M’Cheyne Bible Reading Plan
นาโอมีเป็นม่าย
1 ในช่วงเวลาที่บรรดาผู้วินิจฉัยปกครองอยู่นั้น ได้เกิดความอดอยากในแผ่นดิน ชายชาวเมืองเบธเลเฮมในแคว้นยูดาห์ผู้หนึ่งกับภรรยาและบุตรชาย 2 คน ไปอาศัยอยู่ในชนบทของโมอับชั่วคราว 2 ชายผู้นี้ชื่อเอลีเมเลค ภรรยาชื่อนาโอมี บุตรชายทั้งสองชื่อมาห์โลนและคิลิโอน พวกเขาเป็นชาวเอฟราธาห์ มาจากเมืองเบธเลเฮมในแคว้นยูดาห์ เดินทางไปยังชนบทของโมอับและอาศัยอยู่ที่นั่น 3 แต่เอลีเมเลคสามีของนาโอมีสิ้นชีวิต นางจึงอยู่กับบุตรชาย 2 คน 4 บุตรทั้งสองได้หญิงชาวโมอับเป็นภรรยา คนหนึ่งชื่อโอร์ปาห์ อีกคนหนึ่งชื่อรูธ พวกเขาอาศัยอยู่ที่นั่นได้ 10 ปี 5 แล้วทั้งมาห์โลนและคิลิโอนก็สิ้นชีวิต ฉะนั้นนาโอมีจึงมีชีวิตอยู่โดยปราศจากบุตรชายทั้งสองคนและสามี
ความภักดีที่รูธมีต่อนาโอมี
6 ครั้นแล้วนางกับบุตรสะใภ้ก็พร้อมที่จะไปจากชนบทของโมอับ เพราะขณะที่อยู่ในโมอับนางได้ข่าวว่า พระผู้เป็นเจ้าได้มาช่วยเหลือชนชาติของพระองค์และให้พวกเขามีอาหารรับประทาน 7 ดังนั้นนางจึงเดินทางไปจากที่ที่นางอยู่พร้อมกับบุตรสะใภ้ทั้งสอง เพื่อกลับไปยังแผ่นดินยูดาห์ 8 นาโอมีพูดกับบุตรสะใภ้ทั้งสองว่า “ไปเถิด เจ้าทั้งสองจงกลับไปบ้านแม่ของเจ้าเอง ขอให้พระผู้เป็นเจ้ามีเมตตาต่อเจ้า ดังที่เจ้าได้กระทำต่อผู้ที่ตายไปแล้วและต่อตัวเราด้วย 9 ขอพระผู้เป็นเจ้าโปรดให้เจ้ามีเหย้ามีเรือนอยู่กับสามีของตนอย่างสุขสบายเถิด” แล้วนางก็จูบแก้มลาบุตรสะใภ้ทั้งสอง และต่างก็ส่งเสียงร้องไห้กัน 10 นางทั้งสองพูดกับนาโอมีว่า “พวกเราไม่ไป เราจะกลับไปกับแม่ ไปยังชนชาติของแม่” 11 แต่นาโอมีพูดว่า “ลูกเอ๋ย กลับไปเถิด เจ้าจะไปกับเราทำไม เรายังมีลูกชายในครรภ์ให้เป็นสามีของเจ้าอีกหรือ 12 ลูกเอ๋ย กลับไปเถิด ไปตามทางของเจ้า เพราะเราแก่เกินไปที่จะมีสามี หากว่าเราจะคิดว่ายังมีความหวังสำหรับเราเอง แม้ว่าเราจะมีสามีในคืนนี้ จนให้กำเนิดลูกชาย 13 แล้วเจ้าจะรอจนพวกเขาเติบใหญ่หรือ พวกเจ้าจะไม่แต่งงานใหม่เพราะจะรอเขาหรือ ไม่หรอก ลูกเอ๋ย เราขมขื่นมากกว่าเจ้าเสียอีก เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าได้ลงโทษเราแล้ว” 14 แล้วบุตรสะใภ้ทั้งสองก็ส่งเสียงร้องไห้อีก โอร์ปาห์ก็จูบลาแม่สามี แต่รูธยังเกาะนางอยู่
15 นางพูดว่า “ดูสิ พี่สะใภ้ของเจ้ากลับไปหาชนชาติของเขา และหาบรรดาเทพเจ้าของเขา จงกลับไปกับพี่สะใภ้ของเจ้าเถิด” 16 แต่รูธพูดว่า “อย่ารบเร้าให้ลูกทิ้งแม่ไป หรือให้ลูกกลับบ้านไป และไม่ให้ลูกติดตามแม่เลย เพราะว่าแม่ไปที่ไหน ลูกก็จะไปด้วย แม่จะค้างแรมที่ไหน ลูกก็จะค้างแรมที่นั่นด้วย ชนชาติของแม่จะเป็นชนชาติของลูก และพระเจ้าของแม่ก็จะเป็นพระเจ้าของลูกด้วย 17 แม่จะตายที่ไหน ลูกก็จะตายที่นั่น และลูกจะถูกฝังอยู่ที่นั่น ขอให้พระผู้เป็นเจ้ากระทำต่อลูก และให้สาหัสยิ่งกว่าด้วย ถ้าหากว่ามีสิ่งใดที่ทำให้ลูกต้องพรากไปจากแม่ ยกเว้นความตายเท่านั้น” 18 เมื่อนาโอมีเห็นว่านางตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไปกับนาง นางจึงไม่พูดอะไรอีก
นาโอมีและรูธกลับไป
19 ดังนั้น สองคนจึงเดินทางกันต่อไปจนมาถึงเมืองเบธเลเฮม เมื่อเข้าไปในเมืองนั้นแล้ว ทั้งเมืองก็พากันแตกตื่นเพราะหญิงทั้งสอง บรรดาผู้หญิงพูดว่า “นี่นาโอมีหรือ” 20 นางตอบพวกเขาว่า “อย่าเรียกฉันว่า นาโอมี เลย แต่เรียกฉันว่า มารา เถิด เพราะว่าองค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพ[a]ได้กระทำต่อฉันอย่างขมขื่นมาก[b] 21 เวลาฉันจากที่นี่ไป ฉันมีทุกอย่าง และพระผู้เป็นเจ้านำฉันกลับมาโดยไม่มีอะไรเหลือเลย จะเรียกฉันว่า นาโอมีทำไม ในเมื่อพระผู้เป็นเจ้าได้ทำให้ฉันต้องทุกข์ใจ และองค์ผู้กอปรด้วยมหิทธานุภาพได้ทำให้ฉันต้องพบกับสภาพร้ายๆ เช่นนี้”
22 นาโอมีกลับบ้านมาพร้อมกับรูธบุตรสะใภ้ชาวโมอับ ทั้งสองกลับมาจากชนบทของโมอับ มาถึงเบธเลเฮมในต้นฤดูเก็บเกี่ยวข้าวบาร์เลย์
26 อากริปปาจึงกล่าวกับเปาโลว่า “ท่านได้รับอนุญาตให้พูดแก้คดีเอง” เปาโลจึงยื่นมือออกเป็นสัญญาณแล้วเริ่มแก้คดีว่า
2 “ข้าแต่กษัตริย์อากริปปา ในเรื่องข้อกล่าวหาทุกสิ่งที่ชาวยิวมีต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารู้สึกยินดีที่มีโอกาสแก้คดีต่อหน้าใต้เท้าในวันนี้ 3 ข้าพเจ้ายินดีจริงๆ เพราะใต้เท้าคุ้นเคยกับประเพณีนิยม และปัญหาโต้แย้งทุกอย่างของชาวยิว ฉะนั้นข้าพเจ้าขอให้ใต้เท้าได้โปรดทนฟังข้าพเจ้าเถิด
4 ชาวยิวทุกคนทราบว่าข้าพเจ้ามีความเป็นอยู่อย่างไรตั้งแต่เป็นเด็กมา เริ่มจากชีวิตในประเทศของข้าพเจ้าและในเมืองเยรูซาเล็มด้วย 5 เขาทั้งหลายก็รู้จักข้าพเจ้าเป็นเวลานาน และถ้าเขายินยอม เขาจะให้ปากคำได้ว่า ข้าพเจ้าเคยอยู่ในพรรคที่เคร่งที่สุดในศาสนาของพวกเรา คือเป็นอยู่อย่างฟาริสี 6 และมาบัดนี้ข้าพเจ้าต้องขึ้นศาล ก็เพราะข้าพเจ้ามีความหวังในพระสัญญาของพระเจ้าที่ได้มอบไว้แก่บรรพบุรุษของเรา 7 นี่คือพระสัญญาที่ 12 เผ่ามีความหวังว่าจะสำเร็จลุล่วง ขณะที่พวกเขาได้นมัสการพระเจ้าทั้งวันและคืน ข้าแต่มหากษัตริย์ เป็นเพราะความหวังนี้เอง ที่ชาวยิวกำลังกล่าวหาข้าพเจ้า 8 ทำไมท่านทั้งหลายจึงคิดว่า การที่พระเจ้าให้คนตายฟื้นคืนชีวิตนั้นเป็นไปไม่ได้
9 ข้าพเจ้าเคยคิดในใจว่า ข้าพเจ้าต้องกระทำทุกสิ่งที่จะขัดขวางพระนามของพระเยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธ 10 และข้าพเจ้าก็ได้กระทำไปตามนั้นในเมืองเยรูซาเล็ม ข้าพเจ้าจับกุมผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าเป็นจำนวนมากให้เข้าคุก ตามที่ได้รับสิทธิอำนาจจากบรรดามหาปุโรหิต และเมื่อพวกเขาถูกฆ่าแล้ว ข้าพเจ้าก็ออกคะแนนเสียงเห็นดีด้วย 11 บ่อยครั้งที่ข้าพเจ้าได้ไปยังศาลาที่ประชุมทุกแห่งหน เพื่อให้พวกเขาได้รับโทษ ข้าพเจ้าพยายามบังคับให้พวกเขากล่าวคำหมิ่นประมาทพระเจ้า ข้าพเจ้าโกรธพวกเขามาก จึงได้ไปข่มเหงพวกเขาถึงต่างแดน
12 ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้ากำลังเดินทางไปยังเมืองดามัสกัส โดยถือสิทธิอำนาจของพวกมหาปุโรหิตที่มีคำสั่งไป 13 ข้าแต่มหากษัตริย์ พอประมาณได้เที่ยงวันขณะที่ข้าพเจ้าเดินทางไป ข้าพเจ้าเห็นแสงจากสวรรค์ซึ่งสว่างกว่าดวงอาทิตย์เจิดจ้าอยู่รอบตัวข้าพเจ้าและพวกที่เดินทางไปด้วย 14 พวกเราทุกคนก็ทรุดตัวลงบนพื้น และข้าพเจ้าได้ยินเสียงกล่าวเป็นภาษาฮีบรูว่า ‘เซาโล เซาโลเอ๋ย ทำไมเจ้าจึงกดขี่ข่มเหงเรา เจ้าเตะปฏักก็เจ็บตัวเปล่า’ 15 ข้าพเจ้าถามว่า ‘พระองค์ท่าน พระองค์เป็นผู้ใด’ พระองค์ท่านตอบว่า ‘เราคือเยซูผู้ที่เจ้ากำลังข่มเหง 16 จงลุกขึ้นยืนเถิด เราปรากฏแก่เจ้าเพื่อแต่งตั้งเจ้าให้เป็นผู้รับใช้ และเป็นผู้ให้คำยืนยันถึงสิ่งที่เจ้าเห็นแล้ว อีกทั้งสิ่งที่เราจะปรากฏให้แก่เจ้าอีกด้วย 17 เราจะช่วยเจ้าให้รอดจากชาวยิวและจากพวกคนนอกที่เรากำลังจะใช้เจ้าให้ไปหา 18 เพื่อให้เขาลืมตาและหันจากความมืดสู่ความสว่าง และหันจากอำนาจของซาตานเข้าหาพระเจ้า เพื่อว่าพวกเขาจะได้รับการยกโทษบาป และได้รับมรดกร่วมกับหมู่คนที่พระเจ้าชำระให้บริสุทธิ์แล้วเพราะเขามีความเชื่อในเรา’
19 กษัตริย์อากริปปา ข้าพเจ้าไม่ได้ขัดขืนภาพนิมิตที่ปรากฏจากสวรรค์ 20 ข้าพเจ้าเริ่มประกาศแก่ผู้คนในเมืองดามัสกัส เมืองเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดียและแก่บรรดาคนนอกด้วย ข้าพเจ้าประกาศว่าเขาเหล่านั้นควรกลับใจ และหันเข้าหาพระเจ้าและปฏิบัติตนเพื่อแสดงการกลับใจ 21 เพราะเหตุนี้ชาวยิวจึงได้จับกุมข้าพเจ้าในบริเวณพระวิหาร และพยายามจะฆ่าข้าพเจ้า 22 แต่ว่าพระเจ้าได้ช่วยเหลือข้าพเจ้ามาจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นข้าพเจ้ายืนอยู่ที่นี่และยืนยันกับผู้ใหญ่และผู้น้อย ข้าพเจ้าไม่ได้พูดสิ่งใดนอกเหนือไปกว่าเรื่องที่เหล่าผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าและโมเสสได้กล่าวไว้ว่าจะเกิดขึ้น 23 คือพระคริสต์จะทนทุกข์ทรมาน และเป็นบุคคลแรกที่ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย พระองค์จะประกาศเรื่องความสว่างแก่ชนชาติของพระองค์ และแก่บรรดาคนนอก”
24 ขณะที่เปาโลกำลังแก้คดีของตนอยู่ เฟสทัสก็ตะโกนสอดขึ้นว่า “เปาโล ท่านเสียสติแล้ว ท่านรู้วิชามากจนทำให้ท่านฟั่นเฟือนไปเสียแล้ว” 25 เปาโลตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่เสียสติหรอก ใต้เท้าเฟสทัส แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าพูดเป็นความจริงและมีเหตุผล 26 กษัตริย์ท่านคุ้นกับสิ่งเหล่านี้ และข้าพเจ้าพูดได้โดยอิสระ ข้าพเจ้าเชื่ออย่างแน่นอนว่าไม่มีเหตุการณ์ใดที่รอดพ้นสายตาไปได้ เพราะว่าไม่ได้เกิดขึ้นอย่างลับๆ 27 กษัตริย์อากริปปา ท่านเชื่อเหล่าผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าหรือไม่ ข้าพเจ้าทราบว่าท่านเชื่อ” 28 แล้วอากริปปาจึงกล่าวกับเปาโลว่า “ท่านคิดหรือว่า ท่านจะชักจูงเราให้เป็นคริสเตียนได้ในระยะเวลาสั้นเพียงนี้” 29 เปาโลตอบว่า “ในระยะเวลาสั้นหรือยาวนานก็ตาม ข้าพเจ้าอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า ไม่เพียงท่านเท่านั้นที่จะเป็นเหมือนกับข้าพเจ้า แต่ทุกคนที่กำลังฟังข้าพเจ้าในวันนี้ด้วย เว้นแต่ไม่ต้องถูกล่ามโซ่เหมือนกับข้าพเจ้า”
30 กษัตริย์กับผู้ว่าราชการและพระนางเบอร์นิสและพวกที่นั่งด้วยกันอยู่ก็ลุกขึ้น 31 เขาทั้งหลายออกไปจากห้อง ต่างก็พูดกันว่า “ชายผู้นี้ไม่ได้ทำสิ่งใดที่สมควรจะได้รับโทษถึงตายหรือถูกจำคุก” 32 อากริปปาจึงกล่าวกับเฟสทัสว่า “ชายผู้นี้จะได้รับการปลดปล่อยให้มีอิสระได้ หากว่าเขาไม่ได้ถวายฎีกาถึงซีซาร์”
เยโฮยาคิมเผาหนังสือม้วนของเยเรมีย์
36 ในปีที่สี่ของรัชสมัยเยโฮยาคิมบุตรโยสิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ดังนี้ 2 “จงหยิบหนังสือม้วนมาและเขียนทุกคำที่เราได้พูดกับเจ้าถึงอิสราเอล ยูดาห์ และประชาชาติทั้งปวงนับจากเวลาที่เราเริ่มพูดกับเจ้าในสมัยโยสิยาห์จนถึงเวลานี้ 3 พงศ์พันธุ์ยูดาห์อาจจะได้ยินเรื่องความวิบัติที่เราตั้งใจให้เกิดขึ้นกับพวกเขา เพื่อว่าทุกคนจะได้เลิกกระทำความชั่ว และเราจะได้ยกโทษความชั่วและบาปของพวกเขา”
4 เยเรมีย์จึงเรียกบารุคบุตรเนริยาห์มาพบ เพื่อบอกให้บารุคบันทึกทุกคำพูดของพระผู้เป็นเจ้าที่ได้กล่าวกับเยเรมีย์ไว้ในหนังสือม้วน 5 เยเรมีย์สั่งบารุคว่า “ข้าพเจ้าถูกห้ามไม่ให้เข้าไปในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า 6 ฉะนั้น ท่านจะเป็นผู้ที่ไปในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าในวันอดอาหาร และอ่านคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าจากหนังสือม้วนที่ข้าพเจ้าให้ท่านบันทึก อ่านให้แก่ชาวยูดาห์ทั้งปวงที่เดินทางมาจากหมู่บ้านของพวกเขา 7 พวกเขาอาจจะอ้อนวอนขอความเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้า และทุกคนจะเลิกกระทำความชั่ว เพราะความกริ้วและการลงโทษอันใหญ่หลวงที่พระผู้เป็นเจ้าได้ลั่นวาจาต่อชนชาตินี้” 8 และบารุคบุตรเนริยาห์ก็ปฏิบัติ ตามที่เยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าสั่งให้เขาอ่านคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าจากหนังสือม้วนในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า
9 ในปีที่ห้าของรัชสมัยเยโฮยาคิมบุตรโยสิยาห์ ผู้เป็นกษัตริย์แห่งยูดาห์ ในเดือนที่เก้า ประชาชนทั้งปวงในเยรูซาเล็ม และทุกคนจากเมืองต่างๆ ของยูดาห์ที่มายังเยรูซาเล็ม ต่างก็รักษากฎของการอดอาหาร ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า 10 และบารุคอ่านคำกล่าวจากหนังสือม้วนของเยเรมีย์ให้ประชาชนทั้งปวงฟัง ที่พระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ในห้องของเกมาริยาห์บุตรชาฟานเลขา ซึ่งอยู่ที่ลานบนตรงทางเข้าประตูใหม่ของพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า
11 เมื่อมิคายาห์บุตรเกมาริยาห์ผู้เป็นบุตรของชาฟานได้ยินคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าจากหนังสือม้วนหมดแล้ว 12 เขาก็ลงไปยังวังของกษัตริย์ เข้าไปในห้องของเลขา และผู้นำทั้งปวงก็นั่งประชุมอยู่ เอลีชามาเลขา เดไลยาห์บุตรเชไมยาห์ เอลนาธานบุตรอัคโบร์ เกมาริยาห์บุตรชาฟาน เศเดคียาห์บุตรฮานันยาห์ และผู้นำทั้งปวงอยู่ที่นั่น 13 มิคายาห์บอกทุกคนว่าเขาได้ยินคำกล่าวทั้งหมดเวลาที่บารุคอ่านหนังสือม้วนให้ประชาชนฟัง 14 ครั้นแล้วผู้นำทั้งปวงก็ให้เยฮูดีบุตรเนธานิยาห์ผู้เป็นบุตรเชเลมิยาห์ผู้เป็นบุตรคูชี ไปบอกบารุคว่า “ช่วยนำหนังสือม้วนที่ท่านอ่านให้ประชาชนฟังมา” บารุคบุตรเนริยาห์จึงนำหนังสือม้วนมาให้พวกเขา 15 พวกเขาพูดว่า “เชิญนั่งและอ่านเถิด” บารุคจึงอ่านให้พวกเขาฟัง 16 เมื่อพวกเขาได้ยินคำกล่าวทั้งหมด ต่างก็มองหน้ากันและกันด้วยความกลัว และพูดกับบารุคว่า “พวกเราต้องรายงานเรื่องที่ได้ยินทั้งหมดนี้ต่อกษัตริย์” 17 แล้วพวกเขาถามบารุคว่า “กรุณาบอกพวกเราด้วยว่า ท่านเขียนสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร เยเรมีย์เป็นผู้บอกข้อความให้ท่านเขียนหรือ” 18 บารุคตอบว่า “ใช่ ท่านเป็นผู้บอกข้อความ และข้าพเจ้าใช้หมึกเขียนบนหนังสือม้วน” 19 บรรดาผู้นำจึงบอกบารุคว่า “ท่านและเยเรมีย์จงไปซ่อนตัว และอย่าให้ใครทราบว่าท่านอยู่ที่ไหน”
20 เมื่อพวกเขาเก็บหนังสือม้วนในห้องของเอลีชามาเลขาแล้ว พวกเขาก็เข้าไปที่ลานของกษัตริย์ และรายงานให้กษัตริย์ทราบทุกสิ่งที่เขียนในหนังสือม้วน 21 กษัตริย์สั่งเยฮูดีให้นำหนังสือม้วนมา เขาจึงไปเอามาจากห้องของเอลีชามาเลขา และเยฮูดีอ่านให้กษัตริย์และผู้นำทั้งปวงที่ยืนอยู่ใกล้กษัตริย์ฟัง 22 ขณะนั้นเป็นเดือนที่เก้า กษัตริย์กำลังนั่งอยู่ในวังฤดูหนาว ซึ่งมีเตาผิงไฟก่ออยู่เบื้องหน้าท่าน 23 เมื่อเยฮูดีอ่านได้ 3-4 ตอน กษัตริย์ก็จะใช้มีดตัดออก และโยนทิ้งในเตาผิงไฟ จนกระทั่งหนังสือทั้งม้วนถูกเผาไฟในเตาผิงหมด 24 ถึงกระนั้น กษัตริย์และบรรดาผู้รับใช้ของท่านที่ทราบเรื่องก็ไม่เกิดความกลัวหรือฉีกเสื้อของตนให้ขาด 25 แม้ว่าเอลนาธาน เดไลยาห์ และเกมาริยาห์พยายามห้ามกษัตริย์ไม่ให้เผาหนังสือม้วน ท่านก็ยังไม่ฟัง 26 และกษัตริย์ออกคำสั่งให้เยราเมเอลบุตรของกษัตริย์ เสไรยาห์บุตรอัสรีเอล และเชเลมิยาห์บุตรของอับเดเอล จับกุมบารุคเลขาและเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า แต่พระผู้เป็นเจ้าได้ซ่อนตัวคนทั้งสองแล้ว
27 หลังจากที่กษัตริย์ได้เผาหนังสือม้วนซึ่งเยเรมีย์บอกให้บารุคเขียนแล้ว พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ดังนี้ว่า 28 “จงเขียนในหนังสือม้วนใหม่ ใส่ข้อความเดียวกับที่เขียนในม้วนแรกซึ่งเยโฮยาคิมกษัตริย์แห่งยูดาห์เผาไปแล้ว 29 และเจ้าจงพูดกับเยโฮยาคิมกษัตริย์แห่งยูดาห์ดังนี้ ‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า เจ้าได้เผาหนังสือม้วนนี้และพูดว่า “ทำไมเจ้าจึงเขียนในหนังสือว่า กษัตริย์แห่งบาบิโลนจะมาทำลายแผ่นดินนี้อย่างแน่นอน และจะกำจัดมนุษย์และสัตว์ออกไปจากแผ่นดิน” 30 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวถึงเยโฮยาคิมกษัตริย์แห่งยูดาห์ว่า เขาจะไม่มีสักคนที่จะนั่งบนบัลลังก์ของดาวิด[a] และร่างของเขาจะถูกโยนออกไปให้แดดเผาในยามกลางวันและเผชิญความเหน็บหนาวในยามกลางคืน 31 และเราจะลงโทษเขา ผู้สืบเชื้อสายของเขา และบรรดาผู้รับใช้ของเขาซึ่งต่างก็ทำความชั่ว พวกเขาไม่ยอมฟัง เราจะทำให้บรรดาผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็มและผู้คนของยูดาห์ประสบกับความวิบัติตามที่เราได้ลั่นวาจาไว้แล้ว’”
32 เยเรมีย์ให้บารุคเลขา บุตรเนริยาห์ เขียนตามคำบอกของเยเรมีย์ลงในหนังสือม้วนใหม่ ให้เหมือนกับทุกคำพูดในหนังสือม้วนแรกที่เยโฮยาคิมกษัตริย์แห่งยูดาห์เผาไฟแล้ว และเยเรมีย์เพิ่มหลายคำที่คล้ายๆ กับข้อความเดิมลงในหนังสือม้วนที่สองนี้
ข้อความถึงบารุค
45 ในปีที่สี่ของเยโฮยาคิมบุตรโยสิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ หลังจากที่บารุคบุตรเนริยาห์ได้บันทึกในหนังสือม้วนตามคำพูดของเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าแล้ว เยเรมีย์บอกบารุคว่า 2 “พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวกับท่านว่า บารุคเอ๋ย 3 เจ้าพูดว่า ‘วิบัติตกอยู่กับข้าพเจ้า เพราะนอกจากความเจ็บปวดแล้ว พระผู้เป็นเจ้ายังทำให้ข้าพเจ้าเศร้าใจอีก ข้าพเจ้าเหนื่อยล้าด้วยการคร่ำครวญ และไม่บรรเทาลงเลย’ 4 เจ้าจงไปบอกเขาว่า พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ ‘ดูเถิด เราจะโค่นสิ่งที่เราได้สร้าง และเราจะถอนรากสิ่งที่เราได้ปลูก นั่นคือทั้งแผ่นดิน 5 และเจ้าคิดว่าเจ้าจะพิเศษกว่าคนอื่นๆ หรือ อย่าคิดเลยเพราะว่า ดูเถิด เรากำลังนำความวิบัติมาสู่ทุกชีวิต พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น แต่เราจะให้เจ้าเอาชีวิตหนีรอดไปได้ ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ไหนก็ตาม’”
ความยุติธรรมของพระผู้เป็นเจ้า
ถึงหัวหน้าวงดนตรี ตามทำนองมุธลับเบน[a] เพลงสดุดีของดาวิด
1 ข้าพเจ้าจะขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจะพูดถึงสิ่งมหัศจรรย์ทั้งสิ้นที่พระองค์กระทำ
2 ข้าพเจ้าจะดีใจและยินดีในพระองค์
โอ องค์ผู้สูงสุด ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสรรเสริญพระนามของพระองค์
3 เวลาศัตรูของข้าพเจ้าหันกลับ
พวกเขาพลั้งพลาดและพินาศต่อหน้าพระองค์
4 เพราะพระองค์รักษาสิทธิและการกระทำที่ถูกต้องของข้าพเจ้า
พระองค์อยู่บนบัลลังก์ตัดสินด้วยความชอบธรรม
5 พระองค์ห้ามบรรดาประชาชาติ พระองค์กำจัดคนชั่ว
พระองค์ลบชื่อพวกเขาจนหมดสิ้นไปชั่วนิรันดร์กาล
6 พวกศัตรูถูกทำลายให้สาบสูญไป
เมืองของพวกเขาก็ได้ล่มสลายหายสาบสูญไปสิ้น
แม้แต่ความทรงจำถึงพวกเขาก็ไม่มีเหลือ
7 แต่พระผู้เป็นเจ้าสถิตบนบัลลังก์ตลอดกาล
พระองค์ได้สร้างบัลลังก์ของพระองค์ขึ้นเพื่อตัดสินความ
8 พระองค์จะพิพากษาโลกด้วยความชอบธรรม
และจะตัดสินบรรดาชนชาติด้วยความเป็นธรรม
9 พระผู้เป็นเจ้าเป็นหลักยึดอันมั่นคงของผู้ที่ถูกบีบบังคับ
และเป็นที่หลบภัยในยามทุกข์ยาก
10 และบรรดาผู้รู้จักพระนามของพระองค์ไว้วางใจในพระองค์
โอ พระผู้เป็นเจ้า ด้วยว่า พระองค์ไม่เคยละทิ้งคนที่แสวงหาพระองค์
11 จงร้องเพลงสรรเสริญถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า ผู้สถิตในศิโยน
จงประกาศสิ่งที่พระองค์สำแดงในท่ามกลางชนชาติ
12 เพราะว่าองค์ผู้แก้แค้นโดยการประหาร พระองค์ระลึกถึงพวกเขา
พระองค์ไม่ลืมเสียงร้องของผู้มีทุกข์
13 โอ พระผู้เป็นเจ้า เมตตาข้าพเจ้าด้วย
ดูเถิดว่า ข้าพเจ้าได้รับทุกข์ทรมานจากบรรดาผู้ที่เกลียดชังข้าพเจ้าอย่างไรบ้าง
พระองค์เป็นผู้พยุงข้าพเจ้าขึ้นจากประตูแห่งความตาย
14 เพื่อข้าพเจ้าจะได้กล่าวคำสดุดีถึงพระองค์
และภายในเขตประตูของธิดาแห่งศิโยน[b]
ข้าพเจ้าจะยินดีที่พระองค์ช่วยให้รอดพ้น
15 บรรดาประชาชาติพากันตกหลุมที่ตนขุดไว้
เท้าของพวกเขาเกี่ยวเอาตาข่ายที่พรางไว้
16 พระผู้เป็นเจ้าสำแดงพระองค์ให้เห็นจากความเป็นธรรมของพระองค์
คือคนชั่วตกลงในบ่วงแร้วที่ทำขึ้นมาเอง ฮิกาโยน[c] เซล่าห์
17 คนชั่วจะกลับไปยังแดนคนตาย
คือประชาชาติทั้งปวงที่ลืมพระเจ้า
18 แต่ผู้ยากไร้จะไม่ถูกลืมเสมอไป
และผู้มีความทุกข์จะไม่สิ้นหวังไปตลอดกาล
19 โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดลุกขึ้นเถิด อย่าปล่อยให้มนุษย์มีชัย
โปรดให้บรรดาประชาชาติถูกพิพากษาต่อหน้าพระองค์
20 ทำให้พวกเขาหวาดหวั่นเถิด โอ พระผู้เป็นเจ้า
โปรดให้บรรดาประชาชาติรู้ว่าพวกเขาเป็นเพียงมนุษย์ เซล่าห์
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation