดูเถิด ข้าพเจ้าเปาโลขอบอกท่านว่า ถ้าท่านรับพิธีเข้าสุหนัต พระคริสต์จะไม่ได้เป็นประโยชน์แก่ท่านเลย และข้าพเจ้ายืนยันอีกว่า ทุกคนที่รับพิธีเข้าสุหนัตก็อยู่ภายใต้ข้อผูกมัดที่จะรักษากฎบัญญัติทุกข้อ พวกท่านที่พยายามพ้นผิดโดยกฎบัญญัติก็ได้ตัดขาดจากพระคริสต์ ท่านได้หันหลังให้กับพระคุณเสียแล้ว แต่โดยความเชื่อ พระวิญญาณช่วยเราให้รอคอยความชอบธรรมที่เราหวังว่าจะได้รับ ด้วยว่าในพระเยซูคริสต์ ไม่ว่าจะเข้าสุหนัตหรือไม่นั้น ไม่มีความหมายแต่อย่างใด สิ่งสำคัญคือ การมีความเชื่อซึ่งแสดงออกโดยความรัก

พวกท่านกำลังวิ่งแข่งดีอยู่แล้ว ใครเล่าที่ได้ไปถ่วงท่านไว้ไม่ให้เชื่อฟังความจริง การชักจูงนี้ไม่ได้มาจากพระองค์ผู้เรียกท่าน เชื้อยีสต์เพียงเล็กน้อยทำให้แป้งนวดทั้งก้อนฟูขึ้นได้ 10 ข้าพเจ้ามั่นใจในพระผู้เป็นเจ้าว่า ท่านจะไม่มีความคิดเห็นอื่นเลย คนที่ทำให้ท่านสับสนก็จะต้องรับโทษ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม 11 พี่น้องเอ๋ย ถ้าข้าพเจ้ายังประกาศเรื่องการเข้าสุหนัต แล้วทำไมข้าพเจ้ายังถูกข่มเหงเล่า ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงแล้ว การประกาศเรื่องไม้กางเขนก็จะไม่ก่อปัญหาหรอก 12 ข้าพเจ้าอยากให้พวกที่ก่อความยุ่งยากแก่ท่านตอนตนเองเสียเลย

13 พี่น้องเอ๋ย ด้วยว่าพระเจ้าเรียกพวกท่านเพื่อให้เป็นอิสระ แต่อย่าฉวยโอกาสใช้อิสรภาพมาบำรุงบำเรอเนื้อหนัง[a] แต่จงรับใช้กันและกันด้วยความรักเถิด 14 ด้วยว่ากฎบัญญัติทั้งหมดสรุปได้เป็นคำสั่งเดียวคือ “จงรักเพื่อนบ้านของเจ้าให้เหมือนรักตนเอง”[b] 15 ถ้าท่านเอาแต่กัดและกินกันและกันเอง ก็จงระวัง มิฉะนั้น ท่านจะทำลายกันเอง

ความต้องการฝ่ายเนื้อหนังหรือฝ่ายวิญญาณ

16 ข้าพเจ้าขอบอกว่า จงให้พระวิญญาณนำทางชีวิตของท่าน แล้วท่านจะไม่สนองความต้องการฝ่ายเนื้อหนัง 17 ด้วยว่าฝ่ายเนื้อหนังมีความต้องการที่ตรงข้ามกับพระวิญญาณ และพระวิญญาณตรงข้ามกับฝ่ายเนื้อหนัง ทั้งสองนี้เป็นศัตรูกัน คือต่างคอยป้องกันไม่ให้ท่านทำสิ่งที่ท่านอยากทำ 18 แต่ถ้าท่านได้พระวิญญาณเป็นผู้นำ ท่านก็ไม่ตกอยู่ภายใต้กฎบัญญัติ 19 การกระทำฝ่ายเนื้อหนังนั้นเห็นได้ชัดคือ การประพฤติผิดทางเพศ ความสกปรกโสมม ความมักมากในกาม 20 การบูชารูปเคารพ การใช้วิทยาคม ความเกลียดชัง การมีความเห็นที่ไม่ลงรอยกัน ความอิจฉา ความโกรธเกรี้ยว การแก่งแย่งชิงดี ความแตกแยก และการแบ่งพรรคแบ่งพวก 21 ความริษยา การเมาเหล้า ดื่มสุราเฮฮามั่วสุม และสิ่งอื่นๆ ในทำนองนี้ ข้าพเจ้าเตือนท่านดังที่ได้เตือนมาแล้วว่า คนที่ใช้ชีวิตเช่นนี้จะไม่มีส่วนได้ในอาณาจักรของพระเจ้า 22 แต่ผลของพระวิญญาณคือ ความรัก ความยินดี สันติสุข ความอดทน ความกรุณา ความดี ความภักดี 23 ความอ่อนโยน การควบคุมตนเองได้ ไม่มีกฎบัญญัติข้อใดที่ห้ามสิ่งเหล่านี้ 24 บรรดาผู้ที่เป็นฝ่ายพระเยซูคริสต์ได้เอาฝ่ายเนื้อหนังพร้อมกับตัณหาและกิเลสตรึงไว้ที่ไม้กางเขนแล้ว

25 ถ้าเรามีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณ ก็จงดำเนินชีวิตอย่างที่มีพระวิญญาณเถิด 26 เราอย่าคิดยโส ยั่วโทสะ และอิจฉากันและกันเลย

เอเสเคียล 32

ร้องคร่ำครวญให้กับฟาโรห์และอียิปต์

32 ในวันแรกของเดือนสิบสอง ปีที่สิบสอง[a] พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงร้องคร่ำครวญให้กับฟาโรห์กษัตริย์ของอียิปต์ และบอกเขาดังนี้

‘เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นดั่งสิงโตในบรรดาประชาชาติ
    แต่เจ้าเป็นอย่างมังกรในทะเล
เจ้าทำให้น้ำกระจายในแม่น้ำ
    แกว่งเท้าของเจ้าในน้ำ
    และทำให้น้ำในแม่น้ำขุ่น

พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า

เราจะเหวี่ยงตาข่ายคลุมตัวเจ้า
    เรามีคนจำนวนมากอยู่กับเราด้วย
    และพวกเขาจะลากตัวเจ้าที่ติดตาข่ายของเราขึ้นมา
เราจะเหวี่ยงเจ้าลงบนพื้น
    เราจะโยนเจ้าลงบนทุ่งโล่ง
เราจะทำให้บรรดานกในอากาศทั้งปวงเกาะที่ตัวเจ้า
    และเราจะให้สัตว์ป่าทั่วทั้งแผ่นดินโลกขม้ำกินเจ้าอย่างตะกละ
เราจะแผ่เนื้อของเจ้าไว้บนภูเขา
    และถมหุบเขาให้เต็มด้วยซากของเจ้า
เราจะให้แผ่นดินชุ่มด้วยเลือดของเจ้า
    ที่ไหลไปจนถึงภูเขา
    และหุบเขาจะมีร่างของเจ้าเต็มไปหมด
เมื่อเราดับชีวิตของเจ้าให้สูญไป เราจะปกคลุมฟ้าสวรรค์
    และทำให้ดวงดาวมืดลง
เราจะปกคลุมดวงอาทิตย์ด้วยเมฆ
    และดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง
เราจะทำให้แสงอันสุกสว่าง
    ของฟ้าสวรรค์มืดลงเหนือตัวเจ้า
    และจะให้ความมืดปกแผ่นดินของเจ้า’”
    พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น

“เราจะทำให้ชนชาติจำนวนมากทุกข์ใจเมื่อเรานำความพินาศมาสู่เจ้าท่ามกลางบรรดาประชาชาติ ท่ามกลางหลายดินแดนที่เจ้าไม่เคยรู้จัก 10 เราจะทำให้คนจำนวนมากตกตะลึงในตัวเจ้า และผมของบรรดากษัตริย์จะตั้งขึ้นด้วยความหวาดหวั่นก็เพราะเจ้า เมื่อเราแกว่งดาบของเราต่อหน้าพวกเขา พวกเขาทุกคนจะสั่นเทา กลัวอยู่ทุกขณะว่าชีวิตจะสิ้นสุด ในวันที่เจ้าถูกโค่นลง”

11 เพราะพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “ดาบของกษัตริย์แห่งบาบิโลนจะสู้รบกับเจ้า 12 เราจะทำให้ประชาชนของเจ้าล้มลงด้วยดาบของบรรดานักรบผู้เก่งกล้า พวกเขาทุกคนโหดร้ายที่สุดในบรรดาประชาชาติ

พวกเขาจะทำให้ความยโสของอียิปต์พินาศ
    และประชาชนชาวอียิปต์จะล้มตาย
13 เราจะทำลายสัตว์ป่าให้หมดสิ้นไปจาก
    บริเวณใกล้แหล่งน้ำ
และจะไม่มีผู้ใดย่างเท้าลงในน้ำอีกต่อไป
    หรือจะมีสัตว์เลี้ยงย่ำกีบทำให้น้ำขุ่นอีก
14 แล้วเราจะทำให้น้ำของอียิปต์ใส
    และทำให้แม่น้ำไหลอย่างน้ำมัน”
    พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น
15 “เมื่อเราทำให้แผ่นดินอียิปต์รกร้าง
    และทำให้แผ่นดินไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่เลย
เมื่อเราทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งสิ้นที่อาศัยอยู่ในนั้นหมอบราบคาบ
    แล้วพวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า

16 นี่เป็นคำร้องคร่ำครวญที่พวกเขาจะร้องให้กับอียิปต์ บรรดาบุตรหญิงของบรรดาประชาชาติจะร้องคร่ำครวญ พวกเขาจะร้องคร่ำครวญให้กับอียิปต์และประชาชนทุกคน” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น

17 ในวันที่สิบห้า ปีที่สิบสอง[b] พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 18 “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงร้องรำพันให้กับประชาชนของอียิปต์ และส่งอียิปต์และบุตรหญิงทั้งหลายของบรรดาประชาชาติที่มีอานุภาพลงไปยังโลกเบื้องล่าง ไปยังบรรดาผู้ที่ได้ลงไปในหลุมลึกแห่งแดนคนตายแล้ว

19 จงพูดกับพวกเขาดังนี้

‘เจ้างามเกินใครบ้างหรือ
    จงลงไปและนอนพักรวมอยู่กับคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัต’

20 พวกเขาจะล้มลงอยู่กับบรรดาผู้ที่ถูกดาบสังหาร อียิปต์และประชาชนทุกคนถูกดาบสังหารและลากไป 21 บรรดาผู้นำที่มีอำนาจจะเอ่ยจากแดนคนตายถึงอียิปต์และพันธมิตรว่า ‘พวกเขาได้ลงมาแล้ว พวกเขานอนนิ่งอยู่กับพวกที่ไม่ได้เข้าสุหนัต ซึ่งถูกดาบสังหาร’

22 อัสซีเรียอยู่ที่นั่นกับพรรคพวก มีหลุมศพอยู่รอบข้าง ทุกคนถูกสังหาร ล้มตายด้วยดาบ 23 หลุมศพของพวกเขาอยู่ในส่วนลึกสุดของหลุมลึกแห่งแดนคนตาย และพรรคพวกของอัสซีเรียอยู่รอบหลุมศพ ทุกคนถูกสังหาร ล้มตายด้วยดาบ พวกเขาทำให้เกิดความหวาดหวั่นทั่วดินแดนของคนเป็น

24 เอลามอยู่ที่นั่น ประชาชนจำนวนมากอยู่รอบหลุมศพ ทุกคนถูกสังหาร ล้มตายด้วยดาบ พวกเขาทุกคนทำให้เกิดความหวาดหวั่นทั่วดินแดนของคนเป็น ลงไปอย่างคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัตยังโลกเบื้องล่าง พวกเขาแบกรับความอับอายด้วยกับบรรดาผู้ที่ลงไปสู่หลุมลึกแห่งแดนคนตาย 25 พวกเขาจัดเตรียมที่อยู่ให้แก่เอลามในหมู่คนที่ถูกสังหารพร้อมกับคนจำนวนมาก หลุมศพอยู่รอบข้าง พวกเขาทุกคนไม่ได้เข้าสุหนัต ถูกดาบสังหาร เพราะพวกเขาทำให้เกิดความหวาดหวั่นทั่วดินแดนของคนเป็น พวกเขาแบกรับความอับอายด้วยกับบรรดาผู้ที่ลงไปสู่หลุมลึกแห่งแดนคนตาย พวกเขาถูกทิ้งไว้ในท่ามกลางคนที่ถูกสังหาร

26 เมเชคและทูบัลอยู่ที่นั่น ประชาชนจำนวนมากอยู่รอบหลุมศพ ทุกคนไม่ได้เข้าสุหนัต ถูกดาบสังหาร เพราะพวกเขาทำให้เกิดความหวาดหวั่นทั่วดินแดนของคนเป็น 27 และพวกเขาไม่นอนรวมกับนักรบผู้เก่งกล้า คือผู้ที่เสียชีวิตในบรรดาผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัต ซึ่งลงไปสู่แดนคนตายกับอาวุธสงคราม และมีดาบวางที่ใต้ศีรษะ บาปอยู่บนกระดูกของพวกเขา เพราะความหวาดหวั่นที่มีต่อนักรบเหล่านี้อยู่ในดินแดนของคนเป็น 28 ส่วนเจ้าเอง เจ้าจะถูกทำลายและนอนลงในท่ามกลางบรรดาผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัตที่ลงไปสู่หลุมลึก

29 เอโดมอยู่ที่นั่น พร้อมกับบรรดากษัตริย์และผู้ยิ่งใหญ่ทุกคน แม้พวกเขาจะมีอำนาจก็ยังถูกวางรวมกับบรรดาผู้ที่ถูกดาบฆ่าตาย พวกเขานอนรวมกับบรรดาผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัต กับผู้ที่ลงไปสู่หลุมลึกแห่งแดนคนตาย

30 บรรดาผู้นำจากทิศเหนือและชาวไซดอนทั้งปวงอยู่ที่นั่น พวกเขาได้ลงไปพร้อมกับพวกที่ถูกฆ่า เพราะความหวาดหวั่นที่พวกเขาก่อขึ้นจากอำนาจของพวกเขา พวกเขานอนลงอย่างคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัตนอนกับบรรดาผู้ที่ถูกดาบสังหาร และแบกรับความอับอายด้วยกับบรรดาผู้ที่ลงไปสู่หลุมลึกแห่งแดนคนตาย

31 เมื่อฟาโรห์เห็นพวกเขา เขาจะรู้สึกสบายใจเรื่องประชาชนทั้งปวงของเขา ทั้งฟาโรห์และกองทัพทั้งหมดที่ถูกดาบสังหาร” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น 32 “ถึงแม้ว่าเราทำให้เกิดความหวาดหวั่นทั่วดินแดนของคนเป็น ฟาโรห์และประชาชนทั้งปวงของเขาจะนอนรวมกับบรรดาผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัต กับบรรดาผู้ที่ถูกดาบสังหาร” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น

สดุดี 80

อธิษฐานให้ช่วยอิสราเอลคืนสู่สภาพเดิม

ถึงหัวหน้าวงดนตรี ตามทำนอง “พลับพลึงแห่งพันธสัญญา” เพลงสดุดีของอาสาฟ

โปรดฟังเถิด ผู้เลี้ยงดูฝูงแกะของอิสราเอล
    องค์ผู้นำโยเซฟประหนึ่งนำฝูงแกะ
สถิตบนบัลลังก์เหนือตัวเครูบ
    เผยพลานุภาพของพระองค์ให้เห็นเถิด
ต่อหน้าเอฟราอิม เบนยามิน และมนัสเสห์
    สำแดงอานุภาพของพระองค์
    มาเถิด ช่วยพวกเราให้รอดพ้น

โอ พระเจ้า ให้พวกเราคืนสู่สภาพเดิม
    โปรดหันหน้ามาทางเราด้วยแสงอันรุ่งโรจน์ของพระองค์เถิด
    พวกเราจะได้รอดพ้น

โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าจอมโยธา
    พระองค์จะกริ้วต่อคำอธิษฐานของชนชาติของพระองค์นานเพียงไร
พระองค์ให้พวกเขากินน้ำตาต่างข้าว
    และให้ดื่มน้ำตาเป็นเหยือกๆ
พระองค์ทำให้พวกเราเป็นที่ดูแคลนของเพื่อนบ้าน
    และพวกศัตรูต่างก็พากันเยาะเย้ยพวกเรา

พระเจ้าจอมโยธา ให้พวกเราคืนสู่สภาพเดิม
    โปรดหันหน้ามาทางเราด้วยแสงอันรุ่งโรจน์ของพระองค์เถิด
    พวกเราจะได้รอดพ้น

พระองค์นำเถาองุ่น[a]ออกจากประเทศอียิปต์
    พระองค์ขับไล่บรรดาประชาชาติออกไป และปลูกเถาองุ่นแทนที่
พระองค์เกลี่ยดินให้เรียบแล้วเถาองุ่นก็หยั่งรากลงลึก
    และเติบโตเลื้อยไปทั่วแผ่นดิน
10 ร่มเงาของมันคลุมไปทั่วเทือกเขา
    และกิ่งก้านปกไปทั่วต้นซีดาร์อันโอฬาร
11 กิ่งของมันยื่นไปไกลถึงทะเล
    และรากก็ยื่นไปถึงแม่น้ำ
12 แล้วเหตุใดพระองค์จึงทลายกำแพงลง
    ผู้คนทั้งหลายที่ผ่านมาทางนั้นต่างก็เด็ดกินผลของมัน
13 หมูป่าขุดโค่นต้นจนถอนราก
    ครั้นแล้วสิ่งมีชีวิตทั้งหลายในทุ่งก็พากันกินเป็นอาหาร

14 โอ พระเจ้าจอมโยธา โปรดหันมาทางพวกเรา
    มองลงมาจากสวรรค์ และแลให้เห็นเถิด
ดูแลเถาองุ่นนี้ด้วย
15     ต้นที่พระองค์ปลูกด้วยมือขวาของพระองค์เอง
    เถาอ่อน[b]ที่พระองค์บำรุงจนเติบโตแข็งแรง
16 มาบัดนี้ถูกไฟเผาและโค่นทิ้งไป
    ขอให้พระองค์ดูพวกเขาและพิพากษาเถิด
17 ขอพระองค์ไว้ชีวิตและปกป้องผู้ที่พระองค์เลือกไว้
    บุตรมนุษย์ที่พระองค์ทำให้เติบโตแข็งแรง
18 แล้วพวกเราจะไม่มีวันหันหลังให้พระองค์
    ให้ชีวิตแก่พวกเรา แล้วเราจะร้องเรียกพระนามของพระองค์

19 โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าจอมโยธา ให้พวกเราคืนสู่สภาพเดิม
    โปรดหันหน้ามาทางเราด้วยแสงอันรุ่งโรจน์ของพระองค์เถิด
    พวกเราจะได้รอดพ้น

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation