Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
ผู้วินิจฉัย 21

ภรรยาสำหรับเผ่าเบนยามิน

21 ชายชาวอิสราเอลได้สาบานที่มิสปาห์ว่า “จะไม่มีใครในหมู่พวกเรา ที่จะให้บุตรสาวไปแต่งงานกับชาวเบนยามิน” ประชาชนไปยังเบธเอล และนั่งอยู่ที่นั่น ณ เบื้องหน้าพระเจ้าจนถึงเย็น และส่งเสียงร้องไห้ด้วยความเศร้าใจ และพูดว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล เหตุใดสิ่งนี้จึงเกิดขึ้นในอิสราเอล ทำไมวันนี้อิสราเอลจึงขาดไป 1 เผ่า” ในวันรุ่งขึ้น ประชาชนลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ สร้างแท่นบูชาและมอบสัตว์ที่เผาเป็นของถวายกับของถวายเพื่อสามัคคีธรรมที่นั่น ประชาชนชาวอิสราเอลพูดว่า “มีเผ่าใดของอิสราเอลบ้างที่ไม่ได้ขึ้นมาประชุม ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าที่มิสปาห์” ด้วยว่า พวกเขาได้สาบานอย่างจริงจังว่า ใครที่ไม่มาประชุม ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าที่มิสปาห์ ผู้นั้นจะต้องตายอย่างแน่นอน ประชาชนชาวอิสราเอลสงสารเบนยามินน้องชายของตน และพูดว่า “เผ่าหนึ่งที่ถูกตัดขาดจากอิสราเอลในวันนี้ เราจะทำอย่างไรในเรื่องภรรยาให้กับพวกผู้ชายที่ยังมีชีวิตอยู่ ในเมื่อเราได้สาบานในพระนามของพระผู้เป็นเจ้าแล้วว่า เราจะไม่ยกบุตรสาวของเราให้แก่พวกเขาเป็นภรรยา”

พวกเขาถามขึ้นว่า “มีเผ่าใดของอิสราเอลที่ไม่ได้ขึ้นมาประชุม ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าที่มิสปาห์” ดูเถิด ไม่มีผู้ใดจากยาเบชกิเลอาดที่ขึ้นมาประชุมที่ค่าย ดูเถิด เพราะเมื่อนับจำนวนคนแล้ว ไม่มีพลเมืองของยาเบชกิเลอาดสักคนเดียวที่นั่น 10 ดังนั้น มวลชนจึงให้ชายฉกรรจ์ 12,000 คนไปที่นั่น พร้อมกับสั่งว่า “จงไปฆ่าพลเมืองของยาเบชกิเลอาดด้วยคมดาบ ทั้งพวกผู้หญิงและเด็กเล็กด้วย 11 สิ่งที่ต้องทำคือ ฆ่าชายและหญิงทุกคนที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย” 12 พวกเขาพบว่าในบรรดาพลเมืองของยาเบชกิเลอาด มีพรหมจาริณีสาว 400 คนที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์กับชายใด และพาพวกนางไปยังค่ายที่ชิโลห์ซึ่งอยู่ในดินแดนของคานาอัน

13 จากนั้น ที่ประชุมทั้งหมดก็ให้คนไปบอกชาวเบนยามินที่อยู่ที่ศิลาริมโมน และประกาศสันติกับพวกเขา 14 ชาวเบนยามินจึงกลับมาในคราวนั้น และได้ผู้หญิงชาวยาเบชกิเลอาดที่ชาวอิสราเอลไว้ชีวิต แต่ว่ามีจำนวนไม่พอเพียงสำหรับพวกเขา 15 และประชาชนก็สงสารเบนยามิน เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้าแยกพวกเขาออกจากเผ่าอื่นๆ ของอิสราเอล

16 บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของที่ประชุมพูดว่า “พวกเราจะทำอย่างไรในเรื่องภรรยาให้กับพวกผู้ชายที่ยังมีชีวิตอยู่ ในเมื่อพวกผู้หญิงชาวเบนยามินถูกฆ่าแล้ว” 17 พวกเขาพูดว่า “ชาวเบนยามินที่ยังมีชีวิตอยู่คงต้องมีผู้สืบเชื้อสายอยู่บ้าง เพื่อว่าเผ่าหนึ่งจะไม่ถูกลบล้างไปจากอิสราเอล 18 แต่เราก็ยังให้บุตรสาวของพวกเราไปเป็นภรรยาพวกเขาไม่ได้” เพราะชาวอิสราเอลได้สาบานแล้วว่า “ใครที่ยกผู้หญิงให้แก่เบนยามินเป็นภรรยาจะถูกแช่งสาป” 19 พวกเขาจึงพูดว่า “ดูเถิด มีเทศกาลประจำปีของพระผู้เป็นเจ้าที่ชิโลห์ ทางทิศเหนือของเบธเอล ทางทิศตะวันออกของถนนสายใหญ่ที่ขึ้นไปจากเบธเอลถึงเชเคม และอยู่ใต้เลโบนาห์” 20 พวกเขาจึงสั่งชาวเบนยามินว่า “จงไปดักเป็นกองดักซุ่มอยู่ที่สวนองุ่น 21 และเฝ้าดู ถ้าบรรดาบุตรสาวของชาวชิโลห์ออกมาร่ายรำ ก็จงรีบออกมาจากสวนองุ่น และฉุดผู้หญิงชาวชิโลห์ไว้เป็นภรรยาของตน และกลับไปยังดินแดนของเบนยามิน 22 เมื่อพวกบิดาหรือพี่ชายของผู้หญิงเขามาบ่นกับพวกเรา เราจะบอกพวกเขาว่า ‘ขอให้ท่านมีใจกรุณาต่อพวกเราด้วยการช่วยเหลือพวกเขา เพราะว่าเราไม่ได้หาภรรยาให้พวกเขาในระหว่างสงคราม ในกรณีนี้ท่านก็ไม่ได้หาภรรยาให้พวกเขาเช่นกัน ฉะนั้นท่านไม่มีความผิดใดๆ’” 23 ชาวเบนยามินจึงกระทำตามนั้น และได้ภรรยาไปตามจำนวนของพวกเขา เป็นหญิงที่ออกมาร่ายรำและถูกฉุดตัวไป เขาเหล่านั้นกลับไปยังดินแดนที่ได้รับเป็นมรดก และอาศัยอยู่ในเมืองที่ตนสร้างขึ้นใหม่ 24 คราวนั้นชาวอิสราเอลก็ออกไปจากที่นั่น กลับไปยังเผ่าและครอบครัวของตน แต่ละคนไปยังดินแดนที่ตนได้รับเป็นมรดก

25 ในสมัยนั้นไม่มีกษัตริย์ในอิสราเอล ทุกคนทำอย่างที่เห็นว่าถูกต้องในสายตาของตนเอง

กิจการของอัครทูต 25

เปาโลถวายฎีกาถึงซีซาร์

25 หลังจากเฟสทัสมาถึงแคว้นได้ 3 วันก็ออกจากเมืองซีซารียาขึ้นไปยังเมืองเยรูซาเล็ม ณ ที่นั้นเองที่พวกมหาปุโรหิตและผู้นำชาวยิวนำเรื่องเปาโลมาฟ้องร้อง และอ้อนวอนเฟสทัสอย่างร้อนใจให้ช่วยเหลือพวกเขา โดยให้สั่งย้ายตัวเปาโลไปยังเมืองเยรูซาเล็ม เพราะว่าเขาทั้งหลายมีแผนการที่จะดักซุ่มเพื่อฆ่าเปาโลระหว่างทาง เฟสทัสตอบว่า “เปาโลถูกคุมตัวไว้ที่เมืองซีซารียา และเราเองก็กำลังจะไปที่นั่นในไม่ช้านี้ ถ้าหากว่าเปาโลได้กระทำผิดอย่างไรก็ปล่อยให้พวกผู้นำบางคนไปกับเรา ไปฟ้องร้องเปาโลกันที่นั่นเถิด”

หลังจากที่ท่านได้อยู่กับพวกเขาได้ไม่เกิน 8 หรือ 10 วันแล้ว ก็ลงไปยังเมืองซีซารียา วันรุ่งขึ้นท่านจึงนั่งลงตัดสินความ และสั่งให้นำเปาโลมาหาท่าน เมื่อเปาโลมาแล้ว ชาวยิวที่ได้ลงมาจากเมืองเยรูซาเล็มก็ยืนล้อมไว้รอบ มีข้อกล่าวหาเปาโลอย่างร้ายแรง ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่พวกเขาไม่สามารถพิสูจน์ได้ เปาโลแก้คดีว่า “ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำผิดกฎบัญญัติของชาวยิว หรือผิดต่อพระวิหาร หรือผิดต่อซีซาร์แต่อย่างใด” เฟสทัสอยากสร้างความดีความชอบกับชาวยิวจึงพูดกับเปาโลว่า “ท่านยินดีที่จะขึ้นไปยังเมืองเยรูซาเล็ม เพื่อรับการพิจารณาคดีต่อหน้าเราตามข้อหาที่กล่าวมานี้ไหม” 10 เปาโลตอบว่า “เวลานี้ข้าพเจ้ากำลังยืนอยู่ต่อหน้าศาลของซีซาร์ อันเป็นที่ข้าพเจ้าควรได้รับการพิพากษา ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำผิดต่อชาวยิวแต่อย่างใด ท่านเองก็ทราบดี 11 ถ้าหากว่าข้าพเจ้ากระทำผิดจนมีโทษถึงตาย ข้าพเจ้าก็จะไม่ปฏิเสธที่จะตาย แต่ถ้าข้อกล่าวหาทั้งหลายที่มาจากชาวยิวพวกนี้ไม่เป็นความจริงแล้ว ไม่มีใครจะมาละเมิดสิทธิ์ และมอบตัวข้าพเจ้าให้แก่พวกเขาได้ ข้าพเจ้าขอถวายฎีกาถึงซีซาร์” 12 เฟสทัสจึงพูดกับคณะที่ปรึกษาแล้วประกาศว่า “ท่านถวายฎีกาถึงซีซาร์ ท่านก็จะต้องไปเฝ้าซีซาร์”

ผู้ว่าราชการเฟสทัสปรึกษากษัตริย์อากริปปา

13 หลายวันผ่านไป กษัตริย์อากริปปากับพระนางเบอร์นิสก็มาเยี่ยมคำนับเฟสทัสที่เมืองซีซารียา 14 เมื่อท่านทั้งสองพักอยู่ที่นั่นหลายวัน เฟสทัสจึงปรึกษาเรื่องของเปาโลกับกษัตริย์อากริปปาโดยกล่าวว่า “ที่นี่มีชายคนหนึ่งซึ่งเฟลิกส์ยังคงขังให้เป็นนักโทษอยู่ 15 เมื่อข้าพเจ้าไปยังเมืองเยรูซาเล็ม พวกมหาปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ของชาวยิวยื่นฟ้องร้องเขา และขอให้มีการตัดสินลงโทษเขาด้วย 16 ข้าพเจ้าบอกพวกเขาว่า ชาวโรมันไม่มีธรรมเนียมที่จะปล่อยให้จำเลยถูกลงโทษก่อนที่เขากับโจทก์จะสู้ความกัน เพื่อว่าจำเลยจะมีโอกาสแก้ข้อกล่าวหานั้น 17 เมื่อพวกเขามาพร้อมกัน ข้าพเจ้าจึงไม่ได้รอช้า วันรุ่งขึ้นก็ได้นั่งพิจารณาคดี และสั่งให้พาตัวชายคนนั้นมา 18 เมื่อพวกโจทก์ยืนขึ้นฟ้อง พวกเขาก็ไม่ได้กล่าวหาว่าผู้นั้นชั่วร้าย เหมือนที่ข้าพเจ้าได้คาดหมายไว้ 19 เขาเพียงแต่โต้แย้งกันเรื่องศาสนาของพวกเขา และเรื่องคนตายที่ชื่อเยซูซึ่งเปาโลยืนยันว่ายังมีชีวิตอยู่ 20 ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะพิจารณาความอย่างไรดี ดังนั้นข้าพเจ้าถามว่าเขาจะยินดีไปยังเมืองเยรูซาเล็มเพื่อสู้คดีที่นั่นหรือไม่ 21 เมื่อเปาโลได้ถวายฎีกามอบตัวขอให้เป็นการตัดสินใจของจักรพรรดิ ข้าพเจ้าจึงสั่งให้คุมตัวไว้จนกว่าจะส่งตัวเขาไปถึงซีซาร์ได้” 22 แล้วอากริปปาก็กล่าวกับเฟสทัสว่า “เราอยากจะฟังปากคำจากชายคนนี้ด้วย” เฟสทัสกล่าวว่า “พรุ่งนี้ท่านก็จะได้ฟังเขา”

เปาโลยืนให้การกับกษัตริย์อากริปปา

23 วันรุ่งขึ้นกษัตริย์อากริปปากับพระนางเบอร์นิสมายังศาลอย่างเอิกเกริก และได้เข้าไปในห้องพิจารณากับเจ้าหน้าที่ชั้นสูงและผู้นำทั้งหลายของเมืองนั้น เปาโลถูกนำตัวเข้ามา ตามคำสั่งของเฟสทัส 24 เฟสทัสกล่าวว่า “กษัตริย์อากริปปา และทุกท่าน ณ ที่นี่ ท่านเห็นชายคนนี้แล้ว เขาคือคนที่ชาวยิวทั้งในเมืองเยรูซาเล็มและที่นี่ได้ร้องทุกข์ต่อข้าพเจ้า และต่างก็ร้องตะโกนว่า เขาไม่ควรมีชีวิตอยู่ต่อไป 25 แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าเขาไม่ได้ทำสิ่งใดที่สมควรจะต้องตาย และเป็นเพราะว่าเขาได้ถวายฎีกาต่อจักรพรรดิ ข้าพเจ้าจึงได้ตัดสินใจที่จะส่งเขาไป 26 ข้าพเจ้าไม่มีข้อมูลแน่นอนเกี่ยวกับชายผู้นี้ที่จะเขียนรายงานถึงองค์จักรพรรดิ ฉะนั้นข้าพเจ้าได้พาตัวเขามายืนต่อหน้าท่านทั้งหลาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อกษัตริย์อากริปปา เพื่อว่าหลังจากมีการสอบสวนแล้วข้าพเจ้าจะได้มีข้อมูลที่จะเขียนรายงานไป 27 เพราะข้าพเจ้าเห็นว่าไม่เหมาะในการที่จะส่งนักโทษไปโดยที่ไม่ระบุข้อกล่าวหา”

เยเรมีย์ 35

ชาวเรคาบเชื่อฟัง

35 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ในรัชสมัยของเยโฮยาคิมบุตรโยสิยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ดังนี้ว่า “จงไปที่บ้านของพวกชาวเรคาบ[a] จงพูดและนำพวกเขามายังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า พาพวกเขาเข้าไปในห้องใดห้องหนึ่งและเชิญให้ดื่มเหล้าองุ่น” ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงพายาอาซันยาห์บุตรเยเรมีย์ ฮาบาซินยาห์และพี่น้องของเขา กับบุตรชายของเขาทุกคน และทุกคนในพงศ์พันธุ์ของชาวเรคาบไป ข้าพเจ้านำพวกเขาไปยังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า เข้าไปในห้องของบรรดาบุตรของฮานานบุตรของอิกดาลิยาห์ผู้เป็นคนของพระเจ้า ห้องนั้นอยู่ใกล้ห้องของบรรดาผู้นำ ซึ่งอยู่เหนือห้องของมาอาเสยาห์บุตรของชัลลูมผู้เฝ้าประตู แล้วข้าพเจ้าก็วางเหยือกที่มีเหล้าองุ่นพร้อมถ้วยไว้ที่ตรงหน้าชาวเรคาบ และข้าพเจ้าพูดว่า “เชิญดื่มเหล้าองุ่น” แต่พวกเขาตอบว่า “พวกเราจะไม่ดื่มเหล้าองุ่น เพราะโยนาดับบุตรของเรคาบ ผู้เป็นบรรพบุรุษของเราสั่งพวกเราว่า ‘พวกเจ้าและลูกหลานของเจ้าจงอย่าดื่มเหล้าองุ่นตลอดไป พวกเจ้าจงอย่าสร้างบ้าน อย่าหว่านเมล็ด อย่าปลูกหรือเป็นเจ้าของไร่องุ่น แต่จงอาศัยอยู่ในกระโจมตลอดชีวิต เพื่อเจ้าจะได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินที่ต่างถิ่นเป็นเวลานาน’ พวกเราได้เชื่อฟังทุกสิ่งที่โยนาดับบุตรของเรคาบ ผู้เป็นบรรพบุรุษของเราสั่งพวกเราไว้ ไม่ให้ดื่มเหล้าองุ่นตลอดชีวิตของเรา ทั้งตัวเราเอง ภรรยา บุตรชายและบุตรหญิงของเรา และไม่สร้างบ้านอยู่ พวกเราไม่มีไร่องุ่น ไร่นา หรือเมล็ดพันธุ์พืช 10 แต่พวกเราได้อาศัยอยู่ในกระโจม และได้เชื่อฟังและปฏิบัติทุกสิ่งที่โยนาดับบรรพบุรุษของเราได้สั่งเราไว้ 11 แต่เมื่อเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนขึ้นมาโจมตีแผ่นดิน เราพูดว่า ‘พวกเราไปเยรูซาเล็มกันเถิด หนีพวกทหารของชาวเคลเดียและของชาวอารัม’[b] พวกเราจึงอาศัยอยู่ในเยรูซาเล็ม”

12 ครั้นแล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ 13 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ว่า “จงไปพูดกับผู้คนของยูดาห์และบรรดาผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็มดังนี้ ‘พวกเจ้าจะไม่ยอมรับฟังคำสั่งและเชื่อฟังคำของเราหรือ’ พระผู้เป็นเจ้าประกาศเช่นนั้น 14 โยนาดับบุตรเรคาบสั่งลูกหลานของตนไม่ให้ดื่มเหล้าองุ่น และพวกเขาก็ยังเชื่อฟังมาจนถึงทุกวันนี้ ด้วยว่า พวกเขาได้เชื่อฟังคำสั่งของบรรพบุรุษ เราได้พูดกับพวกเจ้าเสมอมา แต่พวกเจ้าไม่ได้ฟังเรา 15 เราได้ให้บรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า ผู้รับใช้ของเราทั้งปวงมาหาพวกเจ้า ให้พวกเขามาหาและพูดกับเจ้าเสมอว่า ‘บัดนี้พวกเจ้าทุกคนจงเลิกกระทำความชั่ว และเปลี่ยนการกระทำของพวกเจ้า อย่าไปติดตามปวงเทพเจ้าและบูชาสิ่งเหล่านั้น แล้วเจ้าจะได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินที่เรามอบให้แก่พวกเจ้าและบรรพบุรุษของเจ้า’ แต่พวกเจ้าไม่ฟังและไม่แม้แต่จะเงี่ยหูฟังเรา 16 บรรดาบุตรของโยนาดับบุตรของเรคาบได้รักษาคำสั่งของบรรพบุรุษ แต่ชนชาตินี้ไม่เชื่อฟังเรา” 17 ฉะนั้นพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ “ดูเถิดเรากำลังทำให้ยูดาห์และบรรดาผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็มประสบกับความวิบัติซึ่งเราได้ลั่นวาจากล่าวโทษพวกเขา เพราะเราได้พูดกับพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่ยอมฟัง เมื่อเราเรียกพวกเขา เขาก็ไม่ตอบ”

18 และเยเรมีย์พูดกับพงศ์พันธุ์ของเรคาบว่า “พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวว่า ‘เพราะพวกเจ้าได้เชื่อฟังคำสั่งของโยนาดับบรรพบุรุษของเจ้า และรักษาคำสั่งสอนทั้งสิ้นของเขา และทำทุกสิ่งที่เขาสั่งพวกเจ้า 19 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวว่า โยนาดับบุตรเรคาบจะมีผู้สืบเชื้อสายที่จะยืนอยู่เบื้องหน้าเราเสมอ’”

สดุดี 7-8

วิงวอนขอความเป็นธรรมจากองค์ผู้ตัดสินความ

ทำนองชิกกาโยน[a]ของดาวิดซึ่งท่านร้องเพลงถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า เรื่องของคูช ชาวเบนยามิน

โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีพระองค์เป็นที่พึ่ง
    โปรดช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้นจากพวกที่ตามล่า และขอไว้ชีวิตข้าพเจ้าเถิด
เกรงว่าพวกเขาจะเป็นเหมือนสิงโตที่ฉีกเนื้อข้าพเจ้าออกเป็นชิ้นๆ
    และจะลากข้าพเจ้าไปโดยที่ไม่มีใครช่วยเหลือได้

โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า หากว่าข้าพเจ้าได้กระทำตามนั้นจริง
    ถ้าข้าพเจ้าเป็นผู้ผิด
ถ้าข้าพเจ้าทำร้ายพันธมิตร
    หรือยึดของจากศัตรูโดยไร้สาเหตุแล้ว
ก็ให้ศัตรูตามล่าและจับตัวข้าพเจ้าไปเถิด
    ให้เขาเหยียบย่ำชีวิตข้าพเจ้าให้จมธรณี
    และให้จิตวิญญาณข้าพเจ้าแบนราบไปกับผงธุลีเถิด เซล่าห์

โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดลุกขึ้นขณะที่พระองค์กริ้วเถิด
    ขอให้พระองค์ลุกขึ้นต่อต้านพวกศัตรูผู้เดือดดาลของข้าพเจ้า
    ตื่นขึ้นเถิด พระเจ้าของข้าพเจ้า พระองค์เตรียมการพิพากษาไว้แล้ว
ให้ที่ประชุมของบรรดาชนชาติอยู่รายล้อมพระองค์
    และขอพระองค์ปกครองพวกเขาจากที่เบื้องสูง
    พระผู้เป็นเจ้าพิพากษาคนทั้งปวง
โอ พระผู้เป็นเจ้า พิสูจน์ให้เห็นว่าข้าพเจ้าถูกต้องตามความชอบธรรม
    และสัจจะที่มีในตัวข้าพเจ้าเถิด
ให้ความรุนแรงของคนชั่วโฉดสิ้นสุดลงเถิด
    และเสริมสร้างผู้มีความชอบธรรม
พระองค์เป็นผู้ทดสอบความคิดและจิตใจ
    โอ พระเจ้าผู้มีความชอบธรรม

10 พระเจ้าเป็นดั่งโล่ป้องกันของข้าพเจ้า
    พระองค์ช่วยผู้มีใจเที่ยงธรรมให้รอดพ้น
11 พระเจ้าเป็นผู้ตัดสินความที่มีความชอบธรรม
    และเป็นพระเจ้าผู้ขัดเคืองได้ทุกเช้าค่ำ
12 หากใครไม่สารภาพ
    พระองค์จะลับดาบ
    พระองค์ได้น้าวคันธนูและขึ้นสายไว้พร้อมแล้ว
13 พระองค์ได้ตระเตรียมอาวุธที่ปลิดชีพได้
    ลูกธนูของพระองค์ชุบเชื้อเพลิงให้ติดไฟ

14 ดูเถิด คนชั่ววางแผนทำความชั่ว
    และสร้างความยุ่งยากให้เกิดขึ้น
    แล้วสิ่งที่ตามมาคือสิ่งมดเท็จ
15 เขาขุดดินให้เป็นหลุม
    ครั้นแล้วก็ตกหลุมพรางที่เขาขุดขึ้นเอง
16 ความยุ่งยากที่เขาก่อไว้หวนกลับมาตกใส่หัวของเขาเอง
    และการกระทำอันรุนแรงก็กลับตกลงมาบนกระหม่อมของตัวเอง

17 ข้าพเจ้าจะขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าตามความชอบธรรมของพระองค์
    และข้าพเจ้าจะร้องสรรเสริญพระนามของพระผู้เป็นเจ้าผู้สูงสุด

สรรเสริญองค์ผู้สร้างสิ่งทั้งปวง

ถึงหัวหน้าวงดนตรี ตามทำนองกิททิธ[b] เพลงสดุดีของดาวิด

โอ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของเรา
    พระนามของพระองค์ใหญ่ยิ่งนักในแหล่งหล้า
พระบารมีของพระองค์ครอบคลุม
    อยู่เหนือฟ้าสวรรค์

พระองค์กระทำให้คำสรรเสริญออกจากปากเด็กและทารกที่ยังไม่หย่านม[c]
    เพราะศัตรูของพระองค์
    เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามและพวกเจ้าคิดเจ้าแค้นนิ่งเสีย
เวลาข้าพเจ้ามองไปยังฟ้าสวรรค์
    ผลงานจากฝีมือของพระองค์
ดวงจันทร์และดวงดาว
    ซึ่งพระองค์สร้างขึ้น
มนุษย์คือใคร ที่พระองค์จะเอาใจใส่
    หรือบุตรมนุษย์คือใคร ที่พระองค์จะดูแลรักษา

พระองค์ทำให้เขาด้อยกว่าพระเจ้าเล็กน้อย[d]
    และพระองค์ได้มอบบารมีและเกียรติให้แก่เขา
พระองค์ให้สรรพสิ่งที่พระองค์สร้าง อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา
    พระองค์ได้ให้ทุกสิ่งอยู่ใต้เท้าของเขา[e]
ไม่เพียงสัตว์สี่เท้าทั้งปวง
    แต่รวมทั้งสัตว์ป่าในทุ่งด้วย
นกในอากาศและปลาในทะเล
    อะไรก็ตามที่แหวกว่ายในท้องทะเล

โอ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของเรา
    พระนามของพระองค์ใหญ่ยิ่งนักในแหล่งหล้า

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation