M’Cheyne Bible Reading Plan
ซาอูลรบชนะชาวอัมโมน
11 นาหาชชาวอัมโมนขึ้นไป และใช้กำลังล้อมเมืองยาเบชกิเลอาด บรรดาชายชาวยาเบชจึงพูดกับนาหาชว่า “ทำพันธสัญญากับพวกเรา และเราจะยอมรับใช้ท่าน” 2 แต่นาหาชชาวอัมโมนตอบว่า “เราจะทำพันธสัญญากับพวกเจ้า ก็ต่อเมื่อเราได้ควักตาขวาของเจ้าทุกคนออกเสียก่อน จะได้เป็นที่น่าอับอายต่ออิสราเอลทั้งปวง” 3 บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของยาเบชพูดกับนาหาชว่า “ให้เวลาพวกเรา 7 วัน เราจะได้ให้ผู้ส่งข่าวไปให้ทั่วอิสราเอล ถ้าไม่มีใครมาช่วยชีวิตพวกเรา เราก็จะยอมจำนนต่อท่าน” 4 เมื่อบรรดาผู้ส่งข่าวมายังกิเบอาห์เมืองของซาอูล และรายงานข้อตกลงกับประชาชน ทุกคนจึงส่งเสียงร้องไห้
5 พอดีกับเวลาที่ซาอูลกำลังต้อนฝูงโคกลับมาจากทุ่ง ท่านถามว่า “ประชาชนเป็นอะไรไป ทำไมจึงร้องไห้กัน” พวกเขาจึงบอกให้ท่านฟังเรื่องพวกผู้ชายของยาเบช 6 ครั้นซาอูลได้ยินเรื่อง ท่านก็เปี่ยมด้วยอานุภาพแห่งพระวิญญาณของพระเจ้า และท่านโกรธมาก 7 ท่านเอาโคคู่หนึ่งมาตัดออกเป็นท่อนๆ และใช้ผู้ส่งข่าวส่งไปให้ทั่วอิสราเอล พร้อมกับประกาศว่า “จะเกิดเรื่องแบบนี้กับฝูงโคของทุกคนที่ไม่ติดตามซาอูลและซามูเอล” และประชาชนก็เกิดหวาดกลัวพระผู้เป็นเจ้า และต่างก็ร่วมใจกันออกมา 8 เมื่อซาอูลตรวจพลที่เบเซก นับจำนวนชายชาวอิสราเอลได้ 300,000 คน และชายชาวยูดาห์ 30,000 คน 9 พวกเขาบอกผู้ส่งข่าวที่มาว่า “จงไปบอกพวกผู้ชายของยาเบชกิเลอาดว่า ‘พรุ่งนี้ก่อนเที่ยงวัน จะมีคนมาช่วยชีวิตพวกท่าน’” เมื่อบรรดาผู้ส่งข่าวไปรายงานเรื่องนี้แก่พวกผู้ชายของยาเบช พวกเขาก็ยินดียิ่งนัก 10 พวกเขาบอกชาวอัมโมนว่า “พรุ่งนี้พวกเราจะยอมจำนนต่อท่าน และท่านจะทำอย่างไรกับเราก็ได้ตามที่ท่านเห็นว่าสมควร” 11 วันรุ่งขึ้นซาอูลแบ่งพลของท่านออกเป็น 3 กอง ช่วงเวลาก่อนฟ้าสาง พวกเขาบุกเข้าไปในค่ายของชาวอัมโมน และฆ่าฟันพวกเขาจนกระทั่งเที่ยงวัน พวกที่มีชีวิตรอดต่างหนีเตลิดเปิดเปิง ตัวใครตัวมัน
12 แล้วประชาชนพูดกับซามูเอลว่า “ใครเป็นคนที่พูดว่า ‘ซาอูลจะปกครองพวกเราอย่างนั้นหรือ’ นำชายพวกนั้นมาให้เรา และเราจะฆ่าให้ตาย” 13 แต่ซาอูลกล่าวว่า “วันนี้จะไม่มีการฆ่าใครตาย เพราะวันนี้พระผู้เป็นเจ้าได้ช่วยอิสราเอลให้รอดพ้นแล้ว” 14 และซามูเอลพูดกับประชาชนว่า “ไปกันเถิด ไปกิลกาลกัน และยืนยันความเป็นกษัตริย์ของซาอูล” 15 ดังนั้นประชาชนทั้งปวงจึงไปยังกิลกาล และยืนยัน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าว่าซาอูลเป็นกษัตริย์ พวกเขาได้มอบของถวายเพื่อสามัคคีธรรม ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า ซาอูลและชาวอิสราเอลทั้งปวงจึงได้มีงานเฉลิมฉลองครั้งใหญ่
พระเจ้าเลือกอิสราเอล
9 ข้าพเจ้าขอบอกความจริงในพระคริสต์ว่า ข้าพเจ้าไม่พูดเท็จ มโนธรรมของข้าพเจ้าเป็นพยานแก่ข้าพเจ้าโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่า 2 ข้าพเจ้าเศร้าใจยิ่งนัก และปวดร้าวใจอย่างไม่มีสิ้นสุด 3 ถ้าเป็นไปได้ ข้าพเจ้ายินดีจะรับการสาปแช่งและถูกตัดขาดจากพระคริสต์ เพื่อพี่น้องของข้าพเจ้า คือบรรดาพี่น้องร่วมชาติ 4 พวกเขาเป็นชาวอิสราเอล ซึ่งได้รับการยกฐานะเป็นบุตร ได้รับพระบารมี พันธสัญญานานา กฎบัญญัติ ได้นมัสการที่พระวิหาร และได้รับพระสัญญาต่างๆ 5 ทั้งบรรพบุรุษก็เป็นของพวกเขาด้วย พระคริสต์ได้กำเนิดเป็นมนุษย์โดยสืบเชื้อสายมาจากชนชาติของพวกเขา สรรเสริญพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าแห่งสรรพสิ่งตลอดกาล อาเมน
6 แต่มิใช่ว่า คำกล่าวของพระเจ้าไม่บรรลุผล ด้วยว่าทุกคนที่สืบตระกูลมาจากอิสราเอลหาได้เป็นชาวอิสราเอลทุกคนไม่ 7 และมิใช่ว่าทุกคนที่สืบเชื้อสายมาจากอับราฮัมเป็นบุตรแท้ด้วย แต่ “เจ้าจะมีบรรดาผู้สืบเชื้อสายโดยผ่านทางอิสอัค”[a]
8 คือไม่ใช่บรรดาบุตรทางสายเลือดที่เป็นบุตรของพระเจ้า แต่เป็นบรรดาบุตรทางพระสัญญาที่ถูกนับว่าเป็นผู้สืบเชื้อสาย 9 ด้วยว่าพระสัญญาคือคำที่กล่าวไว้ว่า “ตามกำหนดเวลานี้เราจะมา และนางซาราห์จะได้บุตรเป็นชาย”[b]
10 และไม่เพียงเท่านั้น แต่นางเรเบคาห์ด้วย คือเมื่อนางตั้งครรภ์แฝดโดยชายคนหนึ่ง คืออิสอัคบิดาของเรา 11 ถึงแม้ว่าแฝดคู่นั้นยังไม่เกิดมา และยังไม่ได้กระทำดีหรือชั่วแต่ประการใด เพื่อจะได้เป็นไปตามจุดประสงค์ของพระเจ้าที่ได้เลือกไว้ 12 ไม่ใช่เป็นเพราะการปฏิบัติตน แต่เป็นเพราะพระองค์ผู้เป็นฝ่ายที่เรียก พระเจ้าพูดกับนางว่า “คนพี่จะรับใช้คนน้อง”[c] 13 ตามที่มีบันทึกไว้ว่า “ยาโคบนั้นเรารัก แต่เอซาวเราชัง”[d]
14 แล้วเราจะว่าอย่างไร พระเจ้าไม่ยุติธรรมหรือ ไม่มีทางจะเป็นเช่นนั้น 15 เพราะพระองค์กล่าวกับโมเสสว่า
“เรามีความเมตตาให้กับผู้ใด เราก็จะเมตตาผู้นั้น
และเรามีความสงสารให้กับผู้ใด เราก็จะสงสารผู้นั้น”[e]
16 ฉะนั้น จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับความประสงค์หรือความมานะพยายามของมนุษย์ แต่ขึ้นอยู่กับความเมตตาของพระเจ้า 17 ข้อพระคัมภีร์ที่กล่าวแก่ฟาโรห์ว่า “เราแต่งตั้งเจ้าขึ้นมาเพราะจุดประสงค์นี้เอง เพื่อเราจะได้แสดงอานุภาพของเราให้ปรากฏในตัวเจ้า และเพื่อนามของเราจะได้ถูกประกาศไปทั่วโลก”[f]
18 ฉะนั้น พระเจ้ามีความเมตตาต่อคนที่พระองค์ประสงค์จะเมตตา และพระองค์ทำให้คนมีใจแข็งกระด้างตามที่พระองค์ประสงค์
19 แล้วท่านก็จะพูดกับข้าพเจ้าว่า “แล้วทำไมพระเจ้ายังตำหนิเราอยู่อีก มีใครจะขัดขืนความตั้งใจของพระองค์ได้เล่า” 20 มนุษย์เอ๋ย ท่านเป็นใครกันจึงพูดตอกกลับพระเจ้า “สิ่งที่ถูกปั้นขึ้นจะพูดกับผู้ปั้นได้หรือว่า ‘ทำไมท่านจึงปั้นเราแบบนี้’”[g] 21 และช่างปั้นหม้อไม่มีสิทธิ์เอาดินจากก้อนเดียวกัน มาปั้นเป็นภาชนะสำหรับการใช้งานอันมีเกียรติ และภาชนะสำหรับใช้สอยธรรมดาด้วยหรือ 22 แม้ว่าพระเจ้าประสงค์จะแสดงให้เห็นถึงความโกรธเกรี้ยวของพระองค์ และให้อานุภาพเป็นที่ประจักษ์ แต่พระองค์ก็ยังได้อดทนมากต่อบรรดาผู้เป็นภาชนะที่ถูกปั้นไว้เพื่อการทำลาย แล้วใครจะว่าอย่างไร 23 และถ้าพระองค์ทำเช่นนั้น เพื่อแสดงพระบารมีอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ซึ่งมีต่อบรรดาภาชนะที่ถูกปั้นล่วงหน้าเพื่อรับความเมตตา แล้วใครจะว่าอย่างไร 24 แม้แต่พวกเราเองพระองค์ก็ได้เรียกให้มา พระองค์ไม่ได้เรียกมาจากหมู่ชนชาติยิวเท่านั้น แต่มาจากหมู่คนนอกด้วย 25 ดังที่พระองค์กล่าวไว้ในฉบับโฮเชยาว่า
“เราจะเรียกพวกเขาซึ่งไม่ใช่ชนชาติของเราว่า ‘ชนชาติของเรา’
และเรียกชนชาติซึ่งไม่ใช่ที่รักว่า ‘ที่รัก’”[h]
26 “และ ณ ที่ซึ่งพระเจ้ากล่าวว่า
‘เจ้าไม่ใช่ชนชาติของเรา’
พระเจ้าจะเรียกเขาว่า ‘บรรดาบุตรของพระเจ้าผู้ดำรงอยู่’”[i]
27 อิสยาห์กล่าวถึงอิสราเอลด้วยเสียงอันดังว่า “แม้จำนวนชนชาติอิสราเอลเปรียบได้เท่าเม็ดทรายในทะเล แต่จะมีผู้ที่เหลืออยู่จำนวนหนึ่งเท่านั้นที่จะรอดพ้น 28 ด้วยว่า พระผู้เป็นเจ้าจะลงโทษโลกอย่างรวดเร็วและครบถ้วน”[j]
29 ตามที่อิสยาห์ได้กล่าวล่วงหน้าไว้ว่า
“ถ้าพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา
ไม่ได้เหลือผู้สืบวงศ์ตระกูลไว้ให้พวกเรา
พวกเราคงกลายเป็นเหมือนเมืองโสโดม
และเป็นอย่างเมืองโกโมราห์”[k]
ความไม่เชื่อของอิสราเอล
30 แล้วเราจะว่าอย่างไร แม้ว่าพวกคนนอกไม่ได้มุ่งหาความชอบธรรม แต่ก็ยังได้รับความชอบธรรมโดยความเชื่อ 31 ส่วนพวกอิสราเอลมุ่งหาความชอบธรรมตามกฎบัญญัติ แต่ก็ปฏิบัติตามกฎนั้นไม่สำเร็จ 32 เพราะอะไร ก็เพราะพวกเขาไม่ได้มุ่งหาตามความเชื่อ แต่คิดว่าได้มาโดยการปฏิบัติ พวกเขาสะดุดก้อนหินที่ทำให้สะดุดนั้น 33 ตามที่มีบันทึกไว้ว่า
“ดูเถิด เราวางศิลาก้อนหนึ่งลงในศิโยน ที่เป็นเหตุให้คนสะดุด
และเป็นหินที่ทำให้พวกเขาล้มลง
และผู้ที่ไว้วางใจในพระองค์จะไม่ได้รับความอับอาย”[l]
การตัดสินลงโทษโมอับ
48 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวถึงโมอับดังนี้
“วิบัติแก่ภูเขาเนโบ เพราะจะพังพินาศ
คีริยาทาอิมเผชิญกับความอับอายเพราะถูกยึด
ป้อมปราการเผชิญกับความอับอายและพังทลาย
2 โมอับไม่เป็นที่ยกย่องอีกต่อไป
ศัตรูวางแผนโจมตีเฮชโบนให้พินาศด้วยการพูดว่า
‘มาเถิด เรามาทำให้ประชาชาติของเขาล่มสลายลง’
โอ พวกคนบ้า พวกเจ้าด้วยที่จะถูกดับลง
พวกเจ้าจะถูกล่าด้วยดาบ
3 จงฟังเสียงร้องจากโฮโรนาอิมว่า
‘ที่รกร้างและความพินาศ’
4 โมอับพินาศลง
เด็กๆ ส่งเสียงร้อง
5 พวกเขาขึ้นไปยังลูฮีท
ขึ้นไปพลางร้องไห้ไป
พวกเขาได้ยินเสียงร้องที่เป็นทุกข์กับความพินาศ
เมื่อลงมาที่โฮโรนาอิม
6 จงหนีไป เอาตัวรอดเถิด
เจ้าจะเป็นเหมือนพุ่มไม้ในทะเลทราย
7 เพราะเจ้าวางใจในพละกำลังและความมั่งมีของเจ้า
แม้แต่ตัวเจ้าเองก็จะถูกยึดด้วย
และเทพเจ้าเคโมชจะไปกับบรรดาปุโรหิตและผู้นำ
ที่ถูกจับไปเป็นเชลย
8 ผู้ทำลายจะมาโจมตีทุกเมือง
ไม่มีเมืองใดที่จะรอดไปได้
หุบเขาจะเหี้ยนเตียน
ที่ราบจะถูกทำลาย
ตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวไว้
9 ให้ปีกแก่โมอับ
เพื่อจะได้บินหนีไปได้
เมืองต่างๆ จะกลายเป็นที่รกร้าง
ไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่
10 ผู้ถูกสาปแช่งคือผู้ที่ไม่ทำงานของพระผู้เป็นเจ้าอย่างสุดกำลัง และผู้ถูกสาปแช่งคือผู้ที่ไม่ยอมฆ่าฟันพวกเขา
11 โมอับอยู่อย่างสบายตั้งแต่ยังเยาว์
เหมือนเหล้าองุ่นที่ตกตะกอน
ไม่เคยถูกรินจากไหหนึ่งไปอีกไหหนึ่ง
ไม่เคยถูกจับไปเป็นเชลย
จึงมีรสชาติเหมือนเดิม
กลิ่นก็ไม่เปลี่ยนแปลง”
12 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “แต่วันนั้นกำลังจะมาถึง เราจะให้บรรดาผู้รินซึ่งจะรินโมอับอย่างรินเหล้าองุ่นจนหมดไห และทุบไหให้แตกละเอียด 13 แล้วโมอับจะอับอายเพราะเทพเจ้าเคโมช เช่นเดียวกับพงศ์พันธุ์อิสราเอลที่อับอายเมื่อไว้วางใจในเบธเอล[a]
14 เจ้าพูดได้อย่างไรว่า ‘พวกเราเป็นวีรบุรุษ
และนักรบผู้กล้าหาญ’
15 โมอับและเมืองต่างๆ จะถูกบุกรุกและพังยับเยิน
และชายหนุ่มที่ถูกคัดเลือกแล้วได้ลงไปให้เขาสังหาร”
กษัตริย์ผู้มีพระนามว่า พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนั้น
16 “ความวิบัติของโมอับใกล้เข้ามาแล้ว
และความทุกข์ทรมานของเขาจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
17 ทุกคนที่อยู่รอบตัวโมอับจงเศร้าใจเถิด
และทุกคนที่ได้ยินกิตติศัพท์จงพูดว่า
‘คทาอันมีอานุภาพหักพังได้ถึงขนาดนี้
คทาอันสง่างาม’
18 ลงมาจากความสง่า
และนั่งลงบนฝุ่นที่แห้งผาก
โอ ธิดาที่อาศัยอยู่ในดีโบน
เพราะผู้ทำลายของโมอับได้ลงมาโจมตีเจ้า
เขาได้ทำลายเมืองต่างๆ ที่คุ้มกันไว้อย่างแข็งแกร่งแล้ว
19 โอ ผู้อยู่อาศัยของอาโรเออร์เอ๋ย
จงยืนดูที่ข้างทาง
จงถามผู้ชายที่วิ่งหนีและถามผู้หญิงที่หลบหนีว่า
‘เกิดอะไรขึ้น’
20 โมอับได้รับความอับอาย เพราะล่มสลายลงแล้ว
จงร้องรำพันและส่งเสียงร้อง
จงประกาศบอกที่ข้างแม่น้ำอาร์โนนว่า
โมอับพังยับเยินแล้ว
21 การลงโทษมาถึงที่ราบสูง ถึงโฮโลน ยาซาห์ และเมฟาอาท 22 ดีโบน เนโบ และเบธดิบลาธาอิม 23 คีริยาทาอิม เบธกามุล เบธเมโอน 24 เคริโอท โบสราห์ และทุกเมืองของแผ่นดินโมอับ ทั้งใกล้และไกล 25 พละกำลังของโมอับสูญสิ้น ไม่สามารถต่อสู้ได้อีกแล้ว” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
26 “จงทำให้โมอับเมา เพราะเขาฮึกเหิมต่อพระผู้เป็นเจ้า โมอับจะเกลือกกลิ้งในอาเจียนของตนเอง และจะเป็นที่หัวเราะเยาะ 27 เจ้าหัวเราะเยาะอิสราเอลมิใช่หรือ เขาถูกจับว่าเป็นขโมยหรือ เวลาที่เจ้าพูดถึงเขา เจ้าจึงได้ส่ายหัว
28 โอ บรรดาผู้อาศัยอยู่ในโมอับ
จงไปจากเมือง และอยู่ในโพรงหิน
เป็นเหมือนนกเขาที่ทำรังบนริมผา
29 เราทราบถึงความหยิ่งยโสของโมอับ
โมอับยโสมาก
จองหอง เย่อหยิ่ง ทะนงตัว
และคิดว่าตนเลิศนัก”
30 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า
“เรารู้ถึงความยโสโอหังของโมอับ
การโอ้อวดของเขาไร้ประโยชน์
การกระทำของเขาไม่เกิดประโยชน์อันใด
31 ฉะนั้น เราร้องรำพันให้แก่โมอับ
เราส่งเสียงร้องให้แก่ทุกคนของโมอับ
เราร้องคร่ำครวญให้แก่ผู้คนของคีร์เฮเรส
32 โอ เถาของสิบมาห์
เราร้องไห้ ให้เจ้ามากกว่าร้องให้แก่ยาเซอร์
กิ่งก้านของเจ้าแผ่ข้ามทะเลออกไป
จนถึงทะเลแห่งยาเซอร์
ผู้ทำลายได้ทำความเสียหาย
แก่ผลไม้ฤดูร้อนและผลองุ่นของเจ้า
33 ความยินดีและร่าเริงใจถูกริบไป
จากแผ่นดินอันอุดมของโมอับ
เราได้ทำให้เครื่องสกัดเหล้าองุ่นหยุดสกัด
ไม่มีผู้ใดย่ำองุ่นด้วยเสียงตะโกนแห่งความยินดี
เสียงตะโกนไม่ใช่เสียงแห่งความยินดี
34 เสียงร้องของพวกเขาดังขึ้นจากเฮชโบนจนถึงเอเลอาเลห์และยาฮาส จากโศอาร์ไปจนถึงโฮโรนาอิมและเอกลัทเชลีชิยาห์ เพราะน้ำในนิมริมแห้งเหือด 35 และเราจะทำให้ผู้มอบเครื่องสักการะที่สถานบูชาบนภูเขาสูงและเผาเครื่องหอมแก่เทพเจ้าของเขาหยุดกระทำในโมอับ” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น 36 “ฉะนั้น ใจของเราโอดครวญถึงโมอับเหมือนเสียงขลุ่ย ใจของเราโอดครวญเหมือนเสียงขลุ่ยถึงผู้คนของคีร์เฮเรส ฉะนั้นความมั่งมีที่พวกเขาได้มาก็สาบสูญแล้ว
37 ด้วยว่าศีรษะของทุกคนถูกโกน และเคราก็ถูกโกน มือของทุกคนถูกกรีด และใช้ผ้ากระสอบคาดเอว 38 มีแต่เสียงร้องรำพันบนดาดฟ้าหลังคาบ้านของโมอับและที่ลานชุมนุม เพราะเราได้ทำให้โมอับเป็นอย่างภาชนะแตกที่ไม่มีใครต้องการ” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น 39 “มันแตกมากอะไรเช่นนี้ ฟังพวกเขาร้องรำพัน โมอับได้หันหลังกลับด้วยความอดสู ดังนั้นโมอับจึงกลายเป็นที่หัวเราะเยาะ และน่าหวาดกลัวต่อทุกคนที่อยู่รอบข้าง”
40 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า
“ดูเถิด ผู้หนึ่งจะบินโฉบมาเหมือนนกอินทรี
และกางปีกออกโจมตีโมอับ
41 เมืองต่างๆ และป้อมปราการ
ที่คุ้มกันอย่างแข็งแกร่งจะถูกยึด
ใจของบรรดานักรบของโมอับจะ
เป็นอย่างใจของผู้หญิงที่เจ็บครรภ์
42 โมอับจะถูกทำลายและจะไม่เป็นชนชาติอีกต่อไป
เพราะเขาฮึกเหิมต่อพระผู้เป็นเจ้า
43 โอ ผู้อยู่อาศัยของโมอับเอ๋ย
ความน่ากลัว หลุมพราง และกับดักอยู่ตรงหน้าเจ้า”
พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
44 “ผู้ใดก็ตามที่หนีจากความน่ากลัว
ก็จะตกในหลุมพราง
และผู้ที่ปีนออกจากหลุมพราง
ก็จะถูกจับในกับดัก
เพราะเราจะให้โมอับประสบกับสิ่งเหล่านี้
ซึ่งเป็นปีแห่งการลงโทษพวกเขา
พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
45 บรรดาผู้ลี้ภัยหยุดแน่นิ่ง
ในร่มเงาของเฮชโบน
ด้วยว่า มีไฟลุกจากเฮชโบน
เปลวไฟจากบ้านของสิโหน
ไฟได้ทำลายหน้าผากของโมอับ
และกะโหลกของพวกที่ส่งเสียงโอ้อวด
46 โอ โมอับเอ๋ย วิบัติจงเกิดแก่เจ้า
ชนชาติของเทพเจ้าเคโมชถูกทำลาย
บรรดาบุตรชายของเจ้าถูกจับไปเป็นเชลย
และบุตรหญิงของเจ้าถูกจับกุม
47 แต่เรายังจะทำให้ความมั่งมีของโมอับ
คืนสู่สภาพเดิมในภายหลัง พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น”
การตัดสินลงโทษโมอับเป็นไปตามนั้น
คำอธิษฐานขอให้คุ้มครองและชี้ทาง
ของดาวิด
1 โอ พระผู้เป็นเจ้า จิตวิญญาณข้าพเจ้าอธิษฐานต่อพระองค์
2 ข้าพเจ้าวางใจในพระองค์ โอ พระเจ้าของข้าพเจ้า
อย่าปล่อยให้ข้าพเจ้าได้รับความอับอาย
หรือปล่อยให้ศัตรูมีชัยเหนือข้าพเจ้า
3 อย่าปล่อยให้คนที่เฝ้ารอคอยพระองค์ได้รับความอับอาย
แต่คนที่จะได้รับความอับอายคือ คนที่ทรยศโดยไร้สาเหตุ
4 พระผู้เป็นเจ้า โปรดช่วยข้าพเจ้าให้ล่วงรู้แนวทางของพระองค์
ขอสอนวิถีทางของพระองค์แก่ข้าพเจ้า
5 โปรดนำข้าพเจ้าเพื่อให้ทราบถึงความจริงของพระองค์ และสอนข้าพเจ้า
เพราะพระองค์คือพระเจ้าแห่งความรอดพ้นของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้ามีความหวังในพระองค์ตลอดวันเวลา
6 โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดระลึกถึงความเมตตาและความรักอันมั่นคงของพระองค์
อันมีมาเนิ่นนานแล้วด้วยเถิด
7 ขอพระองค์อย่าจดจำบาปที่ข้าพเจ้ากระทำครั้งยังหนุ่ม
หรือสิ่งที่ข้าพเจ้าล่วงละเมิด
ขอพระองค์ระลึกถึงข้าพเจ้าตามความรักอันมั่นคงของพระองค์เถิด
โอ พระผู้เป็นเจ้า เพราะว่าพระองค์เป็นผู้ประเสริฐ
8 พระผู้เป็นเจ้าประเสริฐและมีความชอบธรรม
ฉะนั้นพระองค์สั่งสอนคนบาปให้ดำเนินตามวิถีทาง
9 พระองค์นำคนถ่อมตัวไปในทางอันถูกต้อง
และสั่งสอนวิถีทางของพระองค์ให้แก่พวกเขา
10 บรรดาผู้ปฏิบัติตามพันธสัญญาและคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้า
จะได้สัมผัสกับความรักอันมั่นคงและความสัตย์จริง
11 โอ พระผู้เป็นเจ้า แม้ความชั่วของข้าพเจ้าจะใหญ่หลวงนัก
ขอได้โปรดให้อภัยเพื่อพระนามของพระองค์
12 ผู้เกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้าคือใคร
ก็คือคนที่พระองค์จะสอนวิถีทางซึ่งเขาควรจะเลือกไว้
13 เขาจะใช้ชีวิตอย่างอุดมสมบูรณ์
และบรรดาผู้สืบตระกูลของเขาจะได้รับผืนแผ่นดินเป็นมรดก
14 พระผู้เป็นเจ้าให้คำปรึกษาเป็นการส่วนตัวกับคนที่เกรงกลัวพระองค์
และทำให้เขารู้แจ้งถึงพันธสัญญาของพระองค์
15 ข้าพเจ้าทอดสายตาไปทางพระผู้เป็นเจ้าเสมอ
เพราะพระองค์จะช่วยให้เท้าของข้าพเจ้าหลุดออกจากตาข่าย
16 โปรดมองดูข้าพเจ้าและกรุณาต่อข้าพเจ้าด้วยเถิด
เพราะว่าข้าพเจ้ารู้สึกเดียวดายและเป็นทุกข์
17 ช่วยบรรเทาความทุกข์ในจิตใจข้าพเจ้า
และให้ข้าพเจ้าหลุดพ้นจากความเจ็บปวดรวดร้าว
18 โปรดมองดูความทุกข์ทรมานตลอดจนความทุกข์ยากของข้าพเจ้า
และยกโทษบาปทั้งหมดที่ข้าพเจ้ากระทำไว้
19 ดูเถิดว่าศัตรูข้าพเจ้ามีมากเพียงไร
และพวกเขาเกลียดชังข้าพเจ้าเข้ากระดูกดำ
20 ได้โปรดปกป้องชีวิตข้าพเจ้า และให้ข้าพเจ้ารอดพ้น
อย่าให้ข้าพเจ้าต้องอับอาย
เพราะพระองค์เป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า
21 ขอให้สัจจะและความชอบธรรมปกป้องข้าพเจ้า
ด้วยว่าข้าพเจ้ารอคอยพระองค์
22 โอ พระเจ้า โปรดไถ่อิสราเอล
จากความทุกข์ยากทั้งปวงเถิด
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation