Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
1 ซามูเอล 4

แล้วซามูเอลก็กล่าวคำของพระเจ้าแก่ชาวอิสราเอลทั้งปวง

ชาวฟีลิสเตียยึดหีบ

ในครั้งนั้นชาวอิสราเอลออกไปสู้รบกับชาวฟีลิสเตีย โดยตั้งค่ายอยู่ที่เอเบนเอเซอร์ ฝ่ายชาวฟีลิสเตียตั้งค่ายอยู่ที่อาเฟก ชาวฟีลิสเตียเตรียมการศึกโดยเข้าประจำตำแหน่งต่อสู้กับชาวอิสราเอล เมื่อการต่อสู้ขยายวงกว้างออกไป อิสราเอลก็พ่ายแพ้แก่ชาวฟีลิสเตีย และเสียชีวิตในสนามรบ 4,000 คน เมื่อเหล่าทหารกลับมาที่ค่าย บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของอิสราเอลพูดว่า “ทำไมวันนี้พระผู้เป็นเจ้าจึงให้เราพ่ายแพ้พวกฟีลิสเตีย เราไปนำหีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าจากชิโลห์มาไว้ที่นี่กันเถิด เพื่อหีบ[a]จะได้มาอยู่ท่ามกลางพวกเรา และช่วยเราให้รอดจากกำลังของพวกศัตรู” ดังนั้นประชาชนจึงให้คนไปยังชิโลห์ เพื่อนำหีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา องค์ผู้สถิตบนบัลลังก์เหนือตัวเครูบ[b]มาจากที่นั่น โฮฟนีและฟีเนหัสบุตร 2 คนของเอลีอยู่กับหีบพันธสัญญาของพระเจ้าที่นั่น

ทันทีที่หีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้ามาถึงค่าย ชาวอิสราเอลทั้งปวงก็ตะโกนร้องเสียงดังจนพื้นดินสะท้าน เมื่อชาวฟีลิสเตียได้ยินเสียงตะโกน พวกเขาพูดว่า “เสียงดังสนั่นเช่นนี้ที่ค่ายของชาวฮีบรูหมายความว่าอย่างไร” และเมื่อพวกเขาทราบว่าหีบของพระผู้เป็นเจ้าได้มาถึงค่ายแล้ว ชาวฟีลิสเตียจึงหวาดกลัว เพราะพวกเขาพูดว่า “เทพเจ้าได้เข้ามาในค่ายแล้ว” และพูดอีกว่า “วิบัติเกิดกับเรา เพราะว่าไม่เคยมีอะไรเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน วิบัติเกิดกับเรา ใครจะช่วยพวกเราให้รอดจากอำนาจของเทพเจ้าผู้มีอานุภาพเหล่านี้ได้ เทพเจ้าเหล่านี้แหละที่ฆ่าชาวอียิปต์ด้วยภัยพิบัติทุกชนิดในถิ่นทุรกันดาร โอ ชาวฟีลิสเตียเอ๋ย จงกล้าหาญ และทำตัวเป็นลูกผู้ชายเถิด มิฉะนั้นเจ้าจะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของชาวฮีบรู เหมือนกับที่พวกเขาอยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้า จงทำตัวเป็นลูกผู้ชายและสู้พวกเขา”

10 ดังนั้นชาวฟีลิสเตียจึงต่อสู้ และชาวอิสราเอลก็พ่ายแพ้ ทุกคนจึงได้หนีกลับกระโจมไป นับว่าเป็นการฆ่าฟันที่รุนแรงมาก เพราะทหารราบ 30,000 คนล้มตายที่นั่น 11 หีบของพระเจ้าถูกยึดไป โฮฟนีและฟีเนหัสบุตรทั้งสองคนของเอลีก็เสียชีวิต

เอลีเสียชีวิต

12 ชายชาวเบนยามินวิ่งออกจากสนามรบไปที่ชิโลห์ในวันเดียวกัน เสื้อผ้าของเขาฉีกขาดและหัวเปื้อนดิน 13 เมื่อเขามาถึง เอลีก็กำลังนั่งเฝ้าอยู่ที่ริมถนน เนื่องจากว่าใจของเขาหวาดหวั่นถึงหีบของพระเจ้า เมื่อชายคนนั้นเข้าไปส่งข่าวในเมือง คนทั้งเมืองก็ส่งเสียงร้อง 14 ครั้นเอลีได้ยินเสียงร้อง เขาพูดว่า “นั่นเสียงอลหม่านเรื่องอะไรกัน” ชายคนนั้นจึงรีบมาบอกเอลี 15 ขณะนั้นเอลีมีอายุ 98 ปี ตาของเขามัวจนมองไม่เห็น 16 และชายคนนั้นพูดกับเอลีว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนที่มาจากสนามรบ วันนี้ข้าพเจ้าหนีสงครามมา” เขาถามว่า “ลูกเอ๋ย สงครามเป็นอย่างไรบ้าง” 17 คนที่นำข่าวมาตอบว่า “ชาวอิสราเอลได้หนีเตลิดไปต่อหน้าชาวฟีลิสเตีย มีการฆ่าฟันครั้งใหญ่ในหมู่ชน โฮฟนีและฟีเนหัสบุตร 2 คนของท่านก็ตาย และหีบของพระเจ้าถูกยึดไป” 18 ทันทีที่เขาพูดถึงหีบของพระเจ้า เอลีก็หงายหลังตกเก้าอี้ที่ข้างประตูเมืองลงมาคอหักตาย เพราะว่าเขาชรามากและตัวก็หนัก เขาได้วินิจฉัยอิสราเอลเป็นเวลา 40 ปี

19 ขณะนั้นบุตรสะใภ้ของเขา คือภรรยาของฟีเนหัสกำลังตั้งครรภ์จวนใกล้คลอด เมื่อนางได้ยินข่าวว่าหีบของพระเจ้าถูกยึด อีกทั้งบิดาของสามีและสามีของนางเองก็เสียชีวิตแล้ว นางจึงก้มตัวลงและคลอดบุตร เพราะนางเจ็บครรภ์ขึ้นทันที 20 เมื่อใกล้เวลาที่นางจะตาย หญิงรับใช้นางพูดกับนางว่า “อย่ากลัวเลย เพราะท่านได้บุตรชาย” แต่นางไม่ตอบและไม่ได้ใส่ใจฟัง 21 และนางตั้งชื่อเด็กว่า อีคาโบด และพูดว่า “พระบารมีได้ไปจากอิสราเอลแล้ว” เพราะหีบของพระเจ้าถูกยึด และเป็นเพราะความตายของบิดาของสามีและสามีของนางด้วย 22 และนางพูดว่า “พระบารมีได้จากอิสราเอลไปแล้ว เพราะหีบของพระเจ้าถูกยึด”

โรม 4

ความเชื่อของอับราฮัม

ถ้าเช่นนั้น เราจะว่าอย่างไรที่อับราฮัมบรรพบุรุษของเราได้ประสบเรื่องนี้แล้ว ถ้าอับราฮัมพ้นผิดโดยการปฏิบัติตน ท่านก็สามารถโอ้อวดได้ แต่ไม่ใช่ในสายตาของพระเจ้า พระคัมภีร์ระบุไว้ว่าอย่างไร “อับราฮัมเชื่อพระเจ้า และพระองค์จึงนับว่าท่านเป็นผู้มีความชอบธรรม”[a]

เวลาคนปฏิบัติงาน ค่าจ้างที่ได้รับ ไม่นับว่าเป็นของขวัญ แต่เป็นค่าแรง อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ไม่ได้อาศัยการปฏิบัติตน แต่ได้วางใจพระเจ้าผู้โปรดให้คนชั่วร้ายพ้นผิด จึงนับได้ว่าความเชื่อของเขาเป็นความชอบธรรม ดาวิดกล่าวไว้เช่นเดียวกันว่า ผู้เป็นสุขก็คือ คนที่พระเจ้านับว่าเขามีความชอบธรรมโดยไม่ได้อาศัยการปฏิบัติตน

“คนทั้งหลายที่พระเจ้าได้ยกโทษให้เนื่องจากการล่วงละเมิด
    และได้รับการลบล้างบาปแล้ว ก็เป็นสุข
คนที่พระผู้เป็นเจ้าจะไม่มีวันถือโทษ ก็เป็นสุข”[b]

ความสุขนี้สำหรับคนที่เข้าสุหนัตเท่านั้น หรือสำหรับคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัตด้วย เรากล่าวกันว่า “พระเจ้านับว่าอับราฮัมเป็นผู้มีความชอบธรรม เพราะท่านมีความเชื่อ” 10 แล้วอับราฮัมได้รับความชอบธรรมนั้นอย่างไร ขณะที่ท่านเข้าสุหนัตแล้ว หรือก่อนหน้านั้น เป็นเวลาก่อนที่ท่านเข้าสุหนัต ไม่ใช่หลังจากเข้าสุหนัต 11 และอับราฮัมได้รับเครื่องหมายของการเข้าสุหนัต เป็นตราประทับแห่งความชอบธรรมที่ท่านได้รับ โดยการมีความเชื่อขณะที่ท่านยังไม่ได้เข้าสุหนัต ดังนั้นท่านเป็นบิดาของคนทั้งปวงที่เชื่อ แม้จะไม่ได้เข้าสุหนัตก็ตาม เพื่อพระเจ้าจะได้นับว่า พวกเขาเป็นผู้มีความชอบธรรม 12 และท่านในฐานะที่เป็นบิดาของพวกที่เข้าสุหนัตแล้ว คือพวกที่ไม่เพียงแต่เข้าสุหนัตเท่านั้น แต่เป็นบรรดาผู้ที่เดินตามรอยเท้าแห่งความเชื่อที่อับราฮัมบิดาของเรามีอยู่ ก่อนที่ท่านจะเข้าสุหนัตด้วย

13 อับราฮัมและบรรดาผู้สืบเชื้อสายของท่าน ได้รับพระสัญญาว่าจะได้ทั้งโลกเป็นมรดก ก็เพราะมีความชอบธรรมอันเนื่องมาจากความเชื่อ ไม่ใช่มาจากกฎบัญญัติ 14 ถ้าหากว่าบรรดาผู้ที่ดำรงชีวิตด้วยกฎบัญญัติเป็นผู้รับมรดกแล้ว ความเชื่อก็ไม่มีความหมาย และพระสัญญาก็ไม่มีค่าเลย 15 ด้วยว่ากฎบัญญัตินำการลงโทษ และที่ใดไม่มีกฎ ที่นั่นก็ไม่มีการละเมิดกฎ

16 ฉะนั้น พระสัญญาได้มาโดยความเชื่อเพื่อจะได้เป็นตามพระคุณ เพื่อพระสัญญาจะได้เป็นของผู้สืบเชื้อสายทุกคนอย่างแน่นอน ไม่เป็นแต่เฉพาะบรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามกฎบัญญัติเท่านั้น แต่เป็นของบรรดาผู้ที่ทำตามความเชื่อของอับราฮัมผู้เป็นบิดาของเราทุกคนด้วย 17 ตามที่มีบันทึกไว้ว่า “เราได้ให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติมากหลาย”[c]

อับราฮัมเป็นบิดาของเราในสายตาของพระเจ้าที่อับราฮัมเองเชื่อ พระองค์ผู้เป็นพระเจ้าผู้ให้คนตายมีชีวิต และให้สิ่งที่ยังไม่มีตัวตนปรากฏขึ้นมาได้ 18 ถึงแม้ว่าจะไม่มีความหวังหลงเหลืออยู่ แต่อับราฮัมยังเชื่อและยังมีความหวัง จึงได้เป็นบิดาของประชาชาติมากหลาย ตามที่พระเจ้ากล่าวแก่ท่านไว้ว่า “ผู้สืบเชื้อสายของเจ้าจะมากมายเช่นนั้น”[d]

19 ความเชื่อของท่านไม่ได้ลดน้อยลงเลย ท่านคิดถึงความจริงที่ว่า ร่างกายของท่านเป็นเหมือนของคนตายแล้ว เพราะท่านอายุประมาณ 100 ปี และครรภ์ของซาราห์ก็เป็นหมันด้วย 20 แต่ท่านก็ยังไม่ลังเลหรือขาดความเชื่อในพระสัญญาของพระเจ้า และมีความเชื่อมั่นคงยิ่งขึ้น และได้สรรเสริญพระเจ้า 21 ท่านเชื่ออย่างแน่นอนว่าพระเจ้ามีอานุภาพกระทำสิ่งที่พระองค์ได้สัญญาไว้ 22 ด้วยเหตุนี้เอง “พระเจ้านับว่าท่านเป็นผู้มีความชอบธรรม” 23 คำกล่าวที่ว่า “พระเจ้านับท่านไว้แล้ว” นั้น ไม่ได้มีบันทึกไว้สำหรับท่านผู้เดียว 24 แต่สำหรับพวกเราด้วย คือพระเจ้าจะนับว่าเรามีความชอบธรรม สำหรับพวกเราที่เชื่อพระองค์ ผู้ให้พระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราฟื้นคืนชีวิตจากความตาย 25 พระองค์ถูกส่งไปสู่ความตายเพราะการล่วงละเมิดของเรา และได้ฟื้นคืนชีวิตเพื่อเราจะได้พ้นผิด

เยเรมีย์ 42

การเตือนไม่ให้ไปอียิปต์

42 ครั้นแล้วบรรดาผู้บัญชาการทั้งปวง โยฮานานบุตรคาเรอัค เยซานิยาห์บุตรโฮชายาห์ และประชาชนทั้งปวงตั้งแต่ผู้ด้อยสุดจนถึงผู้มีอำนาจมากที่สุด ก็มาหาเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า และพูดดังนี้ว่า “พวกเราอ้อนวอนขอความเมตตาจากท่าน ขอท่านโปรดอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านให้พวกเราเถิด เพื่อผู้คนทั้งหมดที่มีชีวิตเหลืออยู่นี้ เนื่องจากพวกเรามีชีวิตเหลืออยู่เพียงไม่กี่คน อย่างที่ท่านก็เห็น เพื่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะได้ชี้ให้พวกเราเห็นว่า เราควรจะไปทางไหนและควรจะทำสิ่งใด” เยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าตอบพวกเขาว่า “เราได้ยินคำขอของพวกท่าน ดูเถิด ข้าพเจ้าจะอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ตามคำขอของท่าน และอะไรก็ตามที่พระผู้เป็นเจ้าตอบท่าน ข้าพเจ้าก็จะบอกพวกท่าน เราจะไม่นิ่งเฉย” พวกเขาพูดกับเยเรมีย์ดังนี้ว่า “ถ้าหากว่าพวกเราไม่กระทำตามทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสั่งให้ท่านมาแจ้งแก่พวกเรา ขอพระผู้เป็นเจ้าเป็นพยานที่แท้จริงและสัตย์จริงที่ไม่มีใครฝ่าฝืนได้ ไม่ว่าจะเป็นการดีหรือร้าย พวกเราจะเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา พวกเราให้ท่านไปหาพระองค์ เพื่อทุกสิ่งจะเป็นไปด้วยดีกับพวกเราเมื่อเราเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา”

หลังจาก 10 วันผ่านไป พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ และท่านเรียกประชุมกับโยฮานานบุตรคาเรอัค และบรรดาผู้บัญชาการที่อยู่กับเขา และประชาชนทั้งปวงตั้งแต่ผู้ด้อยสุดจนถึงผู้มีอำนาจมากที่สุด และท่านพูดกับเขาทั้งหลายว่า “พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล ผู้ที่ท่านให้ข้าพเจ้าไปเป็นตัวแทนเพื่อขอร้องขอความเมตตากล่าวดังนี้ 10 ‘ถ้าพวกเจ้าอยู่บนแผ่นดินนี้ต่อไป เราก็จะช่วยเสริมสร้างพวกเจ้าขึ้น เราจะไม่โค่นพวกเจ้าลง เราจะปลูกสร้างพวกเจ้า และจะไม่ถอนรากถอนโคน เราเสียใจที่เราให้ความวิบัติเกิดขึ้นกับพวกเจ้า 11 ไม่ต้องกลัวกษัตริย์แห่งบาบิโลนที่พวกเจ้ากลัว พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ไม่ต้องกลัวเขาเพราะเราอยู่กับพวกเจ้า เพื่อช่วยพวกเจ้าให้ปลอดภัย และช่วยให้รอดจากมือของเขา 12 เราจะให้ความเมตตาแก่เจ้า โดยที่เขาจะมีเมตตาต่อเจ้า และปล่อยให้เจ้าอยู่ในแผ่นดินของเจ้าเองต่อไป’ 13 แต่ถ้าพวกท่านพูดว่า ‘พวกเราจะไม่อยู่ในแผ่นดินนี้’ และไม่เชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน 14 และถ้าท่านพูดว่า ‘ไม่ พวกเราจะไปอาศัยอยู่ในแผ่นดินอียิปต์ เพื่อเราจะไม่ต้องเผชิญกับสงคราม หรือได้ยินสัญญาณแตรงอน หรืออดอยากอาหาร พวกเราจะไปอาศัยอยู่ที่นั่น’ 15 ท่านก็จงฟังคำของพระผู้เป็นเจ้าเถิด โอ ผู้ที่มีชีวิตเหลืออยู่ของยูดาห์เอ๋ย พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ ‘ถ้าพวกเจ้าตั้งหน้าจะไปยังอียิปต์และเข้าไปอาศัยอยู่ที่นั่น 16 สงครามที่เจ้ากลัวก็จะตามเจ้าไปที่นั่น ที่แผ่นดินอียิปต์ และความอดอยากที่เจ้ากลัวจะตามหลังพวกเจ้าไปที่อียิปต์อย่างใกล้ชิด และพวกเจ้าจะตายที่นั่น 17 ทุกคนที่ตั้งหน้าไปอียิปต์และเข้าไปอาศัยอยู่ที่นั่นจะตายเพราะสงคราม ความอดอยาก และโรคระบาด จะไม่มีใครเหลืออยู่หรือพ้นจากความวิบัติที่เราจะให้เกิดขึ้นกับพวกเขาได้’

18 เพราะพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ ‘ความกริ้วและการลงโทษของเราที่มีต่อบรรดาผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็มเป็นเช่นไร การลงโทษของเราก็จะมีต่อพวกเจ้าเช่นนั้นเมื่อเจ้าไปยังอียิปต์ พวกเจ้าจะเป็นสิ่งที่คนสาปแช่ง เป็นที่น่าหวาดกลัว เป็นคำสาปแช่ง และเป็นที่หัวเราะเยาะ พวกเจ้าจะไม่เห็นที่นี่อีก’ 19 โอ ผู้ที่มีชีวิตเหลืออยู่ของยูดาห์เอ๋ย พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวแก่พวกท่านดังนี้ ‘อย่าไปที่อียิปต์’ ขอให้รับทราบอย่างแน่นอนว่า วันนี้ข้าพเจ้าได้เตือนพวกท่านล่วงหน้าแล้วว่า 20 พวกท่านได้หลงผิดขั้นถึงชีวิตของท่าน เพราะท่านให้ข้าพเจ้าไปหาพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน พวกท่านพูดว่า ‘โปรดอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราเพื่อพวกเรา และอะไรก็ตามที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรากล่าว ก็ช่วยแจ้งแก่พวกเรา และพวกเราจะกระทำตาม’ 21 และในวันนี้ ข้าพเจ้าได้แจ้งแก่พวกท่านแล้ว แต่พวกท่านไม่ได้เชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านในเรื่องใดๆ ที่พระองค์ให้ข้าพเจ้ามาบอกท่าน 22 ฉะนั้น ท่านจงแน่ใจได้ว่า ท่านจะตายเพราะสงคราม ความอดอยาก และโรคระบาดในที่ซึ่งพวกท่านต้องการจะไปอาศัยอยู่”

สดุดี 18

ขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าในชัยชนะ

ถึงหัวหน้าวงดนตรี เพลงสดุดีของดาวิด ผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้า ท่านกล่าวกับพระผู้เป็นเจ้าเป็นเนื้อร้องในบทเพลงนี้ ในวันที่พระผู้เป็นเจ้าช่วยท่านให้หลุดพ้นจากเงื้อมมือของพวกศัตรูและจากซาอูล ท่านกล่าวว่า

ข้าพเจ้ารักพระองค์ โอ พระผู้เป็นเจ้า พละกำลังของข้าพเจ้า

พระผู้เป็นเจ้าเป็นศิลาและป้อมปราการของข้าพเจ้า และเป็นผู้ช่วยข้าพเจ้าให้พ้นภัย
    พระเจ้าของข้าพเจ้าเป็นศิลาของข้าพเจ้าที่อาศัยพักพิงได้
    พระองค์เป็นโล่ป้องกันและเขา[a]แห่งความรอดพ้น เป็นหลักยึดอันมั่นคงของข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าร้องเรียกถึงพระผู้เป็นเจ้า ผู้สมควรแก่การสรรเสริญ
    และข้าพเจ้ารอดพ้นจากพวกศัตรูของข้าพเจ้า
สายรัดแห่งความตายพันรอบตัวข้าพเจ้า
    กระแสน้ำแห่งความพินาศท่วมท้นเกินทน
สายรัดแห่งแดนคนตายขดรอบตัวข้าพเจ้า
    กับดักแห่งความตายเผชิญหน้าข้าพเจ้า

ในห้วงแห่งความทุกข์ยากข้าพเจ้าร้องเรียกถึงพระผู้เป็นเจ้า
    ข้าพเจ้าร้องขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า
พระองค์ได้ยินเสียงข้าพเจ้าจากพระวิหารของพระองค์
    เสียงร้องของข้าพเจ้าดังไปถึงหูของพระองค์
แผ่นดินสั่นสะเทือน
    และฐานรากของภูเขาโยกคลอน
    และสั่นไหวได้เพราะพระองค์โกรธ
ควันพลุ่งจากช่องจมูกของพระองค์
    และไฟเผาผลาญออกจากปากของพระองค์
    ถ่านลุกโพลงขึ้นเป็นเปลวไฟโชติช่วงจากพระองค์
พระองค์เบิกสวรรค์ลงมา
    เมฆดำอยู่ใต้เท้าพระองค์
10 พระองค์ขึ้นนั่งบนตัวเครูบ[b]แล้วโผบิน
    พระองค์ล่องไปกับสายลมอย่างรวดเร็ว
11 พระองค์ใช้ความมืดกำบังดั่งปะรำปกโดยรอบพระองค์
    เมฆฝนดำทะมึนในท้องฟ้า
12 ณ เบื้องหน้าพระองค์ มีแสงสว่างเจิดจ้า
    เมฆหนาทึบของพระองค์ลอยล่องไป ถ่านลุกโพลงขึ้นเป็นเปลวไฟ
13 ครั้นแล้วพระผู้เป็นเจ้าเปล่งเสียงเป็นฟ้าร้องในสวรรค์
    องค์ผู้สูงสุดเปล่งเสียงเป็นลูกเห็บหินกับถ่านลุกเป็นไฟ
14 พระองค์ยิงลูกธนู และทำให้ศัตรูกระเจิดกระเจิงไป
    พระองค์ทำให้เกิดฟ้าแลบ และพวกเขาก็เตลิดเปิดเปิงไป
15 โอ พระผู้เป็นเจ้า เมื่อพระองค์บอกห้าม
    เมื่อลมหายใจพ่นออกจากจมูกของพระองค์
น้ำในทะเลก็เปิดออกจนเห็นก้นบึ้งแห่งท้องทะเล
    และฐานรากของแผ่นดินโลกโล่งโถง

16 พระองค์เอื้อมลงจากที่สูงคว้าตัวข้าพเจ้าไว้ได้
    แล้วพระองค์ก็ดึงตัวข้าพเจ้าขึ้นจากห้วงน้ำลึก
17 พระองค์ช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากศัตรูผู้มีอำนาจยิ่ง
    และจากพวกที่เกลียดชังข้าพเจ้า ด้วยว่า เขามีกำลังเกินกว่าข้าพเจ้า
18 เขาเหล่านั้นประจันหน้าข้าพเจ้าในยามวิบัติ
    แต่พระผู้เป็นเจ้าเป็นหลักค้ำจุนของข้าพเจ้า
19 พระองค์ช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากบ่วงอันตราย
    พระองค์ช่วยเหลือข้าพเจ้าไว้ก็เพราะพระองค์พอใจในตัวข้าพเจ้า

20 พระผู้เป็นเจ้ากระทำต่อข้าพเจ้าตามความชอบธรรมของข้าพเจ้า
    พระองค์ให้รางวัลข้าพเจ้าตามความสะอาดของมือข้าพเจ้า
21 ด้วยว่า ข้าพเจ้าเดินตามทางของพระผู้เป็นเจ้า
    และไม่ได้ทำความชั่วโดยหันเหไปจากพระเจ้าของข้าพเจ้า
22 ข้าพเจ้านึกถึงคำบัญชาของพระองค์เป็นที่ตั้ง
    ข้าพเจ้าไม่ได้เพิกเฉยต่อกฎเกณฑ์ของพระองค์
23 ข้าพเจ้าปราศจากข้อตำหนิใดๆ ณ เบื้องหน้าพระองค์
    และข้าพเจ้าระวังไม่กระทำบาป
24 พระผู้เป็นเจ้าได้ให้รางวัลข้าพเจ้าตามความชอบธรรมของข้าพเจ้า
    ตามความบริสุทธิ์ของมือข้าพเจ้าต่อหน้าพระองค์

25 พระองค์แสดงความรักอันมั่นคงต่อคนที่มีความภักดี
    พระองค์แสดงความไร้ข้อตำหนิของพระองค์ต่อคนที่ไร้ข้อตำหนิ
26 พระองค์แสดงความบริสุทธิ์ของพระองค์ต่อคนบริสุทธิ์
    และพระองค์แสดงต่อคนคดโกงอย่างปราดเปรื่อง
27 ด้วยว่า พระองค์ช่วยคนถ่อมตัวให้รอดพ้น
    และพระองค์ทำให้คนใจยโสเจียมตัว
28 โอ พระผู้เป็นเจ้า ด้วยว่า พระองค์ทำให้ตะเกียงของข้าพเจ้าสว่าง
    พระเจ้าของข้าพเจ้าทำให้ความมืดของข้าพเจ้าสว่างไสว
29 ข้าพเจ้าเหยียบย่ำกองทัพได้ก็ด้วยพระองค์
    ข้าพเจ้าข้ามกำแพงได้ก็ด้วยพระเจ้า

30 พระเจ้านี้แหละ วิถีทางของพระองค์บริบูรณ์ทุกประการ
    คำพูดของพระผู้เป็นเจ้าบริสุทธิ์
    พระองค์เป็นโล่ป้องกันสำหรับทุกคนที่แสวงหาพระองค์เป็นที่พึ่ง
31 ใครเล่าคือพระเจ้านอกเหนือจากพระผู้เป็นเจ้า
    และใครคือศิลานอกเหนือจากพระเจ้าของเรา
32 พระเจ้าช่วยให้ข้าพเจ้าพรั่งพร้อมด้วยกำลัง
    และทำให้วิถีทางของข้าพเจ้าบริบูรณ์ทุกประการ
33 พระองค์ทำให้เท้าของข้าพเจ้าเป็นดั่งเท้ากวาง
    พระองค์ทำให้ข้าพเจ้ายืนในที่สูงได้
34 พระองค์ฝึกมือข้าพเจ้าให้พร้อมเพื่อการสงคราม
    เพื่อแขนข้าพเจ้าจะได้น้าวคันธนูทองสัมฤทธิ์
35 และพระองค์ให้โล่แห่งความรอดพ้นแก่ข้าพเจ้า
    มือขวาของพระองค์ทำให้ข้าพเจ้ายืนหยัดอยู่ได้
    และความช่วยเหลือของพระองค์ทำให้ข้าพเจ้ายิ่งใหญ่
36 พระองค์ทำให้ทางเดินที่ข้าพเจ้าเหยียบก้าวไปกว้างขึ้น
    เพื่อเท้าของข้าพเจ้าจะไม่ลื่นล้ม

37 ข้าพเจ้าไล่ล่าศัตรูและจับตัวพวกเขาไว้ได้
    ข้าพเจ้าไม่ได้หวนกลับจนกระทั่งศัตรูพินาศไป
38 ข้าพเจ้าทำให้เขาทรุดตัวลงจนลุกไม่ขึ้น
    เขาล้มลงอยู่ใต้เท้าของข้าพเจ้า
39 และพระองค์ช่วยให้ข้าพเจ้าพรั่งพร้อมด้วยกำลังเพื่อศึกสงคราม
    พระองค์ทำให้ฝ่ายตรงข้ามจมอยู่เบื้องล่าง
40 พระองค์ทำให้ศัตรูหันหลังหนีไปจากข้าพเจ้า
    และข้าพเจ้าทำให้คนที่เกลียดชังข้าพเจ้าพินาศ
41 พวกเขาร้องขอความช่วยเหลือ แต่ไม่มีใครช่วยชีวิตไว้ได้
    เขาร้องขอต่อพระผู้เป็นเจ้า แต่พระองค์ไม่ตอบ
42 ข้าพเจ้าเหยียบขยี้พวกเขาจนแหลกละเอียดเป็นผงธุลีไปกับสายลม
    ข้าพเจ้าสาดพวกเขาทิ้งไปที่ถนนดั่งโคลนตม
43 พระองค์ได้ช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้นจากการโต้แย้งของชนชาติ
    พระองค์ได้ให้ข้าพเจ้าเป็นหัวหน้าของบรรดาประชาชาติ
ชนชาติที่ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักก็รับใช้ข้าพเจ้า
44     ทันทีที่พวกเขาได้ยินข้าพเจ้า เขาก็เชื่อฟัง
    ชนต่างชาติยอมสยบต่อหน้าข้าพเจ้า
45 คนแปลกหน้าใจเสีย
    และตัวสั่นเทาออกมาจากป้อมปราการของเขา

46 พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ ให้ศิลาของข้าพเจ้าได้รับการสรรเสริญเถิด
    และให้พระเจ้า ผู้ช่วยให้รอดพ้นของข้าพเจ้าได้รับการยกย่องเถิด
47 พระองค์เป็นพระเจ้าผู้แก้แค้นแทนข้าพเจ้า
    และทำให้บรรดาชนชาติยอมจำนนอยู่ใต้ข้าพเจ้า
48     พระองค์ช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้นจากศัตรู
พระองค์ยกข้าพเจ้าอยู่เหนือข้าศึก
    พระองค์ให้ข้าพเจ้ารอดพ้นจากคนปองร้าย
49 ฉะนั้น ข้าพเจ้าจะขอบคุณพระองค์ท่ามกลางบรรดาประชาชาติ โอ พระผู้เป็นเจ้า
    ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสรรเสริญพระนามของพระองค์

50 พระองค์ให้ชัยชนะอันยิ่งใหญ่แก่กษัตริย์ของพระองค์
    และแสดงความรักอันมั่นคงแก่ผู้ได้รับการเจิมของพระองค์
    แก่ดาวิดและผู้สืบเชื้อสายของท่านชั่วนิรันดร์กาล

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation