M’Cheyne Bible Reading Plan
เพลงมีชัยของดาวิด
22 ดาวิดกล่าวกับพระผู้เป็นเจ้าเป็นเนื้อร้องในบทเพลงนี้ ในวันที่พระผู้เป็นเจ้าช่วยท่านให้หลุดพ้นจากเงื้อมมือของพวกศัตรูและจากซาอูล 2 ท่านกล่าวว่า
“พระผู้เป็นเจ้าเป็นศิลาและป้อมปราการของข้าพเจ้า และเป็นผู้ช่วยข้าพเจ้าให้พ้นภัย
3 พระเจ้าของข้าพเจ้าเป็นศิลาของข้าพเจ้าที่อาศัยพักพิงได้
พระองค์เป็นโล่ป้องกันและเขา[a]แห่งความรอดพ้น
เป็นหลักยึดอันมั่นคงของข้าพเจ้า ที่พึ่งพิง และผู้ช่วยให้รอดพ้น
พระองค์ช่วยข้าพเจ้าให้รอดจากคนที่ประทุษร้าย
4 ข้าพเจ้าร้องเรียกถึงพระผู้เป็นเจ้า ผู้สมควรแก่การสรรเสริญ
และข้าพเจ้ารอดพ้นจากพวกศัตรูของข้าพเจ้า
5 เพราะคลื่นแห่งความตายล้อมรอบตัวข้าพเจ้า
กระแสน้ำแห่งความพินาศท่วมท้นเกินทน
6 สายรัดแห่งแดนคนตายขดรอบตัวข้าพเจ้า
กับดักแห่งความตายเผชิญหน้าข้าพเจ้า
7 ในห้วงแห่งความทุกข์ยากข้าพเจ้าร้องเรียกถึงพระผู้เป็นเจ้า
ข้าพเจ้าร้องเรียกถึงพระเจ้าของข้าพเจ้า
พระองค์ได้ยินเสียงข้าพเจ้าจากพระวิหารของพระองค์
เสียงร้องของข้าพเจ้าดังไปถึงหูของพระองค์
8 แผ่นดินสั่นสะเทือน
และฐานรากของฟ้าสวรรค์โยกคลอนและสั่นไหวได้
เพราะพระองค์โกรธ
9 ควันพลุ่งจากช่องจมูกของพระองค์
และไฟเผาผลาญออกจากปากของพระองค์
ถ่านลุกโพลงขึ้นเป็นเปลวไฟโชติช่วงจากพระองค์
10 พระองค์เบิกฟ้าสวรรค์ลงมา
เมฆดำอยู่ใต้เท้าพระองค์
11 พระองค์ขึ้นนั่งบนตัวเครูบ[b]แล้วโผบิน
พระองค์ล่องไปกับสายลมอย่างรวดเร็ว
12 พระองค์ใช้ความมืดกำบังดั่งปะรำโอบล้อมพระองค์
เมฆฝนดำทะมึนในท้องฟ้า
13 ณ เบื้องหน้าพระองค์มีแสงสว่างเจิดจ้า
ทำให้ถ่านลุกโพลงขึ้นเป็นเปลวไฟ
14 พระผู้เป็นเจ้าเปล่งเสียงเป็นฟ้าร้องจากเบื้องสวรรค์
องค์ผู้สูงสุดเปล่งเสียง
15 พระองค์ยิงลูกธนู และทำให้ศัตรูกระเจิดกระเจิงไป
พระองค์ทำให้เกิดฟ้าแลบ และพวกเขาก็เตลิดเปิดเปิงไป
16 เมื่อพระผู้เป็นเจ้าบอกห้าม
เมื่อลมหายใจพ่นออกจากจมูกของพระองค์
น้ำในทะเลก็เปิดออกจนเห็นก้นบึ้งแห่งท้องทะเล
และฐานรากของแผ่นดินโลกโล่งโถง
17 พระองค์เอื้อมลงจากที่สูงคว้าตัวข้าพเจ้าไว้ได้
แล้วพระองค์ก็ดึงตัวข้าพเจ้าขึ้นจากห้วงน้ำลึก
18 พระองค์ช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากศัตรูผู้มีอำนาจยิ่ง
และจากพวกที่เกลียดชังข้าพเจ้า ด้วยว่า เขามีกำลังเกินกว่าข้าพเจ้า
19 เขาเหล่านั้นประจันหน้าข้าพเจ้าในยามวิบัติ
แต่พระผู้เป็นเจ้าเป็นหลักค้ำจุนของข้าพเจ้า
20 พระองค์ช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากบ่วงอันตราย
พระองค์ช่วยเหลือข้าพเจ้าไว้ก็เพราะพระองค์พอใจในตัวข้าพเจ้า
21 พระผู้เป็นเจ้ากระทำต่อข้าพเจ้าตามความชอบธรรมของข้าพเจ้า
พระองค์ให้รางวัลข้าพเจ้าตามความสะอาดของมือข้าพเจ้า
22 ด้วยว่า ข้าพเจ้าเดินตามทางของพระผู้เป็นเจ้า
และไม่ได้ทำความชั่วโดยหันเหไปจากพระเจ้าของข้าพเจ้า
23 ข้าพเจ้านึกถึงคำบัญชาของพระองค์เป็นที่ตั้ง
ข้าพเจ้าไม่ได้เพิกเฉยต่อกฎเกณฑ์ของพระองค์
24 ข้าพเจ้าปราศจากข้อตำหนิใดๆ ณ เบื้องหน้าพระองค์
และข้าพเจ้าระวังไม่กระทำบาป
25 พระผู้เป็นเจ้าได้ให้รางวัลข้าพเจ้าตามความชอบธรรมของข้าพเจ้า
ตามความบริสุทธิ์ของข้าพเจ้าต่อหน้าพระองค์
26 พระองค์แสดงความรักอันมั่นคงต่อคนที่มีความภักดี
พระองค์แสดงความไร้ข้อตำหนิของพระองค์ต่อคนที่ไร้ข้อตำหนิ
27 พระองค์แสดงความบริสุทธิ์ของพระองค์ต่อคนบริสุทธิ์
และพระองค์แสดงต่อคนคดโกงอย่างปราดเปรื่อง
28 พระองค์ช่วยคนถ่อมตัวให้รอดพ้น
และพระองค์จับจ้องที่คนใจยโสเพื่อทำให้พวกเขาเจียมตัว
29 โอ พระผู้เป็นเจ้า ด้วยว่า พระองค์เป็นดั่งตะเกียงของข้าพเจ้า
และพระผู้เป็นเจ้าทำให้ความมืดของข้าพเจ้าสว่างไสว
30 ข้าพเจ้าเหยียบย่ำกองทัพได้ก็ด้วยพระองค์
ข้าพเจ้าข้ามกำแพงได้ก็ด้วยพระเจ้า
31 พระเจ้านี้แหละ วิถีทางของพระองค์บริบูรณ์ทุกประการ
คำพูดของพระผู้เป็นเจ้าบริสุทธิ์
พระองค์เป็นโล่ป้องกันสำหรับทุกคนที่แสวงหาพระองค์เป็นที่พึ่ง
32 ใครเล่าคือพระเจ้านอกเหนือจากพระผู้เป็นเจ้า
และใครคือศิลานอกเหนือจากพระเจ้าของเรา
33 พระเจ้าเป็นที่พึ่งพิงของข้าพเจ้า
และทำให้วิถีทางของข้าพเจ้าบริบูรณ์ทุกประการ
34 พระองค์ทำให้เท้าของข้าพเจ้าเป็นดั่งเท้ากวาง
พระองค์ทำให้ข้าพเจ้ายืนในที่สูงได้
35 พระองค์ฝึกมือข้าพเจ้าให้พร้อมเพื่อการสงคราม
เพื่อแขนข้าพเจ้าจะได้น้าวคันธนูทองสัมฤทธิ์
36 และพระองค์ให้โล่แห่งความรอดพ้นแก่ข้าพเจ้า
และความช่วยเหลือของพระองค์ทำให้ข้าพเจ้ายิ่งใหญ่
37 พระองค์ทำให้ทางเดินที่ข้าพเจ้าเหยียบก้าวไปกว้างขึ้น
เพื่อเท้าของข้าพเจ้าจะไม่ลื่นล้ม
38 ข้าพเจ้าไล่ล่าศัตรูและปราบเขาได้
ข้าพเจ้าไม่ได้หวนกลับจนกระทั่งศัตรูพินาศไป
39 ข้าพเจ้าทำให้เขาพินาศไป ข้าพเจ้าทำให้เขาทรุดตัวลงจนลุกไม่ขึ้น
เขาล้มลงอยู่ใต้เท้าของข้าพเจ้า
40 และพระองค์ช่วยให้ข้าพเจ้าพรั่งพร้อมด้วยกำลังเพื่อศึกสงคราม
พระองค์ทำให้ฝ่ายตรงข้ามจมอยู่เบื้องล่าง
41 พระองค์ทำให้ศัตรูหันหลังหนีไปจากข้าพเจ้า
และข้าพเจ้าทำให้คนที่เกลียดชังข้าพเจ้าพินาศ
42 พวกเขาร้องขอความช่วยเหลือ แต่ไม่มีใครช่วยชีวิตไว้ได้
เขาร้องขอต่อพระผู้เป็นเจ้า แต่พระองค์ไม่ตอบ
43 ข้าพเจ้าเหยียบขยี้พวกเขาจนแหลกละเอียดเป็นผงธุลีบนพื้นดิน
ข้าพเจ้าโจมตีและเหยียบย่ำพวกเขาที่ถนนดั่งโคลนตม
44 พระองค์ได้ช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากการโต้แย้งกับชนชาติของข้าพเจ้า
พระองค์ได้ให้ข้าพเจ้าเป็นหัวหน้าของบรรดาประชาชาติ
ชนชาติที่ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักก็รับใช้ข้าพเจ้า
45 ชนต่างชาติยอมสยบต่อหน้าข้าพเจ้า
ทันทีที่พวกเขาได้ยินเสียงข้าพเจ้า เขาก็เชื่อฟังข้าพเจ้า
46 คนแปลกหน้าใจเสีย
และตัวสั่นเทาออกมาจากป้อมปราการของเขา
47 พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ ให้ศิลาของข้าพเจ้าได้รับการสรรเสริญเถิด
และให้พระเจ้า ศิลาผู้ช่วยให้รอดพ้นของข้าพเจ้าได้รับการยกย่องเถิด
48 พระองค์เป็นพระเจ้าผู้แก้แค้นแทนข้าพเจ้า
และนำบรรดาชนชาติให้อยู่ใต้การปกครองของข้าพเจ้า
49 พระองค์ช่วยข้าพเจ้าให้มีอิสระจากศัตรู
พระองค์ยกข้าพเจ้าอยู่เหนือข้าศึก
พระองค์ให้ข้าพเจ้ารอดพ้นจากคนปองร้าย
50 ฉะนั้น ข้าพเจ้าจะขอบคุณพระองค์ท่ามกลางบรรดาประชาชาติ โอ พระผู้เป็นเจ้า
ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสรรเสริญพระนามของพระองค์
51 พระองค์ให้ชัยชนะอันยิ่งใหญ่แก่กษัตริย์ของพระองค์
และแสดงความรักอันมั่นคงแก่ผู้ได้รับการเจิมของพระองค์
แก่ดาวิดและผู้สืบเชื้อสายของท่านชั่วนิรันดร์กาล”
เปาโลและอัครทูตอื่น
2 สิบสี่ปีต่อมา ข้าพเจ้าขึ้นไปยังเมืองเยรูซาเล็มอีก โดยที่ครั้งนี้มีบาร์นาบัสไปด้วย และได้พาทิตัสเดินทางไปพร้อมกัน 2 ข้าพเจ้าไปก็เพราะสิ่งที่พระเจ้าได้เผยความไว้ ข้าพเจ้าจึงได้ไปพบกับบรรดาผู้นำ (เป็นการส่วนตัว) และได้อธิบายถึงข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าประกาศแก่บรรดาคนนอก เพื่อจะได้แน่ใจว่าข้าพเจ้าไม่ได้วิ่งมาแล้วหรือกำลังวิ่งโดยเปล่าประโยชน์ 3 ทิตัสร่วมเดินทางไปกับข้าพเจ้า แม้จะเป็นชาวกรีกแต่ก็ไม่ถูกบังคับให้เข้าสุหนัต 4 แม้กระนั้นก็ยังมีบางคนที่ได้เป็นพี่น้องจอมปลอม แต่ก็ได้แอบมาสอดแนมดูความเป็นอิสระของเราที่มีในพระเยซูคริสต์ เพื่อจะทำให้เราตกอยู่ภายใต้ความเป็นทาส 5 พวกเราไม่ได้ยอมทำตามพวกเขาแม้เพียงขณะเดียว เพื่อว่าความจริงของข่าวประเสริฐจะได้คงอยู่กับท่าน 6 แต่สำหรับบรรดาผู้ที่ดูเหมือนว่าเป็นคนสำคัญ สถานภาพของเขาไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเขาสำคัญแต่อย่างไร เพราะพระเจ้าไม่ตัดสินจากลักษณะภายนอก คนที่ดูเหมือนว่าเป็นที่ยอมรับกันนั้น ไม่ได้เพิ่มเติมสิ่งใดให้ข้าพเจ้าเลย 7 แต่ตรงกันข้ามคือ เขาเห็นว่า ข้าพเจ้าได้รับมอบหมายให้ประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกที่ไม่ได้เข้าสุหนัต ทำนองเดียวกับที่เปโตรประกาศให้แก่พวกที่เข้าสุหนัต 8 ด้วยว่าพระเจ้าได้ส่งเปโตรไปเป็นอัครทูตสำหรับฝ่ายที่เข้าสุหนัตเช่นไร พระองค์ก็ได้ส่งข้าพเจ้าให้ไปเป็นอัครทูตสำหรับบรรดาคนนอกเช่นนั้น 9 เมื่อยากอบ เคฟาส และยอห์นผู้ซึ่งคนยอมรับกันว่าเป็นเสาหลักตระหนักว่า ข้าพเจ้าได้รับพระคุณแล้ว จึงจับมือขวาของข้าพเจ้าและบาร์นาบัสเพื่อแสดงความเป็นเพื่อนร่วมงานกัน พวกเขาตกลงว่าเราควรจะไปยังบรรดาคนนอก และพวกเขาไปยังคนที่เข้าสุหนัต 10 พวกเขาเพียงแต่ขอให้เราห่วงใยผู้ยากไร้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้ามุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะกระทำอยู่แล้ว
เปาโลคัดค้านเปโตร
11 แต่เมื่อเคฟาสมายังเมืองอันทิโอก ข้าพเจ้าคัดค้านเขาต่อหน้า เพราะเขาทำผิดอย่างเห็นได้ชัด 12 ก่อนหน้านี้ เขาเคยรับประทานร่วมกับคนนอก แต่เมื่อคนของยากอบมาถึง เขากลับแยกตัวออกไปจากพวกคนนอก เพราะเขากลัวกลุ่มคนที่สนับสนุนการเข้าสุหนัต 13 ครั้นแล้วชาวยิวอื่นๆ ก็พากันทำตัวเป็นคนประเภทหน้าไหว้หลังหลอกตามเขาไปด้วย จนแม้แต่บาร์นาบัส ก็ถูกชักนำไปเพราะความหน้าไหว้หลังหลอกของเขาเหล่านั้น 14 แต่เมื่อข้าพเจ้าเห็นว่า เขาเหล่านั้นไม่ประพฤติสอดคล้องกับความจริงของข่าวประเสริฐ ข้าพเจ้าจึงได้พูดกับเคฟาสต่อหน้าทุกคนว่า “ถ้าท่านเป็นชาวยิวแต่ดำเนินชีวิตเป็นอย่างคนนอก คือไม่เป็นอย่างชาวยิว แล้วท่านจะบังคับให้พวกคนนอกดำเนินชีวิตตามอย่างชาวยิวได้อย่างไร”
15 พวกเราเป็นชาวยิวโดยกำเนิด ไม่ได้เป็น “คนบาป” อย่างที่คนนอกเป็น 16 เราทราบว่ามนุษย์ไม่ได้พ้นผิดโดยการปฏิบัติตามกฎบัญญัติ แต่พ้นผิดเพราะมีความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ดังนั้น พวกเราจึงได้เชื่อในพระเยซูคริสต์ เพื่อว่าเราจะพ้นผิดได้โดยการเชื่อในพระคริสต์ ไม่ใช่โดยการปฏิบัติตามกฎบัญญัติ ด้วยว่าไม่มีใครที่จะพ้นผิดได้จากการปฏิบัติตามกฎบัญญัติ
17 ถ้าในขณะที่เราหาหนทางที่จะพ้นผิดโดยผ่านพระคริสต์แล้ว กลับพบว่าเราเป็นคนบาป หมายความว่า พระคริสต์เป็นผู้ส่งเสริมให้เราทำบาปอย่างนั้นหรือ ไม่ใช่แน่ 18 ถ้าข้าพเจ้าสร้างสิ่งที่ข้าพเจ้าทำลายขึ้นมาใหม่ ก็หมายความว่าข้าพเจ้าเป็นคนละเมิดกฎ 19 เพราะโดยกฎบัญญัติแล้ว ข้าพเจ้าตายจากกฎบัญญัติ เพื่อจะได้มีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า 20 ข้าพเจ้าถูกตรึงบนไม้กางเขนด้วยกันกับพระคริสต์แล้ว และไม่ใช่ข้าพเจ้าที่ดำรงชีวิตอยู่ แต่พระคริสต์ดำรงอยู่ในตัวข้าพเจ้า และชีวิตที่ข้าพเจ้าดำรงอยู่ในร่างกายนี้ ข้าพเจ้าดำรงอยู่ด้วยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า ผู้รักข้าพเจ้า และสละชีวิตเพื่อข้าพเจ้า 21 ข้าพเจ้าไม่ยอมปฏิเสธพระคุณของพระเจ้า เพราะถ้าความชอบธรรมได้มาโดยทางกฎบัญญัติแล้ว การที่พระคริสต์สิ้นชีวิตก็ไร้ประโยชน์
การเผยความกล่าวโทษอียิปต์
29 ในวันที่สิบสองของเดือนสิบ ปีที่สิบ[a] พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 2 “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงหันหน้าสู่ฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์[b] และเผยความกล่าวโทษเขาและชาวอียิปต์ทั้งปวง 3 จงพูดกับพวกเขาว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้
‘ดูเถิด เราจะขัดขวางเจ้า
ฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์
มังกรใหญ่ที่นอนอยู่ในท่ามกลาง
แม่น้ำหลายสาย
เจ้าพูดดังนี้ว่า “แม่น้ำไนล์เป็นของเรา
เราสร้างมันขึ้นมาเอง”
4 เราจะใช้เบ็ดเกี่ยวขากรรไกรของเจ้า
และจะทำให้ปลาในแม่น้ำของเจ้าติดที่เกล็ดของเจ้า
และเราจะลากเจ้าขึ้นมาจากกลางแม่น้ำของเจ้า
พร้อมกับปลาทุกตัวจากแม่น้ำของเจ้า
ที่ติดเกล็ดของเจ้ามาด้วย
5 และเราจะเหวี่ยงเจ้าเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร
ทั้งตัวเจ้าและปลาทุกตัวจากแม่น้ำของเจ้า
เจ้าจะตกบนทุ่งกว้าง
และจะไม่มีใครเก็บหรือรวบรวมเจ้า
เราจะให้เจ้าเป็นอาหารแก่พวก
สัตว์ป่าบนโลกและนกในอากาศ
6 แล้วบรรดาผู้อยู่อาศัยของอียิปต์จะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า
เพราะพวกเขาเป็นเหมือนไม้เท้าที่ทำจากไม้อ้อสำหรับพงศ์พันธุ์อิสราเอลตลอดมา 7 เมื่อมือของพวกเขาคว้าเจ้า เจ้าก็หักและฉีกบ่าของพวกเขา และเมื่อพวกเขาพิงเจ้า เจ้าก็หักและทำให้ตะโพกของพวกเขาสั่นสะท้าน’ 8 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า ‘ดูเถิด เราจะนำคนมาต่อสู้กับเจ้า และเราจะทำลายประชาชนและสัตว์เลี้ยง 9 แผ่นดินอียิปต์จะเป็นที่รกร้างและพินาศ แล้วพวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า
เพราะเจ้าพูดดังนี้ว่า “แม่น้ำไนล์เป็นของเรา เราสร้างมันขึ้นมาเอง” 10 ฉะนั้นเราจะขัดขวางเจ้าและแม่น้ำของเจ้า และเราจะทำให้แผ่นดินอียิปต์พินาศและกลายเป็นที่รกร้าง ตั้งแต่มิกดลถึงสิเอเน ไกลไปจนถึงชายแดนคูช[c] 11 จะไม่มีเท้าของมนุษย์คนไหนเดินผ่านไป จะไม่มีเท้าของสัตว์ป่าตัวไหนเดินผ่านไป มันจะไม่เป็นที่อยู่อาศัยเป็นเวลา 40 ปี 12 และเราจะทำให้แผ่นดินอียิปต์เป็นที่รกร้างในท่ามกลางหลายดินแดนที่พินาศ และเมืองต่างๆ ของอียิปต์จะเป็นที่รกร้างเป็นเวลา 40 ปีในบรรดาเมืองที่พินาศ เราจะทำให้ชาวอียิปต์กระจัดกระจายไปในท่ามกลางบรรดาประชาชาติ และจะทำให้พวกเขากระเจิดกระเจิงไปในหลายดินแดน’”
13 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “เมื่อสิ้น 40 ปีแล้ว เราจะรวบรวมชาวอียิปต์จากท่ามกลางชนชาติที่พวกเขาได้กระจัดกระจายไปอยู่ด้วย 14 และเราจะทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของอียิปต์คืนสู่สภาพเดิม และนำพวกเขากลับสู่แผ่นดินปัทโรสซึ่งเป็นแผ่นดินดั้งเดิมของพวกเขา และพวกเขาจะเป็นอาณาจักรที่ตกต่ำอยู่ที่นั่น 15 อียิปต์จะตกต่ำที่สุดในบรรดาอาณาจักรทั้งหลาย และจะไม่มีวันยกย่องตนเองเหนือบรรดาประชาชาติ และเราจะทำให้พวกเขาอ่อนกำลังจนปกครองประชาชาติเหล่านั้นไม่ได้อีก 16 และอียิปต์จะไม่มีวันเป็นที่พึ่งพาของพงศ์พันธุ์อิสราเอลอีกต่อไป แต่จะเตือนใจในการทำบาปของพวกเขาโดยที่หันไปขอความช่วยเหลือจากอียิปต์ แล้วพวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่”
17 ในวันแรกของเดือนแรก ปีที่ยี่สิบเจ็ด[d] พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 18 “บุตรมนุษย์เอ๋ย เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนบัญชากองทัพของเขาให้สู้รบกับไทระอย่างหนัก ทหารทุกคนถูกโกนศีรษะ และแบกหามจนบ่าสึกกร่อน แต่ทั้งตัวเขาและกองทัพของเขาไม่ได้รับสิ่งใดจากไทระ แม้แต่ค่าชดใช้แรงงานที่สูญเสียไปก็ตาม” 19 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “ดูเถิด เราจะมอบแผ่นดินอียิปต์ให้แก่เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน เขาจะขนความมั่งมีของอียิปต์และยึดของที่ปล้นไป ให้เป็นค่าแรงของกองทัพของเขา 20 เราได้มอบอียิปต์ให้แก่เขาเป็นค่าแรงที่เขาพยายามลงแรง เพราะเขาและกองทัพของเขาทำเพื่อเรา” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น
21 “ในวันนั้น เราจะทำให้พละกำลังผุดขึ้นเพื่อพงศ์พันธุ์อิสราเอล และเราจะเปิดปากของเจ้าในหมู่พวกเขา แล้วพวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า”
พระเจ้าเบื้องหลังชนชาติอิสราเอลที่กระทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เพลงสดุดีแห่งความฉลาดรอบรู้ของอาสาฟ
1 ชนชาติของเราเอ๋ย จงฟังคำสอนของเราเถิด
เงี่ยหูฟังคำพูดจากปากของเรา
2 เราจะเปิดปากของเรากล่าวคำอุปมา[a]
เราจะเล่าเรื่องที่ปิดบังไว้แต่ครั้งโบราณกาล
3 เรื่องที่พวกเราได้ยินและรู้มา
เป็นสิ่งที่บรรพบุรุษของเราเล่าขานให้พวกเราฟัง
4 เราจะไม่ปิดบังพวกลูกหลานของท่านในเรื่องเหล่านี้
แต่จะบอกคนยุคต่อไปให้ทราบถึง
การกระทำและอานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งควรแก่การสรรเสริญ
และสิ่งมหัศจรรย์ที่พระองค์ได้กระทำ
5 พระองค์มอบคำสั่งแก่ผู้สืบตระกูลของยาโคบ
และตั้งกฎบัญญัติในอิสราเอล
และพระองค์สั่งบรรพบุรุษของเราให้สอน
พวกลูกๆ ของเขา
6 เพื่อยุคต่อไปที่จะเกิดมาภายหลังจะได้เรียนรู้ไว้
และบอกพวกลูกๆ ของตนต่อๆ กันไป[b]
7 เพื่อพวกเขาจะได้ตั้งความหวังในพระเจ้า
และไม่ลืมสิ่งที่พระเจ้ากระทำ
อีกทั้งปฏิบัติตามข้อบัญญัติของพระองค์
8 พวกเขาไม่ควรเป็นเหมือนบรรพบุรุษของเขาคือ
เป็นยุคที่ดื้อรั้นและฝ่าฝืน
เป็นยุคที่มีใจโลเล
มีจิตวิญญาณที่ไม่ภักดีต่อพระเจ้า
9 พวกเอฟราอิมที่สะพายคันธนูพร้อมรบ
แต่กลับหลังหันในวันสงคราม
10 พวกเขาไม่ได้ทำตามพันธสัญญาของพระเจ้า
และไม่ยอมเชื่อฟังกฎบัญญัติของพระองค์
11 พวกเขาลืมสิ่งที่พระองค์ได้กระทำ
และสิ่งมหัศจรรย์ที่พระองค์ได้แสดงให้พวกเขาเห็นแล้ว
12 ขณะที่บรรพบุรุษของพวกเขาเฝ้าดู
พระเจ้าก็ได้แสดงสิ่งอัศจรรย์ต่างๆ ในดินแดนอียิปต์ ที่ไร่นาของโศอัน
13 พระองค์แหวกน้ำทะเลออกจากกันเพื่อให้พวกเขาเดินผ่านไป
และทำให้น้ำแหวกเป็นสองฟากฝั่งสูงทะมึน[c]
14 กลางวันพระองค์นำพวกเขาไปใต้เงาเมฆ
และอาศัยแสงจากเพลิงไฟตลอดทั้งคืน[d]
15 พระองค์ทำให้หินในถิ่นทุรกันดารแตกออก
เพื่อให้พวกเขามีน้ำดื่มได้มากมายราวกับน้ำจากห้วงน้ำลึก
16 พระองค์ทำให้ธารน้ำไหลออกจากหิน
และทำให้น่านน้ำไหลลงดั่งแม่น้ำ[e]
17 ถึงกระนั้นพวกเขายังกระทำบาปต่อพระองค์ไว้มาก
เขาลองดีกับองค์ผู้สูงสุดในถิ่นทุรกันดาร
18 พวกเขาตั้งใจลองดีกับพระเจ้า
โดยเรียกร้องอาหารที่เขานึกอยาก
19 พวกเขาพูดเหยียดหยามพระเจ้าว่า
“พระเจ้าจะหาสำรับในถิ่นทุรกันดารมาให้ได้ไหม
20 พระองค์กระทบหินเพื่อให้น้ำพวยพุ่งขึ้น
และลำธารไหลล้น
พระองค์ให้ขนมปัง
หรือจัดหาเนื้อสัตว์เพื่อชนชาติของพระองค์ได้ด้วยหรือ”
21 ครั้นพระผู้เป็นเจ้าได้ยินก็โกรธเกรี้ยว
ความกริ้วของพระองค์ที่มีต่อยาโคบปะทุขึ้นดั่งเพลิง
ลุกโชนขึ้นต่ออิสราเอล
22 เพราะพวกเขาไม่มีความเชื่อในพระเจ้า
และไม่วางใจในอานุภาพของพระองค์ที่จะช่วยเขาให้รอดพ้นได้
23 ถึงกระนั้นพระองค์ยังบัญชาหมู่เมฆเบื้องบน
และเปิดประตูท้องฟ้า
24 แล้วพระองค์โปรดให้มานาโปรยลงมาให้พวกเขารับประทาน
พระองค์ให้เมล็ดข้าวแห่งสวรรค์แก่พวกเขา
25 แต่ละคนได้รับประทานขนมปังของทูตสวรรค์
พระองค์ให้อาหารแก่พวกเขาอย่างอุดมสมบูรณ์
26 พระองค์ทำให้ลมตะวันออกพัดในฟ้าสวรรค์
และพระองค์นำลมใต้ออกไปด้วยพละกำลังของพระองค์
27 พระองค์โปรดให้เนื้อสัตว์เทลงมาเพื่อพวกเขามากมายราวกับฝุ่นผง
เป็นตัวนกจำนวนมากราวกับเม็ดทรายในทะเล
28 พระองค์ทำให้เนื้อสัตว์ตกอยู่ท่ามกลางค่ายของพวกเขา
รอบๆ บริเวณที่เขาอาศัยอยู่
29 แล้วพวกเขารับประทานกันจนอิ่มหนำ
เพราะพระองค์ให้สิ่งที่พวกเขาอยาก
30 แต่ยังไม่ทันหายอยาก
คือในขณะที่อาหารยังอยู่ในปากพวกเขา
31 ความกริ้วของพระเจ้าก็พลุ่งขึ้นต่อพวกเขา
แล้วพระองค์ฆ่าชายฉกรรจ์ที่สุดของพวกเขา
พระองค์ทำให้บรรดาชายหนุ่มที่เก่งกาจของอิสราเอลสิ้นชีวิตลง[f]
32 แม้กระนั้นพวกเขายังจะทำบาปอีก
แม้พระองค์ได้ทำให้เห็นสิ่งอัศจรรย์ต่างๆ แล้ว พวกเขาก็ยังไม่เชื่อ
33 ดังนั้น พระองค์ทำให้วันเวลาของเขาสิ้นสุดลงดั่งลมหายใจ
และปีของเขามีแต่ความพินาศ
34 ในยามที่พระองค์ฆ่าพวกเขา พวกเขาก็แสวงหาพระองค์
กลับใจและหันเข้าหาพระเจ้าอย่างจริงจัง
35 และจำได้ว่า พระเจ้าเป็นดั่งศิลาของพวกเขา
พระเจ้าผู้สูงสุดเป็นผู้ไถ่บาปของพวกเขา
36 แต่กลับลวงพระองค์ด้วยคำพูดจากปาก
และพูดคำเท็จด้วยลิ้นของพวกเขา
37 ใจของพวกเขาไม่มั่นคงต่อพระองค์
และไม่ภักดีต่อพันธสัญญาของพระองค์
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation