Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
ผู้วินิจฉัย 1

การสู้รบอันต่อเนื่องกับชาวคานาอัน

หลังจากที่โยชูวาเสียชีวิตไปแล้ว ชาวอิสราเอลถามพระผู้เป็นเจ้าว่า “ใครจะนำหน้าพวกเราขึ้นไปสู้รบกับชาวคานาอัน” พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “ยูดาห์จะขึ้นไป ดูเถิด เราได้มอบแผ่นดินนั้นไว้ในมือของเขาแล้ว” ยูดาห์จึงพูดกับสิเมโอนพี่ของเขาว่า “ขึ้นไปกับเราเถิด เราจะได้เข้าไปในพรมแดนที่แบ่งให้เราไว้แล้ว พวกเราจะได้สู้รบกับชาวคานาอัน แล้วเราก็จะไปกับท่าน เข้าไปในพรมแดนที่แบ่งให้ท่านไว้แล้วเช่นกัน” ดังนั้นสิเมโอนจึงไปกับเขา ครั้นแล้วยูดาห์ก็ขึ้นไป พระผู้เป็นเจ้ามอบชาวคานาอันและชาวเปริสไว้ในมือของพวกเขา และฆ่าคนจำนวน 10,000 คนที่เบเซก พวกเขาพบอาโดนีเบเซกที่เบเซก และสู้รบกับเขาที่นั่น ฆ่าชาวคานาอันและชาวเปริส ส่วนอาโดนีเบเซกหนีไป แต่พวกเขาก็ตามล่าและจับตัวเขาไว้ได้ เขาจึงถูกตัดนิ้วหัวแม่มือและหัวแม่เท้า แล้วอาโดนีเบเซกพูดว่า “บรรดากษัตริย์ 70 ท่านถูกตัดนิ้วหัวแม่มือและหัวแม่เท้า เคยเก็บเศษอาหารใต้โต๊ะของเรา สิ่งที่เราได้กระทำไปแล้ว พระเจ้าก็กระทำตอบกลับคืนแก่เรา” แล้วพวกเขาก็นำตัวเขาไปยังเยรูซาเล็ม และเขาก็สิ้นชีวิตที่นั่น

ชาวยูดาห์โจมตีเยรูซาเล็มและยึดไว้ได้ จากนั้นก็ฆ่าชาวเมืองด้วยคมดาบและเผาเมืองเสีย ต่อมาชาวยูดาห์ก็ลงไปสู้รบกับชาวคานาอันที่อาศัยอยู่ในแถบภูเขา ในเนเกบ และที่ลุ่ม 10 ยูดาห์ไปสู้รบกับชาวคานาอันที่อาศัยอยู่ในเฮโบรน (ชื่อเก่าของเฮโบรนคือ คีริยาทอาร์บาห์) และได้ฆ่าเชชัย อาหิมาน และทัลมัย

11 และเขาไปจากที่นั่นเพื่อสู้รบกับผู้อยู่อาศัยของเมืองเดบีร์ ก่อนหน้านั้นเมืองเดบีร์ชื่อ คีริยาทเสเฟอร์ 12 และคาเลบพูดว่า “ผู้ใดโจมตีและยึดคีริยาทเสเฟอร์ได้ เราจะยกอัคสาห์บุตรสาวของเราให้เป็นภรรยา” 13 โอทนีเอลบุตรของเคนัสผู้เป็นน้องคาเลบยึดเมืองไว้ได้ เขาจึงยกอัคสาห์บุตรหญิงของเขาให้เป็นภรรยา 14 เมื่อนางไปหาโอทนีเอล นางก็จูงใจเขาเพื่อจะขอทุ่งนาแห่งหนึ่งจากบิดาของนาง นางลงจากลา คาเลบจึงถามนางว่า “เจ้าต้องการสิ่งใดหรือ” 15 นางพูดว่า “ขอพรให้ลูก ในเมื่อท่านได้ให้ดินแดนเนเกบแก่ลูกแล้ว ก็ให้น้ำพุแก่ลูกด้วยเถิด” แล้วเขาก็ยกน้ำพุที่อยู่ด้านบนและด้านล่างให้นางไป

16 บรรดาผู้สืบเชื้อสายของพ่อตาโมเสสคือชาวเคน ก็ได้พากันขึ้นไปกับชาวยูดาห์จากเมืองแห่งต้นอินทผลัม เข้าไปยังถิ่นทุรกันดารยูดาห์ซึ่งอยู่ในเนเกบใกล้อาราด และได้ไปตั้งรกรากอยู่กับชาวเมืองนั้น 17 ยูดาห์กับสิเมโอนพี่ชายของเขาไปร่วมกันฆ่าชาวคานาอันที่อาศัยอยู่ในเมืองเศฟัท และมอบให้เป็นดั่งของถวาย ฉะนั้นเมืองนั้นจึงชื่อโฮร์มาห์ 18 ยูดาห์ยึดเมืองกาซา อัชเคโลนและเอโครน พร้อมทั้งอาณาเขตโดยรอบเมืองเหล่านี้ 19 พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับยูดาห์ เขาได้ยึดครองดินแดนในแถบภูเขา แต่ไม่สามารถขับไล่ชาวเมืองที่อยู่ในที่ราบให้ออกไปได้ เหตุเพราะพวกเขามีรถศึกที่ทำด้วยเหล็ก 20 เมืองเฮโบรนถูกยกให้เป็นของคาเลบตามที่โมเสสกล่าวไว้ แล้วท่านได้ขับไล่บุตรชายทั้งสามของอานาคออกไปจากที่นั่น 21 แต่ชาวเบนยามินไม่ได้ขับไล่ชาวเยบุสที่อาศัยอยู่ในเยรูซาเล็มออกไป ฉะนั้นชาวเยบุสจึงได้อาศัยอยู่กับชาวเบนยามินในเยรูซาเล็มมาจนถึงทุกวันนี้

22 พงศ์พันธุ์ของโยเซฟได้ขึ้นไปต่อสู้กับเมืองเบธเอลด้วย พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับพวกเขา 23 พงศ์พันธุ์ของโยเซฟได้ไปสำรวจเบธเอล (แต่เดิมเมืองนี้ชื่อ ลูส) 24 พวกสอดแนมเหล่านั้นเห็นชายผู้หนึ่งกำลังออกมาจากเมือง จึงพูดกับเขาว่า “ช่วยบอกทางเข้าไปในเมืองให้พวกเราด้วย แล้วเราจะเมตตาเจ้า” 25 ชายผู้นั้นก็ได้ชี้ทางเข้าไปในเมืองให้ แล้วพวกเขาฆ่าฟันคนทั้งเมือง แต่ปล่อยให้ชายคนนั้นกับครอบครัวไป 26 ชายคนนั้นได้เข้าไปในดินแดนของชาวฮิตและสร้างเมือง เรียกชื่อเมืองว่า ลูส ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้มาจนถึงทุกวันนี้

ชัยชนะที่ไม่เด็ดขาด

27 มนัสเสห์ไม่ได้ขับไล่ชาวเมืองเบธชาน ชาวเมืองทาอานาค ชาวเมืองโดร์ ชาวเมืองอิบเลอัม และชาวเมืองเมกิดโด แม้แต่ตามหมู่บ้านของเมืองดังกล่าวก็ไม่ได้ขับไล่ผู้คนออกไป เพราะว่าชาวคานาอันยังขัดขืนอาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้นต่อไป 28 เมื่อชาวอิสราเอลมีกำลังมากขึ้นก็เกณฑ์ชาวคานาอันมาทำงานหนัก แต่ก็ไม่ได้ขับไล่พวกเขาออกไปให้หมด

29 เอฟราอิมไม่ได้ขับไล่ชาวคานาอันที่อาศัยอยู่ในเมืองเกเซอร์ ฉะนั้นชาวคานาอันก็ยังอาศัยอยู่ในเกเซอร์ในหมู่พวกเขา

30 เศบูลุนไม่ได้ขับไล่ชาวเมืองคิทโรนและชาวเมืองนาหะโลลออกไป ฉะนั้นชาวคานาอันยังอาศัยอยู่ในหมู่พวกเขา แต่ก็ถูกเกณฑ์มาทำงานหนัก

31 อาเชอร์ไม่ได้ขับไล่ชาวเมืองอัคโค ชาวเมืองไซดอน ชาวเมืองอัคลาบ ชาวเมืองอัคซีบ ชาวเมืองเฮลบาห์ ชาวเมืองอาเฟก และชาวเมืองเรโหบ 32 ฉะนั้นชาวอาเชอร์ก็ได้อาศัยอยู่ในหมู่ชาวคานาอันซึ่งเป็นผู้อยู่อาศัยของแผ่นดินนั้น เนื่องจากที่ไม่ได้ขับไล่พวกเขาออกไป

33 นัฟทาลีไม่ได้ขับไล่ชาวเมืองเบธเชเมช และชาวเมืองเบธานาท ฉะนั้นพวกเขาจึงได้อาศัยอยู่ในหมู่ชาวคานาอันซึ่งเป็นผู้อยู่อาศัยของแผ่นดินนั้น แต่ชาวเมืองเบธเชเมชและเบธานาทก็ยังถูกเกณฑ์มาทำงานหนักให้พวกเขา

34 ชาวอาโมร์บังคับชาวดานให้กลับไปในดินแดนแถบภูเขา ไม่ปล่อยให้ลงมายังที่ราบ 35 ชาวอาโมร์ยังขัดขืนอาศัยอยู่ที่ภูเขาเฮเรส ในเมืองอัยยาโลน และในเมืองชาอัลบิม แต่พงศ์พันธุ์ของโยเซฟมีกำลังเหนือกว่า ชาวอาโมร์จึงถูกเกณฑ์มาทำงานหนัก 36 อาณาเขตของชาวอาโมร์เริ่มจากเนินสูงอัครับบิม จากเส-ลาและเลยขึ้นไปอีก

กิจการของอัครทูต 5

อานาเนียและสัปฟีรา

มีชายคนหนึ่งชื่ออานาเนียซึ่งมีภรรยาชื่อสัปฟีรา ได้ขายที่ดินผืนหนึ่ง โดยเก็บเงินส่วนหนึ่งไว้สำหรับตนเอง ซึ่งภรรยาก็ทราบดี และนำส่วนที่เหลือมาวางไว้ที่เท้าของเหล่าอัครทูต เปโตรจึงถามว่า “อานาเนีย เป็นเพราะอะไร ซาตานจึงได้ครองใจของท่านจนกล้าพูดเท็จต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ และได้เก็บเงินส่วนหนึ่งที่ได้จากการขายที่ดินไว้สำหรับตนเอง ก่อนที่จะขายได้ ที่ดินนี้เป็นของท่าน และหลังจากที่ขายได้แล้ว เงินก็ยังเป็นสิทธิ์ของท่านมิใช่หรือ ทำไมท่านจึงได้คิดกระทำเช่นนั้น ท่านไม่ได้โกหกต่อมนุษย์ แต่โกหกต่อพระเจ้า” เมื่อสิ้นคำกล่าวนั้น อานาเนียก็ล้มลงตาย และผู้คนที่ได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นก็เกิดความหวาดกลัว จากนั้นพวกชายหนุ่มก็ได้ลุกขึ้นมาห่อตัวเขา และหามออกไปฝัง

ประมาณ 3 ชั่วโมงต่อมาภรรยาของเขาก็เข้ามาโดยไม่ทราบว่าได้เกิดอะไรขึ้น เปโตรถามนางว่า “ช่วยบอกข้าพเจ้าว่าท่านและอานาเนียขายที่ดินได้ในราคานี้หรือ” นางตอบว่า “ใช่แล้ว ขายได้ในราคานี้” เปโตรจึงตอบว่า “พวกท่านเห็นพ้องต้องกันได้อย่างไรในการที่จะลองดีกับพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า ดูนั่น เท้าของพวกที่ฝังสามีของท่านยังอยู่ที่ประตู และพร้อมที่จะหามตัวท่านออกไปเช่นกัน” 10 ทันใดนั้นนางก็ล้มลงตายอยู่แทบเท้าของเปโตร เมื่อชายหนุ่มเหล่านั้นเข้ามาก็พบว่านางตายแล้ว จึงหามนางออกไปฝังไว้ข้างสามีของนาง 11 ทั่วทั้งคริสตจักรและทุกคนที่ได้ยินเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็เกิดความหวาดกลัวยิ่งนัก

อัครทูตรักษาโรคให้คนจำนวนมาก

12 เหล่าอัครทูตได้แสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์ อีกทั้งสิ่งมหัศจรรย์หลายอย่างในหมู่ฝูงชน และผู้ที่เชื่อทั้งหลายประชุมร่วมกันที่เฉลียงของซาโลมอน 13 แม้ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะเข้ามาร่วมด้วย แต่กระนั้นผู้คนก็ยังเคารพพวกเขามาก 14 และผู้ที่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้ามีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ทั้งชายและหญิงมีเป็นจำนวนมาก 15 จนถึงขั้นที่พวกเขาได้หามคนป่วยไปที่ถนนหนทาง และให้นอนอยู่บนแคร่หรือไม่ก็เสื่อ เพื่ออย่างน้อยเงาของเปโตรจะได้ถูกตัวบ้างเวลาที่ท่านเดินผ่านไป 16 มีผู้คนชุมนุมกันที่มาจากเมืองต่างๆ ใกล้เมืองเยรูซาเล็มด้วยที่นำคนป่วยและพวกที่ถูกวิญญาณร้ายรังควานมา และทุกคนก็ได้รับการรักษาให้หาย

อัครทูตถูกกดขี่ข่มเหง

17 ส่วนหัวหน้ามหาปุโรหิตและผู้ร่วมงานทุกคนของเขาซึ่งเป็นสมาชิกของพรรคสะดูสีก็เกิดความอิจฉา 18 จึงจับตัวเหล่าอัครทูตขังไว้ในคุกหลวง 19 ตกกลางคืน ทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระผู้เป็นเจ้าได้เปิดประตูคุกและพาพวกเขาออกไป 20 ทูตสวรรค์กล่าวว่า “จงไปยืนที่บริเวณพระวิหารเพื่อบอกผู้คนถึงเรื่องราวทั้งสิ้นในการดำเนินชีวิตใหม่นี้” 21 เมื่อได้ยินดังนั้น พวกเขาจึงได้เข้าไปสั่งสอนผู้คนในบริเวณพระวิหารตอนฟ้าสาง

ครั้นหัวหน้ามหาปุโรหิตและพวกร่วมงานของเขามาถึง ก็เรียกประชุมศาสนสภา คือคณะพวกผู้ใหญ่ของชาวอิสราเอลทั้งหมด และให้คนไปพาตัวเหล่าอัครทูตออกมาจากคุก 22 แต่เมื่อถึงคุกแล้ว พวกเจ้าหน้าที่กลับไม่พบใครเลย จึงได้กลับไปรายงานว่า 23 “พวกเราเห็นคุกยังคงปิดอยู่อย่างแข็งแรง และมียามยืนเฝ้าอยู่ที่ประตูด้วย แต่เมื่อพวกเราเปิดประตู กลับไม่พบใครอยู่ข้างในเลย” 24 เมื่อหัวหน้านายทหารประจำพระวิหารและพวกมหาปุโรหิตได้ยินรายงานนั้นก็งุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น 25 มีใครคนหนึ่งได้มายืนพลางพูดว่า “ดูสิ พวกที่ท่านจับเข้าคุกกำลังยืนสั่งสอนผู้คนอยู่ที่บริเวณพระวิหาร” 26 นายทหารพร้อมพวกเจ้าหน้าที่จึงพากันไปยังที่นั้น เพื่อนำเหล่าอัครทูตกลับมาโดยไม่ใช้กำลัง ด้วยเกรงจะถูกผู้คนเอาหินขว้างปา

27 คนที่ไปจับกุมอัครทูตได้นำพวกเขามายืนต่อหน้าศาสนสภา เพื่อให้หัวหน้ามหาปุโรหิตเป็นผู้ซักถาม 28 หัวหน้ามหาปุโรหิตจึงกล่าวว่า “พวกเราออกคำสั่งอย่างเด็ดขาดไม่ให้ท่านสั่งสอนในนามนี้ แต่พวกท่านยังสั่งสอนผู้คนทั่วทั้งเมืองเยรูซาเล็ม และต้องการให้เรารับผิดชอบกับความตายของชายคนนี้” 29 เปโตรและอัครทูตอื่นๆ ตอบว่า “พวกเราย่อมเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่ามนุษย์ 30 พระเจ้าของบรรพบุรุษของเราได้บันดาลให้พระเยซูฟื้นคืนชีวิตทั้งๆ ที่พวกท่านได้ประหารพระองค์ โดยตรึงบนไม้กางเขน 31 พระเจ้าได้เชิดชูพระเยซู ณ เบื้องขวาของพระองค์ในการเป็นผู้นำและองค์ผู้ช่วยให้รอดพ้น เพื่อจะให้ชนชาติอิสราเอลกลับใจ และโปรดที่จะยกโทษบาปให้ 32 พวกเราเป็นพยานในเรื่องเหล่านี้ได้ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระเจ้าได้มอบให้แก่คนที่เชื่อฟังพระองค์ ก็เป็นพยานได้เช่นกัน”

33 เมื่อคนเหล่านั้นได้ยินก็โกรธมากและต้องการจะฆ่าเหล่าอัครทูต 34 แต่ฟาริสี[a]ผู้หนึ่งชื่อกามาลิเอล เป็นอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติซึ่งผู้คนทั้งหลายนับถือ ได้ยืนขึ้นในศาสนสภา สั่งให้พวกอัครทูตออกไปข้างนอกสักครู่หนึ่ง 35 จากนั้นเขาจึงกล่าวว่า “ชาวอิสราเอล จงพิจารณาดูให้ดีว่าท่านเจตนาจะทำอะไรกับคนพวกนี้ 36 ครั้งหนึ่ง ธุดาสปรากฏตนโดยอ้างว่าเป็นคนสำคัญ และมีคนติดตามประมาณ 400 คน เมื่อธุดาสถูกฆ่า ผู้ติดตามทั้งหมดก็กระจัดกระจายหายไป สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนไม่ก่อประโยชน์ใดๆ 37 หลังจากธุดาสแล้ว ก็มียูดาสชาวกาลิลีซึ่งปรากฏตัว และนำคนก่อการปฏิวัติขึ้นในครั้งที่มีการจดทะเบียนสำมะโนครัว เมื่อเขาถูกฆ่า ผู้ติดตามทุกคนก็กระจัดกระจายไป 38 ฉะนั้นในกรณีนี้ ข้าพเจ้าขอแนะท่านว่า อย่าไปยุ่งกับคนพวกนี้เลย ปล่อยเขาไปเถิด เพราะถ้าจุดประสงค์หรือการกระทำของเขาเริ่มมาจากมนุษย์แล้ว มันก็จะล้มเหลว 39 แต่ถ้าเป็นคำสั่งจากพระเจ้าแล้ว ท่านก็จะไม่สามารถห้ามชายเหล่านี้ได้ ท่านจะเห็นว่าท่านกำลังต่อสู้กับพระเจ้า” 40 คำพูดของเขาสามารถเกลี้ยกล่อมคนเหล่านั้นได้ หลังจากที่ได้เรียกตัวพวกอัครทูตมาและโบยแล้ว ก็สั่งไม่ให้เขากล่าวสิ่งใดในพระนามของพระเยซู แล้วก็ปล่อยพวกเขาไป 41 เหล่าอัครทูตก็จากศาสนสภาไปด้วยความชื่นชมยินดี ที่พวกเขาได้รับเกียรติให้มารับการดูหมิ่นเพื่อพระนามนั้น 42 พวกเขาสั่งสอนและประกาศข่าวประเสริฐไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งในบริเวณพระวิหารและตามบ้านเรือนว่า พระเยซูคือพระคริสต์

เยเรมีย์ 14

ความอดอยาก สงคราม และโรคระบาด

14 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์เรื่องความแล้งน้ำดังนี้

“ยูดาห์ร้องคร่ำครวญ
    และประตูเมืองเศร้าสลด
พวกเขาร้องรำพันอยู่บนพื้นโลก
    และเสียงร้องของเยรูซาเล็มดังขึ้น
บรรดาผู้สูงศักดิ์ของเมืองให้ผู้รับใช้ของเขาไปหาน้ำมา
    พวกเขาก็มาถึงบ่อน้ำ แต่เห็นว่าไม่มีน้ำ
พวกเขาจึงแบกภาชนะเปล่า รู้สึกทั้งละอายใจ
    และสับสน จึงคลุมศีรษะกลับมา
เพราะพื้นดินแห้งผาก
    เนื่องจากแผ่นดินแล้งฝน
ชาวสวนละอายใจ
    จึงได้คลุมศีรษะกัน
แม้แต่แม่กวางในทุ่งก็ยังละทิ้งลูกที่เกิดใหม่
    เพราะไม่มีหญ้า
ลาป่ายืนบนเนินเขาสูงที่เตียน
    พวกมันกระหืดกระหอบสูดลมเหมือนหมาใน
สายตาไม่ดี
    เพราะไม่มีพืชผัก”

ถึงแม้ว่าความชั่วของพวกเราเป็นพยานฟ้องเรา
    โอ พระผู้เป็นเจ้า เพื่อพระนามของพระองค์ โปรดช่วยด้วยเถิด
พวกเราหันเหไปจากพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่า
    และได้กระทำบาปต่อพระองค์
พระองค์เป็นความหวังของอิสราเอล
    องค์ผู้ช่วยให้รอดพ้นในยามทุกข์
เหตุใดพระองค์จึงจะเป็นอย่างคนแปลกหน้าในแผ่นดิน
    อย่างนักเดินทางที่พักแรมอยู่เพียงคืนเดียว
เหตุใดพระองค์จึงจะเป็นอย่างคนที่งงงัน
    อย่างนักรบผู้เก่งกล้าที่ช่วยให้รอดไม่ได้
โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ยังอยู่ท่ามกลางพวกเรา
    และพวกเราได้รับเรียกว่าเป็นคนของพระองค์
    โปรดอย่าจากพวกเราไป

10 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวถึงชนชาตินี้ว่า

“พวกเขาชอบเร่ร่อน
    ไม่ยั้งเท้าที่ก้าวออกไป
ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าไม่ยอมรับพวกเขา
    บัดนี้ พระองค์จะนึกถึงความชั่วของพวกเขา
    และลงโทษบาปของพวกเขา”

11 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ “อย่าอธิษฐานให้คนเหล่านี้เป็นสุข 12 แม้ว่าพวกเขาจะอดอาหาร เราจะไม่ได้ยินเสียงร้องของพวกเขา และถึงแม้ว่าพวกเขามอบสัตว์ที่เผาเป็นของถวายและเครื่องธัญญบูชา เราก็จะไม่รับ แต่เราจะให้พวกเขาสิ้นชีวิตด้วยการสู้รบ ความอดอยาก และด้วยโรคระบาด”

ผู้เผยคำกล่าวที่พูดเท็จ

13 ข้าพเจ้าจึงพูดดังนี้ว่า “พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ดูเถิด บรรดาผู้เผยคำกล่าวพูดกับพวกเขาว่า ‘พวกเจ้าจะไม่เผชิญกับการสู้รบ และจะไม่ประสบกับความอดอยาก แต่เราจะให้สถานที่นี้มีสันติสุขอย่างแน่นอน’” 14 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “บรรดาผู้เผยคำกล่าวกำลังเผยความเท็จในนามของเรา เราไม่ได้ส่งพวกเขาไป และไม่ได้บัญชาอะไรหรือพูดอะไรกับพวกเขา พวกเขากำลังเผยความแก่เจ้าถึงภาพนิมิตเท็จ การทำนายอันไร้ค่า และในความคิดของพวกเขาเป็นภาพลวงตา 15 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวถึงบรรดาผู้เผยคำกล่าว ซึ่งเผยความในนามของเรา แม้เราจะไม่ได้ส่งพวกเขาไป และพวกเขาเป็นผู้ที่พูดว่า ‘การสู้รบและความอดอยากจะไม่เกิดขึ้นกับแผ่นดินนี้’ ผู้เผยคำกล่าวเหล่านั้นจะเสียชีวิตจากการสู้รบและความอดอยาก 16 และประชาชนที่ฟังพวกเขาเผยความจะถูกโยนออกไปที่ถนนของเยรูซาเล็ม และประสบกับความอดอยากและการสู้รบ ไม่มีใครฝังศพให้พวกเขาหรือภรรยา ลูกชายและลูกสาว เพราะเราจะให้พวกเขารับความชั่วร้ายจากพวกเขาเอง

17 เจ้าจงพูดกับพวกเขาดังนี้

‘ให้ข้าพเจ้าหลั่งน้ำตาทั้งวันและคืน
    อย่าให้หยุดร้องไห้เลย
เพราะธิดาพรหมจารีของประชาชนของข้าพเจ้าถูกโจมตี
    และบาดเจ็บแสนสาหัส
18 ถ้าข้าพเจ้าเข้าไปในไร่นา
    ดูเถิด พวกเขาถูกฆ่าจากการสู้รบ
และถ้าข้าพเจ้าเข้าไปในเมือง
    ดูเถิด เกิดโรคเนื่องจากความอดอยาก
เพราะทั้งผู้เผยคำกล่าวและปุโรหิตทำงานของพวกเขาต่อไป
    โดยไม่รู้ว่าตนกำลังทำอะไร’”

19 พระองค์ไม่ยอมรับยูดาห์จริงๆ หรือ
    พระองค์เกลียดชังศิโยนหรือ
เหตุใดพระองค์จึงได้เข่นฆ่าพวกเรา
    จนกระทั่งไม่มีการรักษาให้หายขาด
เรามองหาสันติสุข แต่ไม่มีสิ่งดีอันใดเกิดขึ้น
    เราหวังว่าจะหายจากโรคภัย แต่ดูเถิด มีสิ่งที่ทำให้ต้องกลัว
20 โอ พระผู้เป็นเจ้า พวกเราทราบดีถึงความชั่วร้ายของเรา
    และความผิดของบรรพบุรุษของเรา
    เพราะพวกเราได้กระทำบาปต่อพระองค์
21 ขอพระองค์อย่าดูหมิ่นพวกเราเพื่อพระนามของพระองค์
    ขอพระองค์อย่าหลู่เกียรติบัลลังก์อันสง่างามของพระองค์
    ขอพระองค์ระลึกและอย่ายกเลิกพันธสัญญาที่มีกับพวกเรา
22 มีรูปเคารพไร้ค่าของบรรดาประชาชาติใดบ้างที่โปรดให้มีฝนได้
    หรือท้องฟ้าจะสามารถโปรยฝนได้หรือ
โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเรา พระองค์เป็นผู้นั้นมิใช่หรอกหรือ
    พวกเราตั้งความหวังในพระองค์
    เพราะพระองค์เป็นผู้กระทำสิ่งเหล่านี้

มัทธิว 28

การฟื้นคืนชีวิต

28 หลังจากวันสะบาโต พอใกล้รุ่งในวันแรกของสัปดาห์ มารีย์ชาวมักดาลาและมารีย์อีกคนมาดูที่ถ้ำเก็บศพ ดูเถิด ได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขึ้น เพราะทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าได้ลงมาจากสวรรค์กลิ้งก้อนหินออกและนั่งอยู่บนหินนั้น ลักษณะของทูตสวรรค์ที่ปรากฏราวกับฟ้าแลบ เสื้อผ้าขาวราวกับหิมะ พวกทหารยามหวาดกลัวทูตสวรรค์จนตัวสั่นแล้วกลับแน่นิ่งราวกับคนตาย ทูตสวรรค์กล่าวตอบพวกผู้หญิงว่า “อย่ากลัวเลย เพราะเรารู้ว่าท่านกำลังมองหาพระเยซูผู้ถูกตรึงบนไม้กางเขน พระองค์ไม่อยู่ที่นี่ เพราะได้ฟื้นคืนชีวิตแล้ว ตามที่พระองค์ได้กล่าวไว้ มาดูที่ซึ่งพวกเขาวางร่างของพระองค์ไว้ จงไปบอกพวกสาวกของพระองค์โดยเร็วว่า พระองค์ได้ฟื้นคืนชีวิตจากความตายแล้ว และกำลังไปล่วงหน้าท่านยังแคว้นกาลิลี ท่านจะพบพระองค์ที่นั่น ดูเถิด เราได้บอกพวกท่านแล้ว” พวกเขาก็จากถ้ำเก็บศพไปโดยเร็วทั้งกลัวทั้งยินดียิ่ง วิ่งไปบอกเหล่าสาวกของพระองค์ ในทันใดนั้น พระเยซูพบพวกเขาและกล่าวคำทักทาย หญิงเหล่านั้นมากอดเท้าของพระองค์และนมัสการพระองค์ 10 พระเยซูกล่าวกับพวกเขาว่า “อย่ากลัวเลย จงไปบอกพี่น้องของเราให้ไปยังแคว้นกาลิลี และพบกับเราที่นั่น”

ทหารยามรายงาน

11 ขณะที่พวกเขากำลังจากไปนั้นเอง มีทหารยามบางคนเข้าไปในเมืองเพื่อรายงานแก่พวกมหาปุโรหิตตามเรื่องที่ได้เกิดขึ้น 12 เมื่อเขาเหล่านั้นได้ประชุมกันกับพวกผู้ใหญ่แล้ว ก็ให้เงินจำนวนมากแก่เหล่าทหาร 13 และบอกว่า “เจ้าต้องพูดว่า ‘บรรดาสาวกของเขามาในเวลากลางคืนขโมยร่างไปขณะที่พวกเรานอนหลับอยู่’ 14 และหากว่าเรื่องนี้ทราบถึงหูผู้ว่าราชการ พวกเราจะจูงใจให้เขาเชื่อ และไม่ก่อความลำบากแก่เจ้า” 15 พวกเขาเอาเงินไปและกระทำตามคำบงการ เรื่องนี้ก็เลื่องลือไปในหมู่ชาวยิวมาจนถึงทุกวันนี้

พระเยซูปรากฏแก่สาวก

16 สาวก 11 คนเริ่มเดินทางไปยังแคว้นกาลิลี ยังภูเขาซึ่งพระเยซูได้กล่าวเจาะจงไว้ 17 เมื่อพวกเขาเห็นพระองค์ก็กราบนมัสการพระองค์ แต่มีบางคนที่ยังสงสัย 18 พระเยซูมาและกล่าวกับพวกเขาว่า “สิทธิอำนาจทั้งสิ้นในสวรรค์และบนโลกได้มอบให้แก่เราแล้ว 19 ดังนั้น จงออกไปนำให้ชนทุกชาติมาเป็นสาวกของเรา ให้บัพติศมาแก่พวกเขาในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ 20 สอนให้เขาปฏิบัติสิ่งที่เราได้สั่งพวกเจ้าไว้ทั้งสิ้น พวกเจ้ามั่นใจได้ว่า เราอยู่กับพวกเจ้าเสมอจนกว่าจะสิ้นยุคนี้”

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation