Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
1 ซามูเอล 14

โยนาธานโจมตีชาวฟีลิสเตียพ่ายไป

14 วันหนึ่งโยนาธานบุตรของซาอูลพูดกับชายหนุ่มที่ถืออาวุธของท่านว่า “มาเถิด เราไปที่ด่านทหารชั้นนอกอีกฟากของชาวฟีลิสเตียกันเถิด” แต่ท่านไม่ได้บอกบิดาของท่านให้ทราบ ขณะนั้นซาอูลอยู่ที่ชายเมืองกิเบอาห์ ในถ้ำทับทิมที่มิโกรน มีทหารอยู่ด้วยประมาณ 600 คน คนที่อยู่ด้วยคืออาหิยาห์บุตรของอาหิทูบผู้เป็นพี่ชายของอีคาโบด อาหิทูบเป็นบุตรของฟีเนหัสบุตรของเอลีปุโรหิตของพระผู้เป็นเจ้าที่เมืองชิโลห์ อาหิยาห์สวมชุดคลุมด้วย และไม่มีใครทราบว่าโยนาธานไปแล้ว ทั้งสองฟากของทางข้ามที่เนินเขา ที่โยนาธานตั้งใจจะข้ามไปยังด่านทหารชั้นนอกของฟีลิสเตียเป็นหน้าผา ผาหนึ่งมีชื่อว่า โบเซส อีกผาหนึ่งชื่อ เสเนห์ ผาหนึ่งหันไปด้านเหนือทางไปมิคมาช และอีกผาหันไปด้านใต้ทางไปเก-บา

โยนาธานพูดกับชายหนุ่มที่ถืออาวุธของท่านว่า “มาเถิด เราไปที่ด่านทหารชั้นนอกของคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัตพวกนั้นกันเถิด พระผู้เป็นเจ้าอาจจะกระทำบางสิ่งเพื่อเราก็ได้ ไม่มีสิ่งใดที่จะขวางกั้นพระผู้เป็นเจ้าไม่ให้ช่วยเรา ไม่ว่าจะเป็นคนจำนวนมากหรือน้อยก็ตาม” คนถืออาวุธของท่านพูดว่า “ท่านประสงค์สิ่งใด ท่านก็ดำเนินการไป ข้าพเจ้าขออยู่ติดตามท่านจนชีวิตจะหาไม่” โยนาธานพูดว่า “ถ้าฉะนั้นก็ตามมา เราจะข้ามไปทางที่พวกทหารอยู่ ให้เขาเห็นพวกเรา ถ้าพวกเขาพูดกับเราว่า ‘รออยู่ที่นั่นจนกว่าพวกเราจะมาหาเจ้า’ เราก็จะอยู่กับที่ และไม่ขึ้นไปถึงตัวพวกเขา 10 แต่ถ้าพวกเขาพูดว่า ‘ขึ้นมาหาเราได้’ เราก็จะปีนขึ้นไป เพราะเป็นสัญลักษณ์ให้เรารู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าได้มอบพวกเขาไว้ในมือของพวกเราแล้ว” 11 ดังนั้นทั้งสองคนจึงไปแสดงตนให้ชาวฟีลิสเตียเห็นที่ด่านทหารชั้นนอก พวกฟีลิสเตียพูดว่า “ดูสิ ชาวฮีบรูกำลังคลานออกมาจากรูที่ซ่อนตัว” 12 พวกทหารที่ด่านชั้นนอกตะโกนบอกโยนาธานและคนถืออาวุธว่า “ขึ้นมายังที่ของเราสิ แล้วเราจะสอนบทเรียนให้กับเจ้า” โยนาธานจึงพูดกับคนถืออาวุธว่า “ปีนตามเราขึ้นมา พระผู้เป็นเจ้าได้มอบพวกเขาไว้ในมือของอิสราเอลแล้ว” 13 โยนาธานใช้เท้าและมือปีนขึ้นไป คนถืออาวุธก็ตามหลังท่านอย่างใกล้ชิด พวกฟีลิสเตียถูกฆ่าและล้มตายอยู่เบื้องหน้าโยนาธาน และคนถืออาวุธของท่านตามอยู่ข้างหลังก็ได้ฆ่าทหารไปด้วย 14 การโจมตีครั้งแรกนั้น โยนาธานและคนถืออาวุธของท่านฆ่าทหารได้ประมาณ 20 คนที่อยู่ในเขตเนื้อที่ประมาณหนึ่งไร่เศษ 15 เป็นเหตุให้ทหารทั้งกองที่อยู่ทั้งในค่ายและในทุ่งนากลัว ด่านทหารชั้นนอกและแม้แต่ทหารกองปล้นก็ยังกลัวจนตัวสั่น เกิดแผ่นดินไหว ทำให้สถานการณ์เป็นที่น่าตกใจยิ่งนัก

16 ทหารยามของซาอูลที่กิเบอาห์ของเบนยามินมองเห็นคนจำนวนมากกำลังกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง 17 ซาอูลจึงพูดกับทหารที่อยู่กับท่านว่า “นับจำนวนคน ว่ามีใครไปจากเราบ้าง” เมื่อนับแล้ว ดูเถิด โยนาธานกับคนถืออาวุธของท่านไม่อยู่ที่นั่น 18 ซาอูลพูดกับอาหิยาห์ว่า “จงนำหีบของพระเจ้ามา” (ในเวลานั้นหีบของพระเจ้าอยู่กับชาวอิสราเอล) 19 ขณะที่ซาอูลกำลังพูดกับปุโรหิตอยู่ เสียงชุลมุนที่ค่ายชาวฟีลิสเตียก็ดังมากยิ่งขึ้น ดังนั้นซาอูลจึงพูดกับปุโรหิตว่า “ยั้งมือไว้ก่อน” 20 แล้วซาอูลกับพวกทหารของท่านก็ไปสู้รบ และพบว่าพวกฟีลิสเตียฟันดาบสู้กันเองด้วยความสับสนอลหม่าน 21 บรรดาชาวฮีบรูที่ก่อนหน้านั้นได้ไปร่วมพรรคกับพวกฟีลิสเตีย และขึ้นไปที่ค่ายของพวกเขาด้วย กลับมาสมทบกับชาวอิสราเอลที่อยู่กับซาอูลและโยนาธาน 22 ครั้นชาวอิสราเอลทั้งหมดที่ได้หลบซ่อนอยู่ในแถบภูเขาเอฟราอิมทราบว่าพวกฟีลิสเตียหนีเตลิดไป จึงรีบไล่ตามไปต่อสู้ด้วย 23 ฉะนั้นพระผู้เป็นเจ้าได้ช่วยอิสราเอลให้รอดพ้นในวันนั้น และการต่อสู้ครั้งนั้นไปไกลจนเลยเมืองเบธอาเวน

ซาอูลผลุนผลันสาบาน

24 ในวันนั้นชาวอิสราเอลสู้รบอย่างหนัก ซาอูลจึงทำให้ประชาชนถือคำสาบานว่า “ใครก็ตามรับประทานอาหารก่อนจะถึงเย็น และก่อนเราแก้แค้นพวกศัตรูของเรา ก็ขอให้ถูกสาปแช่ง” ดังนั้นจึงไม่มีทหารคนใดลิ้มรสอาหาร 25 ทหารทั้งกองไปถึงบริเวณป่า ที่นั่นมีน้ำผึ้งเรียงรายอยู่บนพื้นดิน 26 เมื่อพวกเขาเข้าไปในป่า ก็เห็นน้ำผึ้งกำลังไหลย้อย แต่ก็ไม่มีผู้ใดแตะเข้าปาก เพราะพวกเขากลัวคำสาบาน 27 แต่โยนาธานไม่ได้ยินว่าบิดาของท่านให้คำสาบานผูกมัดประชาชน ดังนั้นท่านจึงยื่นปลายไม้ที่อยู่ในมือท่านแหย่รวงผึ้ง แล้วมือก็แตะปาก และท่านก็รู้สึกกระชุ่มกระชวย 28 แล้วทหารคนหนึ่งบอกท่านว่า “บิดาของท่านให้คำสาบานผูกมัดกองทหารอย่างจริงจังว่า ‘ใครก็ตามรับประทานอาหารในวันนี้ ขอให้ถูกสาปแช่ง’” เหล่าทหารจึงได้อ่อนล้ากัน 29 โยนาธานพูดว่า “บิดาของเราได้ทำให้คนในแผ่นดินลำบาก เห็นไหมว่า เรากระชุ่มกระชวยปานใดหลังจากได้ชิมน้ำผึ้งเพียงนิดเดียว 30 ถ้าหากว่าวันนี้เหล่าทหารได้รับประทานสิ่งที่ริบมาจากพวกศัตรูแล้ว เขาจะรู้สึกดีกว่านี้เพียงไร และจะได้ฆ่าฟันชาวฟีลิสเตียมากกว่านี้ด้วย”

31 ในวันนั้น หลังจากที่ชาวอิสราเอลได้ฆ่าชาวฟีลิสเตียตั้งแต่มิคมาชจนถึงอัยยาโลนแล้ว พวกเขาจึงอ่อนล้ามาก 32 พวกเขาจึงตะครุบสิ่งที่ริบมาได้ และเอาแกะ โคและลูกโคมาฆ่าตรงพื้นดินและรับประทานเนื้อทั้งที่ยังมีเลือดติดอยู่[a] 33 คนหนึ่งพูดกับซาอูลว่า “ดูสิ พวกทหารกำลังกระทำบาปต่อพระผู้เป็นเจ้าด้วยการรับประทานเนื้อทั้งที่ยังมีเลือดติดอยู่” ซาอูลกล่าวว่า “พวกเจ้าฝืนกฎ จงกลิ้งหินก้อนใหญ่มานี่เดี๋ยวนี้” 34 และท่านกล่าวว่า “ออกไปบอกพวกทหารให้ทั่วหน้ากันว่า ให้แต่ละคนนำโคและแกะมาให้เรา ฆ่าสัตว์ที่นี่แล้วจึงรับประทานได้ อย่ากระทำบาปต่อพระผู้เป็นเจ้าด้วยการรับประทานเนื้อที่ยังมีเลือดติดอยู่” ดังนั้นทุกคนจึงนำโคของตนมาในเย็นวันนั้นและฆ่าสัตว์ที่นั่น[b] 35 แล้วซาอูลก็สร้างแท่นบูชาถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า นับว่าเป็นครั้งแรกที่ท่านทำเช่นนั้น

36 ซาอูลกล่าวว่า “เราลงไปตามล่าพวกฟีลิสเตียเวลากลางคืน และจัดการทุกอย่างจนฟ้าสางกันเถิด อย่าปล่อยให้มีใครรอดสักคน” พวกทหารตอบว่า “กระทำตามที่ท่านเห็นว่าดีที่สุดเถิด” แต่ปุโรหิตพูดว่า “ให้พวกเราถามพระเจ้าที่นี่ก่อนเถิด” 37 ซาอูลจึงถามพระเจ้าว่า “ข้าพเจ้าควรจะลงไปตามล่าพวกฟีลิสเตียหรือไม่ พระองค์จะมอบไว้ในมือของอิสราเอลหรือไม่” แต่วันนั้นพระเจ้าไม่ได้ตอบท่าน 38 ซาอูลจึงพูดว่า “ท่านทุกคนที่เป็นผู้นำของประชาชนจงมาที่นี่เถิด เรามาดูกันว่า วันนี้ได้กระทำบาปอะไรบ้าง 39 ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด พระองค์เป็นผู้ช่วยชีวิตของชาวอิสราเอล และถึงแม้ว่าจะเป็นโยนาธานบุตรของเรา เขาก็จะต้องตาย” แต่ไม่มีใครตอบท่านแม้แต่คนเดียว 40 ดังนั้นซาอูลจึงกล่าวแก่ชาวอิสราเอลทั้งปวงว่า “พวกท่านยืนอยู่ที่โน่น โยนาธานกับเราจะยืนอยู่ที่นี่” ประชาชนตอบว่า “กระทำตามที่ท่านเห็นว่าดีที่สุดเถิด” 41 ซาอูลจึงอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลว่า “โปรดให้คำตอบที่ถูกต้องแก่ข้าพเจ้าเถิด” เมื่อฉลากตกอยู่ที่โยนาธานและซาอูล และประชาชนรอดตัวไป 42 ซาอูลกล่าวว่า “จงใช้วิธีจับฉลากระหว่างเรากับโยนาธานบุตรของเรา” และฉลากตกอยู่ที่โยนาธาน

43 ซาอูลกล่าวกับโยนาธานว่า “บอกเรามาว่า เจ้ากระทำอะไรลงไป” โยนาธานจึงบอกท่านว่า “ข้าพเจ้าชิมน้ำผึ้งที่ปลายไม้นิดเดียวเท่านั้น ข้าพเจ้าต้องตายแล้วหรือ” 44 ซาอูลกล่าวว่า “โยนาธานเอ๋ย ถ้าเจ้าไม่ตาย ก็ขอให้พระเจ้ากระทำต่อเรายิ่งกว่านั้นเสียอีก” 45 แต่ประชาชนพูดกับซาอูลว่า “โยนาธานควรจะตายหรือ ท่านเป็นคนที่ช่วยอิสราเอลให้มีชัยอันใหญ่ยิ่งเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ ผมสักเส้นบนศีรษะของท่านก็จะไม่ร่วงลงพื้นหรอก เพราะวันนี้ท่านกระทำไปก็ด้วยความช่วยเหลือของพระเจ้า” ฉะนั้นประชาชนช่วยโยนาธานให้รอดตัวได้ และท่านไม่ตาย 46 และซาอูลหยุดตามล่าพวกฟีลิสเตีย พวกเขาจึงถอยกลับไปยังดินแดนของตน

47 เมื่อซาอูลได้ครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอลแล้ว ท่านได้ต่อสู้ศัตรูที่อยู่รอบด้านเช่น โมอับ ชาวอัมโมน เอโดม บรรดากษัตริย์แห่งโศบาห์ และพวกชาวฟีลิสเตีย ไม่ว่าท่านจะหันไปที่ไหน ท่านก็ทำให้คนเหล่านั้นเป็นทุกข์ 48 ท่านต่อสู้อย่างกล้าหาญ และตีพวกอามาเลขให้พ่ายแพ้ไป และช่วยอิสราเอลให้พ้นจากมือของพวกที่เคยปล้นระดมพวกเขา

49 ต่อไปนี้เป็นรายชื่อบุตรของซาอูล โยนาธาน อิชวี มัลคีชูวา ธิดาหัวปีชื่อเมราบ และธิดาคนเล็กชื่อมีคาล 50 ภรรยาของท่านชื่ออาหิโนอัมบุตรีของอาหิมาอัส ผู้บังคับกองพันทหารของซาอูลชื่ออับเนอร์บุตรของเนอร์ และเนอร์เป็นลุงของซาอูล 51 คีชเป็นบิดาของซาอูล เนอร์เป็นบิดาของอับเนอร์ คีชและเนอร์เป็นบุตรของอาบีเอล

52 มีการต่อสู้อย่างรุนแรงกับชาวฟีลิสเตียตลอดทั้งชีวิตของซาอูล เมื่อใดที่ซาอูลเล็งเห็นชายผู้เก่งกล้าและกล้าหาญ ท่านก็จะเรียกให้เขาเข้าไปรับใช้อย่างใกล้ชิด

โรม 12

เครื่องสักการะที่มีชีวิต

12 ฉะนั้น เป็นเพราะความเมตตาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงขอร้องให้ท่านผู้เป็นพี่น้อง มอบกายของท่านดั่งเครื่องสักการะที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และน่าพอใจแด่พระเจ้า นี่คือการนมัสการฝ่ายวิญญาณของท่าน อย่าทำตัวตามอย่างโลกนี้ แต่จงยอมให้พระเจ้าเปลี่ยนความคิดของท่านใหม่ แล้วท่านจะได้เห็นว่าความประสงค์ของพระเจ้าเป็นอย่างไร คืออะไรดี น่าพอใจ และเพียบพร้อมทุกประการ

เพราะพระคุณที่ได้ให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอกล่าวกับท่านทุกคนว่า อย่าคิดว่าตนเองสูงส่งมากไปกว่าที่ตนควรจะคิด แต่จงคิดให้สมเหตุสมผล ตามแต่ระดับความเชื่อมากน้อยที่พระเจ้าได้ให้แก่ท่าน เหมือนกับการที่เราเป็นร่างกายเดียวกันที่มีอวัยวะหลายส่วน และทุกส่วนไม่ได้มีหน้าที่อย่างเดียวกัน ดังนั้นเราซึ่งเป็นหลายส่วน เป็นกายเดียวในพระคริสต์ และแต่ละส่วนก็เป็นของส่วนอื่นๆ ด้วย เรามีของประทานที่ต่างกัน ตามพระคุณที่ได้ให้แก่เรา ถ้าคนใดได้ของประทานเป็นการเผยคำกล่าวของพระเจ้า ก็จงให้เขาเผยตามระดับความเชื่อของเขา ถ้าเป็นการรับใช้ก็จงให้เขารับใช้ ถ้าเป็นการสอน ก็จงให้เขาสอน ถ้าเป็นการให้กำลังใจ ก็จงให้เขาให้กำลังใจ ถ้าเป็นการบริจาค ก็จงให้ด้วยใจเอื้อเฟื้อ ถ้าเป็นผู้นำ ก็จงให้เขานำด้วยความขยันขันแข็ง ถ้าเป็นการแสดงความเมตตา ก็จงให้เขาปฏิบัติด้วยความยินดี

จงรักอย่างจริงใจ จงชังความชั่ว และยึดมั่นในสิ่งที่ดี 10 จงรักกันและกันด้วยความรักฉันพี่น้อง อย่าลังเลที่จะให้เกียรติกันและกัน 11 อย่าเกียจคร้าน แต่จงรับใช้พระผู้เป็นเจ้าด้วยจิตวิญญาณที่กระตือรือร้น 12 จงยินดีที่มีความหวัง จงอดทนต่อความยากลำบาก จงอุทิศตนในการอธิษฐาน 13 จงเผื่อแผ่แก่ผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าที่ขัดสน และมีอัธยาศัยดีในการต้อนรับ

14 จงอวยพรบรรดาผู้ที่ข่มเหงท่าน จงอวยพรและอย่าสาปแช่งพวกเขา 15 จงชื่นชมยินดีกับคนที่ชื่นชมยินดี และร้องไห้กับคนที่ร้องไห้ 16 จงมีความสามัคคีกลมเกลียวกัน อย่ามีใจหยิ่งยโส แต่จงคบหาสมาคมกับคนที่มีสถานภาพด้อยกว่า อย่าคิดว่าตนฉลาดนัก 17 อย่าตอบความชั่วต่อผู้ใดด้วยความชั่ว แต่จงหมั่นทำสิ่งที่ดีอันน่าเชื่อถือในสายตาของทุกคน 18 หากเป็นไปได้และถ้าเป็นการที่ขึ้นอยู่กับท่านแล้ว จงอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน 19 ท่านที่รัก อย่าแก้แค้นด้วยตนเอง จงปล่อยให้การลงโทษเป็นเรื่องของพระเจ้าเถิด เพราะมีบันทึกไว้ว่า พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “การแก้แค้นเป็นของเรา เราจะสนองตอบ”[a] 20 แต่ “ถ้าศัตรูของเจ้าหิว ก็จงให้อาหารแก่เขา ถ้าเขากระหาย จงให้เขาดื่ม เพราะการกระทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการสุมถ่านที่ลุกโพลงทั้งกองบนศีรษะของเขา”[b] 21 อย่าให้ความชั่วชนะท่านได้ แต่จงชนะความชั่วด้วยความดี

เยเรมีย์ 51

ความพินาศของบาบิโลน

51 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้

“ดูเถิด เราจะกระตุ้นวิญญาณของผู้ทำลาย
    ให้โจมตีบาบิโลน
    โจมตีบรรดาผู้อยู่อาศัยของเลบคามาย[a]
เราจะส่งบรรดาผู้ฝัดร่อนไปยังบาบิโลน
    และพวกเขาจะฝัดร่อนบาบิโลน
และจะริบของไปจากแผ่นดินจนเกลี้ยง
    เมื่อพวกเขามาโจมตีบาบิโลนจากทุกด้าน
    ในวันแห่งความพินาศ
อย่าให้นักธนูง้างคันธนู
    และอย่าให้เขาสวมเกราะ
อย่าไว้ชีวิตบรรดาชายหนุ่มในบาบิโลน
    ทำลายทุกชีวิตของทหารทุกคน
พวกเขาจะล้มตายในแผ่นดินของชาวเคลเดีย
    และบาดเจ็บที่ถนนในเมือง”
เพราะพระเจ้าของอิสราเอลและยูดาห์
    พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาไม่ได้ทอดทิ้งพวกเขา
แม้ว่าแผ่นดินของพวกเขาเต็มด้วยความผิดบาป
    ต่อองค์ผู้บริสุทธิ์ของอิสราเอล

จงหนีไปจากบาบิโลน
    ให้แต่ละคนช่วยตัวเองให้รอด
อย่ายอมตายเพราะการลงโทษที่แผ่นดินนั้นได้รับ
    เพราะนี่เป็นเวลาของการแก้แค้นของพระผู้เป็นเจ้า
    เป็นการสนองตอบต่อสิ่งที่พวกเขาได้กระทำ
บาบิโลนเป็นเสมือนถ้วยทองในมือของพระผู้เป็นเจ้า
    ที่ทำให้ทั่วทั้งโลกเมามาย
บรรดาประชาชาติดื่มเหล้าองุ่นของเมืองนั้น
    บรรดาประชาชาติจึงได้บ้าคลั่ง
บาบิโลนจึงได้ล้มและแตกเป็นเสี่ยงๆ ในทันใด
    ร้องรำพันให้กับบาบิโลนเถิด
เอายาทาแผลไปให้เพื่อแก้ความเจ็บปวด
    อาจจะช่วยเขาให้หายก็ได้
พวกเราอยากจะช่วยบาบิโลนให้หายขาด
    แต่ก็รักษาไม่หาย
ปล่อยทิ้งเขาไป และเราไปกันเถิด
    แต่ละคนไปยังบ้านเกิดของตน
เพราะโทษของการตัดสินสำหรับเขาได้ขึ้นไปถึงฟ้าสวรรค์
    และได้ลอยขึ้นสูงเทียมฟ้า
10 พระผู้เป็นเจ้าได้พิสูจน์ว่าพวกเราไม่ผิด
    มาเถิด เรามาประกาศในศิโยนถึงสิ่ง
    ที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรากระทำ

11 ลับลูกธนูให้คม
    และยกโล่พร้อมรบ

พระผู้เป็นเจ้าได้กระตุ้นวิญญาณของบรรดากษัตริย์ของชาวมีเดีย เพราะพระองค์ประสงค์ที่จะทำลายบาบิโลน เพราะเป็นการแก้แค้นของพระผู้เป็นเจ้า แก้แค้นให้พระวิหารของพระองค์

12 จงให้สัญญาณโจมตีกำแพงเมืองของบาบิโลน
    เพิ่มจำนวนทหารยาม
และให้คนเฝ้ายามประจำตำแหน่ง
    เฝ้าระวังอย่าให้มีผู้ใดซุ่มโจมตี
ด้วยว่า พระผู้เป็นเจ้าได้กระทำตามที่พระองค์กล่าวว่า
    จะกระทำต่อบรรดาผู้อยู่อาศัยในบาบิโลน
13 โอ เมืองที่อยู่ข้างแม่น้ำหลายสาย
    ซึ่งมั่งคั่งด้วยสมบัติ
จุดจบของเจ้ามาถึงแล้ว
    ชีวิตของเจ้าจบเพียงเท่านี้

14 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาได้ปฏิญาณโดยพระองค์เองดังนี้ว่า

“เราจะให้คนจำนวนมากมาที่บาบิโลนจนเต็มเมือง
    มากมายราวกับฝูงตั๊กแตน
    และพวกเขาจะร้องตะโกนใส่เจ้าด้วยความมีชัย”

15 พระองค์เป็นผู้สร้างแผ่นดินโลกด้วยอานุภาพของพระองค์
    ผู้สร้างโลกด้วยสติปัญญาของพระองค์
และแผ่ฟ้าสวรรค์ออกด้วยความเข้าใจของพระองค์
16 เมื่อพระองค์ส่งเสียง ก็มีเสียงคำรามในฟ้าสวรรค์
    และพระองค์สร้างเมฆให้ลอยขึ้นจากสุดมุมโลก
พระองค์สร้างให้มีสายฟ้าแลบเมื่อมีฝน
    และให้มีลมโบกจากแหล่งเก็บลม
17 มนุษย์ทุกคนเบาปัญญาและไร้ความรู้
    ช่างตีเหล็กทุกคนจะอับอายก็เพราะรูปเคารพของเขา
เพราะรูปที่เขาหล่อขึ้นนั้นจอมปลอม
    และไม่มีลมหายใจ
18 รูปเหล่านั้นไร้ค่าและเป็นที่ดูแคลน
    และจะถูกทำลายเมื่อถึงเวลาพิพากษาโทษ
19 องค์ผู้ที่ยาโคบนมัสการไม่เป็นเหมือนสิ่งเหล่านี้
    เพราะพระองค์เป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง
และอิสราเอลเป็นเผ่าพันธุ์ของผู้สืบมรดกของพระองค์
    พระองค์มีพระนามว่า พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา

20 “บาบิโลนเอ๋ย เจ้าเป็นเสมือนค้อนของเรา
    เป็นอาวุธสงคราม
เราใช้เจ้าให้ทำลายบรรดาประชาชาติจนแตกหักเป็นเสี่ยงๆ
    และให้เจ้าทำลายอาณาจักรทั้งหลาย
21 เราใช้เจ้าให้ทำลายม้าและคนขี่จนพินาศ
    เราใช้เจ้าให้ทำลายรถศึกและคนขับจนพินาศ
22 เราใช้เจ้าให้ทำลายผู้ชายและผู้หญิง
    เราใช้เจ้าให้ทำลายผู้สูงวัยและคนวัยรุ่น
    เราใช้เจ้าให้ทำลายคนหนุ่มสาว
23 เราใช้เจ้าให้ทำลายผู้เลี้ยงดูฝูงแกะและฝูงสัตว์
    เราใช้เจ้าให้ทำลายชาวนาและสัตว์ใช้งาน
    เราใช้เจ้าให้ทำลายผู้ปกครองและผู้บัญชาการทั้งหลาย

24 เราจะกระทำตอบบาบิโลนและบรรดาผู้อยู่อาศัยของชาวเคลเดียต่อหน้าชาวอิสราเอล เพราะความชั่วทั้งปวงที่พวกเขาได้กระทำในศิโยน” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

25 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า

“โอ ภูเขาผู้ทำลายเอ๋ย[b] ดูเถิด เราต่อต้านเจ้า
    เจ้าทำลายทั่วทั้งแผ่นดินโลก
เราจะยื่นมือของเราออกเพื่อขัดขวางเจ้า
    และจะกลิ้งเจ้าให้ตกหน้าผา
    และทำให้เจ้าเป็นเทือกเขาที่ถูกไฟไหม้
26 พวกเขาจะไม่เอาหินแม้แต่ก้อนเดียวจากเจ้าไปใช้เป็นศิลามุมเอก
    หรือฐานรากอีก
แต่เจ้าจะเป็นที่รกร้างตลอดไป”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

27 “จงให้สัญญาณบนแผ่นดินโลก
    เป่าแตรงอนท่ามกลางบรรดาประชาชาติ
จงเตรียมบรรดาประชาชาติให้โจมตีบาบิโลน
    บอกอาณาจักรของอารารัต มินนี และอัชเคนัสให้โจมตีเมืองนั้น
มอบหมายผู้บังคับกองพันให้โจมตีเมือง
    ส่งม้าขึ้นมาให้มากมายราวกับฝูงตั๊กแตน
28 จงเตรียมบรรดาประชาชาติให้โจมตีบาบิโลน
    บรรดากษัตริย์ของชาวมีเดีย
พร้อมด้วยบรรดาผู้ว่าราชการและผู้นำของกษัตริย์
    และทุกดินแดนที่เขาปกครอง
29 แผ่นดินสั่นสะเทือนและบิดด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส
    เพราะพระผู้เป็นเจ้ายังประสงค์
ที่จะทำให้บาบิโลนเป็นแผ่นดินรกร้าง
    ปราศจากผู้อยู่อาศัย
30 บรรดานักรบของบาบิโลนได้หยุดต่อสู้
    พวกเขาอยู่ในป้อมปราการที่คุ้มกันไว้อย่างแข็งแกร่ง
พวกเขาท้อแท้
    และกลายเป็นคนอ่อนแอเหมือนผู้หญิง
ที่อยู่ของพวกเขาลุกไหม้
    ดาลประตูหักพัง
31 ผู้นำสาสน์คนแล้วคนเล่า
    และผู้ส่งข่าวคนแล้วคนเล่า
ต่างก็วิ่งไปบอกกษัตริย์แห่งบาบิโลนว่า
    เมืองของเขาถูกยึดโดยรอบ
32 ที่ข้ามธารน้ำถูกยึดหมด
    ที่ลุ่มถูกไฟไหม้
    และบรรดาทหารตื่นตระหนก”

33 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้

“ธิดาแห่งบาบิโลนเป็นเหมือนลานนวดข้าว
    ในยามที่ถูกเหยียบย่ำ
    เวลาเก็บเกี่ยวใกล้จะถึงแล้ว”

34 เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนได้กลืนกินเราแล้ว
    ท่านเหยียบขยี้เรา
ท่านได้ทำให้เราเป็นเหมือนภาชนะที่ไม่ได้บรรจุสิ่งใด
    ท่านกลืนเราเหมือนยักษ์มาร
ท้องของท่านเต็มด้วยของอร่อยที่เป็นของเรา
    แล้วท่านก็คายเราออก
35 ให้ผู้อยู่อาศัยของศิโยนพูดว่า
    “ขอให้ความรุนแรงที่พวกเราและพี่น้องร่วมชาติของเราถูกกระทำจงเกิดขึ้นกับบาบิโลนเถิด”
ให้เยรูซาเล็มพูดว่า
    “บรรดาผู้อยู่อาศัยของเคลเดียต้องรับผิดชอบกับการตายของเรา”

36 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้

“ดูเถิด เราจะปกป้องพวกเจ้า
    และแก้แค้นให้พวกเจ้า
เราจะทำให้ทะเลของบาบิโลนแห้งลง
    และทำให้แหล่งน้ำของเขาแห้งเหือด
37 และบาบิโลนจะกลายเป็นกองหินปรักหักพัง
    เป็นที่อยู่ของหมาใน
เป็นที่น่าหวาดกลัว และเป็นที่เหน็บแนม
    ปราศจากผู้อยู่อาศัย

38 พวกเขาจะคำรามด้วยกันเหมือนสิงโตคำราม
    พวกเขาจะทำเสียงขู่เหมือนลูกสิงโต
39 ขณะที่พวกเขาหิวกระหาย
    เราจะเตรียมงานเลี้ยงให้แก่พวกเขา
ทำให้เขาเมาและสนุกสนาน
    แล้วก็หลับสนิทจนไม่ตื่นขึ้นอีก”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
40 “เราจะนำพวกเขาลงไป
    อย่างลูกแกะที่จะถูกประหาร
    อย่างแกะและแพะตัวผู้

41 บาบิโลนถูกยึด
    เมืองอันเป็นที่กล่าวยกย่องของทั่วทั้งโลกถูกยึด
บาบิโลนได้กลายเป็นที่น่าหวาดกลัว
    ในท่ามกลางบรรดาประชาชาติอะไรเช่นนี้
42 น้ำทะเลจะเอ่อขึ้นท่วมบาบิโลน
    นางจะถูกท่วมจนมิดด้วยคลื่นที่ซัดครืนครั่น
43 เมืองต่างๆ ของบาบิโลนได้กลายเป็นที่น่าหวาดกลัว
    เป็นแผ่นดินอันแห้งแล้งและเป็นทะเลทราย
เป็นแผ่นดินที่ไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่
    และแผ่นดินที่ไม่มีใครเดินทางผ่าน
44 เราจะลงโทษเทพเจ้าเบลในบาบิโลน
    และเอาสิ่งที่เขากลืนแล้วออกจากปาก
บรรดาประชาชาติจะไม่หลั่งไหลไปหาเขาอีก
    กำแพงเมืองของบาบิโลนถล่มลงแล้ว

45 ชนชาติของเราเอ๋ย จงออกไปจากบาบิโลน
    ทุกคนจงช่วยตัวเองให้รอด
    จากความกริ้วอันร้อนแรงของพระผู้เป็นเจ้า
46 อย่าท้อแท้ใจหรือหวาดหวั่น
    กับเรื่องราวที่ได้ยินในแผ่นดิน
เมื่อได้ยินข่าวปีแล้วปีเล่า
    และความรุนแรงเกิดขึ้นในแผ่นดิน
    ผู้ปกครองแผ่นดินต่อสู้กันเอง

47 ฉะนั้น ดูเถิด จะถึงเวลาที่เราจะ
    ลงโทษพวกรูปเคารพของบาบิโลน
ทั่วทั้งแผ่นดินจะได้รับความอับอาย
    และพวกที่ถูกฆ่าจะล้มตายท่ามกลางแผ่นดิน
48 ครั้นแล้ว ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก
    และทุกสิ่งที่อยู่ในที่เหล่านั้น
จะร้องเพลงด้วยความยินดีเมื่อบาบิโลนถล่มลง
    เพราะบรรดาผู้ทำลายจะมาโจมตีพวกเขาจากทิศเหนือ”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
49 “เป็นเพราะอิสราเอลถูกฆ่าฟัน บาบิโลนจึงต้องถล่มลง
    เช่นเดียวกับที่บาบิโลนได้กระทำต่อคนทั่วทั้งโลก

50 พวกเจ้าที่รอดจากความตายมาได้
    จงไปเถิด อย่ายืนนิ่งอยู่
แม้ว่าเจ้าจะอยู่ไกลจากบ้านเกิด แต่ก็จงระลึกถึงพระผู้เป็นเจ้า
    และนึกถึงเยรูซาเล็ม”
51 “พวกเราเผชิญกับความอับอาย
    เพราะพวกเราถูกดูหมิ่น
    พวกเราท่วมท้นด้วยความอัปยศ
เพราะชนต่างชาติได้เข้ามา
    ยังสถานที่บริสุทธิ์ในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า

52 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้

“ฉะนั้น ดูเถิด จะถึงเวลาที่เรา
    จะตัดสินลงโทษพวกรูปเคารพของบาบิโลน
และบรรดาผู้บาดเจ็บจะโอดครวญไปทั่วแผ่นดิน
53 แม้หากว่าบาบิโลนจะสามารถปีนขึ้นได้ถึงฟ้าสวรรค์
    และแม้หากว่าบาบิโลนจะสร้างที่สูงให้แข็งแกร่ง
เราก็ยังจะให้บรรดาผู้ทำลายมาโจมตีแผ่นดินนั้น”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

54 “จงฟังเสียงร้องจากบาบิโลนว่า
    เสียงแห่งความวิบัติจากแผ่นดินของชาวเคลเดีย
55 ด้วยว่า พระผู้เป็นเจ้ากำลังทำให้บาบิโลนพินาศ
    และพระองค์จะทำเสียงอันมีอานุภาพของบาบิโลนให้นิ่งเงียบ
เสียงคลื่นครืนครั่นดั่งกระแสน้ำแรงกล้า
    เสียงตะโกนของพวกเขาดังขึ้น
56 ด้วยว่า ผู้ทำลายผู้หนึ่งได้เข้าโจมตีบาบิโลน
    บรรดานักรบของบาบิโลนก็ถูกจับตัวไป
    คันธนูของพวกเขาถูกหักเป็นชิ้นๆ
ด้วยว่า พระผู้เป็นเจ้าคือพระเจ้าแห่งการสนองตอบ
    พระองค์จะจ่ายกลับคืนอย่างแน่นอน
57 เราจะทำให้บรรดาผู้นำ และผู้เรืองปัญญา
    ผู้ปกครอง ผู้บัญชาการ และนักรบของแผ่นดินนั้นเมา
พวกเขาจะหลับสนิทจนไม่ตื่นขึ้นอีก”
    กษัตริย์ผู้มีพระนามว่า พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนั้น

58 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธากล่าวดังนี้

“กำแพงเมืองอันกว้างของบาบิโลน
    จะถูกทำให้พังลงราบกับพื้น
และประตูเมืองอันสูงตระหง่าน
    จะถูกไฟไหม้
บรรดาชนชาติสิ้นแรงโดยไร้ประโยชน์
    และบรรดาชนชาติลงแรงเสียเปล่า
    ที่เหลือก็เป็นเพียงเชื้อเพลิง”

59 เยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าบัญชาเสไรยาห์บุตรของเนริยาห์ผู้เป็นบุตรของมัคเสยาห์ เมื่อเขาไปยังบาบิโลนกับเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ ในปีที่สี่ของการปกครอง[c] เสไรยาห์เป็นองครักษ์ผู้ติดตาม 60 เยเรมีย์เขียนเรื่องความพินาศทั้งสิ้นที่จะเกิดแก่บาบิโลนลงในหนังสือ คือทุกคำที่ถูกบันทึกเกี่ยวกับบาบิโลน 61 และเยเรมีย์พูดกับเสไรยาห์ดังนี้ “เมื่อท่านมายังบาบิโลน จงแน่ใจว่าท่านอ่านทุกคำ 62 และพูดว่า ‘โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ได้กล่าวถึงสถานที่นี้ว่า พระองค์จะตัดขาดจนไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ก็ตาม และจะเป็นที่รกร้างไปตลอดกาล’ 63 เมื่อท่านอ่านหนังสือฉบับนี้จบแล้ว จงผูกติดไว้ที่ก้อนหิน และเหวี่ยงลงกลางแม่น้ำยูเฟรติส 64 และพูดว่า ‘บาบิโลนจะจมลงอย่างนี้ และจะลุกขึ้นไม่ได้อีก เพราะความวิบัติที่เรากำลังนำมาสู่แผ่นดินนี้ และชนชาติของเขาจะเหนื่อยล้าหมดแรง’”

คำพูดของเยเรมีย์จบเพียงเท่านี้

สดุดี 30

ขอบคุณและสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า

เพลงสดุดีของดาวิด เพลงเนื่องในโอกาสอุทิศพระวิหาร

ข้าพเจ้าจะยกย่องพระองค์ โอ พระผู้เป็นเจ้า
    ด้วยว่า พระองค์ได้ฉุดข้าพเจ้าขึ้นมา
    และไม่ได้ปล่อยให้ข้าพเจ้าเป็นที่สะใจของพวกศัตรู
โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าร้องขอความช่วยเหลือ
    และพระองค์ก็ได้บำบัดรักษาข้าพเจ้าให้หาย
โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ได้นำชีวิตข้าพเจ้าให้พ้นจากแดนคนตาย
    และให้ข้าพเจ้ามีชีวิตขึ้นใหม่จากหลุมลึกแห่งแดนคนตาย

ร้องเพลงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าเถิด ผู้บริสุทธิ์ของพระองค์เอ๋ย
    และขอบคุณพระนามอันบริสุทธิ์ของพระองค์
เพราะความกริ้วของพระองค์เป็นไปเพียงขณะเดียว
    แต่ความโปรดปรานย่อมเป็นไปชั่วชีวิต
การร่ำไห้อาจยาวนานถึงหนึ่งคืน
    แต่ความยินดีย่อมเกิดขึ้นในยามเช้า

และสำหรับข้าพเจ้า ในยามปลอดภัยข้าพเจ้าพูดได้ว่า
    “ข้าพเจ้าจะไม่มีวันหวั่นไหว”
เนื่องจากพระองค์โปรดปราน โอ พระผู้เป็นเจ้า
    พระองค์ได้ทำให้ข้าพเจ้าเป็นดั่งภูเขาแข็งแกร่ง
หากพระองค์ซ่อนหน้าไปเสีย
    ข้าพเจ้าก็หวั่นกลัว

โอ พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าร้องขอต่อพระองค์
    และข้าพเจ้าวิงวอนขอต่อพระผู้เป็นเจ้า
หากว่าข้าพเจ้าลงไปสู่หลุมแห่งแดนคนตาย
    ความตายของข้าพเจ้าทำให้เกิดประโยชน์อะไรได้
ผงธุลีจะสรรเสริญพระองค์หรือ
    มันจะป่าวประกาศความสัตย์จริงของพระองค์หรือ
10 โปรดฟังเถิด พระผู้เป็นเจ้า และเมตตาข้าพเจ้า
    โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดเป็นผู้ช่วยเหลือข้าพเจ้าเถิด

11 พระองค์เปลี่ยนความเศร้าโศกของข้าพเจ้าให้เป็นการเริงรื่น
    พระองค์ปลดผ้ากระสอบของข้าพเจ้าออก
    แล้วสวมความยินดีให้
12 เพื่อว่าจิตวิญญาณข้าพเจ้าจะได้สรรเสริญพระองค์ และไม่เงียบงัน
    โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะขอบคุณพระองค์ชั่วกาลนาน

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation