M’Cheyne Bible Reading Plan
การสู้รบอันต่อเนื่องกับชาวคานาอัน
1 หลังจากที่โยชูวาเสียชีวิตไปแล้ว ชาวอิสราเอลถามพระผู้เป็นเจ้าว่า “ใครจะนำหน้าพวกเราขึ้นไปสู้รบกับชาวคานาอัน” 2 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “ยูดาห์จะขึ้นไป ดูเถิด เราได้มอบแผ่นดินนั้นไว้ในมือของเขาแล้ว” 3 ยูดาห์จึงพูดกับสิเมโอนพี่ของเขาว่า “ขึ้นไปกับเราเถิด เราจะได้เข้าไปในพรมแดนที่แบ่งให้เราไว้แล้ว พวกเราจะได้สู้รบกับชาวคานาอัน แล้วเราก็จะไปกับท่าน เข้าไปในพรมแดนที่แบ่งให้ท่านไว้แล้วเช่นกัน” ดังนั้นสิเมโอนจึงไปกับเขา 4 ครั้นแล้วยูดาห์ก็ขึ้นไป พระผู้เป็นเจ้ามอบชาวคานาอันและชาวเปริสไว้ในมือของพวกเขา และฆ่าคนจำนวน 10,000 คนที่เบเซก 5 พวกเขาพบอาโดนีเบเซกที่เบเซก และสู้รบกับเขาที่นั่น ฆ่าชาวคานาอันและชาวเปริส 6 ส่วนอาโดนีเบเซกหนีไป แต่พวกเขาก็ตามล่าและจับตัวเขาไว้ได้ เขาจึงถูกตัดนิ้วหัวแม่มือและหัวแม่เท้า 7 แล้วอาโดนีเบเซกพูดว่า “บรรดากษัตริย์ 70 ท่านถูกตัดนิ้วหัวแม่มือและหัวแม่เท้า เคยเก็บเศษอาหารใต้โต๊ะของเรา สิ่งที่เราได้กระทำไปแล้ว พระเจ้าก็กระทำตอบกลับคืนแก่เรา” แล้วพวกเขาก็นำตัวเขาไปยังเยรูซาเล็ม และเขาก็สิ้นชีวิตที่นั่น
8 ชาวยูดาห์โจมตีเยรูซาเล็มและยึดไว้ได้ จากนั้นก็ฆ่าชาวเมืองด้วยคมดาบและเผาเมืองเสีย 9 ต่อมาชาวยูดาห์ก็ลงไปสู้รบกับชาวคานาอันที่อาศัยอยู่ในแถบภูเขา ในเนเกบ และที่ลุ่ม 10 ยูดาห์ไปสู้รบกับชาวคานาอันที่อาศัยอยู่ในเฮโบรน (ชื่อเก่าของเฮโบรนคือ คีริยาทอาร์บาห์) และได้ฆ่าเชชัย อาหิมาน และทัลมัย
11 และเขาไปจากที่นั่นเพื่อสู้รบกับผู้อยู่อาศัยของเมืองเดบีร์ ก่อนหน้านั้นเมืองเดบีร์ชื่อ คีริยาทเสเฟอร์ 12 และคาเลบพูดว่า “ผู้ใดโจมตีและยึดคีริยาทเสเฟอร์ได้ เราจะยกอัคสาห์บุตรสาวของเราให้เป็นภรรยา” 13 โอทนีเอลบุตรของเคนัสผู้เป็นน้องคาเลบยึดเมืองไว้ได้ เขาจึงยกอัคสาห์บุตรหญิงของเขาให้เป็นภรรยา 14 เมื่อนางไปหาโอทนีเอล นางก็จูงใจเขาเพื่อจะขอทุ่งนาแห่งหนึ่งจากบิดาของนาง นางลงจากลา คาเลบจึงถามนางว่า “เจ้าต้องการสิ่งใดหรือ” 15 นางพูดว่า “ขอพรให้ลูก ในเมื่อท่านได้ให้ดินแดนเนเกบแก่ลูกแล้ว ก็ให้น้ำพุแก่ลูกด้วยเถิด” แล้วเขาก็ยกน้ำพุที่อยู่ด้านบนและด้านล่างให้นางไป
16 บรรดาผู้สืบเชื้อสายของพ่อตาโมเสสคือชาวเคน ก็ได้พากันขึ้นไปกับชาวยูดาห์จากเมืองแห่งต้นอินทผลัม เข้าไปยังถิ่นทุรกันดารยูดาห์ซึ่งอยู่ในเนเกบใกล้อาราด และได้ไปตั้งรกรากอยู่กับชาวเมืองนั้น 17 ยูดาห์กับสิเมโอนพี่ชายของเขาไปร่วมกันฆ่าชาวคานาอันที่อาศัยอยู่ในเมืองเศฟัท และมอบให้เป็นดั่งของถวาย ฉะนั้นเมืองนั้นจึงชื่อโฮร์มาห์ 18 ยูดาห์ยึดเมืองกาซา อัชเคโลนและเอโครน พร้อมทั้งอาณาเขตโดยรอบเมืองเหล่านี้ 19 พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับยูดาห์ เขาได้ยึดครองดินแดนในแถบภูเขา แต่ไม่สามารถขับไล่ชาวเมืองที่อยู่ในที่ราบให้ออกไปได้ เหตุเพราะพวกเขามีรถศึกที่ทำด้วยเหล็ก 20 เมืองเฮโบรนถูกยกให้เป็นของคาเลบตามที่โมเสสกล่าวไว้ แล้วท่านได้ขับไล่บุตรชายทั้งสามของอานาคออกไปจากที่นั่น 21 แต่ชาวเบนยามินไม่ได้ขับไล่ชาวเยบุสที่อาศัยอยู่ในเยรูซาเล็มออกไป ฉะนั้นชาวเยบุสจึงได้อาศัยอยู่กับชาวเบนยามินในเยรูซาเล็มมาจนถึงทุกวันนี้
22 พงศ์พันธุ์ของโยเซฟได้ขึ้นไปต่อสู้กับเมืองเบธเอลด้วย พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับพวกเขา 23 พงศ์พันธุ์ของโยเซฟได้ไปสำรวจเบธเอล (แต่เดิมเมืองนี้ชื่อ ลูส) 24 พวกสอดแนมเหล่านั้นเห็นชายผู้หนึ่งกำลังออกมาจากเมือง จึงพูดกับเขาว่า “ช่วยบอกทางเข้าไปในเมืองให้พวกเราด้วย แล้วเราจะเมตตาเจ้า” 25 ชายผู้นั้นก็ได้ชี้ทางเข้าไปในเมืองให้ แล้วพวกเขาฆ่าฟันคนทั้งเมือง แต่ปล่อยให้ชายคนนั้นกับครอบครัวไป 26 ชายคนนั้นได้เข้าไปในดินแดนของชาวฮิตและสร้างเมือง เรียกชื่อเมืองว่า ลูส ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้มาจนถึงทุกวันนี้
ชัยชนะที่ไม่เด็ดขาด
27 มนัสเสห์ไม่ได้ขับไล่ชาวเมืองเบธชาน ชาวเมืองทาอานาค ชาวเมืองโดร์ ชาวเมืองอิบเลอัม และชาวเมืองเมกิดโด แม้แต่ตามหมู่บ้านของเมืองดังกล่าวก็ไม่ได้ขับไล่ผู้คนออกไป เพราะว่าชาวคานาอันยังขัดขืนอาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้นต่อไป 28 เมื่อชาวอิสราเอลมีกำลังมากขึ้นก็เกณฑ์ชาวคานาอันมาทำงานหนัก แต่ก็ไม่ได้ขับไล่พวกเขาออกไปให้หมด
29 เอฟราอิมไม่ได้ขับไล่ชาวคานาอันที่อาศัยอยู่ในเมืองเกเซอร์ ฉะนั้นชาวคานาอันก็ยังอาศัยอยู่ในเกเซอร์ในหมู่พวกเขา
30 เศบูลุนไม่ได้ขับไล่ชาวเมืองคิทโรนและชาวเมืองนาหะโลลออกไป ฉะนั้นชาวคานาอันยังอาศัยอยู่ในหมู่พวกเขา แต่ก็ถูกเกณฑ์มาทำงานหนัก
31 อาเชอร์ไม่ได้ขับไล่ชาวเมืองอัคโค ชาวเมืองไซดอน ชาวเมืองอัคลาบ ชาวเมืองอัคซีบ ชาวเมืองเฮลบาห์ ชาวเมืองอาเฟก และชาวเมืองเรโหบ 32 ฉะนั้นชาวอาเชอร์ก็ได้อาศัยอยู่ในหมู่ชาวคานาอันซึ่งเป็นผู้อยู่อาศัยของแผ่นดินนั้น เนื่องจากที่ไม่ได้ขับไล่พวกเขาออกไป
33 นัฟทาลีไม่ได้ขับไล่ชาวเมืองเบธเชเมช และชาวเมืองเบธานาท ฉะนั้นพวกเขาจึงได้อาศัยอยู่ในหมู่ชาวคานาอันซึ่งเป็นผู้อยู่อาศัยของแผ่นดินนั้น แต่ชาวเมืองเบธเชเมชและเบธานาทก็ยังถูกเกณฑ์มาทำงานหนักให้พวกเขา
34 ชาวอาโมร์บังคับชาวดานให้กลับไปในดินแดนแถบภูเขา ไม่ปล่อยให้ลงมายังที่ราบ 35 ชาวอาโมร์ยังขัดขืนอาศัยอยู่ที่ภูเขาเฮเรส ในเมืองอัยยาโลน และในเมืองชาอัลบิม แต่พงศ์พันธุ์ของโยเซฟมีกำลังเหนือกว่า ชาวอาโมร์จึงถูกเกณฑ์มาทำงานหนัก 36 อาณาเขตของชาวอาโมร์เริ่มจากเนินสูงอัครับบิม จากเส-ลาและเลยขึ้นไปอีก
อานาเนียและสัปฟีรา
5 มีชายคนหนึ่งชื่ออานาเนียซึ่งมีภรรยาชื่อสัปฟีรา ได้ขายที่ดินผืนหนึ่ง 2 โดยเก็บเงินส่วนหนึ่งไว้สำหรับตนเอง ซึ่งภรรยาก็ทราบดี และนำส่วนที่เหลือมาวางไว้ที่เท้าของเหล่าอัครทูต 3 เปโตรจึงถามว่า “อานาเนีย เป็นเพราะอะไร ซาตานจึงได้ครองใจของท่านจนกล้าพูดเท็จต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ และได้เก็บเงินส่วนหนึ่งที่ได้จากการขายที่ดินไว้สำหรับตนเอง 4 ก่อนที่จะขายได้ ที่ดินนี้เป็นของท่าน และหลังจากที่ขายได้แล้ว เงินก็ยังเป็นสิทธิ์ของท่านมิใช่หรือ ทำไมท่านจึงได้คิดกระทำเช่นนั้น ท่านไม่ได้โกหกต่อมนุษย์ แต่โกหกต่อพระเจ้า” 5 เมื่อสิ้นคำกล่าวนั้น อานาเนียก็ล้มลงตาย และผู้คนที่ได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นก็เกิดความหวาดกลัว 6 จากนั้นพวกชายหนุ่มก็ได้ลุกขึ้นมาห่อตัวเขา และหามออกไปฝัง
7 ประมาณ 3 ชั่วโมงต่อมาภรรยาของเขาก็เข้ามาโดยไม่ทราบว่าได้เกิดอะไรขึ้น 8 เปโตรถามนางว่า “ช่วยบอกข้าพเจ้าว่าท่านและอานาเนียขายที่ดินได้ในราคานี้หรือ” นางตอบว่า “ใช่แล้ว ขายได้ในราคานี้” 9 เปโตรจึงตอบว่า “พวกท่านเห็นพ้องต้องกันได้อย่างไรในการที่จะลองดีกับพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า ดูนั่น เท้าของพวกที่ฝังสามีของท่านยังอยู่ที่ประตู และพร้อมที่จะหามตัวท่านออกไปเช่นกัน” 10 ทันใดนั้นนางก็ล้มลงตายอยู่แทบเท้าของเปโตร เมื่อชายหนุ่มเหล่านั้นเข้ามาก็พบว่านางตายแล้ว จึงหามนางออกไปฝังไว้ข้างสามีของนาง 11 ทั่วทั้งคริสตจักรและทุกคนที่ได้ยินเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็เกิดความหวาดกลัวยิ่งนัก
อัครทูตรักษาโรคให้คนจำนวนมาก
12 เหล่าอัครทูตได้แสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์ อีกทั้งสิ่งมหัศจรรย์หลายอย่างในหมู่ฝูงชน และผู้ที่เชื่อทั้งหลายประชุมร่วมกันที่เฉลียงของซาโลมอน 13 แม้ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะเข้ามาร่วมด้วย แต่กระนั้นผู้คนก็ยังเคารพพวกเขามาก 14 และผู้ที่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้ามีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ทั้งชายและหญิงมีเป็นจำนวนมาก 15 จนถึงขั้นที่พวกเขาได้หามคนป่วยไปที่ถนนหนทาง และให้นอนอยู่บนแคร่หรือไม่ก็เสื่อ เพื่ออย่างน้อยเงาของเปโตรจะได้ถูกตัวบ้างเวลาที่ท่านเดินผ่านไป 16 มีผู้คนชุมนุมกันที่มาจากเมืองต่างๆ ใกล้เมืองเยรูซาเล็มด้วยที่นำคนป่วยและพวกที่ถูกวิญญาณร้ายรังควานมา และทุกคนก็ได้รับการรักษาให้หาย
อัครทูตถูกกดขี่ข่มเหง
17 ส่วนหัวหน้ามหาปุโรหิตและผู้ร่วมงานทุกคนของเขาซึ่งเป็นสมาชิกของพรรคสะดูสีก็เกิดความอิจฉา 18 จึงจับตัวเหล่าอัครทูตขังไว้ในคุกหลวง 19 ตกกลางคืน ทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระผู้เป็นเจ้าได้เปิดประตูคุกและพาพวกเขาออกไป 20 ทูตสวรรค์กล่าวว่า “จงไปยืนที่บริเวณพระวิหารเพื่อบอกผู้คนถึงเรื่องราวทั้งสิ้นในการดำเนินชีวิตใหม่นี้” 21 เมื่อได้ยินดังนั้น พวกเขาจึงได้เข้าไปสั่งสอนผู้คนในบริเวณพระวิหารตอนฟ้าสาง
ครั้นหัวหน้ามหาปุโรหิตและพวกร่วมงานของเขามาถึง ก็เรียกประชุมศาสนสภา คือคณะพวกผู้ใหญ่ของชาวอิสราเอลทั้งหมด และให้คนไปพาตัวเหล่าอัครทูตออกมาจากคุก 22 แต่เมื่อถึงคุกแล้ว พวกเจ้าหน้าที่กลับไม่พบใครเลย จึงได้กลับไปรายงานว่า 23 “พวกเราเห็นคุกยังคงปิดอยู่อย่างแข็งแรง และมียามยืนเฝ้าอยู่ที่ประตูด้วย แต่เมื่อพวกเราเปิดประตู กลับไม่พบใครอยู่ข้างในเลย” 24 เมื่อหัวหน้านายทหารประจำพระวิหารและพวกมหาปุโรหิตได้ยินรายงานนั้นก็งุนงงว่าเกิดอะไรขึ้น 25 มีใครคนหนึ่งได้มายืนพลางพูดว่า “ดูสิ พวกที่ท่านจับเข้าคุกกำลังยืนสั่งสอนผู้คนอยู่ที่บริเวณพระวิหาร” 26 นายทหารพร้อมพวกเจ้าหน้าที่จึงพากันไปยังที่นั้น เพื่อนำเหล่าอัครทูตกลับมาโดยไม่ใช้กำลัง ด้วยเกรงจะถูกผู้คนเอาหินขว้างปา
27 คนที่ไปจับกุมอัครทูตได้นำพวกเขามายืนต่อหน้าศาสนสภา เพื่อให้หัวหน้ามหาปุโรหิตเป็นผู้ซักถาม 28 หัวหน้ามหาปุโรหิตจึงกล่าวว่า “พวกเราออกคำสั่งอย่างเด็ดขาดไม่ให้ท่านสั่งสอนในนามนี้ แต่พวกท่านยังสั่งสอนผู้คนทั่วทั้งเมืองเยรูซาเล็ม และต้องการให้เรารับผิดชอบกับความตายของชายคนนี้” 29 เปโตรและอัครทูตอื่นๆ ตอบว่า “พวกเราย่อมเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่ามนุษย์ 30 พระเจ้าของบรรพบุรุษของเราได้บันดาลให้พระเยซูฟื้นคืนชีวิตทั้งๆ ที่พวกท่านได้ประหารพระองค์ โดยตรึงบนไม้กางเขน 31 พระเจ้าได้เชิดชูพระเยซู ณ เบื้องขวาของพระองค์ในการเป็นผู้นำและองค์ผู้ช่วยให้รอดพ้น เพื่อจะให้ชนชาติอิสราเอลกลับใจ และโปรดที่จะยกโทษบาปให้ 32 พวกเราเป็นพยานในเรื่องเหล่านี้ได้ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระเจ้าได้มอบให้แก่คนที่เชื่อฟังพระองค์ ก็เป็นพยานได้เช่นกัน”
33 เมื่อคนเหล่านั้นได้ยินก็โกรธมากและต้องการจะฆ่าเหล่าอัครทูต 34 แต่ฟาริสี[a]ผู้หนึ่งชื่อกามาลิเอล เป็นอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติซึ่งผู้คนทั้งหลายนับถือ ได้ยืนขึ้นในศาสนสภา สั่งให้พวกอัครทูตออกไปข้างนอกสักครู่หนึ่ง 35 จากนั้นเขาจึงกล่าวว่า “ชาวอิสราเอล จงพิจารณาดูให้ดีว่าท่านเจตนาจะทำอะไรกับคนพวกนี้ 36 ครั้งหนึ่ง ธุดาสปรากฏตนโดยอ้างว่าเป็นคนสำคัญ และมีคนติดตามประมาณ 400 คน เมื่อธุดาสถูกฆ่า ผู้ติดตามทั้งหมดก็กระจัดกระจายหายไป สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนไม่ก่อประโยชน์ใดๆ 37 หลังจากธุดาสแล้ว ก็มียูดาสชาวกาลิลีซึ่งปรากฏตัว และนำคนก่อการปฏิวัติขึ้นในครั้งที่มีการจดทะเบียนสำมะโนครัว เมื่อเขาถูกฆ่า ผู้ติดตามทุกคนก็กระจัดกระจายไป 38 ฉะนั้นในกรณีนี้ ข้าพเจ้าขอแนะท่านว่า อย่าไปยุ่งกับคนพวกนี้เลย ปล่อยเขาไปเถิด เพราะถ้าจุดประสงค์หรือการกระทำของเขาเริ่มมาจากมนุษย์แล้ว มันก็จะล้มเหลว 39 แต่ถ้าเป็นคำสั่งจากพระเจ้าแล้ว ท่านก็จะไม่สามารถห้ามชายเหล่านี้ได้ ท่านจะเห็นว่าท่านกำลังต่อสู้กับพระเจ้า” 40 คำพูดของเขาสามารถเกลี้ยกล่อมคนเหล่านั้นได้ หลังจากที่ได้เรียกตัวพวกอัครทูตมาและโบยแล้ว ก็สั่งไม่ให้เขากล่าวสิ่งใดในพระนามของพระเยซู แล้วก็ปล่อยพวกเขาไป 41 เหล่าอัครทูตก็จากศาสนสภาไปด้วยความชื่นชมยินดี ที่พวกเขาได้รับเกียรติให้มารับการดูหมิ่นเพื่อพระนามนั้น 42 พวกเขาสั่งสอนและประกาศข่าวประเสริฐไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งในบริเวณพระวิหารและตามบ้านเรือนว่า พระเยซูคือพระคริสต์
ความอดอยาก สงคราม และโรคระบาด
14 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์เรื่องความแล้งน้ำดังนี้
2 “ยูดาห์ร้องคร่ำครวญ
และประตูเมืองเศร้าสลด
พวกเขาร้องรำพันอยู่บนพื้นโลก
และเสียงร้องของเยรูซาเล็มดังขึ้น
3 บรรดาผู้สูงศักดิ์ของเมืองให้ผู้รับใช้ของเขาไปหาน้ำมา
พวกเขาก็มาถึงบ่อน้ำ แต่เห็นว่าไม่มีน้ำ
พวกเขาจึงแบกภาชนะเปล่า รู้สึกทั้งละอายใจ
และสับสน จึงคลุมศีรษะกลับมา
4 เพราะพื้นดินแห้งผาก
เนื่องจากแผ่นดินแล้งฝน
ชาวสวนละอายใจ
จึงได้คลุมศีรษะกัน
5 แม้แต่แม่กวางในทุ่งก็ยังละทิ้งลูกที่เกิดใหม่
เพราะไม่มีหญ้า
6 ลาป่ายืนบนเนินเขาสูงที่เตียน
พวกมันกระหืดกระหอบสูดลมเหมือนหมาใน
สายตาไม่ดี
เพราะไม่มีพืชผัก”
7 ถึงแม้ว่าความชั่วของพวกเราเป็นพยานฟ้องเรา
โอ พระผู้เป็นเจ้า เพื่อพระนามของพระองค์ โปรดช่วยด้วยเถิด
พวกเราหันเหไปจากพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่า
และได้กระทำบาปต่อพระองค์
8 พระองค์เป็นความหวังของอิสราเอล
องค์ผู้ช่วยให้รอดพ้นในยามทุกข์
เหตุใดพระองค์จึงจะเป็นอย่างคนแปลกหน้าในแผ่นดิน
อย่างนักเดินทางที่พักแรมอยู่เพียงคืนเดียว
9 เหตุใดพระองค์จึงจะเป็นอย่างคนที่งงงัน
อย่างนักรบผู้เก่งกล้าที่ช่วยให้รอดไม่ได้
โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ยังอยู่ท่ามกลางพวกเรา
และพวกเราได้รับเรียกว่าเป็นคนของพระองค์
โปรดอย่าจากพวกเราไป
10 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวถึงชนชาตินี้ว่า
“พวกเขาชอบเร่ร่อน
ไม่ยั้งเท้าที่ก้าวออกไป
ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าไม่ยอมรับพวกเขา
บัดนี้ พระองค์จะนึกถึงความชั่วของพวกเขา
และลงโทษบาปของพวกเขา”
11 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ “อย่าอธิษฐานให้คนเหล่านี้เป็นสุข 12 แม้ว่าพวกเขาจะอดอาหาร เราจะไม่ได้ยินเสียงร้องของพวกเขา และถึงแม้ว่าพวกเขามอบสัตว์ที่เผาเป็นของถวายและเครื่องธัญญบูชา เราก็จะไม่รับ แต่เราจะให้พวกเขาสิ้นชีวิตด้วยการสู้รบ ความอดอยาก และด้วยโรคระบาด”
ผู้เผยคำกล่าวที่พูดเท็จ
13 ข้าพเจ้าจึงพูดดังนี้ว่า “พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ดูเถิด บรรดาผู้เผยคำกล่าวพูดกับพวกเขาว่า ‘พวกเจ้าจะไม่เผชิญกับการสู้รบ และจะไม่ประสบกับความอดอยาก แต่เราจะให้สถานที่นี้มีสันติสุขอย่างแน่นอน’” 14 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “บรรดาผู้เผยคำกล่าวกำลังเผยความเท็จในนามของเรา เราไม่ได้ส่งพวกเขาไป และไม่ได้บัญชาอะไรหรือพูดอะไรกับพวกเขา พวกเขากำลังเผยความแก่เจ้าถึงภาพนิมิตเท็จ การทำนายอันไร้ค่า และในความคิดของพวกเขาเป็นภาพลวงตา 15 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้ากล่าวถึงบรรดาผู้เผยคำกล่าว ซึ่งเผยความในนามของเรา แม้เราจะไม่ได้ส่งพวกเขาไป และพวกเขาเป็นผู้ที่พูดว่า ‘การสู้รบและความอดอยากจะไม่เกิดขึ้นกับแผ่นดินนี้’ ผู้เผยคำกล่าวเหล่านั้นจะเสียชีวิตจากการสู้รบและความอดอยาก 16 และประชาชนที่ฟังพวกเขาเผยความจะถูกโยนออกไปที่ถนนของเยรูซาเล็ม และประสบกับความอดอยากและการสู้รบ ไม่มีใครฝังศพให้พวกเขาหรือภรรยา ลูกชายและลูกสาว เพราะเราจะให้พวกเขารับความชั่วร้ายจากพวกเขาเอง
17 เจ้าจงพูดกับพวกเขาดังนี้
‘ให้ข้าพเจ้าหลั่งน้ำตาทั้งวันและคืน
อย่าให้หยุดร้องไห้เลย
เพราะธิดาพรหมจารีของประชาชนของข้าพเจ้าถูกโจมตี
และบาดเจ็บแสนสาหัส
18 ถ้าข้าพเจ้าเข้าไปในไร่นา
ดูเถิด พวกเขาถูกฆ่าจากการสู้รบ
และถ้าข้าพเจ้าเข้าไปในเมือง
ดูเถิด เกิดโรคเนื่องจากความอดอยาก
เพราะทั้งผู้เผยคำกล่าวและปุโรหิตทำงานของพวกเขาต่อไป
โดยไม่รู้ว่าตนกำลังทำอะไร’”
19 พระองค์ไม่ยอมรับยูดาห์จริงๆ หรือ
พระองค์เกลียดชังศิโยนหรือ
เหตุใดพระองค์จึงได้เข่นฆ่าพวกเรา
จนกระทั่งไม่มีการรักษาให้หายขาด
เรามองหาสันติสุข แต่ไม่มีสิ่งดีอันใดเกิดขึ้น
เราหวังว่าจะหายจากโรคภัย แต่ดูเถิด มีสิ่งที่ทำให้ต้องกลัว
20 โอ พระผู้เป็นเจ้า พวกเราทราบดีถึงความชั่วร้ายของเรา
และความผิดของบรรพบุรุษของเรา
เพราะพวกเราได้กระทำบาปต่อพระองค์
21 ขอพระองค์อย่าดูหมิ่นพวกเราเพื่อพระนามของพระองค์
ขอพระองค์อย่าหลู่เกียรติบัลลังก์อันสง่างามของพระองค์
ขอพระองค์ระลึกและอย่ายกเลิกพันธสัญญาที่มีกับพวกเรา
22 มีรูปเคารพไร้ค่าของบรรดาประชาชาติใดบ้างที่โปรดให้มีฝนได้
หรือท้องฟ้าจะสามารถโปรยฝนได้หรือ
โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเรา พระองค์เป็นผู้นั้นมิใช่หรอกหรือ
พวกเราตั้งความหวังในพระองค์
เพราะพระองค์เป็นผู้กระทำสิ่งเหล่านี้
การฟื้นคืนชีวิต
28 หลังจากวันสะบาโต พอใกล้รุ่งในวันแรกของสัปดาห์ มารีย์ชาวมักดาลาและมารีย์อีกคนมาดูที่ถ้ำเก็บศพ 2 ดูเถิด ได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขึ้น เพราะทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นเจ้าได้ลงมาจากสวรรค์กลิ้งก้อนหินออกและนั่งอยู่บนหินนั้น 3 ลักษณะของทูตสวรรค์ที่ปรากฏราวกับฟ้าแลบ เสื้อผ้าขาวราวกับหิมะ 4 พวกทหารยามหวาดกลัวทูตสวรรค์จนตัวสั่นแล้วกลับแน่นิ่งราวกับคนตาย 5 ทูตสวรรค์กล่าวตอบพวกผู้หญิงว่า “อย่ากลัวเลย เพราะเรารู้ว่าท่านกำลังมองหาพระเยซูผู้ถูกตรึงบนไม้กางเขน 6 พระองค์ไม่อยู่ที่นี่ เพราะได้ฟื้นคืนชีวิตแล้ว ตามที่พระองค์ได้กล่าวไว้ มาดูที่ซึ่งพวกเขาวางร่างของพระองค์ไว้ 7 จงไปบอกพวกสาวกของพระองค์โดยเร็วว่า พระองค์ได้ฟื้นคืนชีวิตจากความตายแล้ว และกำลังไปล่วงหน้าท่านยังแคว้นกาลิลี ท่านจะพบพระองค์ที่นั่น ดูเถิด เราได้บอกพวกท่านแล้ว” 8 พวกเขาก็จากถ้ำเก็บศพไปโดยเร็วทั้งกลัวทั้งยินดียิ่ง วิ่งไปบอกเหล่าสาวกของพระองค์ 9 ในทันใดนั้น พระเยซูพบพวกเขาและกล่าวคำทักทาย หญิงเหล่านั้นมากอดเท้าของพระองค์และนมัสการพระองค์ 10 พระเยซูกล่าวกับพวกเขาว่า “อย่ากลัวเลย จงไปบอกพี่น้องของเราให้ไปยังแคว้นกาลิลี และพบกับเราที่นั่น”
ทหารยามรายงาน
11 ขณะที่พวกเขากำลังจากไปนั้นเอง มีทหารยามบางคนเข้าไปในเมืองเพื่อรายงานแก่พวกมหาปุโรหิตตามเรื่องที่ได้เกิดขึ้น 12 เมื่อเขาเหล่านั้นได้ประชุมกันกับพวกผู้ใหญ่แล้ว ก็ให้เงินจำนวนมากแก่เหล่าทหาร 13 และบอกว่า “เจ้าต้องพูดว่า ‘บรรดาสาวกของเขามาในเวลากลางคืนขโมยร่างไปขณะที่พวกเรานอนหลับอยู่’ 14 และหากว่าเรื่องนี้ทราบถึงหูผู้ว่าราชการ พวกเราจะจูงใจให้เขาเชื่อ และไม่ก่อความลำบากแก่เจ้า” 15 พวกเขาเอาเงินไปและกระทำตามคำบงการ เรื่องนี้ก็เลื่องลือไปในหมู่ชาวยิวมาจนถึงทุกวันนี้
พระเยซูปรากฏแก่สาวก
16 สาวก 11 คนเริ่มเดินทางไปยังแคว้นกาลิลี ยังภูเขาซึ่งพระเยซูได้กล่าวเจาะจงไว้ 17 เมื่อพวกเขาเห็นพระองค์ก็กราบนมัสการพระองค์ แต่มีบางคนที่ยังสงสัย 18 พระเยซูมาและกล่าวกับพวกเขาว่า “สิทธิอำนาจทั้งสิ้นในสวรรค์และบนโลกได้มอบให้แก่เราแล้ว 19 ดังนั้น จงออกไปนำให้ชนทุกชาติมาเป็นสาวกของเรา ให้บัพติศมาแก่พวกเขาในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ 20 สอนให้เขาปฏิบัติสิ่งที่เราได้สั่งพวกเจ้าไว้ทั้งสิ้น พวกเจ้ามั่นใจได้ว่า เราอยู่กับพวกเจ้าเสมอจนกว่าจะสิ้นยุคนี้”
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation