M’Cheyne Bible Reading Plan
รูธพบกับโบอาส
2 นาโอมีรู้จักกับญาติของสามีคนหนึ่งชื่อโบอาส เขาเป็นเศรษฐีที่ดินจากตระกูลเอลีเมเลค 2 รูธชาวโมอับพูดกับนาโอมีว่า “ขอให้ลูกเข้าไปในนาเก็บข้าวที่เขาเกี่ยวตกหล่นไว้เถิด[a] ลูกจะตามหลังคนที่มีใจเมตตายอมให้ลูกเก็บ” นางตอบว่า “ไปเถิด ลูกเอ๋ย” 3 รูธจึงออกไปเก็บข้าวตกในนา โดยเดินตามหลังเหล่าคนเกี่ยว นางเกิดเดินเข้าไปในนาของโบอาสที่เป็นคนจากตระกูลเอลีเมเลคอย่างไม่รู้ตัว 4 ดูเถิด โบอาสเพิ่งกลับมาจากเบธเลเฮม เขาทักทายพวกคนเกี่ยวข้าวว่า “ขอให้พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับท่าน” พวกเขาตอบว่า “ขอให้พระผู้เป็นเจ้าอวยพรท่านเถิด” 5 แล้วโบอาสถามชายหนุ่มที่คุมคนเกี่ยวข้าวว่า “หญิงสาวคนนี้เป็นคนของใคร” 6 ผู้รับใช้คุมคนเกี่ยวข้าวตอบว่า “นางเป็นหญิงชาวโมอับที่กลับมาจากชนบทโมอับกับนาโอมี 7 นางพูดว่า ‘โปรดให้ฉันเก็บและรวบรวมข้าวที่ตกจากฟ่อน ตามหลังคนที่เก็บเกี่ยวเถิด’ นางก็มาเก็บอย่างไม่หยุดหย่อน ตั้งแต่เช้าตรู่จนบัดนี้ ยกเว้นหยุดพักเพียงครู่เดียว”
8 โบอาสจึงพูดกับรูธว่า “จงฟังเถิด ลูกเอ๋ย อย่าไปเก็บข้าวตกในนาของคนอื่นเลย และไม่ต้องไปจากนานี้ แต่จงอยู่ใกล้ๆ พวกหญิงรับใช้ของเรา 9 จงจับตาดูนาที่พวกผู้ชายกำลังเก็บเกี่ยว และตามหลังพวกเขาไป เราบอกพวกผู้ชายแล้วว่าไม่ให้แตะต้องตัวเจ้า เวลาเจ้าหิวน้ำ ก็ไปดื่มจากหม้อน้ำที่พวกเขาตักไว้แล้ว” 10 และนางก็ก้มตัวลงที่พื้น และพูดกับเขาว่า “เหตุใดฉันจึงได้รับความโปรดปรานจากท่าน ท่านแสดงความเป็นห่วงฉัน ในขณะที่ฉันเป็นคนต่างชาติ” 11 โบอาสตอบว่า “มีคนเล่าทุกสิ่งให้เราฟังหมดแล้วว่า เจ้าได้ปฏิบัติต่อแม่สามีของเจ้าอย่างไร ตั้งแต่สามีตาย และเจ้าได้จากพ่อแม่ของเจ้า และจากถิ่นฐานบ้านเกิดของเจ้า ไปอยู่กับชนชาติที่เจ้าไม่เคยรู้จักมาก่อน 12 พระผู้เป็นเจ้าตอบแทนเจ้าตามที่เจ้าได้กระทำ และพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลจะให้รางวัลแก่เจ้าอย่างบริบูรณ์ เจ้าได้เข้ามายังที่พึ่งพิงใต้อ้อมปีกของพระองค์” 13 นางพูดว่า “ฉันเป็นที่โปรดปรานของท่าน เจ้านายของฉัน เพราะท่านปลอบใจฉัน และพูดจากับผู้รับใช้ของท่านด้วยความเมตตา แม้ว่าฉันไม่ได้เป็นคนรับใช้ของท่าน”
14 เมื่อถึงเวลาอาหาร โบอาสบอกนางว่า “จงมากินขนมปังที่นี่ และเอาขนมปังจิ้มเหล้าองุ่นเปรี้ยวเถิด” ดังนั้นนางจึงนั่งใกล้กับพวกคนเกี่ยวข้าว และโบอาสยื่นเมล็ดข้าวคั่วให้นาง นางรับประทานจนอิ่มหนำ และยังมีอาหารเหลืออีก 15 ครั้นนางลุกขึ้นไปเก็บข้าวตก โบอาสกำชับคนรับใช้ชายว่า “ปล่อยให้นางเก็บข้าวตกจากฟ่อน อย่าห้ามนาง 16 และจงดึงข้าวจากฟ่อนให้นางด้วย เพื่อทิ้งไว้ให้นางเก็บไป และอย่าไปดุว่านาง”
17 ดังนั้น นางจึงเก็บข้าวตกในนาจนกระทั่งเย็น แล้วนางก็นวดข้าวที่นางเก็บได้ เป็นข้าวบาร์เลย์ประมาณ 1 เอฟาห์[b] 18 แล้วนางก็แบกข้าวเข้าไปในเมือง แม่สามีเห็นว่านางเก็บข้าวตกได้มากเพียงไร และรูธเอาอาหารที่ตนรับประทานไม่หมดออกมาให้ 19 แม่สามีพูดกับรูธว่า “วันนี้เจ้าไปเก็บข้าวตกที่ไหน และไปทำงานที่ไหน ขอให้ชายที่เป็นห่วงเจ้าได้รับพระพรเถิด” นางจึงบอกแม่สามีว่าไปทำงานกับใครและพูดว่า “ชายที่ลูกไปทำงานด้วยในวันนี้ชื่อ โบอาส” 20 นาโอมีพูดกับบุตรสะใภ้ว่า “ขอให้พระผู้เป็นเจ้าอวยพรเขา พระองค์ยังไม่ทอดทิ้งทั้งคนเป็นและคนตาย” นาโอมีพูดกับนางอีกว่า “ชายคนนั้นเป็นญาติของพวกเรา เป็นหนึ่งในบรรดาญาติสนิทของเรา” 21 รูธชาวโมอับพูดว่า “นอกจากนั้นแล้ว ท่านยังพูดกับลูกด้วยว่า ‘เจ้าจงอยู่ใกล้ๆ พวกชายผู้รับใช้หนุ่มของเรา จนกว่าเขาจะเก็บเกี่ยวเสร็จ’” 22 นาโอมีพูดกับรูธบุตรสะใภ้ของนางว่า “ลูกเอ๋ย ดีแล้วที่เจ้าออกไปกับหญิงรับใช้ของเขา เพราะกลัวว่าเจ้าจะได้รับอันตราย หากว่าเจ้าไปที่นาของคนอื่น” 23 ดังนั้นรูธจึงคอยอยู่ใกล้กับหญิงรับใช้ของโบอาส เก็บข้าวตกจนกระทั่งสิ้นฤดูเก็บเกี่ยวข้าวบาร์เลย์และข้าวสาลี และนางอาศัยอยู่กับแม่สามีของนาง[c]
เปาโลแล่นเรือไปยังเมืองโรม
27 เมื่อตัดสินใจกันได้ว่า จะให้พวกเราแล่นเรือไปยังประเทศอิตาลี เปาโลและนักโทษอื่นบางคนก็ถูกส่งตัวให้นายร้อยชื่อยูเลียสซึ่งเป็นนายทหารในกองของจักรพรรดิ 2 และยังมีชาวมาซิโดเนียซึ่งมาจากเธสะโลนิกาคนหนึ่งชื่ออาริสทาร์คัสไปกับเราด้วย โดยลงเรือที่มาจากเมืองอัดรามิททิยุมซึ่งพร้อมที่จะแล่นไปยังท่าต่างๆ ตามชายฝั่งทะเลในแคว้นเอเชีย แล้วพวกเราก็ออกเรือกันไป 3 วันรุ่งขึ้นพวกเราขึ้นฝั่งที่เมืองไซดอน ฝ่ายยูเลียสผู้มีใจกรุณาต่อเปาโลก็ยอมให้ท่านไปหาพวกเพื่อนๆ ได้ เผื่อจะได้รับความช่วยเหลือ 4 ครั้นเราออกเรือไปจากที่นั่นแล้ว จึงแล่นไปทางด้านอับลมของเกาะไซปรัสเพราะทวนลม 5 เมื่อเราได้ล่องเรือเลียบฝั่งทะเลของแคว้นซีลีเซียกับแคว้นปัมฟีเลีย เราก็ได้ขึ้นฝั่งที่เมืองมิราในแคว้นลีเซีย 6 ที่เมืองนั้นนายร้อยได้พบเรือลำหนึ่งมาจากอเล็กซานเดรีย ซึ่งกำลังจะแล่นไปยังประเทศอิตาลี จึงให้พวกเราลงเรือกัน 7 เราแล่นไปช้าๆ หลายวันและมาถึงใกล้เมืองคนีดัสด้วยความยากลำบาก เมื่อลมพัดทวนมาก เราก็แล่นไปทางด้านอับลมของเกาะครีตเลียบเคียงใต้แหลมสัลโมเน 8 เราแล่นไปตามชายฝั่งด้วยความยากลำบาก จนมาถึงที่แห่งหนึ่งเรียกว่าท่าพักพิง ซึ่งอยู่ใกล้เมืองลาเซีย
9 การเดินเรือช่วงนี้อันตรายยิ่งและเสียเวลาไปมากแล้ว เพราะได้ล่วงเลยช่วงเวลาเทศกาลอดอาหารไปแล้ว เปาโลจึงเตือนเขาทั้งหลายว่า 10 “ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าเห็นว่าการเดินทางของพวกเราจะเกิดการเสียหาย และจะมีการสูญเสียใหญ่ยิ่ง คือไม่เกิดกับเรือและของบรรทุกเท่านั้น แต่ชีวิตของพวกเราเองด้วย” 11 แต่แทนที่นายร้อยจะฟังเปาโลพูด กลับทำตามที่กัปตันและเจ้าของเรือแนะนำ 12 ในเมื่อท่าเรือนั้นไม่เหมาะพอที่จะจอดพักในฤดูหนาว คนส่วนใหญ่จึงตัดสินใจให้แล่นต่อไป โดยหวังที่จะไปถึงเมืองฟีนิกส์และพักตลอดช่วงฤดูหนาวที่นั่น ฟีนิกส์เป็นเมืองท่าเรือของเกาะครีต ซึ่งหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือและตะวันตกเฉียงใต้
พายุ
13 เมื่อลมทิศใต้พัดมาเบาๆ เขาเหล่านั้นก็คิดว่าได้การสมความปรารถนาแล้ว จึงถอนสมอแล่นไปตามชายฝั่งของเกาะครีต 14 ไม่นานต่อมาลมพายุกล้าชื่อ ตะวันออกเฉียงเหนือ พัดลงมาจากเกาะนั้น 15 เรือจึงถูกพายุอย่างจัง สุดกำลังจะต้านลม จึงปล่อยไปตามกระแสลมพัด 16 เมื่อเราแล่นผ่านไปจนถึงที่อับลมของเกาะคาวดาซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ เราแทบจะคุมเรือเล็กไม่ไหว 17 และเมื่อยกขึ้นเรือใหญ่ได้แล้ว ก็เอาเชือกโอบใต้เรือใหญ่ไว้ให้แน่นกันเรือแตก ด้วยเกรงว่าจะเกยสันดอนทรายในอ่าวเสอร์ทิส จึงทอดสมอลงแล้วก็ปล่อยเรือไปตามกระแสลม 18 เมื่อต้องต้านพายุมากจนวันรุ่งขึ้น คนเหล่านั้นจึงเริ่มโยนของที่บรรทุกมาทิ้งทะเลเสียบ้าง 19 พอวันที่สามพวกเขาโยนเครื่องที่โยงระยางกับใบลงทะเลด้วยมือของเขาเอง 20 เมื่อไม่เห็นทั้งดวงอาทิตย์และดวงดาวหลายวัน และพายุยังคงพัดกระหน่ำต่อไป เราก็ไม่มีแม้แต่ความหวังว่าจะรอดชีวิตไปได้
21 เมื่อพวกเขาไม่ได้รับประทานอาหารมาเป็นเวลานาน เปาโลยืนขึ้นกล่าวว่า “ถ้าท่านทั้งหลายเชื่อฟังข้าพเจ้าโดยไม่แล่นออกจากเกาะครีตแล้ว ท่านก็จะไม่ต้องเผชิญกับความเสียหายและสูญเสียสิ่งของเช่นนี้ 22 แต่มาบัดนี้ข้าพเจ้าขอแนะว่าจงทำใจให้กล้าหาญต่อไปเถิด เพราะว่าไม่มีผู้ใดในพวกท่านที่จะเสียชีวิต จะเสียก็แต่เรือเท่านั้น 23 เมื่อคืนนี้ทูตสวรรค์ของพระเจ้าผู้เป็นเจ้าชีวิตของข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้ารับใช้มายืนอยู่ข้างๆ ข้าพเจ้า 24 และกล่าวว่า ‘เปาโลเอ๋ย อย่ากลัวเลย ท่านต้องไปให้ซีซาร์พิจารณาคดี และด้วยพระคุณของพระเจ้าที่มีต่อท่าน พระองค์ได้ไว้ชีวิตทุกคนที่ลงเรือมากับท่าน’ 25 ดังนั้นท่านทั้งหลายจงทำใจให้เข้มแข็งเถิด เพราะข้าพเจ้ามีความเชื่อในพระเจ้าว่า ทุกสิ่งจะเกิดขึ้นตามที่ข้าพเจ้าได้ยิน 26 แต่ว่าพวกเราต้องเกยตื้นที่เกาะแห่งหนึ่ง”
เรือแตก
27 คืนที่สิบสี่ เรายังถูกพายุพัดข้ามทะเลอาเดรียติกอยู่ พอราวเที่ยงคืนพวกกะลาสีมีความรู้สึกว่าเข้าใกล้แผ่นดินแล้ว 28 เมื่อหยั่งความลึกก็วัดได้ว่าน้ำลึก 40 เมตร และเพียงชั่วครู่ต่อมาก็หยั่งดูอีกและวัดได้ว่าลึก 30 เมตร 29 ด้วยกลัวว่าเรือจะกระแทกหิน พวกเขาจึงทอดสมอ 4 ตัวลงที่ท้ายเรือและอธิษฐานว่าไม่ช้าฟ้าก็จะสาง 30 เมื่อพวกกะลาสีหาช่องทางหนีจากเรือใหญ่ได้ เขาก็หย่อนเรือเล็กลงทะเล ทำทีว่าจะหย่อนสมอลงจากหัวเรือ 31 แล้วเปาโลพูดกับนายร้อยและพวกทหารว่า “ถ้าคนพวกนั้นไม่อยู่ในเรือใหญ่ พวกท่านจะไม่รอดตาย” 32 ดังนั้นทหารเหล่านั้นจึงตัดเชือกที่ผูกเรือเล็กไว้ให้ตกลงน้ำไป
33 พอจวนรุ่งเช้าเปาโลชักชวนให้ทุกคนรับประทาน โดยกล่าวว่า “14 วันมาแล้วที่พวกท่านรอคอยอยู่ตลอดเวลาและไม่ได้รับประทานอะไรเลย 34 ฉะนั้นข้าพเจ้าชวนให้ท่านรับประทานบ้าง มันจำเป็นเพื่อประทังชีวิต แม้แต่ผมเส้นเดียวก็จะไม่หลุดจากศีรษะของท่านหรอก” 35 เมื่อท่านกล่าวดังนั้นแล้วก็หยิบขนมปังมาขอบคุณพระเจ้าต่อหน้าพวกเขา แล้วท่านก็บิรับประทาน 36 ทุกคนก็มีกำลังใจดีขึ้นและเริ่มรับประทานกัน 37 รวมพวกเราทั้งหมดที่อยู่ในเรือได้ 276 คน 38 เมื่อเขาเหล่านั้นได้รับประทานอิ่มแล้ว จึงโยนข้าวสาลีทิ้งลงทะเลเพื่อให้เรือเบาขึ้น
39 พอฟ้าสางพวกเขาก็เห็นพื้นดินแต่ไม่รู้ว่าเป็นที่ใด เพราะเป็นอ่าวที่มีชายหาดซึ่งเขาตัดสินใจกันว่า จะให้เรือเกยตื้นที่นั่นถ้าเป็นไปได้ 40 แล้วเขาจึงตัดสายสมอทิ้งลงทะเลเสีย และในขณะเดียวกันก็ได้แก้เชือกที่มัดหางเสือออก แล้วก็ชักใบหัวเรือขึ้นให้กินลมแล่นตรงเข้าชายฝั่ง 41 แต่เรือติดสันดอนทรายเกยค้างอยู่ และหัวเรือติดแน่นขยับไม่ได้ ท้ายเรือก็หักออกเป็นเสี่ยงๆ เพราะคลื่นกระทบอย่างแรง 42 พวกทหารวางแผนที่จะฆ่านักโทษทั้งหมดเพื่อกันไม่ให้ว่ายน้ำหนีไป 43 แต่นายร้อยอยากไว้ชีวิตเปาโล จึงห้ามไม่ให้เขาทำตามแผนนั้น เขาสั่งให้พวกที่ว่ายน้ำเป็น กระโดดน้ำว่ายเข้าฝั่งไปก่อน 44 คนที่เหลือบ้างก็เกาะกระดาน บ้างก็เกาะท่อนไม้ที่หักออกจากเรือ ทุกคนจึงได้ถึงฝั่งและมีชีวิตรอดทั้งหมด
เยเรมีย์เตือนเศเดคียาห์
37 เนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนแต่งตั้งเศเดคียาห์บุตรของโยสิยาห์ให้เป็นกษัตริย์แห่งยูดาห์แทนโคนิยาห์บุตรเยโฮยาคิม 2 แต่เศเดคียาห์และบรรดาผู้รับใช้ของท่าน และประชาชนในแผ่นดินไม่ฟังคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า ที่พระองค์กล่าวผ่านเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า
3 กษัตริย์เศเดคียาห์ให้เยฮูคัลบุตรของเชเลมิยาห์ และเศฟันยาห์ปุโรหิตบุตรของมาอาเสยาห์ ไปหาเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า และพูดกับท่านว่า “โปรดอธิษฐานขอพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเราเพื่อพวกเรา” 4 ขณะนั้นเยเรมีย์ยังไปมาหาสู่กับประชาชน เพราะท่านยังไม่ถูกจำขัง 5 กองทัพของชาวเคลเดียกำลังล้อมเมืองเยรูซาเล็มอยู่ แต่เมื่อพวกเขาทราบว่ากองทหารของฟาโรห์ได้ออกจากอียิปต์แล้ว พวกเขาจึงถอยทัพออกไปจากเยรูซาเล็ม
6 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าว่า 7 “พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวว่า กษัตริย์แห่งยูดาห์ส่งเจ้าให้มาขอร้องเรา เจ้าจงไปบอกเขาว่า ‘ดูเถิด กองทหารของฟาโรห์ที่มาช่วยเจ้ากำลังจะกลับไปอียิปต์แผ่นดินของพวกเขา 8 และชาวเคลเดียจะกลับมาสู้รบเมืองนี้ พวกเขาจะยึดและเผาเมืองนี้’ 9 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า อย่าหลอกลวงตัวเองด้วยการพูดว่า ‘พวกชาวเคลเดียจะถอยกลับไปจากพวกเรา’ เพราะว่าพวกเขาจะไม่ถอยกลับไป 10 เพราะถึงแม้ว่าพวกเจ้าจะโจมตีกองทัพของชาวเคลเดียที่กำลังต่อสู้กับเจ้าจนพวกเขาแตกพ่ายไป แต่ทหารบาดเจ็บทุกคนที่อยู่ในกระโจมและยังมีชีวิตอยู่ก็จะลุกขึ้นมาและเผาเมืองนี้”
เยเรมีย์ถูกจำขัง
11 เมื่อทหารชาวเคลเดียถอนทัพออกจากเยรูซาเล็มเนื่องจากกองทัพของฟาโรห์กำลังเข้ามาใกล้ 12 เยเรมีย์ออกเดินทางจากเยรูซาเล็ม ไปยังดินแดนของเบนยามินเพื่อรับส่วนแบ่งที่ดินเช่นเดียวกับประชาชนที่นั่น 13 เมื่อท่านถึงประตูเบนยามิน ยามประตูที่นั่นชื่อ อิรียาห์บุตรเชเลมิยาห์ผู้เป็นบุตรของฮานันยาห์ก็จับกุมเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า โดยพูดว่า “ท่านกำลังทอดทิ้งพวกเราให้แก่ชาวเคลเดีย” 14 เยเรมีย์ตอบว่า “ไม่เป็นความจริง ข้าพเจ้าไม่ได้ทอดทิ้งให้แก่ชาวเคลเดีย” แต่อิรียาห์ไม่ยอมฟังท่าน เขาจับกุมท่านและนำท่านไปให้บรรดาผู้นำ 15 ผู้นำทั้งหลายก็ฉุนเฉียวใส่เยเรมีย์ ทุบตีและจำขังท่านที่บ้านของโยนาธานเลขา ซึ่งได้กลายเป็นที่จองจำนักโทษไปแล้ว
16 เมื่อเยเรมีย์ถูกจำขังอยู่ใต้ดินเป็นเวลาหลายวัน 17 กษัตริย์เศเดคียาห์ให้คนไปตามท่านมาพบ กษัตริย์ถามเยเรมีย์เป็นการส่วนตัวที่วังของท่านว่า “พระผู้เป็นเจ้ามีคำกล่าวอะไรหรือไม่” เยเรมีย์ตอบว่า “มี” และท่านพูดว่า “ท่านจะถูกมอบไว้ในมือของกษัตริย์แห่งบาบิโลน” 18 เยเรมีย์พูดกับกษัตริย์เศเดคียาห์ด้วยว่า “ข้าพเจ้ากระทำอะไรผิดต่อท่านหรือผู้รับใช้ของท่าน หรือต่อชนชาตินี้ ท่านจึงได้จำขังข้าพเจ้า 19 บรรดาผู้เผยคำกล่าวท่านใดที่รับใช้ท่านและเผยความว่า ‘กษัตริย์แห่งบาบิโลนจะไม่มาสู้รบกับท่านและเมืองนี้’ 20 โอ เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ของข้าพเจ้า บัดนี้ ข้าพเจ้าน้อมตัวลง ณ เบื้องหน้าท่าน ขอให้ท่านโปรดฟังคำขอร้อง โปรดอย่าส่งข้าพเจ้ากลับไปที่บ้านของโยนาธานเลขาอีก มิฉะนั้นข้าพเจ้าตายที่นั่นแน่ๆ” 21 ดังนั้นกษัตริย์เศเดคียาห์จึงออกคำสั่ง และเยเรมีย์ถูกส่งไปที่ลานทหารยาม ให้ท่านได้รับขนมปังประจำทุกวันจากครัวของคนทำขนมปัง จนกระทั่งไม่มีขนมปังในเมืองอีก ดังนั้นเยเรมีย์จึงยังคงอยู่ที่ลานทหารยามต่อไป
วิงวอนขอพระผู้เป็นเจ้าช่วยให้พ้นจากคนชั่ว
1 โอ พระผู้เป็นเจ้า ทำไมพระองค์จึงยืนอยู่ห่างไกล
ทำไมพระองค์จึงหลบลี้ในยามที่ข้าพเจ้าลำบาก
2 ด้วยความยโสคนชั่วกดขี่ข่มเหงคนขัดสน
พวกเขาวางแผนอย่างไร ก็ขอให้ถูกจับได้ตามแผนของเขาเถิด
3 เพราะคนชั่วโอ้อวดว่า ในใจตนใฝ่ฝันอะไรบ้าง
คนโลภจะสาปแช่งและปฏิเสธพระผู้เป็นเจ้า
4 คนชั่วโอหังนักจึงไม่แสวงหาพระองค์
ในความคิดมีแต่เพียงคำว่า “พระเจ้าไม่มีจริง”
5 วิถีทางของเขามั่นคงเสมอไป
โทษทัณฑ์ของพระองค์อยู่ห่างสายตาของเขา
เขาเยาะเย้ยพวกศัตรูของเขา
6 เขาคิดในใจว่า “เราจะไม่รู้สึกสะเทือนเลย
เราจะไม่ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากตลอดทุกชั่วอายุคน”
7 ปากของเขาเต็มด้วยคำสาปแช่ง[a] คำหลอกลวง และการข่มขู่
ใต้ลิ้นของเขาพร้อมที่จะปล่อยความยุ่งยาก และความชั่วออกมา
8 เขานั่งดักรออยู่ตามหมู่บ้าน
เขาฆ่าคนไร้ความผิดในที่ลับ
ดวงตาจับจ้องผู้คนที่หมดหนทาง
9 เขาแอบซุ่มรอราวกับสิงโตในถิ่นของมัน
โดยซุ่มรอเพื่อจับตัวผู้อ่อนกำลัง
และผู้ที่อ่อนกำลังนั้นแหละก็จะถูกจับตัวไปเมื่อถูกล่อเข้าติดกับดัก
10 พวกเขาก็พ่ายแพ้และฟุบลง
คือล้มอยู่ภายใต้พลังของเขา
11 เขาคิดอยู่ในใจว่า “พระเจ้าลืมเสียแล้ว
พระองค์ซ่อนหน้าไป และจะไม่มีวันเห็นหรอก”
12 โอ พระผู้เป็นเจ้า โอ พระเจ้า โปรดยกมือพระองค์ขึ้นเถิด
อย่าลืมผู้ที่อ่อนกำลัง
13 ทำไมคนชั่วจึงไม่ยอมรับพระเจ้า
ทำไมเขาคิดในใจว่า
“พระเจ้าไม่ลงโทษพวกเรา”
14 แต่พระองค์เห็นความลำเค็ญและความเศร้าใจ
ซึ่งพระองค์จะเป็นธุระให้
ผู้ที่หมดหนทางมอบกายใจแก่พระองค์
พระองค์ช่วยเหลือคนไร้ที่พึ่งเสมอมา
15 ขอพระองค์ทำลายอำนาจของคนชั่วและคนเลว
จนกระทั่งความเลวร้ายของพวกเขาไม่มีอีกต่อไป
16 พระผู้เป็นเจ้าเป็นกษัตริย์ชั่วนิรันดร์กาล
บรรดาประชาชาติจะพินาศไปจากแผ่นดินของพระองค์
17 โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ได้ยินว่าคนทุกข์ใจต้องการอะไร
พระองค์จะให้กำลังใจและฟังพวกเขา
18 เพื่อให้ความยุติธรรมต่อผู้ไร้ที่พึ่งและผู้ถูกบีบบังคับ
แล้วพวกที่อยู่ในแผ่นดินโลก
จะไม่เป็นที่น่าสะพรึงกลัวแก่พวกเขาอีกต่อไป
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation