Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
1 ซามูเอล 10

ซาอูลได้รับการเจิมให้เป็นกษัตริย์

10 ซามูเอลหยิบผอบน้ำมันเทลงบนศีรษะของซาอูล จูบแก้มเขาและกล่าวว่า “พระผู้เป็นเจ้าได้เจิมท่านให้เป็นผู้นำ เพื่อปกครองผู้สืบมรดกของพระองค์แล้วมิใช่หรือ เมื่อท่านจากเราไปวันนี้ ท่านจะพบชาย 2 คนอยู่ใกล้ที่ฝังศพของราเชล[a] ที่เศลซาห์ตรงชายแดนของเบนยามิน เขาทั้งสองจะพูดกับท่านว่า ‘ลาที่ท่านออกตามหานั้นพบแล้ว เวลานี้บิดาของท่านเลิกคิดเรื่องลาแล้ว และกำลังกังวลเรื่องท่านอยู่ ท่านถามว่า “เราจะทำอย่างไรเรื่องบุตรของเรา”’ จากนั้น ท่านก็จะออกเดินทางจากที่นั่นต่อไป จนกระทั่งถึงต้นไม้ใหญ่ของทาโบร์ มีชาย 3 คนที่กำลังขึ้นไปนมัสการพระเจ้าที่เบธเอลจะพบท่านที่นั่น คนหนึ่งจะอุ้มแพะหนุ่ม 3 ตัว อีกคนจะถือขนมปัง 3 ก้อน ส่วนอีกคนจะถือเหล้าองุ่นถุงหนึ่ง พวกเขาจะทักทายท่าน และมอบขนมปัง 2 ก้อนแก่ท่าน และท่านจะรับไว้ หลังจากนั้น ท่านจะไปยังกิเบอัทเอโลฮิม ที่นั่นมีด่านทหารชั้นนอกของฟีลิสเตีย พอท่านจะถึงตัวเมือง ท่านจะพบขบวนผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้ากำลังลงมาจากสถานบูชาบนภูเขาสูง มีพิณสิบสาย รำมะนา ขลุ่ย และพิณเล็ก เล่นเพลงอยู่เบื้องหน้า และท่านเหล่านั้นจะเผยคำกล่าวของพระเจ้า ท่านจะเปี่ยมด้วยอานุภาพแห่งพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า และท่านจะเผยคำกล่าวของพระเจ้าร่วมกับท่านเหล่านั้น และท่านจะเปลี่ยนเป็นคนละคน เมื่อหมายสำคัญเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว จงปฏิบัติตามแต่ท่านเห็นสมควร เพราะพระเจ้าสถิตกับท่าน จงลงไปล่วงหน้าเรายังกิลกาล เราจะลงมาหาท่านอย่างแน่นอน เพื่อมอบสัตว์ที่เผาเป็นของถวาย และมอบของถวายเพื่อสามัคคีธรรม แต่ท่านต้องรอ 7 วันจนกว่าเรามาหาท่าน และจะบอกท่านว่า ท่านควรจะทำอะไร”

ขณะที่ซาอูลหันหลังจะจากซามูเอลไป พระเจ้าเปลี่ยนความรู้สึกในใจของซาอูล และหมายสำคัญเหล่านั้นก็เกิดขึ้นในวันนั้น 10 เมื่อท่านทั้งสองมาถึงกิเบอาห์ ขบวนผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้ามาพบกับท่าน แล้วท่านก็เปี่ยมด้วยอานุภาพแห่งพระวิญญาณของพระเจ้า ท่านจึงเผยคำกล่าวของพระเจ้าร่วมกับพวกเขา 11 เมื่อคนที่เคยรู้จักท่านมาก่อน เห็นท่านเผยคำกล่าวร่วมกับบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า จึงถามกันและกันว่า “เกิดอะไรขึ้นกับบุตรของคีช ซาอูลเป็นคนหนึ่งในบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าด้วยหรือ” 12 ชายชาวเมืองนั้นผู้หนึ่งตอบว่า “และบิดาของคนเหล่านี้เป็นใคร” ดังนั้นจึงเป็นภาษิตว่า “ซาอูลเป็นคนหนึ่งในบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าด้วยหรือ” 13 หลังจากซาอูลหยุดเผยคำกล่าวของพระเจ้าแล้ว ท่านก็ไปยังสถานบูชาบนภูเขาสูง

14 ลุงของซาอูลถามท่านและผู้รับใช้ของท่านว่า “เจ้าไปไหนกันมา” ท่านตอบว่า “ไปตามหาลามา แต่เมื่อเราเห็นว่าจะตามหาไม่พบ เราจึงไปหาซามูเอล” 15 ลุงของซาอูลพูดว่า “บอกฉันซิว่า ซามูเอลพูดอะไรกับเจ้า” 16 ซาอูลตอบว่า “ท่านรับรองเราว่า พบลาแล้ว” แต่ท่านไม่ได้บอกลุงว่า ซามูเอลพูดอะไรบ้างเรื่องการเป็นกษัตริย์

ซาอูลได้รับแต่งตั้งเป็นกษัตริย์

17 ซามูเอลเรียกประชาชนให้มาอยู่ต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้าที่มิสปาห์ 18 และพูดกับชาวอิสราเอลว่า “พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวว่า ‘เราได้พาอิสราเอลขึ้นมาจากประเทศอียิปต์ และเราช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากเงื้อมมือของชาวอียิปต์ และจากอาณาจักรทั้งหลายที่บีบบังคับพวกเจ้า’ 19 แต่บัดนี้พวกท่านไม่เชื่อฟังพระเจ้าของท่าน พระองค์เป็นผู้ที่ช่วยพวกท่านให้พ้นจากความวิบัติและความทุกข์ทั้งปวง และท่านยังจะพูดอีกว่า ‘ไม่เอา แต่ขอแต่งตั้งกษัตริย์ให้ปกครองพวกเรา’ ฉะนั้นบัดนี้พวกท่านจงแสดงตัวต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า ตามเผ่าและตระกูลของพวกท่าน”

20 เมื่อซามูเอลให้ทุกเผ่าของอิสราเอลเข้ามาใกล้ และเผ่าเบนยามินได้รับเลือก 21 ท่านจึงให้เผ่าเบนยามินมาอยู่ข้างหน้าตามแต่ละตระกูล ตระกูลมัตรีได้รับเลือก ในที่สุดซาอูลบุตรของคีชได้รับเลือก แต่เมื่อมองหาท่านก็ไม่พบ 22 ดังนั้นเขาเหล่านั้นจึงถามพระผู้เป็นเจ้าอีกว่า “ชายคนนั้นมาที่นี่แล้วหรือยัง” พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “เขามาแล้ว เขาซ่อนตัวอยู่ที่กองยุทธภัณฑ์” 23 เขาทั้งหลายจึงวิ่งไปพาตัวท่านออกมา และขณะที่ท่านยืนอยู่ท่ามกลางประชาชน ท่านสูงกว่าใครเพื่อน เพราะไม่มีใครสูงเกินบ่าท่าน 24 ซามูเอลพูดกับประชาชนทั้งปวงว่า “พวกท่านเห็นชายที่พระผู้เป็นเจ้าเลือกแล้วไหม ไม่มีผู้ใดในหมู่ประชาชนทั้งหลายที่เป็นเหมือนท่าน” แล้วประชาชนตะโกนร้องว่า “ขอกษัตริย์มีอายุยืนนาน”

25 ซามูเอลอธิบายสิทธิและภาระของกษัตริย์ให้ประชาชนทราบ แล้วท่านก็เขียนลงบนหนังสือม้วน และวางไว้ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า หลังจากนั้นซามูเอลอนุญาตให้ประชาชนกลับบ้านไปได้ 26 ซาอูลกลับไปบ้านของท่านที่กิเบอาห์ด้วย มีบรรดาชายผู้กล้าหาญที่พระเจ้าดลใจให้ติดตามไปด้วย 27 แต่มีคนเลวร้ายบางคนพูดว่า “ชายคนนี้สามารถช่วยพวกเราให้รอดได้อย่างไร” พวกเขาดูหมิ่นท่าน และไม่ได้นำของกำนัลมาให้ท่าน แต่ซาอูลก็ไม่ตอบโต้แต่อย่างใด

โรม 8

ใช้ชีวิตตามฝ่ายพระวิญญาณ

ฉะนั้น บัดนี้การกล่าวโทษจึงไม่มีแก่ผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ด้วยว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตช่วยให้ท่านมีอิสระจากกฎแห่งบาปและความตาย โดยผ่านพระเยซูคริสต์ สิ่งใดก็ตามที่กฎบัญญัติกระทำไม่ได้ เพราะฝ่ายเนื้อหนังทำให้กฎบัญญัติอ่อนกำลัง พระเจ้ากระทำได้โดยส่งพระบุตรของพระองค์เองมา มีลักษณะของมนุษย์ดั่งคนบาปทั่วไป[a] และเป็นเครื่องสักการะชดใช้บาปของเรา พระองค์จึงกล่าวโทษบาปที่ควบคุมฝ่ายเนื้อหนังของเรา เพื่อจะได้นับว่า เรากระทำตามข้อบังคับอันชอบธรรมของกฎบัญญัติอย่างบริบูรณ์ คือเราไม่ได้ดำเนินชีวิตตามฝ่ายเนื้อหนัง แต่ตามฝ่ายพระวิญญาณ ด้วยว่าคนที่ใช้ชีวิตตามฝ่ายเนื้อหนังก็ปักใจในสิ่งที่เป็นฝ่ายเนื้อหนัง แต่คนที่ใช้ชีวิตตามฝ่ายพระวิญญาณก็ปักใจในสิ่งที่เป็นฝ่ายพระวิญญาณ ด้วยว่าการปักใจไปตามฝ่ายเนื้อหนังเป็นความตาย แต่การปักใจไปตามฝ่ายพระวิญญาณเป็นชีวิตและสันติสุข เพราะว่าการปักใจไปตามฝ่ายเนื้อหนังเป็นศัตรูต่อพระเจ้า ไม่ยอมเชื่อฟังกฎบัญญัติของพระเจ้า และไม่สามารถปฏิบัติได้ด้วย คนที่ถูกควบคุมโดยฝ่ายเนื้อหนังไม่อาจเป็นที่พอใจของพระเจ้าได้

อย่างไรก็ตาม ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าดำรงอยู่ในตัวท่านจริงๆ แล้ว ท่านก็ไม่ใช้ชีวิตตามฝ่ายเนื้อหนัง แต่ตามฝ่ายพระวิญญาณ ส่วนผู้ใดที่ไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ เขาก็ไม่ใช่คนของพระองค์ 10 ถ้าพระคริสต์อยู่ในตัวท่าน และแม้ว่าร่างกายจะตายเพราะบาป แต่วิญญาณก็ยังมีชีวิตอยู่เพราะความชอบธรรม 11 ถ้าพระวิญญาณของพระองค์ผู้ให้พระเยซูฟื้นคืนชีวิตจากความตาย ดำรงอยู่ในตัวท่าน พระองค์ผู้ให้พระคริสต์ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย จะให้สังขารอันไม่ยั่งยืนของท่านมีชีวิตขึ้นด้วย โดยพระวิญญาณของพระองค์ที่ดำรงอยู่ในตัวท่าน

12 ดังนั้น พี่น้องเอ๋ย เราเป็นหนี้ซึ่งไม่ใช่หนี้ฝ่ายเนื้อหนัง ที่ต้องดำเนินชีวิตตามฝ่ายเนื้อหนัง 13 ถ้าท่านใช้ชีวิตตามฝ่ายเนื้อหนังท่านจะต้องตาย แต่ถ้าโดยฝ่ายพระวิญญาณ ท่านทำลายการกระทำชั่วฝ่ายกายเสีย ท่านก็จะมีชีวิตอยู่ 14 เพราะทุกคนที่มีพระวิญญาณของพระเจ้านำทาง ก็ได้เป็นบรรดาบุตรของพระเจ้า 15 และท่านไม่ได้รับวิญญาณแห่งทาสซึ่งนำไปสู่ความกลัวได้อีก แต่ท่านได้พระวิญญาณแห่งการได้รับการยกฐานะเป็นบุตร และเราร้องเรียกว่า “อับบา[b] พระบิดา” ได้ก็เพราะพระวิญญาณ 16 พระวิญญาณเองได้เป็นพยานต่อวิญญาณของเราว่า เราเป็นบรรดาบุตรของพระเจ้า 17 ถ้าเราเป็นบรรดาบุตร เราก็เป็นผู้รับมรดก คือเป็นผู้รับมรดกของพระเจ้า และเป็นผู้รับมรดกร่วมกับพระคริสต์ ถ้าเรามีส่วนร่วมในการทนทุกข์ทรมานร่วมกับพระองค์ เราจะได้มีส่วนร่วมกับพระบารมีของพระองค์ด้วย

พระบารมีที่จะปรากฏ

18 ข้าพเจ้าพิจารณาเห็นว่า การทนทุกข์ทรมานในเวลานี้ไม่สมควรจะเปรียบเทียบกับพระบารมีที่จะเผยให้เราเห็น 19 สรรพสิ่งที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นกำลังรอคอยอย่างใจจดจ่อให้บรรดาบุตรของพระเจ้าปรากฏ 20 ด้วยว่าสรรพสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้น ถูกกำหนดให้อยู่ในสภาพที่ไร้ประโยชน์ มิใช่ว่าสิ่งเหล่านั้นต้องการเป็นไปตามสภาพแบบนั้น แต่เพราะพระองค์ตั้งใจให้เป็นไป โดยมีความหวังว่า 21 สรรพสิ่งเหล่านั้นเองจะได้พ้นจากการเน่าเปื่อยผุพัง และได้รับอิสระอันยิ่งใหญ่ของบรรดาบุตรของพระเจ้า 22 เราทราบว่าสรรพสิ่งทั้งปวงที่พระเจ้าสร้างขึ้นได้คร่ำครวญและทนต่อความเจ็บปวดอย่างหญิงคลอดลูก มาจนกระทั่งบัดนี้ 23 และไม่เพียงเท่านี้ เราเองซึ่งได้รับพระวิญญาณเป็นผลแรก[c] ก็ยังคร่ำครวญอยู่ในใจ เฝ้าคอยพระเจ้าเพื่อให้เราได้รับการยกฐานะเป็นบุตร คือให้ร่างกายของเราได้รับการไถ่ 24 ด้วยความหวังนี้ เราได้รับชีวิตรอดพ้น แต่ความหวังที่มองเห็นไม่ใช่ความหวัง ใครจะหวังในสิ่งที่เขาเห็น 25 แต่ถ้าเราหวังในสิ่งที่เราไม่เห็น เราก็จะรอด้วยความอดทน

26 ในวิธีเดียวกันคือ พระวิญญาณช่วยความอ่อนแอของเรา เพราะเราไม่ทราบว่าควรอธิษฐานอย่างไร แต่พระวิญญาณเองอธิษฐานขอให้เราด้วยการคร่ำครวญอันลึกซึ้งเกินกว่าที่จะกล่าวออกมาได้ 27 และพระองค์ผู้รู้เห็นถึงจิตใจทราบว่าพระวิญญาณคิดอย่างไร เพราะพระวิญญาณอธิษฐานขอให้บรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าตามความประสงค์ของพระเจ้า 28 และเราทราบว่า พระเจ้าช่วยให้ทุกสิ่งเป็นไปด้วยดีแก่บรรดาผู้ที่รักพระเจ้า คือบรรดาผู้ที่พระเจ้าได้เรียกตามความประสงค์ของพระองค์ 29 เพราะพระองค์ทราบพวกเขาดีมาแต่แรกแล้ว พระองค์จึงได้กำหนดพวกเขาไว้ล่วงหน้า ให้เป็นไปตามคุณลักษณะของพระบุตรของพระองค์ด้วย เพื่อพระองค์จะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพี่น้องเป็นอันมาก 30 และคนที่พระองค์กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว พระองค์ได้เรียกมาด้วย และคนที่พระองค์เรียกมา พระองค์ให้พ้นผิดด้วย และคนที่พระองค์ให้พ้นผิด พระองค์ให้ได้รับพระบารมีด้วย

ไม่มีสิ่งใดพรากเราไปจากความรักของพระคริสต์

31 ถ้าเช่นนั้นแล้วเราจะว่าอย่างไร ถ้าพระเจ้าเป็นฝ่ายเรา ใครจะเป็นฝ่ายค้านเรา 32 พระองค์เป็นผู้ที่ไม่ได้เว้นชีวิตพระบุตรของพระองค์เอง แต่มอบพระองค์ให้แก่เราทุกคน นอกจากพระบุตรแล้ว พระองค์จะมอบทุกสิ่งให้แก่เราโดยไม่มีข้อผูกพันมิใช่หรือ 33 ใครจะฟ้องร้องผู้ที่พระเจ้าเลือกไว้ได้ พระเจ้าผู้เดียวที่ให้เราพ้นผิดได้ 34 ใครเป็นคนกล่าวโทษเรา ไม่มีผู้ใด พระเยซูคริสต์เป็นผู้ที่ได้เสียชีวิตให้แล้ว ยิ่งกว่านั้นพระเจ้าได้ให้พระองค์ฟื้นคืนชีวิต และพระองค์สถิต ณ เบื้องขวาของพระเจ้า และกำลังอธิษฐานขอให้พวกเรา 35 ใครจะแยกเราออกจากความรักของพระคริสต์ได้ จะเป็นความทุกข์ยากลำบากหรือ ความเจ็บปวดรวดร้าวและการกดขี่ข่มเหงหรือ การอดอยากและขาดเครื่องนุ่งห่มหรือ ภัยอันตรายและการฆ่าฟันให้ตายหรือ 36 ตามที่มีบันทึกไว้ว่า

“พวกเราเผชิญความตายเพื่อพระองค์ทุกวันเวลา
    พวกเราถูกนับว่าเป็นดั่งแกะสำหรับการประหาร”[d]

37 แต่เรามีชัยเหนือสิ่งเหล่านี้โดยบริบูรณ์ก็เพราะพระองค์ผู้รักเรา 38 เพราะข้าพเจ้าเชื่อเป็นอย่างยิ่งแล้วว่า แม้ความตายหรือชีวิต ทูตสวรรค์หรือมาร ปัจจุบันกาลหรืออนาคตกาล อานุภาพใดๆ ก็ตาม 39 เบื้องสูงหรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใดในสรรพสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้น ก็ไม่สามารถแยกเราออกจากความรักของพระเจ้าได้ คือความรักที่พระองค์แสดงให้เห็นในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

เยเรมีย์ 47

การตัดสินลงโทษฟีลิสเตีย

47 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าถึงเรื่องชาวฟีลิสเตีย ก่อนที่ฟาโรห์โจมตีกาซา

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า

“ดูเถิด กระแสน้ำกำลังไหลหลากจากทิศเหนือ
    และจะกลายเป็นลุ่มน้ำที่ไหลล้น
จะท่วมแผ่นดินและทุกสิ่งในแผ่นดิน
    คือเมืองและบรรดาผู้อยู่อาศัย
ผู้คนจะส่งเสียงร้อง
    และทุกคนที่อยู่บนแผ่นดินจะร้องรำพัน
จะมีเสียงกระทบของกีบม้า
    เสียงรถศึกควบด้วยความเร็ว
    ล้อรถส่งเสียงกระหึ่ม
พ่อๆ ไม่หันหลังกลับไปดูลูกๆ
    มือของพวกเขาอ่อนปวกเปียก
เพราะถึงวันที่จะให้ชาวฟีลิสเตีย
    ทั้งหมดพินาศ
ให้กำจัดทุกคนที่มีชีวิตรอด
    ซึ่งช่วยเหลือไทระและไซดอน
เพราะพระผู้เป็นเจ้ากำลังจะทำให้ชาวฟีลิสเตียพินาศ
    คือผู้ที่ยังมีชีวิตเหลืออยู่ของเกาะคัฟโทร์
กาซาจะอยู่ในสภาพที่โกนศีรษะให้ล้าน
    อัชเคโลนก็ตายแล้ว
โอ ผู้ที่มีชีวิตเหลืออยู่ในหุบเขา
    เจ้าจะกรีดเนื้อตัวเองไปอีกนานแค่ไหน
โอ ดาบของพระผู้เป็นเจ้า
    เมื่อไหร่ดาบจึงจะเงียบลง
กลับเข้าไปอยู่ในฝักเถิด
    หยุดและเงียบเถิด
ดาบจะพักได้อย่างไร
    ในเมื่อพระผู้เป็นเจ้าบัญชา
เมื่อพระองค์ได้สั่งให้ดาบโจมตี
    อัชเคโลนและแถบชายฝั่งทะเล”

สดุดี 23-24

สรรเสริญผู้เลี้ยงดูฝูงแกะแสนประเสริฐ

เพลงสดุดีของดาวิด

พระผู้เป็นเจ้าดูแลข้าพเจ้าดั่งผู้เลี้ยงดูฝูงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ต้องการสิ่งอื่นใด
    พระองค์ให้ข้าพเจ้านอนในทุ่งหญ้าอันเขียวชอุ่ม
พระองค์นำข้าพเจ้าไปอยู่ข้างๆ ธารน้ำนิ่ง
    พระองค์โปรดให้จิตวิญญาณของข้าพเจ้าฟื้นขึ้น
พระองค์นำข้าพเจ้าไปในทางอันชอบธรรม
    เพื่อพระนามของพระองค์
แม้ข้าพเจ้าจะเดินผ่านเข้าไป
    ในเงามืดมนของหุบเขา
ข้าพเจ้าก็จะไม่กลัวความเลวร้ายใดๆ
    ด้วยว่า พระองค์สถิตกับข้าพเจ้า
ตะบองและไม้เท้าของพระองค์
    ทำให้ข้าพเจ้าอุ่นใจ

พระองค์เตรียมสำรับไว้พร้อมสำหรับข้าพเจ้า
    ต่อหน้าพวกศัตรู
พระองค์ชโลมน้ำมันบนศีรษะของข้าพเจ้า
    ถ้วยของข้าพเจ้าล้นไหล
ทั้งสิ่งดีงามและความเมตตาจะอยู่กับข้าพเจ้าเสมอไป
    จนชั่วชีวิตอย่างแน่นอน
และข้าพเจ้าจะอยู่ในพระตำหนัก
    ของพระผู้เป็นเจ้าไปตลอดกาล

เพลงสรรเสริญแด่กษัตริย์แห่งพระบารมี

เพลงสดุดีของดาวิด

ทั้งโลกและทุกสิ่งในโลกเป็นของพระผู้เป็นเจ้า[a]
    คือโลกและบรรดาผู้อาศัยอยู่ในนั้น
เพราะพระองค์ได้วางฐานรากของแผ่นดินโลกไว้บนทะเล
    และสร้างไว้บนแม่น้ำ

ใครจะขึ้นไปบนภูเขาของพระผู้เป็นเจ้า
    และใครจะยืนในสถานที่อันบริสุทธิ์ของพระองค์
คือคนที่มือสะอาดและใจบริสุทธิ์
    คนที่ไม่มอบชีวิตให้กับสิ่งเท็จ
    และไม่หลอกลวงในยามที่ให้คำมั่นสัญญา

เขาจะได้รับพระพรจากพระผู้เป็นเจ้า
    และรับการตัดสินให้พ้นผิดจากพระเจ้าแห่งความรอดพ้นของเขา
นี่คือยุคสมัยของบรรดาผู้แสวงหาพระองค์
    ซึ่งแสวงหาพระเจ้าของยาโคบ เซล่าห์

ประตูกำแพงเอ๋ย เงยหัวขึ้นเถิด
    ประตูอันยั่งยืนตลอดกาล เปิดขึ้นเถิด
    แล้วกษัตริย์แห่งพระบารมีจะได้เข้ามา
กษัตริย์แห่งพระบารมีผู้นี้คือใคร
    พระผู้เป็นเจ้าผู้มีพละกำลังและอานุภาพ
    พระผู้เป็นเจ้าผู้มีอานุภาพในการสงคราม
ประตูกำแพงเอ๋ย เงยหัวขึ้นเถิด
    ประตูอันยั่งยืนตลอดกาล จงเปิดออกเถิด
    แล้วกษัตริย์แห่งพระบารมีจะได้เข้ามา
10 กษัตริย์แห่งพระบารมีผู้นี้คือใคร
    พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา
    พระองค์คือกษัตริย์แห่งพระบารมี เซล่าห์

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation