M’Cheyne Bible Reading Plan
อับซาโลมถูกสังหาร
18 ครั้นแล้วดาวิดก็ตรวจพลที่อยู่กับท่าน และแต่งตั้งผู้บังคับกองพันและกองร้อยให้ควบคุม 2 และดาวิดส่งกองทัพออกไป ให้หนึ่งส่วนสามอยู่ใต้บังคับบัญชาของโยอาบ หนึ่งส่วนสามอยู่ใต้บังคับบัญชาของอาบีชัยน้องชายโยอาบ บุตรนางเศรุยาห์ และหนึ่งส่วนสามอยู่ใต้บังคับบัญชาของอิททัยชาวกัท และกษัตริย์กล่าวกับพวกทหารว่า “เราเองจะออกศึกไปกับพวกท่านด้วย” 3 แต่พวกทหารบอกว่า “ท่านอย่าออกไปด้วยเลย เพราะถ้าพวกเราหนีไป พวกเขาก็จะไม่สนใจเรา ถ้าพวกเราตายไปสักครึ่งหนึ่ง พวกเขาก็ไม่สนใจเรา แต่ท่านมีค่าเท่าพวกเราหมื่นคน ฉะนั้นท่านส่งความช่วยเหลือจากเมืองมาให้พวกเราก็จะดีกว่า” 4 กษัตริย์กล่าวตอบว่า “เราจะทำสิ่งที่พวกท่านเห็นว่าดีที่สุด” ดังนั้นกษัตริย์ยืนอยู่ที่ข้างประตูเมือง ขณะที่กองทัพเดินออกไปเป็นร้อยเป็นพัน 5 และกษัตริย์สั่งโยอาบ อาบีชัย และอิททัยว่า “กระทำต่อชายหนุ่มอับซาโลมให้เบามือหน่อย เพื่อเห็นแก่เรา” ทหารทุกคนได้ยินเมื่อกษัตริย์สั่งกับเหล่าผู้บังคับบัญชาเรื่องอับซาโลม
6 ดังนั้น กองทัพจึงเคลื่อนออกไปในทุ่งกว้างเพื่อต่อสู้กับชาวอิสราเอล สงครามนี้เกิดขึ้นในป่าเอฟราอิม 7 และทหารรับใช้ของดาวิดต่อสู้จนชาวอิสราเอลพ่ายแพ้ที่นั่น เกิดความเสียหายมากในวันนั้น ทหารตาย 20,000 คน 8 สงครามครั้งนั้นแพร่ไปทั่วอาณาเขต และในวันนั้นทหารเสียชีวิตเนื่องจากเหตุในป่ามากกว่าเหตุเพราะดาบ
9 อับซาโลมบังเอิญเผชิญหน้ากับทหารรับใช้ของดาวิด อับซาโลมกำลังขี่ล่อ และล่อก็วิ่งเข้าไปใต้ต้นโอ๊กใหญ่ที่มีกิ่งไม้หนาทึบ ทำให้ศีรษะของเขาติดอยู่ที่ใต้ต้นไม้ แต่ล่อก็ยังวิ่งต่อไป ร่างของเขาจึงห้อยโตงเตง 10 คนของดาวิดคนหนึ่งเห็นก็บอกโยอาบว่า “ดูเถิด เราเห็นอับซาโลมห้อยอยู่ใต้ต้นโอ๊ก” 11 โยอาบพูดกับคนนั้นว่า “อะไรนะ เจ้าเห็นเขาแล้ว ทำไมจึงไม่ฆ่าเขาให้ติดดินที่นั่นเลยล่ะ เราจะยินดีให้รางวัล 10 เหรียญเงินกับเข็มขัด 1 เส้นแก่เจ้า” 12 แต่ชายคนนั้นพูดกับโยอาบว่า “ถึงแม้ว่าเราจะได้ 1,000 เหรียญเงินอยู่ในมือ เราก็จะไม่เหยียดมือต่อสู้กับบุตรของกษัตริย์หรอก พวกเราได้ยินกษัตริย์บัญชาท่านกับอาบีชัยและอิททัยว่า ‘จงปกป้องเจ้าหนุ่มอับซาโลม เพื่อเห็นแก่เราเถิด’ 13 แต่ถ้าเราทำอะไรรุนแรงต่อชีวิตของอับซาโลม (ไม่มีสิ่งใดหลบซ่อนไปจากสายตาของกษัตริย์ได้) ท่านก็คงจะปล่อยให้เราถูกตำหนิ” 14 โยอาบพูดว่า “เราจะไม่เสียเวลาเช่นนี้กับเจ้า” และเขาก็หยิบหลาว 3 อันไป และแทงที่หัวใจของอับซาโลมขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ใต้ต้นโอ๊ก 15 ทหารหนุ่ม 10 คนที่ถืออาวุธของโยอาบมาล้อมอับซาโลม และประหารชีวิตเขา
16 โยอาบเป่าแตรงอน และกองทหารก็กลับมาจากการไล่ล่าชาวอิสราเอล เพราะโยอาบส่งสัญญาณให้หยุดต่อสู้ 17 พวกทหารโยนอับซาโลมลงในหลุมลึกที่ในป่า และกลบด้วยหินกองใหญ่ ฝ่ายชาวอิสราเอลทุกคนก็หนีกลับบ้านไป 18 เมื่ออับซาโลมยังมีชีวิตอยู่ เขาได้ตั้งเสาหลักไว้ในหุบเขาของกษัตริย์ เพราะเขากล่าวว่า “เราไม่มีบุตรสืบนามของเราให้เป็นที่รำลึกถึง” เขาตั้งชื่อเสาหลักตามชื่อของตน และเรียกกันว่าอนุสรณ์อับซาโลมมาจนถึงทุกวันนี้
ดาวิดทราบเรื่องอับซาโลม
19 อาหิมาอัสบุตรของศาโดกพูดว่า “ให้ข้าพเจ้าวิ่งนำข่าวไปเรียนกษัตริย์ว่า พระผู้เป็นเจ้าได้ช่วยท่านให้รอดจากมือของศัตรูแล้ว” 20 โยอาบพูดกับเขาว่า “วันนี้เจ้าอย่านำข่าวไปเลย รอไว้วันอื่นเถอะ วันนี้เจ้าจะไม่นำข่าวใดๆ ไป เพราะบุตรของกษัตริย์สิ้นชีวิต” 21 โยอาบบอกชาวคูชคนหนึ่งว่า “เจ้าจงไปเรียนกษัตริย์ว่าเจ้าได้เห็นอะไร” ชาวคูชคนนั้นโค้งคำนับโยอาบและวิ่งไป 22 อาหิมาอัสบุตรของศาโดกพูดกับโยอาบอีกว่า “อะไรจะเกิดขึ้นก็ตามที ให้ข้าพเจ้าวิ่งตามชาวคูชไปด้วยเถิด” โยอาบตอบว่า “ลูกเอ๋ย เจ้าจะวิ่งไปทำไม ทั้งที่เห็นแล้วว่าเจ้าจะไม่ได้รางวัลจากข่าวนั้น” 23 เขาพูดว่า “อะไรจะเกิดขึ้นก็ตามที ข้าพเจ้าจะวิ่งไป” โยอาบตอบว่า “วิ่งไปเถอะ” อาหิมาอัสก็วิ่งไปทางที่ราบ และถึงก่อนชาวคูช
24 ดาวิดกำลังนั่งอยู่ระหว่างประตูเมืองสองข้าง คนเฝ้ายามขึ้นไปบนดาดฟ้าของประตูข้างกำแพง เมื่อเขาเงยหน้ามองดูก็เห็นชายคนหนึ่งกำลังวิ่งมาแต่ลำพัง 25 ยามคนนั้นจึงตะโกนให้กษัตริย์ทราบ กษัตริย์กล่าวว่า “ถ้าเขามาแต่ลำพัง เขาต้องคาบข่าวมา” คนวิ่งก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ 26 คนยามเห็นชายอีกคนกำลังวิ่ง เขาจึงร้องบอกไปที่ประตูเมืองว่า “ดูสิ มีชายอีกคนกำลังวิ่งแต่ลำพัง” กษัตริย์กล่าวว่า “เขาก็นำข่าวมาด้วย” 27 คนยามบอกว่า “ข้าพเจ้าคิดว่าคนแรกวิ่งเหมือนอาหิมาอัสบุตรของศาโดก” กษัตริย์กล่าวว่า “เขาเป็นคนดี และนำข่าวดีมา”
28 และอาหิมาอัสร้องบอกกษัตริย์ว่า “ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี” และเขาก้มหน้าซบดินเคารพกษัตริย์ และเรียนว่า “สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน พระองค์ได้มอบบรรดาคนที่ต่อต้านเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์” 29 กษัตริย์กล่าวว่า “เป็นไปด้วยดีกับเจ้าหนุ่มอับซาโลมหรือ” อาหิมาอัสตอบว่า “เมื่อโยอาบให้ข้าพเจ้าผู้เป็นข้ารับใช้ของกษัตริย์มา ข้าพเจ้าเห็นคนอลหม่าน แต่ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น” 30 กษัตริย์กล่าวว่า “มายืนที่นี่” เขาจึงขยับตัวไปยืนอยู่นิ่ง
ดาวิดเศร้าโศก
31 ดูเถิด ชาวคูชคนนั้นมาถึง และเรียนว่า “ข่าวดีถึงเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ เพราะว่าวันนี้พระผู้เป็นเจ้าได้ช่วยท่านให้พ้นจากมือของทุกคนที่ตั้งตัวเป็นศัตรูต่อท่าน” 32 กษัตริย์ถามชาวคูชว่า “เป็นไปด้วยดีกับเจ้าหนุ่มอับซาโลมหรือ” ชาวคูชตอบว่า “ขอให้เหล่าศัตรูของเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ และทุกคนที่ตั้งตัวเป็นศัตรูมุ่งร้ายต่อท่านจงเป็นอย่างชายหนุ่มคนนั้นเถิด” 33 กษัตริย์เป็นทุกข์ยิ่งนัก และขึ้นไปยังห้องบนประตูเมือง และร้องคร่ำครวญ ขณะที่เดินไปท่านกล่าวว่า “โอ อับซาโลมบุตรของเรา บุตรของเรา อับซาโลมบุตรของเรา เราน่าจะตายแทนเจ้าได้ โอ อับซาโลม บุตรของเรา บุตรของเรา”
เปาโลและอัครทูตจอมปลอม
11 ข้าพเจ้าหวังว่าท่านจะทนต่อความเขลาของข้าพเจ้าสักหน่อย แต่ความจริงท่านก็กำลังทนอยู่แล้ว 2 ข้าพเจ้าหวงแหนท่านอย่างที่พระเจ้าหวงแหน เพราะข้าพเจ้าได้หมั้นพวกท่านไว้กับสามีผู้เดียว คือพระคริสต์ เพื่อข้าพเจ้าจะได้มอบท่านดั่งพรหมจาริณีผู้บริสุทธิ์ 3 แต่ข้าพเจ้ากลัวว่า เจ้างูได้ใช้ความฉลาดแกมโกงล่อลวงเอวาอย่างไร ความคิดของท่านก็จะถูกนำให้หลงไปจากการอุทิศตนที่บริสุทธิ์และจริงใจต่อพระคริสต์อย่างนั้น 4 ถ้ามีคนหนึ่งมาประกาศถึงพระเยซูอื่นที่เราไม่ได้ประกาศ หรือถ้าท่านได้รับวิญญาณอื่นที่ต่างจากพระวิญญาณที่ท่านได้รับมาแล้ว หรือถ้ารับข่าวประเสริฐอื่นซึ่งต่างจากที่ท่านได้รับมาแล้ว พวกท่านก็ยังทนฟังได้ดีเสียจริงๆ 5 ข้าพเจ้าไม่นับว่าตัวเองนั้นด้อยกว่าบรรดาอัครทูตที่ท่านเรียกว่า “อัครทูตชั้นเยี่ยม” กัน 6 ถ้าถึงแม้ว่าข้าพเจ้าไม่ชำนาญในการพูด แต่ข้าพเจ้ามีความรู้ ตามที่ท่านได้เห็นแล้วจากทุกสิ่งที่เราได้กระทำไป
7 ข้าพเจ้าทำบาปหรือ ที่ถ่อมตัวลงเพื่อยกท่านขึ้น ในเมื่อข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าแก่ท่านโดยไม่คิดเงิน 8 ข้าพเจ้าได้รับเงินจากคริสตจักรอื่นๆ มาราวกับว่า ข้าพเจ้าปล้นพวกเขามาก็เพื่อรับใช้พวกท่าน 9 เมื่อข้าพเจ้าอยู่กับท่านและต้องการความช่วยเหลือ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้เป็นภาระให้กับผู้ใด เพราะเมื่อพี่น้องมาจากมาซิโดเนีย พวกเขาก็ได้ช่วยจัดหาทุกสิ่งให้ครบ ข้าพเจ้าไม่เคยทำตัวเป็นภาระในเรื่องใดให้กับพวกท่านเลย และก็จะเป็นเช่นนั้นต่อไป 10 ตราบที่ความจริงของพระคริสต์ยังคงอยู่ในตัวข้าพเจ้า จะไม่มีใครห้ามข้าพเจ้าให้หยุดโอ้อวดเรื่องนี้ในเขตแคว้นอาคายา 11 ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพราะข้าพเจ้าไม่รักท่านหรือ พระเจ้าทราบว่าข้าพเจ้ารักพวกท่าน
12 อะไรก็ตามที่ข้าพเจ้ากระทำอยู่ ข้าพเจ้าก็จะกระทำต่อไป เพื่อปิดโอกาสไม่ให้พวกที่ต้องการฉวยโอกาสโอ้อวดว่า เขาทำงานเหมือนกับที่เราทำ 13 เพราะคนพวกนี้เป็นอัครทูตจอมปลอม เป็นคนงานที่ไม่ซื่อสัตย์ ปลอมตัวเป็นอัครทูตของพระคริสต์ 14 มิน่าเล่า แม้แต่ซาตานเองก็ยังทำตนราวกับว่าเป็นทูตสวรรค์แห่งความสว่าง 15 ฉะนั้นไม่เป็นที่น่าแปลกใจเลย หากว่าผู้รับใช้ของซาตานปลอมตัวเป็นผู้รับใช้แห่งความชอบธรรม จุดจบของพวกนั้นจะเป็นไปตามการกระทำของเขา
16 ข้าพเจ้าขอย้ำอีกว่า อย่าให้ใครคิดว่าข้าพเจ้าโง่เขลา แต่ถ้าท่านคิดเช่นนั้นก็ขอให้รับข้าพเจ้าเหมือนรับคนโง่เขลา ข้าพเจ้าจะได้ขอโอ้อวดบ้าง 17 เวลาข้าพเจ้าพูดโอ้อวดเช่นนี้ ข้าพเจ้าไม่ได้พูดเหมือนพระผู้เป็นเจ้าจะพูดหรอก แต่เหมือนคนโง่เขลา 18 ในเมื่อคนจำนวนมากโอ้อวดไปตามเหตุผลของมนุษย์ ข้าพเจ้าก็จะโอ้อวดเช่นกัน 19 พวกท่านช่างฉลาดนัก ท่านจึงได้ยินดีทนต่อคนโง่เขลา 20 ความจริงแล้ว พวกท่านยอมทนต่อคนที่ทำให้ท่านเป็นทาส คนที่ใช้ท่านเพื่อประโยชน์ของเขาเอง หรือเอาเปรียบท่าน หรือยกตนเหนือคนอื่น หรือตบหน้าท่าน 21 ข้าพเจ้ายอมรับด้วยความละอายว่า พวกเราอ่อนแอเกินไปในเรื่องนี้
เปาโลโอ้อวดถึงการทนทุกข์
แต่ถ้าใครกล้าโอ้อวดสิ่งใด ตามความเขลาแล้วข้าพเจ้าก็กล้าโอ้อวดเท่าคนนั้นเหมือนกัน 22 พวกเขาเป็นชาวฮีบรูหรือ ข้าพเจ้าก็เป็นเช่นกัน พวกเขาเป็นชนชาติอิสราเอลหรือ ข้าพเจ้าก็เป็นเช่นกัน พวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ของอับราฮัมหรือ ข้าพเจ้าก็เป็นเช่นกัน 23 พวกเขาเป็นผู้รับใช้ของพระคริสต์หรือ (ข้าพเจ้าพูดอย่างคนเสียสติ) ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้มากกว่าเสียอีก ลงแรงมากกว่า ถูกจำคุกมากกว่า ถูกเฆี่ยนตีนับครั้งไม่ถ้วน อยู่ในขั้นสาหัสเจียนตายหลายครั้ง 24 ชาวยิวเฆี่ยนข้าพเจ้า 5 ครั้งๆ ละ 40 ทีหักออกเสีย 1 ที 25 ข้าพเจ้าถูกโบยด้วยไม้เรียว 3 ครั้ง ถูกหินขว้าง 1 ครั้ง เรือแตก 3 ครั้ง ข้าพเจ้าลอยคออยู่กลางทะเลตลอดทั้งวันและทั้งคืน 26 ข้าพเจ้าเดินทางตลอดเวลา ได้รับภัยจากแม่น้ำ จากโจร จากคนชาติเดียวกันเอง จากบรรดาคนนอก เผชิญภัยทั้งในตัวเมืองและในถิ่นทุรกันดาร ภัยในทะเลและภัยจากพี่น้องจอมปลอม 27 ข้าพเจ้าทำงานหนักและทนต่อความลำบาก ไม่ได้หลับนอนหลายคืน ทั้งหิวและกระหาย บ่อยครั้งที่ไม่มีอาหารรับประทาน ทั้งหนาวและเปลือยกาย 28 นอกเหนือจากสิ่งเหล่านี้แล้ว มีสิ่งที่กดดันข้าพเจ้า คือความห่วงใยในทุกคริสตจักรเป็นประจำทุกวัน 29 ใครบ้างที่อ่อนแอโดยที่ข้าพเจ้าไม่อ่อนแอด้วย ใครบ้างที่ถูกชักนำให้กระทำบาปโดยที่ข้าพเจ้าไม่ขุ่นเคือง
30 ถ้าข้าพเจ้าต้องโอ้อวด ก็จะโอ้อวดถึงสิ่งที่แสดงความอ่อนแอของข้าพเจ้า 31 พระเจ้าผู้เป็นพระบิดาของพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ควรแก่การสรรเสริญตลอดกาล พระองค์ทราบว่าข้าพเจ้าไม่ได้พูดเท็จ 32 ผู้ว่าราชการเมืองของกษัตริย์อาเรทัสในเมืองดามัสกัส ได้เฝ้าเมืองดามัสกัสไว้เพื่อจับกุมข้าพเจ้า 33 แต่มีคนหย่อนข้าพเจ้าลงในตะกร้าทางช่องที่กำแพง จึงได้หนีรอดเงื้อมมือเขามาได้
การเผยความกล่าวโทษชาวอัมโมน
25 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 2 “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงหันหน้าสู่ชาวอัมโมนและเผยความกล่าวโทษพวกเขา 3 จงบอกชาวอัมโมนให้ฟังคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ เพราะเจ้าพูดว่า ‘นั่นแน่ะ’ กับที่พำนักของเราเมื่อถูกดูหมิ่น และกับแผ่นดินของอิสราเอลเมื่อถูกทำให้เป็นที่รกร้าง และกับพงศ์พันธุ์ยูดาห์เมื่อพวกเขาต้องลี้ภัย 4 ฉะนั้น ดูเถิด เราจะมอบเจ้าให้แก่ประชาชนของชาติตะวันออกให้เป็นสมบัติของพวกเขา และพวกเขาจะตั้งค่ายในที่ของเจ้าและอาศัยอยู่ท่ามกลางเจ้า พวกเขาจะกินผลไม้ของเจ้า และจะดื่มนมของเจ้า 5 เราจะทำรับบาห์[a]ให้เป็นทุ่งหญ้าสำหรับอูฐ และทำอัมโมนให้เป็นที่พักสำหรับแกะ แล้วเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า” 6 เพราะพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “เพราะเจ้าปรบมือและยกเท้ากระทืบ และจิตใจของเจ้าเริงร่าที่มุ่งร้ายต่อแผ่นดินของอิสราเอล 7 ฉะนั้น ดูเถิด เราได้ยื่นมือของเราออกเพื่อลงโทษเจ้า และให้เจ้าตกเป็นเหยื่อของบรรดาประชาชาติ และเราจะตัดเจ้าขาดจากบรรดาชนชาติ และจะทำให้เจ้าตายในแผ่นดินที่อยู่ห่างไกล เราจะทำให้เจ้าพินาศ แล้วเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า”
การเผยความกล่าวโทษโมอับและเสอีร์
8 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ “เพราะโมอับและเสอีร์พูดว่า ‘ดูเถิด พงศ์พันธุ์ยูดาห์เป็นเหมือนประชาชาติทั้งปวง’ 9 ฉะนั้นเราจะเปิดชายแดนซึ่งเป็นความภาคภูมิของแผ่นดินโมอับให้โล่ง โดยเริ่มจากเมืองพรมแดนคือ เบธเยชิโมท เมืองบาอัลเมโอน และเมืองคีริยาทาอิม 10 เราจะมอบโมอับพร้อมกับชาวอัมโมนให้แก่ชาวตะวันออกให้เป็นสมบัติของพวกเขา และชาวอัมโมนจะไม่เป็นที่ระลึกถึงในบรรดาประชาชาติ 11 และเราจะลงโทษโมอับ แล้วพวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า”
การเผยความกล่าวโทษเอโดม
12 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่า เพราะเอโดมแก้แค้นพงศ์พันธุ์ยูดาห์ และขุ่นเคืองที่รู้สึกผิดต่อการแก้แค้นนั้น 13 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “เราจะยื่นมือของเราออกเพื่อลงโทษเอโดม และทำลายประชาชนและสัตว์เลี้ยง เราจะทำให้เอโดมเป็นที่ร้าง พวกเขาจะตายด้วยคมดาบตั้งแต่เมืองเทมานจนถึงเดดาน 14 เราจะแก้แค้นเอโดมด้วยมือของอิสราเอลชนชาติของเรา และพวกเขาจะกระทำต่อเอโดมตามความกริ้วและการลงโทษของเรา และพวกเขาจะรู้การแก้แค้นของเรา” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น
การเผยความกล่าวโทษฟีลิสเตีย
15 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่า เพราะฟีลิสเตียแก้แค้นด้วยจิตใจที่มุ่งร้าย ต้องการทำให้ยูดาห์พินาศและเป็นอริกันอย่างไม่จบสิ้น 16 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “ดูเถิด เราจะยื่นมือของเราออกเพื่อลงโทษชาวฟีลิสเตีย และเราจะตัดชาวเคเรธออกไป และกำจัดคนที่ยังเหลืออยู่ในแถบชายฝั่งทะเลให้พินาศ 17 เราจะแก้แค้นพวกเขาครั้งใหญ่ด้วยการห้ามอย่างโกรธกริ้ว แล้วพวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้าเมื่อเราแก้แค้นพวกเขา”
ภาค 3
บทที่ 73-89
ความยุติธรรมของพระเจ้า
เพลงสดุดีของอาสาฟ
1 จริงทีเดียว พระเจ้าดีต่อชาวอิสราเอล
ต่อบรรดาผู้มีใจบริสุทธิ์
2 แต่สำหรับข้าพเจ้า เท้าที่ก้าวออกไปของข้าพเจ้าแทบสะดุด
เท้าที่ก้าวเกือบทำให้พลาดพลั้ง
3 เพราะข้าพเจ้าอิจฉาคนยโส
เมื่อข้าพเจ้าเห็นความเจริญของพวกคนชั่ว
4 ด้วยว่า พวกเขาปราศจากความเจ็บปวด
ร่างกายเขาสมบูรณ์ และมีสุขภาพดี
5 พวกเขาไม่ลำบากเหมือนคนอื่นๆ
และไม่ถูกบั่นทอนเหมือนมนุษย์ทั่วไป
6 ฉะนั้น ความเย่อหยิ่งเป็นประหนึ่งสร้อยที่คล้องคอเขาไว้
การกระทำเลวร้ายปกปิดร่างกายเสมือนเครื่องนุ่งห่ม
7 ตาของพวกเขาถลนเพราะความอ้วนพี
จิตใจของพวกเขาเต็มด้วยความหลอกลวง
8 เขาเยาะเย้ยและกล่าวร้าย
เขาเอ่ยปากข่มขู่บีบคั้นด้วยความโอหัง
9 ปากของเขาพูดท้าทายสรวงสวรรค์
และลิ้นก็ระรานไปทั่วแผ่นดินโลก
10 ดังนั้น ชนชาติของพระองค์กลับหันมายกย่องพวกเขา
และเชื่อฟังเขาทุกอย่าง
11 และเขาพูดว่า “พระเจ้าทราบได้อย่างไร
องค์ผู้สูงสุดทราบอะไรบ้าง”
12 ดูเถิด คนชั่วเป็นแบบนี้คือ
ชอบอยู่อย่างสบายตลอดกาล และร่ำรวยขึ้น
13 จริงทีเดียว มันเปล่าประโยชน์ที่ข้าพเจ้าได้ล้างมือ
แสดงความบริสุทธิ์ใจ
14 ข้าพเจ้าต้องทนทุกข์ตลอดวันเวลา
และถูกลงโทษทุกเช้า
15 หากข้าพเจ้าพูดว่า “ข้าพเจ้าจะพูดตามอย่างพวกเขา”
ก็จะกลายเป็นว่าข้าพเจ้าไม่จริงใจต่อพวกบุตรของพระองค์
16 แต่เมื่อข้าพเจ้าพยายามที่จะเข้าใจเรื่องนี้
ข้าพเจ้าก็อ่อนใจ
17 จนกระทั่งข้าพเจ้าเข้าไปในที่พำนักของพระเจ้า
แล้วข้าพเจ้าจึงเข้าใจจุดจบของพวกเขา
18 จริงทีเดียว พระองค์ให้พวกเขาอยู่ในที่ลื่น
พระองค์ทำให้เขาวอดวาย
19 พวกเขาถูกทำลายได้อย่างรวดเร็วอะไรเช่นนี้
และถูกกำจัดอย่างน่ากลัวโดยสิ้นเชิง
20 โอ พระผู้เป็นเจ้า
เมื่อพระองค์ตื่นขึ้น พระองค์ลืมพวกเขาจนหมดสิ้น
เหมือนกับผู้ที่ตื่นขึ้นจากความฝัน
21 เวลาข้าพเจ้ารู้สึกขมขื่นในใจ
ในยามที่ส่วนลึกในตัวข้าพเจ้าแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
22 ข้าพเจ้าโง่และไม่เข้าใจอะไร ณ เบื้องหน้าพระองค์
ข้าพเจ้าเป็นเพียงสัตว์ป่า
23 ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็จะอยู่กับพระองค์เสมอ
พระองค์จับมือขวาของข้าพเจ้าไว้
24 พระองค์นำทางข้าพเจ้าพร้อมด้วยคำแนะนำ
และสุดท้ายพระองค์จะรับข้าพเจ้าอย่างสมเกียรติ
25 ข้าพเจ้ามีใครในสวรรค์บ้างนอกจากพระองค์
และไม่มีอะไรในโลกที่ข้าพเจ้าต้องการนอกจากพระองค์
26 ทั้งกายและใจของข้าพเจ้าระทดท้อ
แต่พระเจ้าเป็นพลังใจของข้าพเจ้าโดยที่ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องมีสิ่งอื่นใดอีกเลย
27 ดูเถิด พวกที่ห่างเหินจากพระองค์จะพินาศ
พระองค์ทำให้ชีวิตของพวกที่ไม่จริงใจกับพระองค์จบลง
28 แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้ว นับว่าเป็นสิ่งดีที่ได้อยู่ใกล้ชิดพระเจ้า
ข้าพเจ้าให้พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เป็นที่พึ่งพิงของข้าพเจ้า
และข้าพเจ้าจะป่าวประกาศถึงสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ได้กระทำ
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation