Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
ผู้วินิจฉัย 17

มีคาห์และชาวเลวี

17 มีชายคนหนึ่งที่แถบภูเขาแห่งเอฟราอิม ชื่อมีคาห์ เขาพูดกับมารดาว่า “เงิน 1,100 เหรียญของแม่ที่มีคนเอาไป และแม่ได้สาปแช่ง อีกทั้งพูดเข้าหูฉันด้วยนั้น เป็นเงินที่อยู่กับฉัน ฉันเป็นคนเอาไปเอง” มารดาพูดว่า “ขอให้พระผู้เป็นเจ้าอวยพรลูกของแม่เถิด” เมื่อเขาคืนเงิน 1,100 เหรียญให้กับมารดาแล้ว มารดาจึงพูดว่า “แม่ถวายเงินแด่พระผู้เป็นเจ้าด้วยมือของแม่เองเพื่อลูกแม่ เพื่อทำเป็นรูปบูชาสลักและที่หล่อขึ้น แม่จะคืนให้กับเจ้า” ฉะนั้นเมื่อเขาคืนเงินให้มารดา มารดาของเขาได้เอาเงิน 200 เหรียญไปให้ช่างเงินที่แปรให้เป็นรูปบูชาสลักและรูปเคารพที่หล่อขึ้น ซึ่งอยู่ในบ้านของมีคาห์ และมีคาห์ชายคนนั้นมีวิหาร เขาทำชุดคลุมและรูปเคารพ แล้วแต่งตั้งบุตรของเขาคนหนึ่งให้เป็นปุโรหิต ในสมัยนั้นไม่มีกษัตริย์ในอิสราเอล ทุกคนทำอย่างที่เห็นว่าถูกต้องในสายตาของตนเอง

ในเวลานั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่งของเมืองเบธเลเฮมแคว้นยูดาห์ ในตระกูลยูดาห์ เป็นชาวเลวีที่อาศัยอยู่ที่นั่น ชายคนนี้ได้ไปจากเมืองเบธเลเฮมแคว้นยูดาห์ เพื่อหาที่พักระหว่างการเดินทาง ขณะที่เดินทางไป เขาก็ไปยังแถบภูเขาแห่งเอฟราอิม จนมาถึงบ้านของมีคาห์ มีคาห์พูดกับเขาว่า “ท่านมาจากไหน” เขาตอบว่า “เราเป็นชาวเลวีจากเมืองเบธเลเฮมแคว้นยูดาห์ เราจะหาที่อยู่สักแห่ง” 10 มีคาห์พูดกับเขาว่า “อยู่กับเราเถิด มาเป็นอย่างบิดาและปุโรหิตของเรา และเราจะให้เงินปีละ 10 เหรียญกับเสื้อผ้าและที่อยู่” ชาวเลวีคนนั้นก็รับคำเสนอ 11 ชาวเลวีพึงพอใจกับการอยู่อาศัยกับมีคาห์ ชายหนุ่มคนนั้นก็เป็นเสมือนบุตรคนหนึ่งของเขา 12 มีคาห์แต่งตั้งชายหนุ่มชาวเลวีให้เป็นปุโรหิตของเขา และอยู่ที่บ้านของมีคาห์ 13 มีคาห์พูดว่า “บัดนี้เรารู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าจะให้เราเจริญรุ่งเรือง เพราะเรามีชาวเลวีเป็นปุโรหิต”

กิจการของอัครทูต 21

เปาโลเดินทางไปยังเมืองเยรูซาเล็ม

21 เมื่อพวกเราได้ล่ำลาเขาเหล่านั้นแล้วก็แล่นเรือตรงไปยังเกาะโขส วันรุ่งขึ้นก็ไปถึงเกาะโรดส์และจากที่นั่นก็เดินทางต่อไปยังเมืองปาทารา พวกเราพบเรือลำหนึ่งที่กำลังจะข้ามไปยังแคว้นฟีนิเซียจึงลงเรือนั้นต่อไป เมื่อเห็นเกาะไซปรัสแล้วก็ผ่านเกาะนั้นไปทางขวา แล่นต่อไปยังแคว้นซีเรีย พวกเราขึ้นจากเรือที่เมืองไทระ ซึ่งเป็นที่ต้องขนสินค้าบรรทุกออก เราพบเหล่าสาวกที่นั่นจึงพักอยู่ด้วย 7 วัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ดลใจให้พวกเขาเฝ้าบอกเปาโลไม่ให้ขึ้นไปยังเมืองเยรูซาเล็ม แต่เมื่อถึงเวลาแล้วพวกเราก็เดินทางต่อ เหล่าสาวกทุกคนพร้อมทั้งภรรยาและลูกๆ ได้ไปด้วยกันกับเราจนเราออกไปจากเมืองนั้น พวกเราก็คุกเข่าลงอธิษฐานที่ชายหาด หลังจากที่ได้กล่าวร่ำลากันและกันแล้ว เราก็ลงเรือขณะที่พวกเขากลับบ้านไป

พวกเราแล่นเรือออกจากเมืองไทระต่อไปจนถึงเมืองทอเลเมอิส ซึ่งเป็นเมืองที่เราได้ทักทายกับบรรดาพี่น้อง และพักอยู่ด้วยหนึ่งวัน วันรุ่งขึ้นพวกเราก็เดินทางไปถึงเมืองซีซารียา และพักอยู่ที่บ้านของฟีลิปผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ด[a] ฟีลิปมีลูกหญิงพรหมจรรย์ 4 คนที่เป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า 10 หลังจากที่พวกเราได้อยู่ด้วยกันมาหลายวัน ก็มีผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าคนหนึ่งลงมาจากแคว้นยูเดีย ชื่ออากาบัส 11 เขาเดินมาหาพวกเรา แล้วก็เอาเครื่องคาดเอวของเปาโลผูกมือกับเท้าของตน และกล่าวว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์กล่าวว่า ‘ชาวยิวในเมืองเยรูซาเล็มจะมัดเจ้าของเครื่องคาดเอวนี้เหมือนกันอย่างนี้ และจะมอบเขาไว้ในมือของบรรดาคนนอก’” 12 เมื่อพวกเราได้ยินเช่นนั้น พวกเรากับคนที่อาศัยอยู่แถวนั้นพากันอ้อนวอนเปาโลไม่ให้ขึ้นไปยังเมืองเยรูซาเล็ม 13 แต่เปาโลตอบว่า “ทำไมท่านจึงร้องไห้และทำให้ข้าพเจ้าเศร้าใจ ข้าพเจ้าไม่เพียงพร้อมที่จะถูกมัด แต่พร้อมที่จะตายในเมืองเยรูซาเล็มเพื่อพระนามของพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า” 14 เมื่อพวกเราไม่สามารถชักจูงท่านได้ จึงหยุดอ้อนวอนและพูดว่า “ขอให้เป็นไปตามความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าเถิด”

15 หลังจากนั้นพวกเราก็เตรียมพร้อมเพื่อขึ้นไปยังเมืองเยรูซาเล็ม 16 เหล่าสาวกบางคนที่มาจากเมืองซีซารียาก็ไปด้วย เขานำเราไปยังบ้านของมนาสันสาวกเก่าแก่ชาวเกาะไซปรัส เพื่อให้เราพักอยู่ที่นั่น

17 เมื่อเรามาถึงเมืองเยรูซาเล็ม พวกพี่น้องก็ต้อนรับด้วยความยินดี 18 วันรุ่งขึ้น เปาโลกับเราทั้งหลายจึงไปหายากอบ ผู้ปกครองทุกคนก็มาอยู่พร้อมกัน 19 เปาโลทักทายกับพวกเขา แล้วก็เล่าถึงงานรับใช้ที่พระเจ้าได้ให้ท่านกระทำตามลำดับในหมู่คนนอก 20 เมื่อเขาเหล่านั้นได้ยินเช่นนั้นก็สรรเสริญพระเจ้า และพูดกับเปาโลว่า “ดูเถิด พี่เอ๋ย ชาวยิวกี่พันคนที่มีความเชื่อ และทุกคนก็ได้รักษากฎบัญญัติอย่างเคร่งครัด 21 พวกเขาได้ยินว่า ท่านสอนชาวยิวทุกคนที่อาศัยอยู่ในหมู่คนนอก ให้ละเลยหมวดกฎบัญญัติของโมเสส และบอกพวกเขาไม่ให้ลูกๆ เข้าสุหนัต หรือดำเนินชีวิตตามขนบธรรมเนียมของพวกเรา 22 แล้วเราควรจะทำอย่างไร เขาเหล่านั้นย่อมทราบว่าท่านจะมาที่นี่ 23 ฉะนั้นขอให้ทำตามที่พวกเราบอกท่านเถิด มีชาย 4 คนในพวกเราได้สาบานตนไว้ 24 ท่านจงพาเขาทั้งสี่ไปทำพิธีชำระตัวด้วยกันกับท่านแล้วเสียเงินแทนเขา เพื่อว่าเขาจะได้โกนศีรษะ แล้วทุกคนจะได้ทราบว่า รายงานเกี่ยวกับท่านนั้นไม่เป็นความจริงเลย ท่านเองดำเนินชีวิตตามกฎบัญญัติ 25 พวกเราได้เขียนจดหมายถึงผู้เชื่อทั้งหลายที่เป็นคนนอกแล้วว่า เราได้ตัดสินใจว่า เขาต้องละเว้นจากอาหารที่ได้บูชาแก่รูปเคารพต่างๆ จากเลือด จากเนื้อสัตว์ที่ถูกรัดคอตาย และจากการประพฤติผิดทางเพศ” 26 วันรุ่งขึ้นเปาโลก็พาชาย 4 คนนั้นไปเพื่อทำพิธีชำระตัวด้วยกันกับท่าน แล้วท่านก็ไปยังพระวิหารเพื่อประกาศว่า วันชำระตัวจะจบสิ้นเมื่อไหร่ และจะได้ถวายเครื่องบูชาเพื่อคนเหล่านั้นทุกคน

เปาโลถูกจับกุมที่เมืองเยรูซาเล็ม

27 เมื่อเกือบจะสิ้น 7 วัน ชาวยิวบางคนที่มาจากแคว้นเอเชียเห็นเปาโลที่พระวิหาร จึงก่อความวุ่นวายขึ้นและจับท่านไป 28 พลางตะโกนว่า “ชาวอิสราเอลเอ๋ย มาช่วยกันเถิด ชายคนนี้เป็นคนเสี้ยมสอนคนทั่วทุกแห่งหนให้ต่อต้านคนของเรา รวมทั้งกฎบัญญัติและสถานที่นี้ด้วย ยิ่งกว่านั้นเขาได้พาชาวกรีกเข้ามาในบริเวณพระวิหาร ทำให้ที่บริสุทธิ์เป็นมลทิน” 29 ก่อนหน้านี้ เขาเหล่านั้นเห็นชาวเอเฟซัสที่ชื่อโตรฟีมัสอยู่ในเมืองกับเปาโล และก็สรุปความว่า เปาโลได้พาเขาเข้าไปในบริเวณพระวิหาร 30 ทั้งเมืองจึงเกิดโกลาหล ผู้คนวิ่งกรูกันมาจากทุกสารทิศ จับกุมเปาโลแล้วฉุดลากท่านออกไปจากพระวิหาร ประตูก็ปิดทันที 31 ขณะที่ผู้คนกำลังพยายามจะฆ่าท่านอยู่ ผู้บังคับกองพันทหารของเมืองโรมได้ยินว่า เมืองเยรูซาเล็มทั้งเมืองกำลังเกิดความอลหม่าน 32 เขาจึงนำกองทหารและเหล่านายร้อยวิ่งลงไปหาฝูงชน เมื่อพวกที่ก่อการจลาจลเห็นผู้บังคับกองพันกับพวกทหารของเขา จึงหยุดทุบตีเปาโล 33 ผู้บังคับกองพันเข้าไปใกล้แล้วจับกุมท่าน และสั่งให้ล่ามด้วยโซ่ 2 เส้น แล้วไต่ถามว่าท่านเป็นใคร มาทำอะไร 34 ฝูงชนก็ตะโกนกันต่างๆ นานา และในเมื่อผู้บังคับกองพันไม่สามารถทราบความเพราะไม่อาจหยุดความวุ่นวายได้ จึงสั่งให้คนพาเปาโลเข้าไปในกรมทหาร 35 เมื่อเปาโลถึงบันไดแล้ว ฝูงชนได้เกิดจลาจลขึ้นอีกจนพวกทหารต้องยกตัวท่านขึ้น 36 ฝูงชนที่ตามไปก็ร้องตะโกนแล้วตะโกนอีกว่า “ฆ่าเขาเสียเถิด”

เปาโลกล่าวกับฝูงชน

37 พวกทหารเกือบจะพาเปาโลเข้าไปในกรมทหารอยู่แล้ว ขณะที่ท่านถามผู้บังคับกองพันว่า “ขอให้ข้าพเจ้าได้พูดกับท่านหน่อยได้ไหม” เขาจึงตอบว่า “พูดภาษากรีกเป็นหรือ 38 เจ้าไม่ใช่ชาวอียิปต์คนนั้นหรอกหรือที่ก่อการกบฏ และนำผู้ก่อการร้าย 4,000 คนออกไปในถิ่นทุรกันดารก่อนหน้านี้” 39 เปาโลตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นชาวยิวจากเมืองทาร์ซัสในแคว้นซีลีเซีย พลเมืองจากเมืองที่ไม่ด้อยเลย กรุณาให้ข้าพเจ้าพูดกับผู้คนเถิด” 40 เมื่อเปาโลได้รับอนุญาตจากนายพันแล้ว จึงยืนบนขั้นบันไดโบกมือให้สัญญาณกับฝูงชน เมื่อเสียงโหวกเหวกสงบลงแล้ว ท่านก็พูดเป็นภาษาฮีบรูว่า

เยเรมีย์ 30-31

การนำอิสราเอลและยูดาห์กลับมา

30 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ “จงเขียนทุกคำที่เราได้บอกกับเจ้าลงในหนังสือ ดูเถิด พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า ใกล้จะถึงเวลาที่เราจะให้ชนชาติของเราคืออิสราเอลและยูดาห์เจริญรุ่งเรืองอีก ให้พวกเขากลับไปยังแผ่นดินที่เราได้มอบให้แก่บรรพบุรุษของพวกเขา ซึ่งพวกเขาจะได้ยึดเป็นเจ้าของ” พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนั้น

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวถึงอิสราเอลและยูดาห์ดังนี้

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า
เราได้ยินเสียงร้องอันตื่นตระหนก
    ตกใจกลัว และปราศจากสันติสุข
บัดนี้จงถาม และดูสิว่า
    ผู้ชายคลอดลูกได้หรือ
แล้วเหตุใดเราจึงเห็นผู้ชายทุกคน
    กำท้องของเขาอย่างผู้หญิงเจ็บครรภ์
    เหตุใดใบหน้าของทุกคนจึงได้ซีดลง
วันนั้นจะเป็นวันที่เลวร้ายเหลือเกิน
    จะไม่มีวันไหนอย่างวันนี้อีก
เป็นเวลาแห่งความทุกข์ของยาโคบ
    แต่เขาก็ยังจะรอดชีวิตมาได้”

พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาประกาศดังนี้ “เมื่อวันนั้นมาถึง เราจะหักแอกให้หลุดจากคอของเจ้า และเราจะตัดสิ่งที่ผูกตัวเจ้าให้หลุดออกไป และพวกเขาจะไม่เป็นทาสของคนต่างชาติอีกต่อไป แต่พวกเขาจะรับใช้พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเขา และรับใช้ดาวิดกษัตริย์ของพวกเขาซึ่งเราจะกำหนดขึ้นเพื่อพวกเขา”[a]

10 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า

“โอ ยาโคบผู้รับใช้ของเรา เจ้าไม่ต้องกลัว
    โอ อิสราเอล เจ้าไม่ต้องตกใจ
เพราะว่าดูเถิด เราจะช่วยเจ้าให้รอดปลอดภัยจากแผ่นดินที่ห่างไกล
    และช่วยเชื้อสายของเจ้าจากแผ่นดินที่ไปอยู่เป็นเชลย
ยาโคบจะกลับไปและมีสันติสุขและความมั่นคง
    และไม่มีใครที่จะทำให้เขากลัว
11 เพราะเราอยู่กับเจ้าเพื่อช่วยเจ้าให้รอดปลอดภัย”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
“เราจะทำลายประชาชาติทั้งปวงให้สิ้นซาก
    ในท่ามกลางพวกเจ้าที่เราทำให้กระจัดกระจายไป
    แต่เราจะไม่ทำลายเจ้าให้สิ้นซาก
เราจะลงโทษเจ้าอย่างยุติธรรม
    เราจะไม่ปล่อยเจ้าไปโดยไม่ถูกลงโทษ”

12 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า

“ความเจ็บปวดของเจ้านั้นแสนสาหัส
    และบาดแผลของเจ้ารักษาไม่หาย
13 ไม่มีใครจะช่วยเหลือเจ้า
    ไม่มียารักษาแผลของเจ้า
    ไม่มีการรักษาให้หายขาด
14 มิตรสหายทุกคนของเจ้าก็ลืมเจ้าแล้ว
    พวกเขาไม่ห่วงใยเจ้าเลย
เพราะเราได้กระทำต่อเจ้าอย่างศัตรูกระทำ
    การลงโทษของศัตรูที่ปราศจากความเมตตา
เพราะความผิดของเจ้ามากนัก
    เพราะบาปของเจ้าร้ายแรงนัก
15 ทำไมเจ้าจึงส่งเสียงร้องเมื่อเจ็บปวด
    ความเจ็บปวดของเจ้านั้นแสนสาหัส
เพราะความผิดของเจ้ามากนัก
    เพราะบาปของเจ้าร้ายแรงนัก เราจึงได้กระทำสิ่งเหล่านี้ต่อเจ้า
16 ฉะนั้น ทุกคนที่ทำลายเจ้าก็จะถูกทำลาย
    และศัตรูของเจ้าทั้งปวง ไม่เว้นสักคนเดียวก็จะถูกจับไปเป็นเชลย
บรรดาผู้ที่ริบของได้จากการสู้รบกับเจ้าก็จะถูกริบของไปด้วย
    และทุกคนที่ล่าเจ้าดั่งล่าเหยื่อ เราก็จะทำให้พวกเขาเป็นเหยื่อ
17 ด้วยว่า เราจะให้เจ้ามีสุขภาพดีดังเดิม
    และเราจะรักษาบาดแผลของเจ้าให้หายขาด”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
“เพราะว่าพวกเขาได้เรียกเจ้าว่า ผู้ที่ถูกขับไล่ไสส่ง
    คือศิโยนซึ่งไม่มีใครห่วงใย”

18 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้

“ดูเถิด เราจะให้กระโจมของยาโคบเจริญรุ่งเรืองในแผ่นดินอีก
    และมีความเมตตาต่อครอบครัวของเขา
เมืองจะถูกสร้างบนเนินเขา
    และป้อมปราการจะยืนตั้งอยู่ในที่เหมาะสม
19 ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นั่นจะร้องเพลงสรรเสริญ
    และจะมีเสียงแห่งความยินดี
เราจะทวีจำนวนพวกเขามากขึ้น
    พวกเขาจะไม่ลดน้อยลง
เราจะทำให้พวกเขาได้รับเกียรติ
    พวกเขาจะไม่ด้อยเลย
20 ลูกๆ ของพวกเขาจะเป็นอย่างที่เคยเป็นในสมัยก่อน
    และสังคมของพวกเขาจะก่อตั้งขึ้น ณ เบื้องหน้าเรา
    และเราจะลงโทษทุกคนที่กดขี่ข่มเหงพวกเขา[b]
21 คนหนึ่งในพวกเขาเองจะมาเป็นผู้นำ
    คนหนึ่งในท่ามกลางพวกเขาจะเป็นผู้ปกครอง
เราจะทำให้เขาเข้ามาใกล้ และเขาจะเข้าใกล้เรา
    ใครคือผู้นี้ที่ตั้งมั่นในใจว่าจะเข้ามาใกล้เรา”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
22 “ฉะนั้น พวกเจ้าจะเป็นชนชาติของเรา
    และเราจะเป็นพระเจ้าของเจ้า”

23 ดูเถิด ความกริ้วดั่งพายุของพระผู้เป็นเจ้า
    การลงโทษได้ก้าวออกไปแล้ว
พายุอันแรงกล้าจะกระหน่ำลงบนหัวของคนชั่ว
24 ความกริ้วของพระผู้เป็นเจ้าจะไม่หวนกลับ
    จนกว่าพระองค์จะได้กระทำ
    ตามความตั้งใจให้สำเร็จ
พวกท่านจะเข้าใจอย่างชัดเจน
    ในวันข้างหน้า

การร้องคร่ำครวญกลับเป็นความยินดี

31 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ “ในเวลานั้นเราจะเป็นพระเจ้าของตระกูลของอิสราเอล และพวกเขาจะเป็นชนชาติของเรา”

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า

“ประชาชนที่รอดจากการสู้รบ
    พบความกรุณาในถิ่นทุรกันดาร
    เราจะให้อิสราเอลได้พักผ่อน”

พระผู้เป็นเจ้าปรากฏแก่เขาจากที่ไกลโดยกล่าวดังนี้ว่า

“เรารักเจ้าด้วยความรักอันมั่นคง
    ฉะนั้นเราจึงมีความสัตย์จริงต่อเจ้าตลอดมา
เราจะสร้างเจ้าขึ้นใหม่อีกครั้ง และเจ้าก็จะถูกสร้าง
    โอ อิสราเอลผู้บริสุทธิ์
เจ้าจะถือรำมะนาติดตัวไปด้วย
    และจะร่ายรำไปด้วยความยินดีอีก
เจ้าจะปลูกสวนองุ่นบนเทือกเขา
    แห่งสะมาเรียอีกครั้ง
บรรดาผู้ปลูกจะปลูก
    และจะได้ชื่นชอบกับผลที่ได้รับ
ด้วยว่าจะถึงวันเมื่อผู้เฝ้ายามจะส่งเสียงร้อง
    ที่แถบภูเขาแห่งเอฟราอิมว่า
‘ลุกขึ้นเถิด เราขึ้นไปยังศิโยน
    ไปหาพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา’”

เพราะพระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้

“จงร้องเพลงเสียงดังด้วยความยินดีเพื่อยาโคบ
    และส่งเสียงตะโกนเพื่อหัวหน้าของบรรดาประชาชาติ
จงประกาศ สรรเสริญ และพูดว่า
    ‘โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดช่วยชนชาติของพระองค์
    คือผู้ที่มีชีวิตเหลืออยู่ของอิสราเอลให้รอดพ้นเถิด’
ดูเถิด เราจะนำพวกเขาออกจากดินแดนทางเหนือ
    และรวบรวมพวกเขาจากแดนไกลสุดของแผ่นดินโลก
ผู้ที่มากับพวกเขามีทั้งคนตาบอดและคนง่อย
    ผู้หญิงตั้งครรภ์ และนางใกล้จะคลอด
    พวกเขาจำนวนมหาศาลจะกลับมาที่นี่
พวกเขาจะมาพร้อมกับเสียงร้องไห้
    และด้วยคำอ้อนวอนขอความเมตตา เราก็จะนำพวกเขากลับมา
เราจะให้พวกเขาเดินไปที่ธารน้ำ
    เดินบนทางราบเพื่อเขาจะไม่สะดุด
เพราะเราเป็นเสมือนบิดาสำหรับอิสราเอล
    และเอฟราอิมเป็นบุตรหัวปีของเรา

10 โอ บรรดาประชาชาติเอ๋ย จงฟังคำของพระผู้เป็นเจ้า
    และประกาศต่อไปในฝั่งทะเลที่อยู่ห่างไกลว่า
‘พระองค์ผู้ทำให้อิสราเอลกระจัดกระจายไปจะรวบรวมพวกเขา
    และจะดูแลรักษาเขาอย่างผู้เลี้ยงดูฝูงแกะดูแลฝูงแกะของตน’
11 ด้วยว่า พระผู้เป็นเจ้าได้ไถ่ยาโคบ
    และได้ช่วยเขาให้รอดจากมือของผู้ที่แข็งแกร่งกว่า
12 พวกเขาจะมาและเปล่งเสียงร้องเพลงบนภูเขาสูงของศิโยน
    และพวกเขาจะเบิกบานกับสิ่งดีๆ ที่ได้รับจากพระผู้เป็นเจ้า
อันได้แก่ธัญพืช เหล้าองุ่น น้ำมัน
    ลูกแพะแกะ และลูกโค
ชีวิตของพวกเขาจะเป็นเหมือนสวนที่ได้น้ำรด
    และพวกเขาจะไม่อ่อนระอาอีกต่อไป
13 หลังจากนั้น หญิงสาวจะร่ายรำด้วยความร่าเริงใจ
    ชายหนุ่มและผู้สูงวัยจะมีความสุข
เราจะทำให้การร้องคร่ำครวญกลายเป็นความยินดี
    เราจะปลอบประโลมพวกเขา และให้ความยินดีแทนความเศร้าใจ
14 เราจะให้บรรดาปุโรหิตได้รับอย่างอุดมสมบูรณ์
    และชนชาติของเราจะพึงพอใจด้วยสิ่งดีจากเรา”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

15 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้

“เสียงที่ได้ยินในหมู่บ้านรามาห์
    คือเสียงร้องไห้และร้องคร่ำครวญอันดัง
นางราเชลร่ำไห้เพราะลูกๆ ของนาง
    และนางไม่ยอมให้ปลอบใจ
    เพราะลูกๆ ของนางตายเสียแล้ว”[c]

16 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้

“อย่าส่งเสียงร้องไห้
    อย่าให้น้ำตาไหลพราก
เพราะมีรางวัลสำหรับสิ่งที่เจ้ากระทำ”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า
    “ลูกๆ จะกลับจากแผ่นดินของศัตรู
17 อนาคตของเจ้ามีความหวัง”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า
    “และลูกๆ ของเจ้าจะกลับมายังบ้านเมืองของเขาเอง
18 เราได้ยินเอฟราอิมแสดงความเศร้าใจดังนี้
‘พระองค์ลงโทษข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ถูกลงโทษ
    อย่างลูกโคที่ไม่เคยได้รับการฝึกฝน
โปรดนำข้าพเจ้ากลับไปเพื่อข้าพเจ้าจะได้กลับมาหาพระองค์
    เพราะพระองค์เป็นพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า
19 หลังจากข้าพเจ้าหันหลังให้พระองค์ ข้าพเจ้าก็เปลี่ยนใจ
    และหลังจากข้าพเจ้าถูกลงโทษแล้ว ข้าพเจ้าตีอกชกหัว
ข้าพเจ้าอับอายและถูกเหยียดหยาม
    เพราะข้าพเจ้าแบกความอัปยศ อันเป็นผลจากครั้งวัยหนุ่ม’
20 เอฟราอิมเป็นบุตรที่รักของเราหรือ
    เขาเป็นเด็กที่น่ายินดีของเราหรือ
เราพูดติเตียนเขาบ่อยครั้ง
    เรายังจำเขาได้
ฉะนั้นใจของเราหวนหาเขา
    เราจะมีเมตตาต่อเขาอย่างแน่นอน”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

21 “จงติดป้ายถนน
    ทำเครื่องหมายให้ตัวเจ้าเอง
ตั้งใจสังเกตถนนให้ดี
    ซึ่งเป็นทางที่เจ้าไปแล้ว
โอ อิสราเอลผู้บริสุทธิ์เอ๋ย
    จงกลับไปยังเมืองของเจ้า
22 โอ บุตรหญิงผู้ไม่ภักดีเอ๋ย
    เจ้าจะไปโดยไร้จุดหมายอีกนานแค่ไหน
พระผู้เป็นเจ้าจะสร้างสิ่งใหม่สิ่งหนึ่งบนแผ่นดินโลก
    ผู้หญิงตีวงล้อมผู้ชาย”

23 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวดังนี้ “เมื่อเราให้พวกเขาเจริญรุ่งเรืองในแผ่นดินอีก พวกเขาจะใช้คำพูดนี้อีกครั้งในแผ่นดินของยูดาห์และในทุกเมืองของแคว้นว่า

‘ขอพระผู้เป็นเจ้าอวยพรสถานที่ขององค์ผู้กอปรด้วยความชอบธรรม
    โอ ภูเขาอันบริสุทธิ์’

24 ยูดาห์กับทุกเมืองของแคว้นจะอาศัยอยู่ด้วยกันที่นั่น พร้อมกับบรรดาชาวไร่และผู้เลี้ยงดูฝูงสัตว์ของพวกเขา 25 เพราะเราจะให้ผู้ที่เหนื่อยล้าได้สดชื่น และผู้ที่หิวกระหายได้ดื่มกินจนพอใจ”

26 ข้าพเจ้าตื่นขึ้นและเห็นว่าข้าพเจ้าหลับสบาย

27 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ “ดูเถิด จะถึงเวลาที่เราจะหว่านพงศ์พันธุ์อิสราเอลและยูดาห์ด้วยเชื้อสายของมนุษย์และสัตว์ 28 เราได้ถอนรากและโค่นพวกเขาลง กำจัด ทำลายและให้เกิดความพินาศอย่างไร เราก็จะแน่ใจว่าพวกเขาจะได้รับการสร้างและปลูก” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น 29 “เมื่อถึงเวลา พวกเขาจะไม่พูดอีกว่า

‘พ่อได้กินองุ่นเปรี้ยว
    และลูกๆ ก็เข็ดฟัน’

30 แต่ทุกคนจะตายเพราะบาปของตนเอง แต่ละคนที่กินองุ่นเปรี้ยว เขาจะเข็ดฟันเอง”

พันธสัญญาใหม่

31 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ “ดูเถิด จะถึงเวลาที่เราจะทำพันธสัญญาใหม่กับพงศ์พันธุ์อิสราเอลและยูดาห์ 32 ไม่เป็นเหมือนพันธสัญญาที่เราได้ทำกับบรรพบุรุษของเขาในวันที่เราจูงมือพวกเขาออกไปจากแผ่นดินอียิปต์[d] พันธสัญญาของเราที่พวกเขาไม่ปฏิบัติตาม แม้ว่าเราเป็นประหนึ่งสามีของพวกเขาก็ตาม” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น 33 พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “แต่นี่เป็นพันธสัญญาที่เราจะทำกับพงศ์พันธุ์อิสราเอล และหลังจากนั้น เราจะเขียนกฎของเราในความคิดของพวกเขา และเราจะจารึกไว้ในใจของพวกเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขาจะเป็นชนชาติของเรา 34 และจะไม่มีวันที่แต่ละคนจะสอนเพื่อนบ้านและพี่น้องของตนอีกต่อไปว่า ‘จงรู้จักพระผู้เป็นเจ้า’ เพราะพวกเขาทุกคนจะรู้จักเรา นับจากคนด้อยสุดในพวกเขาจนถึงคนยิ่งใหญ่ที่สุด พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น ด้วยว่า เราจะยกโทษความชั่วของพวกเขา และเราจะไม่จดจำบาปของพวกเขาอีกต่อไป”[e]

35 พระผู้เป็นเจ้า องค์ผู้ให้แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ในยามกลางวัน และกำหนดให้แสงสว่างจากดวงจันทร์กับดวงดาวในยามค่ำคืน องค์ผู้ทำให้ทะเลปั่นป่วน และคลื่นส่งเสียงครืนครั่น พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาคือพระนามของพระองค์ ผู้กล่าวดังนี้

36 พระองค์ประกาศว่า

“ถ้าข้อกำหนดของธรรมชาติไม่อยู่ใต้อำนาจการควบคุมของเราเมื่อใด
    เชื้อสายของอิสราเอลก็จะหยุดจากการเป็นประชาชาติไปตลอดกาล”

37 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า

“ถ้ามนุษย์วัดขนาดฟ้าสวรรค์เบื้องบนได้
    และถ้ามนุษย์ค้นพบฐานรากของแผ่นดินโลกได้
เราก็จะไม่ยอมรับพงศ์พันธุ์อิสราเอล
    เนื่องจากทุกสิ่งที่พวกเขาได้กระทำ”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

38 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ “ดูเถิด จะถึงเวลาที่เมืองนี้จะถูกสร้างขึ้นใหม่เพื่อเกียรติของพระผู้เป็นเจ้า ตั้งแต่หอคอยฮานันเอลจนถึงประตูมุม 39 และเส้นแบ่งเขตจะยื่นออกไปจากที่นั่น ตรงไปถึงเนินเขากาเรบ และเลี้ยวไปยังโกอาห์ 40 ทั้งหุบเขาที่ฝังร่างของคนตายและขี้เถ้า และทั้งไร่นาไปจนถึงธารน้ำขิดโรน ถึงมุมประตูม้าทางด้านตะวันออก จะบริสุทธิ์ต่อพระผู้เป็นเจ้า และจะไม่ถูกถอนรากหรือถูกกำจัดอีกต่อไปจนชั่วนิรันดร์”

มาระโก 16

การฟื้นคืนชีวิต

16 เมื่อวันสะบาโตล่วงไปแล้ว มารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบ และนางสะโลเมก็ได้ซื้อเครื่องหอมเพื่อเอาไปชโลมพระองค์ เช้าตรู่ในวันแรกของต้นสัปดาห์ เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นแล้วพวกเขาก็ไปที่ถ้ำเก็บศพ ต่างก็พูดกันว่า “ใครจะเป็นคนกลิ้งก้อนหินที่ทางเข้าถ้ำเก็บศพออกให้พวกเรา” เมื่อพวกนางเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าก้อนหินกลิ้งออกแล้ว ทั้งๆ ที่เป็นหินก้อนที่ใหญ่โตมาก เมื่อพวกเขาเข้าไปในถ้ำเก็บศพ ก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีขาวนั่งอยู่ทางขวามือ พวกเขาก็แปลกใจ ชายนั้นพูดว่า “อย่าแปลกใจเลย พวกท่านกำลังมองหาพระเยซูชาวนาซาเร็ธผู้ที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน พระองค์ได้ฟื้นคืนชีวิตแล้ว พระองค์ไม่อยู่ที่นี่ ดูเถิด นี่เป็นที่ซึ่งพวกเขาวางร่างของพระองค์ไว้ แต่จงไปบอกเหล่าสาวกของพระองค์ และบอกเปโตรด้วยว่า ‘พระองค์กำลังไปล่วงหน้าท่านยังแคว้นกาลิลี ท่านจะพบพระองค์ที่นั่นตามที่พระองค์กล่าวไว้กับท่าน’” พวกเขาก็ออกจากถ้ำเก็บศพรีบหนีไป ทั้งตัวสั่นและสับสนยิ่งนัก และด้วยความหวาดกลัว จึงไม่ได้บอกเรื่องนี้แก่ผู้ใด

[เมื่อพระเยซูได้ฟื้นคืนชีวิตในตอนเช้าตรู่ในวันแรกของสัปดาห์ พระองค์ได้ปรากฏแก่มารีย์ชาวมักดาลาก่อน นางเป็นคนที่พระองค์ได้ขับไล่มารทั้งเจ็ดออก 10 นางไปบอกบรรดาคนที่เคยอยู่กับพระองค์ขณะที่พวกเขากำลังร้องคร่ำครวญและร้องไห้อยู่ 11 เมื่อพวกเขาได้ยินว่าพระเยซูมีชีวิตอยู่ และนางก็เห็นพระองค์ พวกเขาไม่ยอมเชื่อ

12 หลังจากนั้นพระเยซูได้ปรากฏแก่ 2 คนในอีกแบบหนึ่ง คือขณะที่เขาทั้งสองกำลังเดินไปตามทางในชนบท 13 แล้ว 2 คนนั้นก็ไปบอกให้เหล่าสาวกฟัง แต่พวกเขาก็ไม่เชื่อเช่นกัน

14 หลังจากนั้นพระเยซูได้ปรากฏแก่เหล่าสาวกทั้งสิบเอ็ด ขณะที่พวกเขากำลังเอนกายอยู่ พระองค์ติเตียนพวกเขาที่ไม่เชื่อและมีใจแข็งกระด้าง เพราะว่าพวกเขาไม่เชื่อบรรดาผู้ที่ได้เห็นพระองค์ หลังจากที่พระองค์ได้ฟื้นคืนชีวิตแล้ว 15 พระองค์กล่าวกับพวกเขาว่า “จงเดินทางไปทั่วโลกและประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน 16 ใครก็ตามที่เชื่อและรับบัพติศมาแล้วก็จะมีชีวิตรอดพ้น แต่คนที่ไม่เชื่อจะถูกกล่าวโทษ 17 ปรากฏการณ์อัศจรรย์เหล่านี้จะอยู่กับคนที่เชื่อคือ เขาจะขับไล่พวกมารในนามของเรา เขาจะพูดภาษาที่ตนไม่รู้จัก 18 เขาจะจับงูขึ้นได้ด้วยมือเปล่า และถ้าเขาดื่มสิ่งใดที่มีพิษขั้นถึงตาย เขาก็จะไม่เป็นอันตราย เขาจะวางมือบนตัวคนป่วย และคนป่วยก็จะหายขาด”

19 เมื่อพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวกับพวกเขาแล้ว พระองค์ก็ถูกรับขึ้นสู่สวรรค์ และนั่งอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า 20 ดังนั้นพวกเขาจึงออกกันไปประกาศทุกแห่งหน ขณะที่พระผู้เป็นเจ้าทำงานร่วมกับพวกเขา และยืนยันคำประกาศด้วยปรากฏการณ์อัศจรรย์ที่เกิดขึ้นควบคู่กันไป][a]

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation