Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
ผู้วินิจฉัย 18

ชาวดานกับชาวเลวีและรูปเคารพ

18 ในคราวนั้นไม่มีกษัตริย์ในอิสราเอล และในคราวเดียวกันคนจากเผ่าดานก็กำลังเสาะหาที่อาศัยเป็นของตนเอง เพราะว่าจนบัดนั้น ก็ยังไม่เคยมีมรดกตกทอดมาจากบรรดาเผ่าของอิสราเอลที่เป็นของพวกเขาเลย ดังนั้นคนจากเผ่าดานจึงให้ชาย 5 คนจากเผ่าของพวกเขา ที่มาจากโศราห์และจากเอชทาโอลให้ไปเป็นสายสืบและสำรวจแผ่นดินดู จึงพูดกับชายเหล่านั้นว่า “จงไปสำรวจแผ่นดิน” พวกเขาจึงไปถึงแถบภูเขาแห่งเอฟราอิม ไปยังบ้านของมีคาห์ และพักแรมอยู่ที่นั่น เมื่อพวกเขามาใกล้บ้านของมีคาห์ ก็จำเสียงของชาวเลวีหนุ่มได้ จึงแวะถามเขาว่า “ใครพาท่านมาที่นี่ ท่านทำอะไรที่นี่ ทำไมท่านจึงอยู่ที่นี่” เขาตอบว่า “มีคาห์เกี่ยวข้องกับเราอย่างนี้คือ เขาจ้างเรา เราจึงได้มาเป็นปุโรหิตของเขา” พวกเขาพูดว่า “โปรดถามพระเจ้าให้เราด้วย เพื่อพวกเราจะได้ทราบว่า การเดินทางของพวกเราจะสำเร็จผลหรือไม่” ปุโรหิตจึงพูดว่า “ขอท่านประสบสันติสุขเถิด การเดินทางของพวกท่านอยู่ในการคุ้มครองของพระผู้เป็นเจ้า

ชายทั้งห้าเดินทางต่อไป จนมาถึงเมืองลาอิช และเห็นประชาชนที่อยู่ที่นั่น เห็นว่าพวกเขาอาศัยอยู่อย่างปลอดภัยอย่างชาวไซดอน สงบและไม่หวาดระแวง ไม่ขัดสนสิ่งใดในโลก และมีทรัพย์สมบัติจากความมั่งมี พวกเขาอยู่ห่างไกลจากชาวไซดอน และไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ใด

เมื่อชาย 5 คนกลับมาหาพี่น้องที่โศราห์และเอชทาโอล พี่น้องของเขาพูดว่า “พวกท่านมีอะไรจะรายงานบ้าง” พวกเขาตอบว่า “เราลุกขึ้นไปโจมตีพวกเขาเถิด เพราะเราเห็นแผ่นดินแล้ว ดูเถิด เป็นแผ่นดินผืนงามมาก แล้วพวกท่านจะไม่ทำอะไรบ้างหรือ อย่าช้าอยู่เลย จงเข้าไป และยึดครองแผ่นดิน 10 ทันทีที่ท่านเข้าไป ท่านจะเห็นว่าประชาชนไม่หวาดระแวง ดินแดนกว้างใหญ่ พระเจ้าได้มอบไว้ในมือของท่านแล้ว เป็นที่ที่ไม่ขัดสนในสิ่งใดในโลกเลย”

11 ดังนั้นชาย 600 คนจากเผ่าดานจึงถืออาวุธพร้อมรบ พร้อมเดินทางจากโศราห์และเอชทาโอล 12 พวกเขาขึ้นไปตั้งค่ายที่คีริยาทเยอาริมในยูดาห์ ด้วยเหตุนี้ทางด้านตะวันตกของคีริยาทเยอาริมจึงชื่อว่า มาหะเนห์ดาน มาจนถึงทุกวันนี้ ดูเถิด เมืองนี้อยู่ทางด้านตะวันตกของคีริยาทเยอาริม 13 พวกเขาเดินทางผ่านไปจากที่นั่น จนถึงแถบภูเขาแห่งเอฟราอิม และมาถึงบ้านของมีคาห์

14 ครั้นแล้วชายทั้งห้าที่ได้ไปดูลาดเลาประเทศของลาอิชพูดกับพวกพี่น้องของเขาว่า “ท่านทราบไหมว่า ในบ้านพวกนี้มีชุดคลุม รูปเคารพประจำบ้าน รูปบูชาสลักและที่หล่อขึ้น ฉะนั้นในเวลานี้ท่านน่าจะพิจารณาว่าจะทำอะไรต่อไป” 15 แล้วพวกเขาก็แวะที่นั่น และไปที่บ้านของหนุ่มชาวเลวีซึ่งเป็นที่มีคาห์อาศัยอยู่ และไถ่ถามทุกข์สุข 16 ขณะนั้นชาย 600 คนของชาวดานที่ถืออาวุธพร้อมรบ ก็ยืนอยู่ใกล้ทางเข้าประตู 17 ส่วนชายทั้งห้าที่ไปเป็นสายสืบในแผ่นดินก็เข้าไปเอารูปบูชาสลัก ชุดคลุม รูปเคารพประจำบ้าน และรูปบูชาที่หล่อขึ้น ขณะที่ปุโรหิตยืนอยู่ใกล้ทางเข้าประตูกับชาย 600 คนที่ถืออาวุธพร้อมรบ 18 เมื่อคนเหล่านั้นเข้าไปในบ้านมีคาห์ เอารูปบูชาสลัก ชุดคลุม รูปเคารพประจำบ้าน และรูปบูชาที่หล่อขึ้น ปุโรหิตจึงพูดกับพวกเขาว่า “นั่นพวกท่านทำอะไร” 19 พวกเขาพูดว่า “เงียบเถิด อย่าเปิดปาก และมากับพวกเรา มาเป็นอย่างบิดาและปุโรหิตของเราเถิด ท่านเป็นปุโรหิตให้กับบ้านของชายคนเดียว ดีกว่าเป็นปุโรหิตให้กับเผ่าและตระกูลในอิสราเอลหรือ” 20 ปุโรหิตคนนั้นจึงยินดียิ่งนัก เขาจึงเอาชุดคลุม รูปเคารพประจำบ้าน และรูปบูชาสลัก และไปด้วยกันกับคนเหล่านั้น

21 ดังนั้นพวกเขาจึงหันออกเดินทางไป ให้พวกเด็กเล็ก ฝูงปศุสัตว์ และสินค้าไปล่วงหน้าพวกเขา 22 เมื่อไปพ้นบ้านของมีคาห์ได้สักระยะหนึ่ง พวกผู้ชายที่อยู่ในบ้านใกล้ๆ กับบ้านของมีคาห์ก็ไล่ตามชาวดานไปได้อย่างกระชั้นชิด 23 และตะโกนใส่ชาวดานซึ่งหันกลับไปพูดกับมีคาห์ว่า “ท่านเป็นอะไรไป จึงได้ตามพวกเรามาเป็นกลุ่มใหญ่” 24 เขาพูดว่า “พวกท่านเอาเทพเจ้าที่เราสร้างขึ้น และปุโรหิตไปด้วย เรามีอะไรเหลืออยู่บ้าง แล้วท่านถามเราได้อย่างไรว่า ‘ท่านเป็นอะไรไป’” 25 แล้วชาวดานพูดกับเขาว่า “อย่าให้พวกเราได้ยินเสียงของท่านอีก คาดว่าพวกผู้ชายที่เดือดดาลจะทำร้ายท่าน ท่านจะเสียชีวิตไปพร้อมกับคนในเรือนของท่าน” 26 แล้วชาวดานก็ไปตามทางของเขา เมื่อมีคาห์เห็นว่าคนเหล่านั้นมีกำลังมากกว่าเขา เขาจึงหันกลับบ้านไป

27 ชาวดานเอาสิ่งที่มีคาห์สร้างขึ้น และพาปุโรหิตที่เป็นของเขาไปด้วย เมื่อไปถึงลาอิช ซึ่งมีประชาชนที่อาศัยอยู่อย่างสงบและไม่รู้สึกหวาดระแวง พวกเขาก็ใช้ดาบฆ่าผู้คนและเผาเมืองเสีย 28 ไม่มีคนช่วยเหลือพวกเขาได้เลย เพราะเมืองอยู่ไกลจากไซดอน และไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับผู้ใด เมืองตั้งอยู่ในหุบเขาที่เป็นของเบธเรโหบ จากนั้นชาวดานก็ได้สร้างเมืองขึ้นใหม่และอาศัยอยู่ที่นั่น 29 ตั้งชื่อเมืองว่า ดาน ตามชื่อบรรพบุรุษของพวกเขา ซึ่งเป็นบุตรของอิสราเอล แต่เมืองนั้นแรกทีเดียวมีชื่อว่า ลาอิช 30 ชาวดานตั้งรูปบูชาสลักให้ตนเอง ส่วนโยนาธานบุตรเกอร์โชมบุตรของโมเสส และบรรดาบุตรของเขาเป็นปุโรหิตสำหรับเผ่าดาน จนถึงวันที่แผ่นดินตกไปเป็นเชลย 31 ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งรูปบูชาสลักที่มีคาห์สร้างขึ้น ตลอดเวลาที่พระตำหนักของพระเจ้าอยู่ที่ชิโลห์

กิจการของอัครทูต 22

22 “พี่น้องและท่านอาวุโสทั้งหลาย จงฟังคำแก้คดีของข้าพเจ้าด้วย”

เมื่อเขาเหล่านั้นได้ยินท่านพูดภาษาฮีบรูด้วย ก็นิ่งเงียบทีเดียว เปาโลกล่าวต่อไปว่า

“ข้าพเจ้าเป็นชาวยิว เกิดที่เมืองทาร์ซัสในแคว้นซีลีเซียแต่เติบโตในเมืองนี้ ได้รับการศึกษาภายใต้ท่านกามาลิเอลในด้านกฎบัญญัติของบรรพบุรุษของพวกเราอย่างเคร่งครัด และกระตือรือร้นในพระเจ้ามากเท่าที่พวกท่านเป็นกันอยู่ในวันนี้ ข้าพเจ้าเคยกดขี่ข่มเหงพวกที่ติดตามใน ‘วิถีทางนั้น’ จนพวกเขาถึงแก่ความตาย เที่ยวจับกุมทั้งชายและหญิงแล้วก็ส่งพวกเขาไปจองจำ ซึ่งหัวหน้ามหาปุโรหิตและคณะผู้ใหญ่ทั้งหมดเป็นพยานให้ได้ และข้าพเจ้าได้รับจดหมายจากท่านเหล่านั้นที่มีไปถึงพวกพี่น้องชาวยิวในเมืองดามัสกัส และข้าพเจ้าไปที่นั่นเพื่อจะจับกุมคนเหล่านี้มาที่เมืองเยรูซาเล็มเพื่อลงโทษ

ขณะที่ข้าพเจ้าเดินทางเข้าใกล้เมืองดามัสกัสราวๆ เที่ยงวัน ในทันใดนั้นก็มีแสงสว่างจากสวรรค์ส่องลงมาล้อมรอบข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทรุดตัวลงบนพื้น และได้ยินเสียงพูดกับข้าพเจ้าว่า ‘เซาโล เซาโลเอ๋ย ทำไมเจ้าจึงกดขี่ข่มเหงเรา’ ข้าพเจ้าถามว่า ‘พระองค์ท่าน พระองค์เป็นผู้ใด’ พระองค์ตอบว่า ‘เราคือเยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธซึ่งเจ้ากำลังข่มเหง’ บรรดาผู้ที่ไปกับข้าพเจ้าก็เห็นแสงนั้นด้วย แต่เขาไม่ได้ยินเสียงของพระองค์ที่กำลังกล่าวกับข้าพเจ้าอยู่ 10 ข้าพเจ้าถามว่า ‘ข้าพเจ้าควรจะทำอย่างไร พระองค์ท่าน’ พระองค์ท่านตอบว่า ‘จงลุกขึ้นเถิด แล้วเข้าไปในเมืองดามัสกัส จะมีคนที่นั่นมาบอกว่าเจ้าจะต้องทำสิ่งใดบ้าง’ 11 แสงสว่างจ้านั้นทำให้ตาของข้าพเจ้าบอด คนที่ไปกับข้าพเจ้าจึงต้องจูงมือนำข้าพเจ้าเข้าไปในเมืองดามัสกัส

12 ชายคนหนึ่งชื่ออานาเนียมาหาข้าพเจ้า ท่านเป็นผู้รักษากฎบัญญัติที่เชื่อในพระเจ้ามาก และเป็นที่นับถืออย่างสูงในหมู่ชาวยิวที่อาศัยอยู่ที่นั่น 13 ท่านยืนอยู่ข้างๆ ข้าพเจ้า พูดว่า ‘พี่เซาโลเอ๋ย จงเห็นเถิด’ และขณะนั้นเอง ข้าพเจ้าก็มองเห็นท่านได้ 14 แล้วท่านพูดว่า ‘พระเจ้าของบรรพบุรุษของเราได้เลือกท่าน ให้รับรู้ความประสงค์ของพระองค์และเห็นองค์ผู้มีความชอบธรรม เพื่อฟังคำกล่าวจากพระองค์โดยตรง 15 ท่านจะเป็นพยานฝ่ายพระองค์ให้คนทั้งปวงทราบถึงเหตุการณ์ที่ท่านได้เห็นและได้ยิน 16 ทำไมท่านจะต้องรอต่อไปอีก จงลุกขึ้นรับบัพติศมา และชำระล้างบาป โดยร้องเรียกพระนามของพระองค์เถิด’

17 ข้าพเจ้ากลับไปยังเมืองเยรูซาเล็ม ขณะที่กำลังอธิษฐานอยู่ที่พระวิหาร ข้าพเจ้าก็ตกอยู่ในภวังค์ 18 และเห็นพระองค์ซึ่งได้กล่าวกับข้าพเจ้าว่า ‘จงรีบออกไปจากเมืองเยรูซาเล็มทันที เพราะว่าผู้คนทั้งหลายจะไม่ยอมรับคำยืนยันของเจ้าที่เกี่ยวกับเรา’ 19 ข้าพเจ้าตอบว่า ‘พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาเองทราบว่า ข้าพเจ้าเที่ยวไปจับบรรดาผู้ที่เชื่อในพระองค์ตามศาลาที่ประชุมเพื่อให้พวกเขาถูกจำคุกและโบยตี 20 และเมื่อสเทเฟนผู้เป็นพยานของพระองค์ถึงกับโลหิตตก ข้าพเจ้ายืนอยู่ที่นั่นโดยเห็นชอบในการกระทำนั้น และเฝ้าเสื้อผ้าของพวกที่กำลังฆ่าสเทเฟน’ 21 แล้วพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าว่า ‘จงไปเถิด เราจะส่งเจ้าไปยังบรรดาคนนอกที่อยู่ห่างไกล’”

เปาโลเป็นคนสัญชาติโรมัน

22 ฝูงชนฟังเปาโลกล่าวจนถึงเพียงนี้ ก็ตะโกนเสียงลั่นว่า “กำจัดชายคนนี้ให้หายสาบสูญไปจากโลกเสียเถิด เขาไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว” 23 ขณะที่เขาทั้งหลายกำลังตะโกนไป พร้อมกับเหวี่ยงเสื้อคลุมออกไปจนฝุ่นตลบอยู่นั้น 24 ผู้บังคับกองพันได้สั่งให้เปาโลเข้าไปในกรมทหาร สั่งให้ทหารเฆี่ยน เพื่อจะได้ไต่สวนดูว่าทำไมผู้คนจึงได้ตะโกนใส่ท่านเช่นนั้น 25 ขณะที่พวกทหารขึงร่างของท่านเพื่อรอการเฆี่ยน เปาโลก็กล่าวกับนายร้อยที่ยืนอยู่ที่นั่นว่า “ถูกกฎแล้วหรือที่ท่านจะเฆี่ยนคนสัญชาติโรมันก่อนที่จะพิพากษาว่าผิด” 26 เมื่อนายร้อยได้ยินเช่นนั้นจึงนำความไปรายงานกับผู้บังคับกองพันว่า “ท่านจะทำอย่างไรต่อไป ชายคนนี้เป็นคนสัญชาติโรมัน” 27 ผู้บังคับกองพันจึงไปถามเปาโลว่า “บอกข้าพเจ้าเถิดว่า ท่านเป็นคนสัญชาติโรมันหรือ” ท่านตอบว่า “ใช่แล้ว” 28 แล้วผู้บังคับกองพันพูดว่า “กว่าข้าพเจ้าจะได้เป็นคนสัญชาติโรมันข้าพเจ้าต้องเสียเงินมาก” เปาโลตอบว่า “แต่ข้าพเจ้าเป็นคนสัญชาติโรมันโดยกำเนิด” 29 ฝ่ายพวกที่กำลังจะซักถามท่านก็ถอยออกไปทันที ผู้บังคับกองพันเองก็ตกใจที่ล่ามโซ่เปาโลซึ่งเป็นคนสัญชาติโรมัน

เปาโลยืนอยู่ต่อหน้าศาสนสภา

30 วันรุ่งขึ้น ผู้บังคับกองพันต้องการที่จะทราบให้แน่ชัดว่าเหตุใดชาวยิวจึงกล่าวหาเปาโล เขาจึงให้คนถอดเครื่องที่ล่ามเปาโลออก แล้วสั่งให้ทั้งบรรดามหาปุโรหิตและศาสนสภาทั้งหมดมาร่วมประชุมกัน ครั้นแล้วก็ให้เปาโลมายืนอยู่ต่อหน้าเขาทั้งปวง

เยเรมีย์ 32

เยเรมีย์ซื้อที่นา

32 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ ในปีที่สิบของเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ ซึ่งเป็นปีที่สิบแปดของเนบูคัดเนสซาร์ ในเวลานั้น กองทหารของกษัตริย์แห่งบาบิโลนกำลังล้อมเยรูซาเล็ม และเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าถูกกักตัวอยู่ที่ลานทหารยาม ในวังของกษัตริย์แห่งยูดาห์ เพราะเศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์สั่งให้จำขังท่านโดยกล่าวว่า “ทำไมท่านจึงเผยความว่า ‘พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ดูเถิด เรากำลังมอบเมืองนี้ไว้ในมือของกษัตริย์แห่งบาบิโลน และเขาจะยึดเมือง เศเดคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์จะหนีไม่รอดจากเงื้อมมือของชาวเคลเดีย แต่จะถูกมอบไว้ในมือของกษัตริย์แห่งบาบิโลนอย่างแน่นอน และจะเผชิญหน้าพูดกับเขาโดยตรง และเขาจะนำเศเดคียาห์ไปยังบาบิโลน และเขาจะอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะมาช่วยเขา พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น ถึงแม้ว่าเจ้าจะต่อสู้กับชาวเคลเดีย เจ้าก็จะไม่ชนะ’”

เยเรมีย์พูดว่า “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า ‘ดูเถิด ฮานัมเอลบุตรของชัลลูมลุงของเจ้าจะมาหาเจ้าและพูดว่า “ซื้อที่นาของเราที่อยู่ในอานาโธทเถิด เพราะสิทธิที่จะซื้อกลับคืนเป็นของท่านแล้ว”’[a] ฮานัมเอลลูกพี่ลูกน้องของข้าพเจ้ามาหาข้าพเจ้าที่ลานทหารยาม ซึ่งเป็นไปตามคำของพระผู้เป็นเจ้า และพูดกับข้าพเจ้าว่า ‘ซื้อที่นาของเราที่อยู่ในอานาโธทในอาณาเขตของเบนยามินเถิด เพราะสิทธิของการเป็นเจ้าของและซื้อกลับคืนเป็นของท่านแล้ว ซื้อเก็บไว้เอง’ ข้าพเจ้าจึงทราบว่าคำพูดนั้นมาจากพระผู้เป็นเจ้า

ข้าพเจ้าจึงได้ซื้อที่นาในอานาโธทจากฮานัมเอลลูกพี่ลูกน้องของข้าพเจ้า และชั่งเงินให้เขาไป 17 เชเขล[b] 10 ข้าพเจ้าเซ็นสัญญาและผนึกตรา มีพยาน และชั่งเงินบนตราชั่ง 11 และข้าพเจ้าเอาสัญญาซื้อขายที่ผนึกแล้ว ซึ่งระบุข้อตกลงและเงื่อนไข กับสำเนาสัญญาอีกฉบับที่ไม่ได้ผนึก 12 ข้าพเจ้ามอบสัญญาซื้อขายให้แก่บารุคบุตรของเนริยาห์ซึ่งเป็นบุตรของมัคเสยาห์ ต่อหน้าฮานัมเอลลูกพี่ลูกน้องข้าพเจ้า และต่อหน้าบรรดาพยานที่เซ็นสัญญาซื้อขาย และต่อหน้าชาวยูดาห์ทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่ลานทหารยาม 13 ข้าพเจ้ากล่าวกับบารุคต่อหน้าทุกคนที่นั่นว่า 14 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวว่า จงเอาสัญญาสองฉบับ ทั้งสัญญาซื้อขายที่ผนึกแล้ว กับสำเนาที่ไม่ได้ผนึก เก็บในภาชนะดินเผาเพื่อเก็บรักษาไว้ได้นาน 15 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวว่า บ้านเรือน ที่นา และสวนองุ่นจากแผ่นดินนี้จะมีการซื้อขายกันอีก’

เยเรมีย์อธิษฐานขอความเข้าใจ

16 หลังจากที่ข้าพเจ้าได้มอบสัญญาซื้อขายแก่บารุคบุตรของเนริยาห์แล้ว ข้าพเจ้าก็อธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้าว่า

17 ‘โอ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์เป็นผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ด้วยอานุภาพอันยิ่งใหญ่และด้วยพลานุภาพของพระองค์ ไม่มีสิ่งใดยากเกินไปสำหรับพระองค์ 18 พระองค์แสดงความรักอันมั่นคงแก่มนุษย์นับพันๆ คน แต่พระองค์ลงโทษบุตรเพราะความผิดของบิดา โอ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และมีอานุภาพผู้มีพระนามว่า พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา 19 พระองค์มีจุดประสงค์ที่วิเศษและกระทำการด้วยอานุภาพยิ่งนัก พระองค์เห็นทุกวิถีทางที่มนุษย์ทำ และกระทำตอบกลับให้แต่ละคน ตามวิถีทางของเขาและตามแต่ผลของการกระทำของเขา 20 พระองค์ได้แสดงปรากฏการณ์และสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ ในแผ่นดินอียิปต์ และแสดงต่ออิสราเอลและท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวงจนถึงวันนี้ และพระองค์ได้ทำให้พระนามของพระองค์เป็นที่เลื่องลือ อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ 21 พระองค์นำอิสราเอลชนชาติของพระองค์ออกจากแผ่นดินอียิปต์ด้วยปรากฏการณ์และสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ ด้วยอานุภาพและพลานุภาพ และความหวาดหวั่น 22 พระองค์มอบแผ่นดินนี้ให้แก่พวกเขา ซึ่งพระองค์ปฏิญาณแก่บรรพบุรุษของพวกเขาว่าจะมอบให้ แผ่นดินอันอุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง 23 แล้วพวกเขาก็เข้าไปในแผ่นดินนั้นและยึดเป็นเจ้าของ แต่พวกเขาไม่เชื่อฟังหรือดำเนินชีวิตตามกฎบัญญัติของพระองค์ พวกเขาไม่ได้ทำสิ่งใดตามที่พระองค์บัญชาให้พวกเขาทำเลย ฉะนั้นพระองค์ได้ให้พวกเขาประสบความวิบัติเหล่านี้ 24 ดูเถิด พวกเขาก่อเชิงเทินประชิดด้านนอกกำแพงเพื่อจะยึดเมือง และก็ได้ขึ้นมาถึงเมืองแล้ว และเพราะการสู้รบ ความอดอยาก และโรคระบาด เมืองนี้จึงถูกมอบไว้ในมือของชาวเคลเดียผู้ที่กำลังโจมตีเมือง สิ่งที่พระองค์กล่าวก็ได้เกิดขึ้นแล้ว ดังที่พระองค์เห็น 25 โอ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์กลับกล่าวกับข้าพเจ้าว่า “จงใช้เงินซื้อที่นา พร้อมทั้งหาคนเป็นพยานด้วย” แม้ว่าเมืองนี้กำลังจะถูกยึดโดยชาวบาบิโลน’”

26 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ว่า 27 “ดูเถิด เราคือพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของมนุษย์ทั้งปวง มีสิ่งใดยากเกินไปสำหรับเราหรือ” 28 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “ดูเถิด เรากำลังมอบเมืองนี้ไว้ในมือของชาวเคลเดียและเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลน และเขาจะยึดเมืองนี้ไว้[c] 29 ชาวเคลเดียที่กำลังต่อสู้กับเมืองนี้จะมาและเผาเมืองนี้จนมอดไหม้ รวมทั้งบ้านที่มีหลังคาเป็นที่เผาเครื่องหอมแก่เทพเจ้าบาอัลและรินเครื่องดื่มบูชาให้แก่บรรดาเทพเจ้า ซึ่งเป็นการยั่วโทสะเรา 30 เพราะลูกหลานของอิสราเอลและของยูดาห์ไม่ได้กระทำสิ่งใดนอกจากความชั่วในสายตาของเราตั้งแต่ต้น ลูกหลานของอิสราเอลไม่ได้กระทำสิ่งใดนอกจากการยั่วโทสะเราด้วยความประพฤติของพวกเขาเอง พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น 31 เมืองนี้ได้ยั่วโทสะเราและทำให้เรากริ้วเป็นที่สุด ตั้งแต่วันที่สร้างเมืองขึ้นมาจนถึงวันนี้ เราจึงจะกำจัดให้พ้นไปจากหน้าเรา 32 เพราะความชั่วของลูกหลานของอิสราเอลและของยูดาห์ที่พวกเขากระทำจนยั่วโทสะเรา อีกทั้งบรรดากษัตริย์และผู้นำของพวกเขา บรรดาปุโรหิตและผู้เผยคำกล่าวของพวกเขา ประชาชนของยูดาห์และเยรูซาเล็ม 33 พวกเขาหันหลัง แทนที่จะหันหน้ามาหาเรา และถึงแม้ว่าเราได้สอนพวกเขาเสมอมา แต่เขาก็ยังไม่ฟังหรือเรียนรู้อะไรทั้งสิ้น 34 พวกเขาได้ตั้งสิ่งที่น่าชังของพวกเขาไว้ในตำหนักซึ่งได้รับเรียกว่าเป็นของเรา และทำให้ที่นั้นเป็นมลทิน 35 พวกเขาได้สร้างแท่นบูชาที่สถานบูชาบนภูเขาสูงของเทพเจ้าบาอัล ซึ่งอยู่ในหุบเขาแห่งบุตรของฮินโนม เพื่อถวายบุตรชายและบุตรหญิงแก่เทพเจ้าโมเลค ซึ่งเราไม่ได้บัญชาให้ทำ[d] เราไม่เคยแม้แต่จะคิดว่า พวกเขาจะกระทำสิ่งที่น่ารังเกียจ อันเป็นเหตุให้ยูดาห์ทำบาปเช่นนี้

พวกเขาจะเป็นชนชาติของเรา เราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา

36 ฉะนั้น บัดนี้พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวถึงเมืองซึ่งพวกเจ้าพูดว่า ‘เมืองนี้ถูกมอบไว้ในมือของกษัตริย์แห่งบาบิโลนด้วยการสู้รบ ความอดอยาก และโรคระบาด’ 37 ดูเถิด เราจะรวบรวมพวกเขาจากแผ่นดินทั้งปวงที่เราได้ขับไล่ให้พวกเขาออกไปในเวลาที่เราโกรธและกริ้วมาก เราจะนำพวกเขากลับมายังที่นี้ และเราจะให้พวกเขาอาศัยอยู่ในที่ปลอดภัย 38 และพวกเขาจะเป็นชนชาติของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา 39 เราจะให้พวกเขามีใจและวิถีทางเป็นหนึ่งเดียวคือ พวกเขาจะเกรงกลัวเราจนชั่วนิรันดร์ เพื่อเขาจะได้ดี และลูกหลานที่ตามมาภายหลังก็จะได้ดีด้วย 40 เราจะทำพันธสัญญาอันเป็นนิรันดร์กับพวกเขาว่า[e] เราจะดีต่อพวกเขาเสมอไป และเราจะทำให้พวกเขาเกรงกลัวเรา เพื่อพวกเขาจะไม่หันเหไปจากเรา 41 เราจะทำดีต่อพวกเขาด้วยความยินดี และเราจะปลูกสร้างพวกเขาในแผ่นดินนี้ด้วยสุดดวงใจและสุดดวงจิตของเรา”

42 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ “เราได้ทำให้คนเหล่านี้ประสบความวิบัติเช่นนี้อย่างไร เราก็จะให้พวกเขาได้รับสิ่งดีๆ ทั้งสิ้นที่เราสัญญาพวกเขาอย่างนั้น 43 จะมีการซื้อขายไร่นาในแผ่นดินนี้ ซึ่งเป็นที่ที่เจ้าพูดว่า ‘เป็นที่รกร้าง ไร้มนุษย์และสัตว์ และอยู่ในมือของพวกเคลเดีย’ 44 ไร่นาจะถูกซื้อด้วยเงิน และสัญญาซื้อขายจะมีการเซ็นชื่อและผนึกพร้อมด้วยพยาน ในอาณาเขตของเบนยามิน ในที่ต่างๆ รอบเยรูซาเล็ม และในเมืองต่างๆ ของยูดาห์และในแถบภูเขา ในเมืองต่างๆ ในที่ลุ่มและในเนเกบ เพราะเราจะทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของพวกเขาคืนสู่สภาพเดิม” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

สดุดี 1-2

ภาค 1

บทที่ 1-41

สองทางที่แตกต่าง

คนมีความสุขคือ
    คนที่ไม่กระทำตามคำแนะนำของหมู่คนชั่ว
ไม่ยืนอยู่ในที่ของคนบาป
    และไม่นั่งอยู่ในที่ของคนช่างเย้ยหยัน
แต่ความยินดีของเขาอยู่ที่กฎบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า
    และเขาใคร่ครวญถึงกฎบัญญัติของพระองค์ตลอดทั้งวันและคืน
เขาเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ใกล้แหล่งน้ำ
    ซึ่งให้ผลตามฤดูกาล
ใบไม่เหี่ยวเฉา
    และทุกสิ่งที่เขาทำก็บังเกิดผลดียิ่ง

ส่วนคนชั่วร้ายไม่เป็นเช่นนั้น
    เพราะพวกเขาเป็นเหมือนเปลือกข้าว
    ที่ถูกลมพัดปลิวไป
ฉะนั้น พวกคนชั่วร้ายจะไม่อาจทนต่อวันพิพากษาได้
    และพวกคนบาปจะอยู่ในที่ประชุมของผู้มีความชอบธรรมไม่ได้เช่นกัน
ด้วยว่า พระผู้เป็นเจ้าทราบทางของผู้มีความชอบธรรม
    ส่วนทางของคนชั่วร้ายจะพินาศ

องค์ที่พระเจ้าเจิมเป็นผู้ครองที่แท้จริง

ทำไมบรรดาประชาชาติจึงมีความเคียดแค้น
    และบรรดาชนชาติวางแผนอันไร้ประโยชน์
บรรดากษัตริย์ในโลกพร้อมที่จะต่อสู้
    และชนชั้นระดับปกครองมาร่วมกันต่อต้านพระผู้เป็นเจ้า
และต่อต้านองค์ผู้ได้รับการเจิมไว้แล้วของพระองค์[a]
    โดยกล่าวว่า
“เรามาทำให้โซ่ขาดสะบั้นลง
    และเหวี่ยงตรวนให้หลุดพ้นจากพวกเราเถิด”

องค์ผู้พำนักอยู่ในสวรรค์หัวเราะ
    พระผู้เป็นเจ้าเย้ยหยันพวกเขา
ครั้นแล้วพระองค์จะกล่าวด้วยความกริ้ว
    และทำให้พวกเขาสะพรึงกลัวต่อการลงโทษของพระองค์ว่า
“เราได้แต่งตั้งกษัตริย์ของเราไว้
    ที่ศิโยน[b]ซึ่งเป็นภูเขาอันบริสุทธิ์ของเรา”

ข้าพเจ้าจะประกาศกฎเกณฑ์ของพระผู้เป็นเจ้า

พระองค์กล่าวกับข้าพเจ้าว่า “เจ้าเป็นบุตรของเรา
    วันนี้เราประกาศว่า เราเป็นบิดาของเจ้า[c]
จงขอจากเรา
    และเราจะมอบบรรดาประชาชาติให้แก่เจ้าเป็นมรดก
    และทุกมุมโลกจะเป็นของเจ้า
เจ้าจะทำลายพวกเขาด้วยคทาเหล็ก
    และเขาจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เหมือนกับภาชนะดินเผา”

10 มาบัดนี้ กษัตริย์ทั้งหลาย จงฉลาดเถิด
    ชนชั้นระดับปกครองของโลกจงรับคำเตือนเถิด
11 จงรับใช้พระผู้เป็นเจ้าด้วยความเกรงกลัว
    และน้อมใจชื่นชมยินดีในพระองค์
12 จงจูบแสดงความนอบน้อมต่อพระบุตร มิฉะนั้น พระองค์จะกริ้ว
    และเจ้าจะตายเสียกลางถนน
เพราะว่าความกริ้วของพระองค์ผุดขึ้นอย่างรวดเร็ว
    คนมีความสุขคือทุกคนที่แสวงหาพระองค์เป็นที่พึ่ง

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation