M’Cheyne Bible Reading Plan
ดาวิดกับขนมปังบริสุทธิ์
21 ดาวิดไปหาอาหิเมเลคปุโรหิตที่เมืองโนบ อาหิเมเลคตัวสั่นมาพบกับดาวิด และถามว่า “ทำไมท่านจึงมาคนเดียว ไม่มีใครมาด้วยหรือ” 2 ดาวิดตอบอาหิเมเลคปุโรหิตว่า “กษัตริย์บัญชาให้ข้าพเจ้าทำสิ่งหนึ่งและสั่งด้วยว่า ‘อย่าให้ใครทราบเรื่องนี้ว่า เราสั่งให้เจ้าทำอะไร’ ข้าพเจ้านัดพบกับพวกทหารที่ที่แห่งหนึ่ง 3 เอาล่ะ ท่านพอมีอาหารติดตัวมาบ้างไหม ขอขนมปังสัก 5 ก้อน หรืออะไรก็ได้ที่มีอยู่ที่นี่” 4 ปุโรหิตตอบดาวิดว่า “เราไม่มีขนมปังธรรมดาติดตัวมา แต่มีขนมปังอันบริสุทธิ์[a] ถ้าหากว่าพวกทหารของท่านได้ละเว้นจากผู้หญิง” 5 ดาวิดตอบปุโรหิตว่า “พวกเราอยู่ห่างจากผู้หญิงเสมอเวลาเราออกเดินทางปฏิบัติงาน กายของพวกทหารก็บริสุทธิ์แม้จะเป็นเวลาเดินทางตามปกติ แล้วในวันนี้กายพวกเขาจะบริสุทธิ์ยิ่งกว่าเพียงไร” 6 ดังนั้นปุโรหิตจึงให้ขนมปังอันบริสุทธิ์แก่ดาวิด[b]เพราะไม่มีขนมปังชนิดอื่น นอกจากขนมปังอันบริสุทธิ์ที่หยิบมาจากเบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า และจะมีขนมปังอบใหม่ๆ มาถวายแทนในวันเดียวกันนั้น
7 ในวันนั้นข้ารับใช้คนหนึ่งของซาอูลบังเอิญอยู่ที่นั่น เพราะถูกกักตัวไว้ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า เขาชื่อโดเอกชาวเอโดม เป็นหัวหน้าคนเลี้ยงดูฝูงแกะของซาอูล
8 ดาวิดถามอาหิเมเลคว่า “ท่านไม่มีดาบหรือหอกบ้างหรือ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้เอาดาบหรืออาวุธติดตัวมาด้วย เพราะงานของกษัตริย์ที่บัญชาให้ทำเร่งด่วน” 9 ปุโรหิตตอบว่า “ดาบของโกลิอัทชาวฟีลิสเตียที่ท่านฆ่าตายในหุบเขาเอลาห์นั้นยังอยู่ที่นี่ ห่อเก็บไว้ในผ้าอยู่ข้างหลังชุดคลุม ถ้าท่านจะเอาดาบเล่มนั้น ก็เอาไปได้ เพราะที่นี่ไม่มีอะไรอีกแล้วนอกจากดาบเล่มนั้น” ดาวิดตอบว่า “ไม่มีดาบไหนเหมือนดาบเล่มนั้น เอามาให้ข้าพเจ้าเถิด”
ดาวิดหนีไปยังเมืองกัท
10 วันนั้นดาวิดหนีไปจากซาอูล ไปหาอาคีชกษัตริย์แห่งกัท 11 พวกข้ารับใช้ของอาคีชพูดกับท่านว่า “นี่ดาวิดกษัตริย์ของแผ่นดินนั้นมิใช่หรือ ที่มีคนร้องรำทำเพลงถึงว่า
‘ซาอูลได้ฆ่าคนนับพันคน
และดาวิดฆ่าคนนับหมื่น’”
12 ดาวิดขบคิดถึงคำพูดนั้นอยู่ในใจ และกลัวอาคีชกษัตริย์แห่งกัท 13 เขาจึงแสร้งเสียสติ[c]ต่อหน้าคนเหล่านั้น และขณะที่เขาถูกเหนี่ยวรั้งอยู่ในมือพวกเขา ดาวิดก็ทำทีว่าเป็นคนบ้า ขูดขีดที่ประตูเมือง ปล่อยให้น้ำลายไหลลงบนเครา 14 อาคีชจึงพูดกับพวกข้ารับใช้ว่า “ดูสิ พวกเจ้าก็เห็นว่าคนนั้นเป็นบ้า แล้วทำไมจึงพาเขามาหาเรา 15 เราขาดคนบ้าหรือ พวกเจ้าจึงได้พาเจ้าคนนี้มาทำตัวเหมือนคนบ้าขวางหน้าเรา จะต้องให้คนนี้เข้ามาในบ้านเราหรือ”
ดาวิดที่ถ้ำอดุลลาม
22 ดาวิดจากที่นั่นไป และหลบหนีไปอยู่ในถ้ำที่อดุลลาม[d] เมื่อพวกพี่ชายและพวกญาติๆ ทั้งหลายได้ข่าว จึงลงไปหาท่านที่นั่น 2 ทุกคนที่ลำบาก ทุกคนที่มีหนี้สิน และทุกคนที่สิ้นหวัง ต่างก็มาหาดาวิด ท่านจึงเป็นหัวหน้าคนเหล่านั้น มีคนประมาณ 400 คนที่อยู่กับท่าน
3 จากที่นั่นดาวิดไปยังเมืองมิสปาห์ในดินแดนโมอับ ท่านพูดกับกษัตริย์แห่งโมอับว่า “โปรดให้บิดามารดาของข้าพเจ้าอยู่กับท่าน จนกว่าข้าพเจ้าจะทราบว่าพระเจ้าจะทำสิ่งใดเพื่อข้าพเจ้า” 4 และดาวิดให้บิดามารดาอยู่กับกษัตริย์แห่งโมอับ ท่านทั้งสองจึงอาศัยอยู่กับกษัตริย์ตลอดช่วงเวลาที่ดาวิดอยู่ในที่หลบภัย 5 กาดผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าพูดกับดาวิดว่า “อย่าอยู่ต่อไปในที่หลบภัย จงไปเสีย ไปยังแผ่นดินยูดาห์เถิด” ดาวิดจึงจากไป และเข้าไปในป่าเฮเรท
ซาอูลฆ่าบรรดาปุโรหิตที่เมืองโนบ
6 ซาอูลทราบว่าคนเสาะหาดาวิดเจอแล้ว และมีคนอยู่กับท่านด้วย ซาอูลกำลังนั่งอยู่บนเนินเขา มือถือหอกอยู่ที่ใต้ต้นแทมริสก์ที่กิเบอาห์ มีพวกบริวารยืนอยู่รอบข้าง 7 ซาอูลกล่าวกับพวกข้ารับใช้ที่ยืนอยู่รอบข้างว่า “จงฟังเถิด ชาวเบนยามินเอ๋ย ลูกชายของเจสซีคนนั้นจะยกทุ่งนาและสวนองุ่นให้กับพวกเจ้าทุกคนหรือ เขาจะแต่งตั้งพวกเจ้าให้เป็นผู้บังคับกองพันและผู้บังคับกองร้อยหรือ 8 พวกเจ้าทุกคนจึงได้คบคิดกบฏต่อเรา ไม่มีใครเปิดเผยให้เรารู้เวลาลูกชายของเราทำข้อตกลงกับลูกของเจสซี ไม่มีใครในพวกเจ้าที่สงสารเรา หรือเปิดเผยให้เรารู้ว่าลูกชายของเราได้ยุยงคนรับใช้ของเราให้แข็งข้อกับเรา รอที่จะฆ่าเราอย่างที่เป็นอยู่ในวันนี้” 9 โดเอกชาวเอโดมที่ยืนอยู่ใกล้พวกข้ารับใช้ของซาอูลตอบว่า “ข้าพเจ้าเห็นบุตรของเจสซีมาที่เมืองโนบ ไปหาอาหิเมเลคบุตรของอาหิทูบ 10 เขาถามพระผู้เป็นเจ้าให้ดาวิด และจัดหาอาหารให้และมอบดาบของโกลิอัทชาวฟีลิสเตียให้แก่ท่าน”
11 แล้วกษัตริย์ก็ให้คนไปเรียกตัวอาหิเมเลคปุโรหิตผู้เป็นบุตรของอาหิทูบ และทั้งตระกูลที่เป็นบรรดาปุโรหิตที่อยู่ที่โนบมา และทุกคนก็มาหากษัตริย์ 12 ซาอูลกล่าวว่า “ฟังเถิด ลูกของอาหิทูบ” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ นายท่าน” 13 ซาอูลกล่าวกับเขาว่า “ทำไมท่านจึงคิดกบฏต่อเรา ทั้งตัวท่านและลูกของเจสซี ท่านให้ขนมปังและดาบ และได้ถามพระเจ้าให้เขา เขาจึงแข็งข้อกับเรา รอที่จะฆ่าเราอย่างที่เป็นอยู่ในวันนี้” 14 อาหิเมเลคตอบกษัตริย์ว่า “แล้วใครในหมู่บริวารของท่านที่สัตย์ซื่อเหมือนดาวิดบุตรเขยของกษัตริย์ เขาเป็นหัวหน้าทหารรักษาพระองค์และมีเกียรติในวังของท่าน 15 วันนี้เป็นวันแรกหรือที่ข้าพเจ้าถามพระเจ้าให้ดาวิด เปล่าเลย อย่าให้กษัตริย์กล่าวหาข้ารับใช้หรือญาติผู้ใดในตระกูลของข้าพเจ้า เพราะว่าข้ารับใช้ของท่านไม่ทราบสิ่งใดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม” 16 กษัตริย์กล่าวว่า “อาหิเมเลค ท่านจะต้องตายแน่ ทั้งตัวท่านและทั้งตระกูลของท่าน” 17 และกษัตริย์กล่าวกับทหารคุ้มกันที่ยืนอยู่ใกล้ท่านว่า “หันไปฆ่าพวกปุโรหิตของพระผู้เป็นเจ้าเสีย เพราะเขาร่วมมือกับดาวิด ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาหนีไป และไม่ยอมบอกให้เรารู้” แต่พวกบริวารของกษัตริย์ไม่ยอมยื่นมือประหารบรรดาปุโรหิตของพระผู้เป็นเจ้า 18 กษัตริย์จึงกล่าวกับโดเอกว่า “เจ้าจงหันไปฆ่าพวกปุโรหิต” แล้วโดเอกชาวเอโดมก็หันไปฆ่าบรรดาปุโรหิต และในวันนั้นเขาฆ่าคน 85 คนที่สวมชุดคลุมผ้าป่าน 19 ทั้งผู้ชายและผู้หญิง เด็กและทารก โค ลา และแกะถูกฆ่าตายหมดที่เมืองโนบ อันเป็นเมืองปุโรหิต
20 แต่อาบียาธาร์บุตรคนหนึ่งของอาหิเมเลคบุตรอาหิทูบหลบหนีตามดาวิดไปได้ 21 อาบียาธาร์บอกดาวิดว่าซาอูลได้ฆ่าบรรดาปุโรหิตของพระผู้เป็นเจ้า 22 ดาวิดบอกอาบียาธาร์ว่า “เรารู้ในวันนั้นเมื่อโดเอกชาวเอโดมอยู่ที่นั่น เขาจะต้องบอกซาอูลแน่นอน เรารับผิดชอบกับความตายของทุกคนในตระกูลของท่าน 23 อยู่กับเราเถิด อย่ากลัวเลย เพราะว่าคนที่ตามล่าชีวิตเราก็ตามล่าชีวิตท่านด้วย ท่านจะปลอดภัยในความดูแลของเรา”
เปาโลและอปอลโล
3 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่สามารถพูดกับท่านเหมือนว่าท่านเป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณ แต่เป็นฝ่ายเนื้อหนัง[a] เหมือนกับว่าท่านเป็นเด็กทารกในพระคริสต์ 2 ข้าพเจ้าจึงให้น้ำนมท่านดื่มแทนอาหารแข็งซึ่งท่านยังไม่พร้อมที่จะรับ แม้บัดนี้ท่านก็ยังไม่สามารถรับได้ 3 ท่านยังอยู่ฝ่ายเนื้อหนัง ตราบที่ท่านยังมีความอิจฉาและวิวาทอยู่ จะมิเรียกว่าท่านยังอยู่ฝ่ายเนื้อหนังหรอกหรือ ท่านไม่ได้ดำเนินชีวิตอย่างมนุษย์ธรรมดาหรือ 4 เมื่อคนหนึ่งพูดว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนของเปาโล” อีกคนพูดว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนของอปอลโล” พวกท่านไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาหรือ
5 แท้จริงแล้วอปอลโลคือใคร และเปาโลคือใคร ก็เป็นเพียงผู้รับใช้ที่ช่วยชี้นำให้ท่านเกิดความเชื่อ ตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้กำหนดพวกเราไว้ให้ปฏิบัติ 6 ข้าพเจ้าเป็นคนปลูกขณะที่อปอลโลรดน้ำ แต่พระเจ้าเป็นผู้ทำให้เติบโต 7 ดังนั้นทั้งคนปลูกและคนรดน้ำไม่สำคัญเท่ากับพระเจ้าซึ่งเป็นผู้ทำให้เติบโต 8 คนปลูกและคนรดน้ำต่างมีจุดประสงค์เดียวกัน และแต่ละคนก็ได้รับค่าจ้างตามแรงงานของตนเอง 9 เพราะเราเป็นผู้ร่วมงานของพระเจ้า ท่านเป็นไร่นาและเป็นเรือนของพระเจ้า
10 ข้าพเจ้าได้วางฐานรากลงแล้วตามพระคุณที่พระเจ้าได้ให้ข้าพเจ้าวาง ราวกับช่างก่อสร้างผู้เชี่ยวชาญ และคนอื่นก็กำลังก่อสร้างบนฐานนั้นเช่นกัน ผู้สร้างแต่ละคนต้องระมัดระวังว่าเขาสร้างอย่างไร 11 เพราะไม่มีผู้ใดสามารถวางฐานรากอื่นได้อีก นอกจากที่วางไว้แล้วคือพระเยซูคริสต์ 12 บนฐานรากนี้ถ้าเราใช้ทองคำ เงิน เพชรพลอย ไม้ หญ้าแห้งหรือฟางก่อลงไป 13 งานนั้นจะปรากฏผลให้เห็น เพราะว่าวันนั้นจะเป็นวันที่เปิดเผย รวมทั้งจะเผยให้เห็นด้วยไฟ และไฟก็จะทดสอบคุณภาพงานของแต่ละคน 14 ถ้าสิ่งที่สร้างไว้คงทนอยู่ได้ ผู้สร้างก็จะได้รับรางวัล 15 ถ้างานของใครมอดไหม้ลงด้วยไฟก็จะไม่ได้รับรางวัล และตัวเขาเองจะรอดได้ในสภาพของคนที่หนีรอดจากไฟเท่านั้น
16 ท่านไม่ทราบหรือว่าท่านเองเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ในตัวท่าน 17 ถ้าผู้ใดทำลายวิหารของพระเจ้า พระเจ้าก็จะทำลายเขา เพราะวิหารบริสุทธิ์ และท่านก็คือวิหารนั้น
18 อย่าให้ใครหลอกลวงตนเอง ถ้าใครในหมู่พวกท่านคิดว่าตนมีปัญญาเข้าเกณฑ์มาตรฐานของยุคนี้ ก็ปล่อยให้เขาเป็น “คนโง่” เพื่อเขาจะได้กลายเป็นคนมีปัญญา 19 เพราะปัญญาของโลกนี้ยังเป็นสิ่งโง่เขลาสำหรับพระเจ้า ตามที่มีบันทึกไว้ว่า “พระองค์ดักจับผู้มีปัญญาได้จากเล่ห์เหลี่ยมของเขาเอง”[b] 20 และ “พระผู้เป็นเจ้าทราบว่าความคิดของคนมีปัญญาไร้ประโยชน์”[c] 21 ฉะนั้นอย่าได้โอ้อวดเรื่องมนุษย์อีกเลย ทุกสิ่งเป็นของพวกท่าน 22 ไม่ว่าเปาโล อปอลโล เคฟาส โลก ชีวิต ความตาย ปัจจุบันกาล หรืออนาคตกาล ทุกสิ่งเป็นของท่าน 23 ท่านเป็นคนของพระคริสต์ และพระคริสต์เป็นของพระเจ้า
1 ในวันที่ห้าของเดือนสี่ ปีที่สามสิบ ในเวลานั้นข้าพเจ้าเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ลี้ภัยที่ริมแม่น้ำเคบาร์[a] สวรรค์เปิดออก ข้าพเจ้าเห็นภาพนิมิตของพระเจ้า 2 ในวันที่ห้าของเดือน (เป็นปีที่ห้าที่กษัตริย์เยโฮยาคีน[b]ลี้ภัยไป[c]) 3 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเอเสเคียลปุโรหิตบุตรของบูซี ในแผ่นดินของชาวเคลเดีย ริมแม่น้ำเคบาร์ และมือของพระผู้เป็นเจ้าสถิตกับท่านที่นั่น
พระบารมีของพระผู้เป็นเจ้า
4 ดูเถิด ขณะที่ข้าพเจ้ามองดู ก็มีลมอันแรงกล้าจากทิศเหนือ มีเมฆก้อนมหึมาพร้อมกับประกายฟ้าแลบและแสงสว่างล้อมรอบ ตรงกลางของเปลวไฟดูเหมือนโลหะวาววับ 5 ดูเหมือนว่าในเปลวไฟมีสิ่งมีชีวิต 4 ตัว ซึ่งมีลักษณะเป็นร่างมนุษย์ 6 แต่ละตัวมี 4 หน้าและ 4 ปีก 7 ขาเหยียดตรง และฝ่าเท้าเหมือนกีบลูกโค เป็นประกายดั่งทองสัมฤทธิ์ที่ถูกหลอมในเตาไฟ 8 ที่ใต้ปีกทั้งสี่มีมือมนุษย์ ทั้งสี่ตัวมีหน้าและปีก 9 ปีกกางออกสัมผัสกัน สัตว์แต่ละตัวขยับตัวตรงไปข้างหน้า โดยไม่หันลำตัว 10 หน้าของสัตว์เหล่านี้เป็นเช่นนี้คือ สัตว์แต่ละตัวมีหน้าเหมือนมนุษย์ ด้านขวาของแต่ละตัวมีหน้าเหมือนสิงโต ด้านซ้ายมีหน้าเหมือนโค แต่ละตัวยังมีอีกหน้าเหมือนนกอินทรีด้วย 11 หน้าของสัตว์เป็นอย่างนั้น ปีกกางออกและแผ่สูงขึ้น แต่ละตัวใช้ 2 ปีกสัมผัสปีกของสัตว์ตัวอื่นที่อยู่แต่ละข้าง และใช้อีก 2 ปีกปกปิดกายของตนเอง 12 สัตว์แต่ละตัวขยับตัวตรงไปข้างหน้า ไม่ว่าวิญญาณจะไปที่ใด สัตว์เหล่านี้ก็จะไปโดยไม่หันลำตัว 13 ลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่ปรากฏนั้นเหมือนถ่านลุกโพลงขึ้นเป็นเปลวไฟ เหมือนคบไฟที่เคลื่อนไปมาระหว่างสิ่งมีชีวิต เปลวไฟสุกสว่างและมีสายฟ้าแลบจากเปลวไฟ 14 สิ่งมีชีวิตพุ่งตัวไปมาดั่งสายฟ้าแลบ
15 ขณะที่ข้าพเจ้ามองดูสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น ข้าพเจ้าเห็นล้อบนพื้นดินข้างๆ สิ่งมีชีวิตทั้งสี่ ล้อละตัว 16 โครงล้อที่ปรากฏคือ มันส่องแสงเหมือนโกเมนที่วาววับ เหมือนกันทั้งสี่ล้อ โครงล้อดูเหมือนมีอีกล้อที่ซ้อนอยู่ด้านใน 17 เวลาที่ล้อเคลื่อนตัว มันเคลื่อนไปทิศใดก็ได้ทั้งสี่ทิศตามแต่สิ่งมีชีวิตจะไปโดยไม่ต้องหัน 18 ขอบล้อสูงและน่าเกรงขาม ที่รอบขอบล้อทั้งสี่มีดวงตาเต็มไปหมด 19 เวลาที่สิ่งมีชีวิตขยับตัวไป ล้อก็เคลื่อนขึ้นตามไปด้วยกัน เวลาที่สิ่งมีชีวิตลุกขึ้นจากพื้นดิน ล้อก็ขึ้นตามไปด้วย 20 ไม่ว่าวิญญาณต้องการไปที่ใด สิ่งมีชีวิตก็ไปด้วย และล้อก็ตามไปพร้อมกัน เพราะวิญญาณของสิ่งมีชีวิตอยู่ในล้อ 21 เวลาที่สิ่งมีชีวิตขยับตัวไปที่ใด ล้อก็เคลื่อนไปด้วย เวลาที่สิ่งมีชีวิตยืนนิ่ง ล้อก็หยุดนิ่ง และเวลาที่สิ่งมีชีวิตลุกขึ้นจากพื้นดิน ล้อก็เคลื่อนไปพร้อมกัน เพราะวิญญาณของสิ่งมีชีวิตอยู่ในล้อ
22 เหนือศีรษะของสิ่งมีชีวิต ดูเหมือนมีโดมกว้างใหญ่เปล่งแสงประกายอย่างแก้วเจียระไน ดูน่าเกรงขามนัก 23 ใต้โดมกว้างใหญ่นั้น ปีกของสิ่งมีชีวิตกางออกและเหยียดตรง และปีกสัมผัสกัน สัตว์แต่ละตัวมี 2 ปีกที่ปกปิดกายของตน 24 เวลาที่สัตว์เหล่านี้ขยับตัวไป ข้าพเจ้าได้ยินเสียงปีกกระพือดุจกระแสน้ำแรงกล้า ดุจเสียงขององค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพ ดุจเสียงชุลมุนของกองทัพใหญ่ เวลาสัตว์เหล่านี้ยืนนิ่ง ปีกของมันจะหุบลงที่ข้างตัว 25 และมีเสียงจากเบื้องสูงเหนือโดมกว้างใหญ่ที่เหนือศีรษะ เมื่อมันยืนนิ่ง มันก็จะหุบปีกลง
26 เบื้องสูงเหนือโดมกว้างใหญ่เหนือศีรษะ ปรากฏเหมือนบัลลังก์ประดุจนิลสีคราม และมีผู้หนึ่งปรากฏเหมือนมนุษย์นั่งบนบัลลังก์ 27 ข้าพเจ้าเห็นสิ่งที่ปรากฏเหนือบั้นเอวผู้นั้นขึ้นไป ซึ่งเป็นเหมือนโลหะวาววับดั่งไฟลุกโดยรอบ ข้าพเจ้าเห็นว่าส่วนที่ปรากฏจากบั้นเอวลงมาเป็นดุจไฟ และแสงอันเจิดจ้าล้อมรอบผู้นั้น 28 รุ้งบนเมฆในวันที่ฝนตกเจิดจ้าเช่นไร ความเจิดจ้าที่ปรากฏโดยรอบก็เป็นเช่นนั้น
สิ่งที่ปรากฏเปรียบประดุจพระบารมีของพระผู้เป็นเจ้า และเมื่อข้าพเจ้าเห็น ข้าพเจ้าซบหน้าลงกับพื้น และได้ยินเสียงของผู้หนึ่งกำลังพูด
ความสำเร็จอันไม่ยั่งยืนของคนชั่ว และความสำเร็จอันแท้จริงของคนดี
ของดาวิด
1 อย่าว้าวุ่นใจเพราะคนชั่ว
หรืออิจฉาคนที่ทำสิ่งเลวร้าย
2 ด้วยว่าอีกไม่นานพวกเขาจะแห้งโรยราไปดังเช่นต้นหญ้า
และเหี่ยวเฉาลงอย่างพืชใบเขียว
3 จงไว้ใจพระผู้เป็นเจ้า และประพฤติแต่สิ่งดีงาม
เพื่อท่านจะได้อาศัยอยู่ในแผ่นดิน และยินดีในความปลอดภัย
4 จงสุขใจในพระผู้เป็นเจ้า
และพระองค์จะให้ท่านดั่งใจต้องการ
5 จงมอบวิถีชีวิตของท่านไว้กับพระผู้เป็นเจ้า
จงไว้ใจพระองค์ และพระองค์จะดำเนินการ
6 พระองค์จะทำให้ความชอบธรรมของท่านเป็นที่ประจักษ์ดั่งแสงอรุณ
และสิทธิของท่านปรากฏชัดดั่งแสงยามเที่ยงวัน
7 จงนิ่งเงียบเมื่ออยู่ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า
และรอคอยด้วยความอดทน
อย่าว้าวุ่นใจเมื่อคนอื่นประสบความสำเร็จตามวิถีทางของเขา
เมื่อเขาทำตามเล่ห์กลของเขา
8 จงละเว้นจากความโกรธ และหนีห่างจากความฉุนเฉียว
อย่าว้าวุ่นใจ เพราะมันจะนำไปสู่ความเลวร้ายเท่านั้น
9 ด้วยว่าหมู่คนชั่วจะพินาศ
ส่วนบรรดาผู้รอคอยพระผู้เป็นเจ้าจะได้รับผืนแผ่นดินเป็นมรดก
10 อีกเพียงชั่วครู่จะไม่มีคนชั่วอีกต่อไป
แม้ท่านจะมองหาจนทั่วในที่ของเขาก็จะไม่พบ
11 แต่สำหรับผู้มีใจอ่อนน้อมจะได้รับผืนแผ่นดินเป็นมรดกจากพระเจ้า[a]
และเขาจะสุขใจในความสงบอันเต็มเปี่ยม
12 คนชั่ววางแผนต่อต้านผู้มีความชอบธรรม
และขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเกลียดชัง
13 แต่พระผู้เป็นเจ้าหัวเราะเยาะคนชั่ว
เพราะพระองค์ทราบว่าเวลาของพวกเขากำลังจะมาถึง
14 คนชั่วชักดาบออกมา และน้าวคันธนู
เพื่อทำลายคนอ่อนกำลังและยากไร้
เพื่อฆ่าบรรดาผู้ดำเนินชีวิตในความเป็นธรรม
15 ดาบของพวกเขาจะย้อนเข้าทิ่มแทงจิตใจของตนเอง
และคันธนูของพวกเขาจะถูกหัก
16 การมีแต่เพียงเล็กน้อยของผู้มีความชอบธรรม
ดีกว่าการมีอย่างล้นเหลือของคนชั่วหลายๆ คน
17 ด้วยว่าอำนาจของคนชั่วจะถูกทำลาย
แต่พระผู้เป็นเจ้าคุ้มครองบรรดาผู้มีความชอบธรรม
18 พระผู้เป็นเจ้าเอาใจใส่ผู้ที่ไร้ข้อตำหนิ
และมรดกของพวกเขาจะยั่งยืนไปตลอดกาล
19 ในยามคับขัน พวกเขาจะไม่เดือดร้อน
ในยามอดอยาก พวกเขาจะกลับมีอย่างอุดมสมบูรณ์
20 แต่พวกคนชั่วจะถึงแก่ความตาย
ศัตรูของพระผู้เป็นเจ้าเป็นเหมือนความงามของทุ่งหญ้าคือ
จะเลือนหายไปในพริบตา เลือนหายไปอย่างควันไฟ
21 คนชั่วขอยืมและไม่ใช้คืน
แต่ผู้มีความชอบธรรมเป็นคนใจกว้างและเป็นฝ่ายให้เสมอไป
22 คนที่ได้รับพระพรจากพระผู้เป็นเจ้าจะได้รับผืนแผ่นดินเป็นมรดก
แต่พวกที่พระองค์สาปแช่งจะพินาศ
23 ถ้าพระผู้เป็นเจ้าพอใจในวิถีทางของผู้ใด
พระองค์ก็ทำให้เท้าของเขาก้าวไปด้วยความมั่นคง
24 ถึงแม้จะพลาดบ้าง แต่ก็จะไม่ล้มลง
เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าจับมือเขาไว้
25 ข้าพเจ้าเคยเป็นหนุ่ม และมาบัดนี้ชราแล้ว
ข้าพเจ้ายังไม่เคยเห็นผู้มีความชอบธรรมถูกทอดทิ้ง
หรือลูกๆ ของเขาต้องขอข้าวกิน
26 เขาเป็นคนโอบอ้อมอารีเสมอ อีกทั้งให้คนอื่นยืมด้วย
และลูกๆ ของเขาจะเป็นพระพร
27 จงหันหนีจากความชั่วเพื่อทำความดี
แล้วท่านจะอาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินตลอดกาล
28 ด้วยว่า พระผู้เป็นเจ้ารักความเป็นธรรม
และจะไม่ทอดทิ้งบรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระองค์
คือพวกเขาจะได้รับความคุ้มครองตลอดกาล
ส่วนลูกๆ ของคนชั่วร้ายจะพินาศ
29 ผู้มีความชอบธรรมจะได้รับผืนแผ่นดินเป็นมรดก
และอาศัยอยู่ที่นั่นไปตลอดกาล
30 ปากของผู้มีความชอบธรรมกล่าวถ้อยคำที่แสดงถึงสติปัญญา
และลิ้นของเขาร้อยเรียงด้วยความเป็นธรรม
31 กฎบัญญัติของพระเจ้าของเขาอยู่ในจิตใจ
และเท้าก้าวไปโดยไม่เพลี่ยงพล้ำ
32 คนชั่วจับจ้องผู้มีความชอบธรรม
โดยหมายจะเอาชีวิต
33 พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทอดทิ้งเขาให้ตกอยู่ในอุ้งมือของศัตรู
หรือปล่อยให้ถูกลงโทษเมื่อขึ้นศาล
34 จงรอคอยพระผู้เป็นเจ้า และเดินตามวิถีทางของพระองค์
และพระองค์จะให้เกียรติท่านโดยให้รับผืนแผ่นดินเป็นมรดก
ท่านจะได้เห็นความพินาศของคนชั่ว
35 ข้าพเจ้าเคยเห็นคนชั่วช้าสามานย์
ยืนสูงเด่นเป็นสง่าดั่งต้นซีดาร์แห่งเลบานอน
36 แต่ก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ค้ำฟ้าได้
แม้ข้าพเจ้าจะมองหาเขา แต่ก็ไม่พบ
37 จงสังเกตดูคนที่ไร้ข้อตำหนิ และจับตาดูผู้มีความชอบธรรม
เพราะคนใฝ่สันติจะมีวงศ์วานสืบตระกูลต่อไป
38 ส่วนคนล่วงละเมิดทุกคนจะถูกกำจัดสิ้น
อนาคตของคนชั่วจะพินาศ
39 ความรอดพ้นของผู้มีความชอบธรรมมาจากพระผู้เป็นเจ้า
พระองค์เป็นที่หลบภัยในยามทุกข์ยาก
40 พระผู้เป็นเจ้าช่วยและให้พวกเขาพ้นภัย
พระองค์ให้เขาพ้นภัยจากคนชั่วร้าย และช่วยพวกเขาให้รอดพ้น
เพราะเขามีพระองค์เป็นที่พักพิง
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation