M’Cheyne Bible Reading Plan
ดาวิดกับนางบัทเชบา
11 ในฤดูใบไม้ผลิอันเป็นช่วงที่กษัตริย์ทั้งหลายมักออกไปรบ ดาวิดทรงส่งโยอาบกับคนของพระองค์และกองทัพอิสราเอลทั้งหมดไปทำลายชาวอัมโมน พวกเขาล้อมเมืองรับบาห์ แต่ดาวิดยังคงประทับอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม
2 เย็นวันหนึ่งดาวิดเสด็จจากแท่นบรรทม ทรงดำเนินไปรอบๆ ดาดฟ้าพระราชวัง จากที่นั่นพระองค์ทรงสังเกตเห็นสตรีงดงามมากผู้หนึ่งกำลังอาบน้ำอยู่ 3 ดาวิดทรงใช้คนไปสืบดูว่านางเป็นใคร คนนั้นก็มาทูลว่า “นางคือบัทเชบาบุตรสาวของเอลีอัม เป็นภรรยาของอุรียาห์ชาวฮิตไทต์ไม่ใช่หรือ?” 4 ดาวิดจึงให้คนไปตามตัวนางมา และเมื่อนางมาเข้าเฝ้าก็ทรงร่วมหลับนอนกับนาง (นางเพิ่งเสร็จจากการชำระตัวหลังมีมลทิน) แล้ว[a]นางก็กลับบ้าน 5 เมื่อนางพบว่าตนตั้งครรภ์ก็ส่งข่าวมาถึงดาวิดทูลว่า “หม่อมฉันตั้งครรภ์”
6 ดาวิดส่งข้อความไปยังโยอาบว่า “จงส่งตัวอุรียาห์ชาวฮิตไทต์มาพบเรา” โยอาบก็ส่งเขามาเข้าเฝ้าดาวิด 7 เมื่ออุรียาห์มาถึง ดาวิดก็ตรัสถามถึงโยอาบและกองทัพว่าเป็นอย่างไรบ้าง สงครามคืบหน้าไปถึงไหน 8 แล้วดาวิดตรัสสั่งอุรียาห์ว่า “จงกลับไปบ้านพักผ่อนเถิด” อุรียาห์จึงออกจากพระราชวัง และดาวิดให้คนนำของกำนัลตามหลังเขาไป 9 แต่อุรียาห์ไม่ได้กลับบ้าน เขาค้างคืนอยู่ที่ประตูวังร่วมกับข้าราชบริพารคนอื่นๆ
10 เมื่อดาวิดทรงทราบว่าอุรียาห์ไม่ได้กลับบ้านก็ตรัสถามเขาว่า “เจ้าเพิ่งกลับมาจากแดนไกลไม่ใช่หรือ? ทำไมจึงไม่กลับบ้าน?”
11 อุรียาห์ทูลว่า “หีบพันธสัญญาและอิสราเอลกับยูดาห์ล้วนอยู่ในเต็นท์ ท่านแม่ทัพโยอาบและไพร่พลของฝ่าพระบาทล้วนตั้งค่ายอยู่กลางแจ้ง ควรหรือที่ข้าพระบาทจะกลับบ้าน กินดื่ม และหลับนอนกับภรรยา? ฝ่าพระบาททรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ข้าพระบาทจะไม่ทำเช่นนั้นเด็ดขาดฉันนั้น!”
12 ดาวิดตรัสว่า “เอาล่ะ คืนนี้ค้างเสียที่นี่เถิด แล้วพรุ่งนี้เราจะส่งเจ้ากลับไป” ฉะนั้นอุรียาห์จึงค้างอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มในวันนั้นและวันต่อมา 13 ดาวิดเรียกให้เขาร่วมโต๊ะเสวยและทรงมอมเหล้าเขา แต่เย็นวันนั้นอุรียาห์ก็ออกไปนอนบนเสื่อท่ามกลางข้าราชบริพารอื่นๆ ไม่ได้กลับบ้าน
14 เช้าวันรุ่งขึ้นดาวิดทรงส่งสาส์นถึงโยอาบ มอบให้อุรียาห์เป็นผู้ถือไป 15 ในสาส์นนั้นพระองค์ทรงเขียนว่า “จงส่งตัวอุรียาห์ออกไปที่ด้านหน้าของแนวรบที่อันตรายที่สุด แล้วถอยทัพปล่อยให้เขาถูกฆ่าตาย”
16 ขณะล้อมเมืองอยู่ โยอาบจึงมอบหมายให้อุรียาห์ไปยังตำแหน่งที่รู้ว่าศัตรูเข้มแข็งที่สุด 17 ชาวเมืองนั้นก็ออกมาสู้รบกับโยอาบ แล้วอุรียาห์ชาวฮิตไทต์ก็ถูกฆ่าตายพร้อมกับทหารบางคนของดาวิด
18 เมื่อโยอาบส่งรายงานการสู้รบมาทูลดาวิด 19 เขากำชับผู้สื่อสารว่า “เมื่อเจ้าทูลรายงานจบแล้ว 20 กษัตริย์อาจจะกริ้วและตรัสถามว่า ‘ทำไมพวกทหารถึงเข้าไปประชิดเมืองมากนักล่ะ? ไม่รู้หรือว่าอาจจะถูกธนูยิงมาจากกำแพง? 21 อาบีเมเลคบุตรเยรุบเบเชท[b]ก็ถูกฆ่าตายมาแล้วที่เธเบศโดยน้ำมือผู้หญิงที่ทุ่มหินโม่ลงมาจากกำแพงไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมพวกเจ้าจึงเข้าไปชิดกำแพงมากนักเล่า?’ ถ้าพระองค์ตรัสถามเช่นนี้ ก็จงทูลว่า ‘อุรียาห์ชาวฮิตไทต์คนรับใช้ของฝ่าพระบาทถูกฆ่าตายแล้ว’”
22 ผู้สื่อสารจึงเดินทางมาเข้าเฝ้า และกราบทูลดาวิดตามที่โยอาบสั่งทุกอย่าง 23 เขาทูลดาวิดว่า “ข้าศึกมีกำลังเหนือกว่าเราและออกมาสู้กับเราที่นอกเมือง แต่เรารุกไล่เขากลับไปที่ทางเข้าประตูเมือง 24 คนบนกำแพงยิงธนูเข้าใส่เรา ฝ่ายเราถูกฆ่าตายไปบ้าง แล้วอุรียาห์ชาวฮิตไทต์ก็ตายด้วย”
25 ดาวิดตรัสกับผู้สื่อสารว่า “บอกโยอาบว่า ‘อย่าท้อใจในเรื่องนี้ ดาบฆ่าคนไม่เลือกหน้า จงโจมตีเมืองนั้นต่อไปและทำลายเสีย’ จงพูดอย่างนี้เพื่อให้กำลังใจโยอาบด้วย”
26 เมื่อภรรยาของอุรียาห์ได้ยินว่าสามีตายแล้ว นางก็ไว้ทุกข์ให้เขา 27 และเมื่อครบกำหนดไว้ทุกข์ ดาวิดก็ส่งคนไปรับตัวนางมาเป็นมเหสี พระนางประสูติโอรสองค์หนึ่ง แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่พอพระทัยการกระทำของดาวิด
ของล้ำค่าในภาชนะดิน
4 เหตุฉะนั้นเพราะเรามีพันธกิจนี้โดยพระเมตตาของพระเจ้า เราจึงไม่ท้อใจ 2 แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เราละทิ้งกลวิธีแยบยลและน่าละอาย เราไม่ใช้เล่ห์เพทุบายและไม่ได้บิดเบือนพระวจนะของพระเจ้า ตรงกันข้ามเราเสนอตนเองต่อจิตสำนึกของทุกคนในสายพระเนตรของพระเจ้า ด้วยการสำแดงความจริงอย่างตรงไปตรงมา 3 และถ้าหากว่าข่าวประเสริฐของเราถูกปิดบังก็ถูกปิดบังไว้จากบรรดาผู้กำลังจะพินาศ 4 พระของยุคนี้ทำให้จิตใจของผู้ไม่เชื่อมืดบอดไป เพื่อพวกเขาจะไม่สามารถเห็นแสงสว่างแห่งข่าวประเสริฐอันทรงพระเกียรติสิริของพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นพระฉายของพระเจ้า 5 เพราะเราไม่ได้ประกาศตัวเอง แต่ประกาศพระเยซูคริสต์ว่าทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และตัวเราเองเป็นผู้รับใช้ของท่านทั้งหลายโดยเห็นแก่พระเยซู 6 เพราะพระเจ้าผู้ตรัสสั่งว่า “ให้ความสว่างส่องออกมาจากความมืดมิด”[a] ทรงให้แสงสว่างของพระองค์ส่องเข้ามาในใจของเรา เพื่อให้เรามีความสว่างแห่งความรู้ถึงพระเกียรติสิริของพระเจ้าในพระพักตร์ของพระคริสต์
7 แต่เรามีของล้ำค่านี้ในภาชนะดินเพื่อแสดงว่าฤทธานุภาพอันล้ำเลิศนี้มาจากพระเจ้า ไม่ใช่มาจากตัวเราเอง 8 เราถูกบีบคั้นอย่างหนักทุกด้าน แต่ไม่ถึงกับถูกบดขยี้ สับสนแต่ไม่ถึงกับสิ้นหวัง 9 ถูกข่มเหงแต่ไม่ถึงกับถูกทอดทิ้ง ถูกฟาดล้มลงแล้วแต่ไม่ถึงกับถูกทำลาย 10 เราแบกความตายของพระเยซูไว้ในกายของเราเสมอเพื่อชีวิตของพระเยซูจะสำแดงในกายของเราด้วย 11 เพราะเราผู้มีชีวิตอยู่นี้ถูกมอบให้แก่ความตายเพื่อพระเยซูอยู่เสมอ เพื่อว่าพระชนม์ชีพของพระองค์จะได้สำแดงในกายซึ่งต้องตายของเรา 12 ดังนั้นแล้วความตายจึงกำลังทำกิจอยู่ในเรา แต่ชีวิตก็กำลังทำกิจอยู่ในท่านทั้งหลาย
13 มีเขียนไว้ว่า “ข้าพเจ้ายังเชื่อ ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงได้พูด”[b] ด้วยใจเชื่อแบบเดียวกันเราก็เชื่อเช่นนั้นจึงพูดออกมา 14 เพราะเรารู้ว่าพระองค์ผู้ทรงให้องค์พระเยซูเจ้าคืนพระชนม์จากความตายนั้นจะทรงให้เราเป็นขึ้นกับพระเยซูด้วย และจะทรงให้เราเข้าเฝ้าพระองค์ร่วมกับท่านทั้งหลาย 15 ทั้งหมดนี้เพื่อประโยชน์ของท่าน เพื่อพระคุณที่กำลังไปถึงคนจำนวนมากยิ่งๆ ขึ้นจะเป็นเหตุให้การขอบพระคุณท่วมท้นขึ้นเป็นการเทิดพระเกียรติสิริของพระเจ้า
16 เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ท้อใจ ถึงแม้กายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในของเรากำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ลำบากเล็กๆ น้อยๆ เพียงชั่วคราวของเราทำให้เราได้รับศักดิ์ศรีนิรันดร์ ซึ่งเหนือกว่าสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดมากมายนัก 18 ดังนั้นเราจึงไม่จับจ้องอยู่กับสิ่งที่มองเห็น แต่อยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่เรามองเห็นนั้นไม่จีรังยั่งยืน แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้นถาวรนิรันดร์
จิตวิญญาณที่ทำบาปจะตาย
18 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าว่า 2 “พวกเจ้าหมายความว่าอะไรที่กล่าวภาษิตเกี่ยวกับดินแดนอิสราเอลว่า
“ ‘พ่อกินองุ่นเปรี้ยว
ลูกก็เข็ดฟัน’?
3 “พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด เจ้าจะไม่กล่าวภาษิตนี้ในอิสราเอลอีกต่อไปฉันนั้น 4 เพราะจิตวิญญาณทุกดวงเป็นของเรา ทั้งของพ่อและของลูกล้วนเป็นของเรา จิตวิญญาณที่ทำบาปจะตาย
5 “สมมุติว่ามีคนชอบธรรมคนหนึ่ง
ซึ่งทำสิ่งที่ถูกต้องและเที่ยงธรรม
6 เขาไม่ได้รับประทานอาหารที่สถานบูชาบนภูเขา
หรือพึ่งรูปเคารพทั้งหลายของพงศ์พันธุ์อิสราเอล
เขาไม่ได้สร้างราคีแก่ภรรยาของเพื่อนบ้าน
หรือหลับนอนกับผู้หญิงที่อยู่ในช่วงมีประจำเดือน
7 เขาไม่ได้ข่มเหงรังแกผู้ใด
แต่คืนของประกันให้แก่ลูกหนี้
เขาไม่ได้ปล้นชิง
แต่ให้อาหารแก่ผู้หิวโหย
และให้เครื่องนุ่งห่มแก่ผู้ที่เปลือยกาย
8 เขาไม่ได้ให้ยืมโดยคิดดอกเบี้ยสูงเกินเหตุ
หรือหากำไรโดยการขูดเลือดขูดเนื้อ[a]
เขายั้งมือจากการทำความชั่ว
และเขาตัดสินเพื่อนมนุษย์อย่างยุติธรรม
9 เขาปฏิบัติตามกฎหมายของเรา
และรักษาบทบัญญัติของเราอย่างซื่อสัตย์
ผู้นั้นเป็นคนชอบธรรม
เขาจะดำรงชีวิตอยู่แน่นอน
พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประกาศดังนั้น
10 “สมมุติว่าชายคนนั้นมีบุตรชายเหี้ยมโหดซึ่งทำให้โลหิตตกหรือทำสิ่งต่อไปนี้[b] 11 (แม้ว่าผู้เป็นบิดาไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้เลย)
“เขารับประทานอาหารที่สถานบูชาบนภูเขา
เขาสร้างราคีแก่ภรรยาของเพื่อนบ้าน
12 เขาข่มเหงรังแกคนยากจนและคนขัดสน
เขาปล้นชิง
เขาไม่ยอมคืนของประกัน
เขาพึ่งรูปเคารพ
เขาทำสิ่งที่น่าชิงชัง
13 เขาให้ยืมโดยคิดดอกเบี้ยสูงเกินเหตุและหากำไรโดยการขูดเลือดขูดเนื้อ
คนเช่นนั้นจะดำรงชีวิตอยู่ได้หรือ? ไม่เลย! เพราะเขาทำสิ่งน่าชิงชังทั้งปวงนี้ เขาจะต้องถูกประหารอย่างแน่นอน และที่เขาต้องตายนั้นก็เป็นความผิดของเขาเอง
14 “แต่หากชายคนนี้มีบุตรชายซึ่งเห็นบาปทั้งปวงที่บิดาทำ และแม้เห็นก็ไม่ได้ทำตาม
15 “เขาไม่ได้รับประทานอาหารที่สถานบูชาบนภูเขา
หรือพึ่งรูปเคารพทั้งหลายของพงศ์พันธุ์อิสราเอล
เขาไม่ได้สร้างราคีแก่ภรรยาของเพื่อนบ้าน
16 เขาไม่ได้ข่มเหงรังแกผู้ใด
หรือเรียกร้องของประกันในการกู้ยืม
เขาไม่ได้ปล้นชิง
แต่ให้อาหารแก่ผู้หิวโหย
และให้เครื่องนุ่งห่มแก่ผู้ที่เปลือยกาย
17 เขายั้งมือจากบาป[c]
และให้ยืมโดยไม่คิดดอกเบี้ยสูงเกินเหตุ หรือหากำไรโดยการขูดเลือดขูดเนื้อ
เขารักษาบทบัญญัติและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของเรา
เขาจะไม่ตายเพราะบาปของบิดา เขาจะมีชีวิตอยู่แน่นอน 18 ส่วนผู้เป็นบิดานั้นจะตายเพราะบาปของตน เนื่องจากเขาขู่กรรโชกทรัพย์ ปล้นชิงพี่น้อง และทำผิดในหมู่ประชากรของเขา
19 “กระนั้นเจ้าก็ยังถามว่า ‘ทำไมลูกไม่ต้องร่วมรับโทษความผิดของพ่อ?’ เมื่อลูกได้ทำสิ่งที่ถูกต้องและเที่ยงธรรม และได้ใส่ใจทำตามกฎเกณฑ์ของเราอย่างถี่ถ้วน เขาจะดำรงชีวิตอยู่อย่างแน่นอน 20 ผู้ใดที่ทำบาป ผู้นั้นจะต้องตาย ลูกไม่ต้องร่วมรับโทษกับความผิดของพ่อ ทั้งพ่อก็ไม่ต้องร่วมรับโทษกับความผิดของลูก คนชอบธรรมจะได้รับผลแห่งความชอบธรรมของเขา และคนชั่วก็จะได้รับการกล่าวโทษจากความชั่วร้ายของเขา
21 “แต่หากคนชั่วหันหนีจากบาปทั้งปวงที่ตนทำ แล้วรักษากฎหมายทั้งสิ้นของเราและทำสิ่งที่ถูกต้องและยุติธรรม เขาจะมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน เขาจะไม่ตาย 22 ความผิดพลาดทั้งสิ้นที่เขาได้ทำลงไปจะไม่เป็นที่จดจำและไม่นำมาเป็นข้อกล่าวโทษเขา เขาจะมีชีวิตอยู่เพราะสิ่งชอบธรรมที่เขาได้ทำนั้น 23 พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประกาศว่า เราพึงพอใจในความตายของคนชั่วร้ายหรือ? เราไม่ยินดีมากกว่าหรือเมื่อเขาหันจากทางชั่วของตนและมีชีวิตอยู่?
24 “แต่หากคนชอบธรรมหันหนีจากความชอบธรรมของตนไปทำบาป และทำสิ่งที่น่าชิงชังเช่นเดียวกับคนชั่ว เขาจะมีชีวิตอยู่ได้หรือ? ความชอบธรรมทั้งปวงที่เขาได้ทำจะไม่เป็นที่จดจำ เขาจะตายโทษฐานที่ไม่ซื่อสัตย์ และเพราะบาปทั้งหลายที่เขาได้ทำ
25 “ถึงกระนั้นเจ้าก็ยังกล่าวว่า ‘วิถีทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ยุติธรรม’ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด วิถีทางของเราไม่ยุติธรรมหรือ? วิถีทางของเจ้าต่างหากไม่ใช่หรือที่ไม่ยุติธรรม? 26 หากคนชอบธรรมหันหนีจากความชอบธรรมของตนไปทำบาป เขาจะตาย เขาจะตายเพราะบาปที่เขาได้ทำลงไป 27 แต่หากคนชั่วหันหนีจากความชั่วที่ทำไปแล้ว และกลับมาทำสิ่งที่ถูกต้องและยุติธรรม เขาจะช่วยชีวิตตนเองไว้ 28 เพราะเขาใคร่ครวญ และหันหนีจากการล่วงละเมิดทั้งสิ้นที่ทำไปแล้ว เขาจะมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน เขาจะไม่ตาย 29 ถึงกระนั้นพงศ์พันธุ์อิสราเอลก็ยังกล่าวว่า ‘วิถีทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ยุติธรรม’ ประชากรอิสราเอลเอ๋ย วิถีทางของเราไม่ยุติธรรมหรือ? วิถีทางของเจ้าต่างหากไม่ใช่หรือที่ไม่ยุติธรรม?
30 “พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสว่า ฉะนั้นพงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย เราจะตัดสินเจ้าแต่ละคนตามการกระทำของเจ้า จงกลับใจใหม่! หันหนีจากการล่วงละเมิดทั้งสิ้นของเจ้า แล้วเจ้าจะไม่ต้องพินาศล่มจมเพราะบาป 31 จงละทิ้งการล่วงละเมิดทั้งสิ้นที่ทำลงไป และรับเอาจิตใจและวิญญาณใหม่เถิด พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย เจ้าจะตายทำไมเล่า? 32 เพราะเราไม่ได้พึงพอใจในความตายของผู้หนึ่งผู้ใด จงกลับใจใหม่และมีชีวิตอยู่เถิด! พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประกาศดังนั้น
(ถึงหัวหน้านักร้อง ถึงเยดูธูน บทสดุดีของดาวิด)
62 จิตวิญญาณของข้าพเจ้าพักสงบในพระเจ้าแต่ผู้เดียว
ความรอดของข้าพเจ้ามาจากพระองค์
2 พระองค์แต่เพียงผู้เดียวทรงเป็นศิลาและความรอดของข้าพเจ้า
พระองค์ทรงเป็นป้อมปราการของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่มีวันหวั่นไหว
3 พวกเจ้าจะรุมเล่นงานคนคนเดียวไปนานเท่าใด?
เจ้าทั้งหมดจะโค่นล้มเขา
ผู้เป็นเหมือนกำแพงเอียงกะเท่เร่และรั้วที่โยกเยกนี้หรือ?
4 พวกเขาจงใจปลดเขาลงจากตำแหน่งสูง
พวกเขาชื่นชมในการโป้ปด
ปากของพวกเขากล่าวอวยพร
แต่ในใจนั้นสาปแช่ง
เสลาห์
5 จิตวิญญาณของข้าเอ๋ย จงพักสงบในพระเจ้าแต่ผู้เดียว
ความหวังของข้าพเจ้ามาจากพระองค์
6 พระองค์แต่เพียงผู้เดียวทรงเป็นศิลาและความรอดของข้าพเจ้า
พระองค์ทรงเป็นป้อมปราการของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหว
7 ความรอดและเกียรติของข้าพเจ้าอยู่ที่พระเจ้า[a]
พระองค์ทรงเป็นพระศิลาอันทรงฤทธิ์ เป็นที่ลี้ภัยของข้าพเจ้า
8 ประชาชนเอ๋ย จงวางใจในพระองค์ตลอดเวลา
จงเทความในใจของท่านต่อพระองค์
เพราะพระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยของเรา
เสลาห์
9 คนต่ำต้อยเป็นเพียงลมหายใจวูบหนึ่ง
คนสูงศักดิ์เป็นเพียงมายา
เมื่อขึ้นชั่งดูก็ไม่มีค่าอะไร
ทั้งคู่เป็นเพียงลมหายใจเฮือกเดียว
10 อย่าพึ่งพาการบังคับขู่เข็ญ อย่าภาคภูมิใจในของที่ขโมยมา
แม้ทรัพย์สมบัติเพิ่มขึ้น ก็อย่าปักใจกับสิ่งเหล่านั้น
11 สิ่งหนึ่งที่พระเจ้าได้ตรัสแล้ว
สองสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ยิน
คือ “ข้าแต่พระเจ้า อำนาจเป็นของพระองค์
12 และข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยความรักเมตตา”
และ “พระองค์ทรงให้รางวัล
แต่ละคนตามการกระทำของเขา”
(บทสดุดีของดาวิด เมื่ออยู่ในถิ่นกันดารยูดาห์)
63 ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์
ข้าพระองค์แสวงหาพระองค์อย่างจริงจัง
จิตวิญญาณของข้าพระองค์กระหายหาพระองค์
ร่างกายของข้าพระองค์โหยหาพระองค์
ในดินแดนแห้งแล้งกันดาร
ในที่ซึ่งไม่มีน้ำ
2 ข้าพระองค์เคยเห็นพระองค์ในสถานนมัสการ
ได้เห็นฤทธานุภาพและพระเกียรติสิริของพระองค์
3 เพราะความรักของพระองค์ดียิ่งกว่าชีวิต
ริมฝีปากของข้าพระองค์จะยกย่องเทิดทูนพระองค์
4 ข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ตราบเท่าที่ข้าพระองค์มีชีวิตอยู่
จะชูมือขึ้นในพระนามของพระองค์
5 จิตวิญญาณของข้าพระองค์จะอิ่มเอมเหมือนได้รับอาหารชั้นเยี่ยม
ปากของข้าพระองค์จะร้องเพลงสรรเสริญพระองค์
6 ขณะอยู่บนที่นอน ข้าพระองค์คิดถึงพระองค์
ข้าพระองค์คิดคำนึงถึงพระองค์ตลอดคืน
7 เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยเหลือข้าพระองค์
ข้าพระองค์จึงร้องเพลงอยู่ในร่มปีกของพระองค์
8 จิตวิญญาณข้าพระองค์ยึดมั่นในพระองค์
พระหัตถ์ขวาของพระองค์ค้ำจุนข้าพระองค์ไว้
9 บรรดาผู้ที่คิดเอาชีวิตของข้าพระองค์จะถูกทำลาย
เขาจะจมดิ่งลงไปยังที่ลึกของแผ่นดินโลก
10 พวกเขาจะถูกเข่นฆ่าด้วยดาบ
และตกเป็นอาหารของสุนัขจิ้งจอก
11 แต่กษัตริย์จะชื่นชมยินดีในพระเจ้า
คนทั้งปวงที่ปฏิญาณโดยพระนามพระเจ้าจะสรรเสริญพระองค์
ส่วนคนโกหกจะปิดปากเงียบ
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.