M’Cheyne Bible Reading Plan
กำเนิดของซามูเอล
1 มีชายชาวศูฟคนหนึ่งจากเมืองรามาธาอิมแห่งเทือกเขาของเอฟราอิม ชื่อเอลคานาห์บุตรเยโรฮัม ผู้เป็นบุตรเอลีฮู ผู้เป็นบุตรโทหุ ผู้เป็นบุตรศูฟคนเผ่าเอฟราอิม 2 เขามีภรรยา 2 คน คนหนึ่งชื่อฮันนาห์ อีกคนหนึ่งชื่อเปนินนาห์ เปนินนาห์มีบุตร แต่ฮันนาห์ไม่มี
3 ชายคนนี้มักจะขึ้นไปจากเมืองของเขาเป็นประจำ เพื่อไปนมัสการและมอบสัตว์เป็นของถวายแด่พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาที่ชิโลห์ เป็นที่ซึ่งบุตร 2 คนของเอลี คือโฮฟนี และฟีเนหัส ทำหน้าที่เป็นปุโรหิตของพระผู้เป็นเจ้า 4 ในวันที่เอลคานาห์มอบเครื่องสักการะ เขาจะให้ส่วนแบ่งแก่เปนินนาห์ผู้เป็นภรรยา และแก่บรรดาบุตรชายบุตรหญิงของนาง 5 เขาให้ส่วนแบ่งแก่ฮันนาห์เป็นสองเท่า เพราะว่าเขารักนาง แม้ว่าพระผู้เป็นเจ้าปิดครรภ์ของนาง 6 คู่แข่งของนางมักจะยั่วโทสะนางอย่างร้ายกาจ เพื่อสร้างความรำคาญใจให้นาง เพราะพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ให้นางตั้งครรภ์ 7 เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นปีแล้วปีเล่า ครั้งใดที่นางขึ้นไปยังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า คู่แข่งของนางก็จะยั่วโทสะจนนางร้องไห้และไม่รับประทานอาหาร 8 เอลคานาห์สามีนางก็พูดกับนางว่า “ฮันนาห์เอ๋ย เจ้าร้องไห้ทำไม และทำไมเจ้าจึงไม่รับประทานอาหาร ทำไมใจของเจ้าจึงเศร้านัก เราไม่ดีกว่าบุตรชาย 10 คนของเจ้าหรือ”
9 หลังจากที่ได้รับประทานและดื่มที่ชิโลห์เสร็จแล้ว ฮันนาห์จึงลุกขึ้น ขณะนั้นเอลีปุโรหิตกำลังนั่งอยู่ที่ข้างวงกบประตูพระวิหารของพระผู้เป็นเจ้า 10 ฮันนาห์เป็นทุกข์มากและอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า และร้องไห้อย่างขมขื่น 11 และนางสัญญาว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา ถ้าพระองค์จะกรุณาแลเห็นความทุกข์ใจของผู้รับใช้ของพระองค์จริงๆ และระลึกถึงข้าพเจ้า และไม่ลืมผู้รับใช้ของพระองค์ จะให้ผู้รับใช้ของพระองค์ได้บุตรชาย ข้าพเจ้าจะถวายตัวเขาให้แด่พระผู้เป็นเจ้าจนตลอดชีวิตของเขา และมีดโกนจะไม่แตะศีรษะของเขาเลย”[a]
12 ขณะที่นางกำลังอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้าอยู่ เอลีสังเกตดูปากนาง 13 ฮันนาห์กำลังคิดอยู่ในใจพร้อมกับขยับปาก แต่ไม่ได้ออกเสียง ฉะนั้นเอลีจึงคิดไปว่านางเมาสุรา[b] 14 เอลีพูดกับนางว่า “เจ้าจะเมานานอีกแค่ไหน จงหยุดดื่มเหล้าองุ่นเสียเถิด” 15 แต่ฮันนาห์ตอบว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น นายท่าน ฉันเป็นหญิงที่ทุกข์ใจมาก ฉันไม่ได้ดื่มเหล้าองุ่นหรือสุรา แต่ฉันระบายความรู้สึกลึกๆ ที่อยู่ในใจต่อพระผู้เป็นเจ้า 16 อย่าคิดว่าผู้รับใช้ของท่านเป็นหญิงที่เลวร้าย ฉันอธิษฐานเพราะกังวลและไม่สบายใจมากมานาน” 17 เอลีจึงตอบว่า “จงไปอย่างสันติสุขเถิด และพระเจ้าแห่งอิสราเอลจะตอบเจ้าที่เจ้าร้องขอต่อพระองค์” 18 นางพูดว่า “ขอให้ผู้รับใช้ของท่านเป็นที่โปรดปรานในสายตาของท่านเถิด” แล้วนางก็เดินจากไป และรับประทานอาหาร และใบหน้าของนางก็ไม่เศร้าสลดอีกต่อไป
19 วันรุ่งขึ้นเอลคานาห์และครอบครัวลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ เพื่อนมัสการพระผู้เป็นเจ้า แล้วกลับไปบ้านที่รามาห์ และเอลคานาห์หลับนอนกับฮันนาห์ภรรยาของตน พระผู้เป็นเจ้าไม่ลืมคำร้องขอของนาง 20 เมื่อถึงกำหนดเวลา ฮันนาห์ก็ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชาย นางจึงตั้งชื่อเขาว่า ซามูเอล เพราะนางพูดว่า “ฉันขอเขาจากพระผู้เป็นเจ้า”
ถวายซามูเอลแด่พระผู้เป็นเจ้า
21 เอลคานาห์และทุกคนในครัวเรือนขึ้นไปมอบสัตว์เป็นเครื่องสักการะประจำปีแด่พระผู้เป็นเจ้า และเพื่อมอบของถวายตามคำสัญญาของตน 22 แต่ฮันนาห์ไม่ได้ขึ้นไปด้วย นางบอกสามีว่า “ทันทีที่เด็กหย่านมแล้ว ฉันจะพาเขาไป เขาจะได้ไปถวายตัว ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า และอยู่ที่นั่นตลอดไป” 23 เอลคานาห์สามีนางพูดว่า “จงปฏิบัติตามที่เจ้าเห็นว่าดีที่สุด รอจนกว่าเขาหย่านมเสียก่อน ขอแต่เพียงว่า พระผู้เป็นเจ้าจะให้คำสัญญาของเจ้าเป็นจริง” ดังนั้นนางจึงอยู่กับบ้านและให้บุตรด้วยนมของนางจนเขาหย่านม 24 เมื่อนางให้เขาหย่านมแล้ว นางก็พาเขาขึ้นไปกับนาง พร้อมกับเอาโคตัวผู้อายุ 3 ปีไปด้วยตัวหนึ่ง แป้งสาลีหนัก 1 เอฟาห์[c] เหล้าองุ่น 1 ถุง นางพาเขาไปยังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าที่เมืองชิโลห์ เด็กก็ยังมีอายุน้อย 25 เมื่อพวกเขาฆ่าโคแล้ว ก็นำเด็กน้อยไปหาเอลี 26 นางพูดว่า “โอ นายท่าน จริงๆ นะ นายท่าน ฉันเป็นผู้หญิงคนที่เมื่อก่อนนี้มายืนอยู่ต่อหน้าท่านที่ตรงนี้ และอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า 27 เด็กคนนี้เป็นคนที่ฉันอธิษฐานขอ และพระผู้เป็นเจ้าก็มอบคำขอให้แก่ฉัน 28 ฉะนั้นฉันถวายตัวเขาให้แด่พระผู้เป็นเจ้า ตราบที่เขามีชีวิต ฉันถวายเขาให้เป็นของพระผู้เป็นเจ้า”
และเขาก็ก้มกราบนมัสการพระผู้เป็นเจ้าที่นั่น
การทักทายของเปาโล
1 ข้าพเจ้าเปาโลผู้รับใช้ของพระเยซูคริสต์ได้รับเรียกให้เป็นอัครทูต และได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า 2 คือข่าวประเสริฐที่พระองค์ได้สัญญาไว้ล่วงหน้า ผ่านเหล่าผู้เผยคำกล่าวของพระองค์ในพระคัมภีร์อันบริสุทธิ์ 3 เกี่ยวกับพระบุตรของพระองค์ ผู้มีเลือดเนื้อซึ่งมาจากเชื้อสายของดาวิด 4 และโดยพระวิญญาณแห่งความบริสุทธิ์ พระเจ้าได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นพระบุตรของพระองค์โดยฤทธานุภาพ คือให้พระองค์ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย คือพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา 5 พวกเราได้รับพระคุณและการเป็นอัครทูตโดยผ่านพระองค์ เพื่อนำผู้คนจากบรรดาคนนอก[a]ในทุกชาติให้มีความเชื่อและเชื่อฟัง เพื่อพระนามของพระองค์ 6 และท่านก็รวมอยู่ในบรรดาผู้ที่พระเจ้าได้เรียก ให้เป็นคนของพระเยซูคริสต์ด้วย
7 เรียน ทุกท่านที่อยู่ในเมืองโรมที่พระเจ้ารักและเรียกให้เป็นผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า
ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าผู้เป็นพระบิดาของเรา และจากพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้า จงมีแก่ท่านทั้งหลายเถิด
คำอธิษฐานขอบพระคุณ
8 ประการแรก ข้าพเจ้าขอบคุณพระเจ้าของข้าพเจ้าสำหรับพวกท่านทุกคนโดยผ่านพระเยซูคริสต์ ทั้งนี้เพราะความเชื่อของท่านเป็นที่เลื่องลือไปทั่วโลก 9 ข้าพเจ้ารับใช้พระเจ้าด้วยชีวิตจิตใจในการประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระบุตรของพระองค์ พระเจ้าเป็นพยานของข้าพเจ้าว่า เวลาอธิษฐาน ข้าพเจ้าระลึกถึงท่านอยู่เสมอไม่ว่างเว้น 10 ข้าพเจ้าอธิษฐานว่า หากเป็นความประสงค์ของพระเจ้า ในที่สุด ข้าพเจ้าก็จะได้มีโอกาสมาเยี่ยมท่าน 11 ข้าพเจ้าอยากจะพบท่าน เพื่อจะได้นำของประทานจากพระวิญญาณมาให้ท่านบ้าง เพื่อให้ท่านได้รับการเสริมสร้าง 12 นั่นก็คือ ทั้งท่านและข้าพเจ้าจะได้ให้กำลังใจกันและกัน ด้วยความเชื่อของเราทั้งสองฝ่าย 13 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทราบว่า ข้าพเจ้าเตรียมการหลายครั้งที่จะมาหาท่าน เพื่อจะได้เก็บเกี่ยวผลในหมู่ท่าน ดังที่ข้าพเจ้าได้กระทำในหมู่คนนอกอื่นๆ (แต่ถูกขัดขวางไม่ให้มาจนบัดนี้) 14 ข้าพเจ้าเป็นหนี้บุญคุณทั้งชาวกรีก[b]และทั้งที่ไม่ใช่กรีก รวมทั้งผู้มีสติปัญญาและผู้โง่เขลา 15 ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงกระตือรือร้นที่จะประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านที่อยู่ในเมืองโรมด้วย
16 ข้าพเจ้าไม่มีความละอายเรื่องข่าวประเสริฐ เพราะข่าวประเสริฐเป็นอานุภาพของพระเจ้า ซึ่งให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอดพ้น สำหรับชาวยิวก่อน แล้วก็สำหรับชาวกรีก[c]ด้วย 17 ด้วยว่าข่าวประเสริฐชี้ให้เห็นว่า พระเจ้าให้มนุษย์มีความชอบธรรมได้อย่างไร นั่นก็คือ โดยการมีความเชื่อตั้งแต่ต้นจนจบ ตามที่มีบันทึกไว้ว่า “ผู้มีความชอบธรรมจะมีชีวิตได้โดยความเชื่อ”[d]
การลงโทษของพระเจ้า
18 พระเจ้าได้แสดงให้เห็นถึงการลงโทษที่มาจากสวรรค์ ต่อการกระทำที่ไร้คุณธรรมและความชั่วร้ายทุกอย่างของบรรดาผู้ยับยั้งความจริงด้วยความชั่วร้ายของเขา 19 เพราะสิ่งที่รู้ได้ในเรื่องของพระเจ้านั้น ก็ประจักษ์แจ้งในใจพวกเขาอยู่แล้ว เพราะพระเจ้าได้ทำให้ประจักษ์แจ้งแก่พวกเขา 20 นับตั้งแต่สร้างโลกมา คุณสมบัติต่างๆ ของพระองค์ซึ่งมองไม่เห็นด้วยตา คือฤทธานุภาพอันเป็นนิรันดร์ และความเป็นพระเจ้าของพระองค์ ก็เป็นที่เข้าใจและประจักษ์ชัดแจ้งได้จากสิ่งที่พระองค์สร้างขึ้น ดังนั้นเขาจึงไม่มีข้อแก้ตัว 21 เพราะถึงแม้ว่าพวกเขารู้จักพระเจ้า แต่ก็ไม่ได้เคารพเทิดทูนพระองค์ ให้สมกับที่พระองค์เป็นพระเจ้า และไม่ได้ขอบคุณพระองค์ แต่กลับกลายเป็นคนคิดในสิ่งไร้สาระ และความคิดอันโง่เขลาของเขาจึงมืดมนไป 22 เขาอ้างตนว่าเป็นผู้มีปัญญา เขาก็กลับกลายเป็นคนโง่เขลาไป 23 และได้เปลี่ยนพระบารมีของพระเจ้าผู้เป็นอมตะให้กลายเป็นรูปเคารพต่างๆ ซึ่งทำให้เหมือนลักษณะมนุษย์ที่ตายได้ นก และสัตว์ รวมทั้งสัตว์เลื้อยคลาน
24 ฉะนั้น พระเจ้าจึงได้ปล่อยให้พวกเขาตกอยู่ในสิ่งอันเป็นมลทินตามแรงกิเลสทางใจ ทำให้เขาก่อความอัปยศทางร่างกายต่อกันและกัน 25 พวกเขาเอาความจริงของพระเจ้าไปแลกกับความเท็จ เขานมัสการและรับใช้สรรพสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นแทนผู้สร้างสรรพสิ่งผู้ได้รับการสรรเสริญตลอดกาล อาเมน
26 ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าปล่อยให้พวกเขาตกอยู่ในตัณหาอันน่าอับอาย แม้แต่บรรดาผู้หญิงของพวกเขาก็เปลี่ยนจากความสัมพันธ์ตามธรรมชาติให้ผิดธรรมชาติไป 27 ฝ่ายผู้ชายก็เช่นกัน คือได้ทิ้งความสัมพันธ์ตามธรรมชาติกับผู้หญิง และเร่าร้อนด้วยตัณหาต่อกัน พวกผู้ชายกระทำสิ่งที่น่าอับอายต่อผู้ชายด้วยกัน และได้รับผลคือการลงโทษสมกับการกระทำผิดของพวกเขา
28 ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อพวกเขาไม่เห็นว่า เป็นการสมควรที่จะยอมรับความจริงเกี่ยวกับพระเจ้าอีกต่อไป พระเจ้าจึงปล่อยให้ความคิดอันเสื่อมศีลธรรมของพวกเขานำสู่การประพฤติที่ไม่สมควร 29 พวกเขาจึงมีแต่ความไม่ชอบธรรม ความชั่วร้าย ความโลภ และเสื่อมศีลธรรมสารพัด พวกเขาเต็มด้วยความอิจฉา ฆาตกรรม การวิวาท หลอกลวง การปองร้าย ช่างนินทา 30 การว่าร้าย เกลียดชังพระเจ้า สบประมาท เย่อหยิ่ง โอ้อวด ริวางแผนทำความชั่ว ไม่เชื่อฟังบิดามารดา 31 โง่เง่า ไร้ความเชื่อ ไร้ความรัก ไร้ความเมตตา 32 และแม้เขาจะรู้คำสั่งของพระเจ้าว่า พวกที่กระทำสิ่งเหล่านี้สมควรจะตาย เขากลับไม่เพียงแต่ประพฤติเท่านั้น แต่ยังเห็นดีกับคนอื่นที่ประพฤติเช่นนั้นด้วย
เยรูซาเล็มถล่ม
39 ในปีที่เก้าของรัชสมัยเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ ในเดือนที่สิบ เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนและกองทัพของท่านทั้งหมดมาโจมตีเยรูซาเล็มและยึดไว้ได้ 2 ในปีที่สิบเอ็ดของรัชสมัยเศเดคียาห์ วันที่เก้าของเดือนที่สี่ กำแพงเมืองถูกพังลง 3 ครั้นแล้วผู้นำทั้งหมดของกษัตริย์แห่งบาบิโลนจึงเข้าไปนั่งที่ประตูกลาง รวมทั้งเนอร์กัลชาเรเซอร์ สัมการ์เนโบ สาร์เสคิมผู้บัญชาการ เนอร์กัลชาเรเซอร์ผู้นำ ร่วมกับผู้นำอื่นๆ ทั้งหมดของกษัตริย์แห่งบาบิโลน 4 เมื่อเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์และทหารทั้งหมดเห็นพวกเขา ก็พากันหนีออกไปจากเมืองในเวลากลางคืน ไปทางสวนของกษัตริย์ ผ่านทางประตูเมืองระหว่าง 2 กำแพง และพวกเขาไปทางที่จะไปอาราบาห์ 5 แต่กองทัพของชาวเคลเดียไล่ตามพวกเขาไป และจับกุมเศเดคียาห์ได้ในที่ราบเยรีโค เมื่อพวกเขาจับตัวท่านได้แล้วก็นำไปส่งให้เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนที่เมืองริบลาห์ในอาณาเขตของฮามัท และเนบูคัดเนสซาร์ประกาศโทษแก่ท่าน 6 กษัตริย์แห่งบาบิโลนสังหารบรรดาบุตรชายของเศเดคียาห์ที่ริบลาห์ต่อหน้าท่าน และกษัตริย์แห่งบาบิโลนสังหารบรรดาผู้นำของยูดาห์ทั้งหมด 7 เศเดคียาห์ถูกควักลูกตา และถูกล่ามโซ่ไปยังบาบิโลน 8 ชาวเคลเดียเผาวังกษัตริย์และบ้านประชาชน และพังกำแพงเมืองเยรูซาเล็ม 9 เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารคุ้มกันได้กวาดต้อนประชาชนที่เหลืออยู่ในเมืองและพวกที่ยอมจำนนแก่เขา รวมทั้งประชาชนที่ยังเหลืออยู่ให้ไปเป็นเชลยที่บาบิโลน 10 เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารคุ้มกันไม่ได้จับกุมคนยากจนบางคนที่ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดิน แต่ให้พวกเขาอยู่ต่อในแผ่นดินของยูดาห์ และในขณะเดียวกันก็ยังให้สวนองุ่นและไร่นาแก่พวกเขาด้วย
พระผู้เป็นเจ้าช่วยเยเรมีย์ให้รอด
11 เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนบัญชาผ่านเนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารคุ้มกันเรื่องเยเรมีย์ว่า 12 “จงพาตัวเขาไป ดูแลเขาให้ดี และอย่าทำร้ายเขา เขาขอสิ่งใดก็จงทำตามนั้น” 13 ดังนั้น เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารคุ้มกัน เนบูชัสบานผู้บัญชาการ เนอร์กัลชาเรเซอร์ผู้นำ และบรรดาผู้นำทั้งหมดของกษัตริย์แห่งบาบิโลน 14 ให้คนไปนำเยเรมีย์มาจากลานทหารยาม และให้ท่านอยู่ในความดูแลของเก-ดาลิยาห์บุตรอาหิคามผู้เป็นบุตรของชาฟาน เพื่อให้เขาพาท่านกลับบ้าน ท่านจึงได้อาศัยอยู่ท่ามกลางประชาชน
15 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ขณะที่ท่านถูกกักขังที่ลานทหารยามดังนี้ 16 “จงไปบอกเอเบดเมเลคชาวคูชว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวว่า ดูเถิด เราจะให้ความวิบัติเกิดขึ้นกับเมืองนี้ตามคำพูดของเรา ไม่ให้รับความเจริญ และจะเกิดขึ้นต่อหน้าเจ้าในวันนั้น 17 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า เราจะช่วยเจ้าให้รอดชีวิตในวันนั้น และเจ้าจะไม่ถูกมอบไว้ในมือของบรรดาผู้ที่เจ้ากลัว 18 เพราะเราจะช่วยเจ้าให้รอดชีวิตอย่างแน่นอน และเจ้าจะไม่ถูกฆ่า และเจ้าจะเอาชีวิตหนีรอดไปได้ เพราะเจ้าได้ไว้วางใจเรา พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น’”
คงความเชื่อมั่นในพระผู้เป็นเจ้า แม้ในยามเผชิญกับสิ่งใดๆ
ถึงหัวหน้าวงดนตรี เพลงสดุดีของดาวิด
1 นานเพียงไร โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะลืมข้าพเจ้าไปตลอดกาลหรือ
พระองค์จะซ่อนหน้าไปจากข้าพเจ้านานเพียงไร
2 ข้าพเจ้าต้องทนต่อความเจ็บปวดฝ่ายจิตวิญญาณ
และเศร้าใจทุกวันไปนานเพียงไร
ศัตรูของข้าพเจ้าจะถูกยกย่องเกินกว่าข้าพเจ้านานเพียงไร
3 ดูเถิด พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า ช่วยตอบคำถาม
ให้ข้าพเจ้าหูตาสว่าง มิฉะนั้นข้าพเจ้าจะหลับอยู่ในความตาย
4 เกรงว่าศัตรูจะพูดว่า “เรามีชัยชนะเหนือเขาแล้ว”
และพวกปรปักษ์ก็จะยินดีเมื่อข้าพเจ้าหวั่นไหว
5 แต่ข้าพเจ้าไว้วางใจในความรักอันมั่นคงของพระองค์
และใจข้าพเจ้าจะยินดีที่พระองค์ช่วยให้รอดพ้น
6 ข้าพเจ้าจะร้องเพลงถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า
เพราะพระองค์ดีต่อข้าพเจ้ายิ่งนัก
คนโง่ถูกตัดสินโทษ
ถึงหัวหน้าวงดนตรี เพลงสดุดีของดาวิด
1 คนโง่เขลาคิดอยู่ในใจว่า
“พระเจ้าไม่มีจริง”
พวกเขาไร้ศีลธรรม และทำสิ่งที่น่าขยะแขยง
ไม่มีผู้ใดกระทำความดี
2 พระผู้เป็นเจ้ามองลงมาจากสวรรค์ ดูว่า
มีใครสักคนในบรรดาบุตรของมนุษย์
ที่เข้าใจและแสวงหาพระเจ้า
3 ทุกคนหลงผิดไป เขากลายเป็นคนไร้ศีลธรรมกันไปหมด
ไม่มีผู้ใดกระทำความดี
ไม่มีแม้แต่คนเดียว[a]
4 พวกที่ทำความชั่วไม่เข้าใจหรือ
พวกเขากินชนชาติของเราเหมือนกินขนมปัง
และไม่ร้องเรียกถึงพระผู้เป็นเจ้า
5 นั่นแหละ พวกเขาก็จะหวาดหวั่นยิ่งนัก
เพราะพระเจ้าสถิตกับบรรดาผู้มีความชอบธรรม
6 พวกเจ้าทำให้แผนการของผู้อ่อนกำลังไม่ราบรื่น
แต่พระผู้เป็นเจ้าเป็นที่พึ่งของเขา
7 ขอให้ความรอดพ้นของอิสราเอลมาจากศิโยน
เวลาที่พระผู้เป็นเจ้าทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของชนชาติของพระองค์คืนสู่สภาพเดิม
ยาโคบจะชื่นชมยินดี อิสราเอลจะร่าเริงใจ
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation