M’Cheyne Bible Reading Plan
การแบ่งดินแดนส่วนที่เหลือ
18 ประชากรอิสราเอลทั้งหมดมาชุมนุมกันที่ชิโลห์ และตั้งเต็นท์นัดพบขึ้น พวกเขาได้เข้าครอบครองดินแดนนั้น 2 แต่ชนอิสราเอลอีกเจ็ดเผ่ายังไม่ได้รับกรรมสิทธิ์ของตน
3 โยชูวาจึงกล่าวแก่ชนอิสราเอลว่า “ท่านจะรออีกนานเท่าใดจึงจะเข้าไปยึดครองดินแดนซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษประทานแก่ท่าน? 4 จงคัดเลือกคนมาเผ่าละสามคน ข้าพเจ้าจะส่งพวกเขาไปสำรวจและบันทึกลักษณะของดินแดนตามกรรมสิทธิ์นั้น แล้วกลับมารายงานข้าพเจ้า 5 ท่านจงแบ่งดินแดนเป็นเจ็ดส่วน ยูดาห์ยังคงอยู่ในเขตของตนทางใต้ และเผ่าโยเซฟอยู่ในเขตของตนทางเหนือ 6 หลังจากท่านจดรายละเอียดส่วนต่างๆ ทั้งเจ็ดส่วนแล้ว จงนำมาให้ข้าพเจ้าที่นี่ ข้าพเจ้าจะทอดสลากแบ่งสรรให้พวกท่านต่อหน้าพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา 7 อย่างไรก็ตามชนเลวีจะไม่ได้รับส่วนแบ่งท่ามกลางพวกท่าน เพราะกรรมสิทธิ์ของพวกเขาคือหน้าที่ปุโรหิตรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าสำหรับเผ่ากาด รูเบน และเผ่ามนัสเสห์ครึ่งเผ่าได้รับดินแดนฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนแล้ว ซึ่งโมเสสผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้ายกให้พวกเขา”
8 เมื่อคนเหล่านั้นออกเดินทางเพื่อจะไปสำรวจดินแดน โยชูวาสั่งพวกเขาว่า “จงไปสำรวจและบันทึกลักษณะของดินแดนนั้น แล้วกลับมาหาข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะได้ทอดสลากแบ่งสรรดินแดนให้แก่พวกท่านต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ชิโลห์” 9 พวกเขาจึงออกไปสำรวจทั่วดินแดน จดรายละเอียดแต่ละเมืองในเจ็ดเขตลงบนหนังสือม้วน และกลับมารายงานโยชูวาในค่ายพักที่ชิโลห์ 10 โยชูวาก็ทอดสลากแบ่งสรรต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ชิโลห์ และมอบดินแดนให้แก่ชนอิสราเอลแต่ละเผ่า
ดินแดนของเผ่าเบนยามิน
11 สลากแรกได้แก่เผ่าเบนยามินตามแต่ละตระกูล เขตแดนของเบนยามินอยู่ระหว่างยูดาห์กับโยเซฟ
12 อาณาเขตทิศเหนือเริ่มจากแม่น้ำจอร์แดน ผ่านลาดเขาทางเหนือของเยรีโค แล้วเลี้ยวไปทางทิศตะวันตกผ่านดินแดนเทือกเขาและถิ่นกันดารเบธอาเวน 13 จากนั้นมายังลาดเขาของลูส (คือเบธเอล) และลงมาถึงอาทาโรทอัดดาร์บนภูเขาทางใต้ของเบธโฮโรนล่าง
14 จากเนินเขาที่หันไปทางเมืองเบธโฮโรนทางด้านใต้ของเขตแดน แล้วลงมาทางใต้ไปตามด้านตะวันตก สิ้นสุดลงที่คีริยาทบาอัล (คือคีริยาทเยอาริม) อันเป็นเมืองหนึ่งของเผ่ายูดาห์ นี่คืออาณาเขตทิศตะวันตก
15 ทิศใต้เริ่มจากชานเมืองคีริยาทเยอาริมทางตะวันตก มาถึงธารน้ำพุเนฟโทอาห์ 16 และลงมาที่เชิงเขาใกล้หุบเขาเบนฮินโนม ทางเหนือของหุบเขาเรฟาอิม มาตามหุบเขาฮินโนม เลียบลาดเขาทางใต้ของเมืองเยบุส มาสู่เอนโรเกล 17 แล้วโค้งไปทางเหนือสู่เอนเชเมช ต่อไปถึงเกลีโลทซึ่งอยู่ตรงข้ามช่องแคบอาดุมมิม แล้วลงมาสู่ศิลาแห่งโบฮัน บุตรของรูเบน 18 จากที่นั่นไปตามลาดเขาทางเหนือของเบธอาราบาห์[a]ลงไปถึงอาราบาห์ 19 จากนั้นไปยังลาดเขาทางเหนือของเบธโฮกลาห์ มาออกที่อ่าวด้านเหนือของทะเลเกลือ[b]ตรงปากแม่น้ำจอร์แดนด้านทิศใต้ นี่คือพรมแดนทางใต้
20 พรมแดนทิศตะวันออกคือแม่น้ำจอร์แดน
นี่คือพรมแดนโดยรอบของดินแดนซึ่งยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของตระกูลต่างๆ ของเผ่าเบนยามิน
21 เผ่าเบนยามินตามแต่ละตระกูลได้รับเมืองต่างๆ ดังนี้คือ
เยรีโค เบธโฮกลาห์ เอเมคเคซีส 22 เบธอาราบาห์ เศมาราอิม เบธเอล 23 อัฟวิม ปาราห์ โอฟราห์ 24 เคฟาร์อัมโมนี โอฟนี และเกบา รวม 12 เมืองกับหมู่บ้านต่างๆ
25 กิเบโอน รามาห์ เบเอโรท 26 มิสปาห์ เคฟีราห์ โมซาห์ 27 เรเคม อิรเปเอล ทาราลาห์ 28 เศลาห์ ฮาเอเลฟ เมืองชาวเยบุส (คือเยรูซาเล็ม) กิเบอาห์ และคีริยาท รวม 14 เมืองกับหมู่บ้านต่างๆ
นี่คือกรรมสิทธิ์ของเผ่าเบนยามินแบ่งตามตระกูล
ดินแดนของเผ่าสิเมโอน(A)
19 สลากที่สองได้แก่เผ่าสิเมโอนตามแต่ละตระกูล กรรมสิทธิ์ของพวกเขาอยู่ในเขตแดนของยูดาห์ 2 รวมเมืองต่างๆ ได้แก่
เบเออร์เชบา (หรือเชบา)[c] โมลาดาห์ 3 ฮาซารชูอาล บาลาห์ เอเซม 4 เอลโทลัด เบธูล โฮรมาห์ 5 ศิกลาก เบธมารคาโบท ฮาซารซูซาห์ 6 เบธเลบาโอท และชารุเฮน รวม 13 เมืองกับหมู่บ้านต่างๆ
7 อายิน ริมโมน เอเธอร์ และอาชาน รวม 4 เมืองกับหมู่บ้านต่างๆ 8 และหมู่บ้านต่างๆ รอบเมืองเหล่านี้ไปจนถึงบาอาลัทเบเออร์ (รามาห์ในเนเกบ)
นี่คือกรรมสิทธิ์ของเผ่าสิเมโอนตามแต่ละตระกูล 9 กรรมสิทธิ์ของเผ่าสิเมโอนมาจากส่วนที่แต่ก่อนยกให้ยูดาห์ ทั้งนี้เพราะส่วนที่ยูดาห์ได้รับมากเกินกว่าที่พวกเขาต้องการ สิเมโอนจึงได้รับกรรมสิทธิ์ในเขตของยูดาห์
ดินแดนของเผ่าเศบูลุน
10 สลากที่สามได้แก่เผ่าเศบูลุนตามแต่ละตระกูล
อาณาเขตของเขาไปไกลถึงสาริด 11 มาทางตะวันตกถึงมาราลาห์จดกับดับเบเชท และขยายไปถึงลำห้วยใกล้โยกเนอัม 12 ไปทางตะวันออกจากสาริด ไปทางดวงอาทิตย์ขึ้นสู่เขตแดนคิสโลททาโบร์ ต่อมาถึงดาเบรัทและขึ้นไปยาเฟีย 13 จากนั้นต่อไปทางตะวันออกถึงกัทเฮเฟอร์ และเอทคาซินจนถึงริมโมนและเลี้ยวไปสู่เนอาห์ 14 จากที่นั่นพรมแดนอ้อมขึ้นเหนือไปยังฮันนาโธน สิ้นสุดลงที่หุบเขาอิฟทาห์เอล 15 ครอบคลุมเมืองคัททาท นาหะลาล ชิมโรน อิดาลาห์ และเบธเลเฮม รวม 12 เมืองพร้อมทั้งหมู่บ้านโดยรอบ
16 เมืองและหมู่บ้านเหล่านี้เป็นกรรมสิทธิ์ของเผ่าเศบูลุนตามแต่ละตระกูล
ดินแดนของเผ่าอิสสาคาร์
17 สลากที่สี่ได้แก่อิสสาคาร์ตามแต่ละตระกูล 18 อาณาเขตของพวกเขาครอบคลุม
เมืองยิสเรเอล เคสุลโลท ชูเนม 19 ฮาฟาราอิม ชิโยน อานาหะราท 20 รับบีท คีชิโอน เอเบส 21 เรเมท เอนกันนิม เอนฮัดดาห์ และเบธปัสเซส 22 พรมแดนไปจดทาโบร์ ชาหะซุมาห์ และเบธเชเมช สิ้นสุดลงที่แม่น้ำจอร์แดน รวมทั้งสิ้น 16 เมืองพร้อมทั้งหมู่บ้านโดยรอบ
23 เมืองและหมู่บ้านเหล่านี้เป็นกรรมสิทธิ์ของเผ่าอิสสาคาร์ตามแต่ละตระกูล
ดินแดนของเผ่าอาเชอร์
24 สลากที่ห้าได้แก่เผ่าอาเชอร์ตามแต่ละตระกูล 25 อาณาเขตของพวกเขาครอบคลุมเมืองต่างๆ คือ
เฮลคัท ฮาลี เบเทน อัคชาฟ 26 อัลลัมเมเลค อามัดและมิชอาล พรมแดนทาง ทิศตะวันตกจดคารเมลและชิโหร์ลิบนาท 27 อ้อมไปทางตะวันออกสู่เบธดาโกน จดกับเศบูลุนและหุบเขาอิฟทาห์เอล ไปทางเหนือถึงเบธเอเมคและเนอีเอล ผ่านคาบูลทางซ้าย 28 จนถึงอับโดน[d] เรโหบ ฮัมโมน และคานาห์ ไปไกลถึงไซดอนใหญ่ 29 จากนั้นวกกลับไปยังรามาห์และเมืองป้อมปราการของไทระ เลี้ยวไปทางโฮสาห์และมาออกทะเลในภูมิภาคอัคซิบ 30 อุมมาห์ อาเฟค และเรโหบ รวม 22 เมืองพร้อมทั้งหมู่บ้านโดยรอบ
31 เมืองและหมู่บ้านเหล่านี้เป็นกรรมสิทธิ์ของเผ่าอาเชอร์ตามแต่ละตระกูล
ดินแดนของเผ่านัฟทาลี
32 สลากที่หกได้แก่เผ่านัฟทาลีตามแต่ละตระกูล
33 พรมแดนของพวกเขาเริ่มจากเฮเลฟ และต้นไม้ใหญ่ในศาอานันนิม ผ่านอาดามีเนเกบ และยับเนเอลถึงลัคคูม สุดเขตที่แม่น้ำจอร์แดน 34 พรมแดนไปทางตะวันตกผ่านอัสโนททาโบร์และมาออกที่ฮุกกอก ทางใต้จดเศบูลุน ทางตะวันตกจดอาเชอร์ และทางตะวันออกจดแม่น้ำจอร์แดน[e] 35 เมืองป้อมปราการต่างๆ ได้แก่ ศิดดิม เศอร์ ฮัมมัท รัคคัท คินเนเรท 36 อาดามาห์ รามาห์ ฮาโซร์ 37 เคเดช เอเดรอี เอนฮาโซร์ 38 อิโรน มิกดัลเอล โฮเรม เบธอานาท และเบธเชเมช รวม 19 เมืองพร้อมทั้งหมู่บ้านโดยรอบ
39 เมืองและหมู่บ้านเหล่านี้เป็นกรรมสิทธิ์ของเผ่านัฟทาลีตามแต่ละตระกูล
ดินแดนของเผ่าดาน
40 สลากที่เจ็ดได้แก่เผ่าดานตามแต่ละตระกูล 41 ดินแดนในกรรมสิทธิ์ของพวกเขาครอบคลุมเมืองต่างๆ ดังนี้คือ
เมืองโศราห์ เอชทาโอล อิรเชเมช 42 ชาอาลับบิน อัยยาโลน อิทลาห์ 43 เอโลน ทิมนาห์ เอโครน 44 เอลเทเคห์ กิบเบโธน บาอาลัท 45 เยฮูด เบเนเบราค กัทริมโมน 46 เมยารโคน และรัคโคน รวมทั้งดินแดนตรงข้ามกับเมืองยัฟฟา
47 (แต่เผ่าดานเข้าไปยึดครองดินแดนตามกรรมสิทธิ์ของตนอย่างยากลำบาก พวกเขาจึงขึ้นไปโจมตีเมืองเลเชม ฆ่าชาวเมืองนั้นและเข้าอาศัยที่นั่น และเรียกเมืองเลเชมว่าดานตามชื่อบรรพบุรุษของตน)
48 เมืองและหมู่บ้านเหล่านี้เป็นกรรมสิทธิ์ของเผ่าดานตามแต่ละตระกูล
ส่วนแบ่งของโยชูวา
49 เมื่อแบ่งสรรดินแดนแก่เผ่าต่างๆ ตามอาณาเขตที่ระบุไว้เสร็จแล้ว ชนชาติอิสราเอลยกที่ดินผืนหนึ่งให้โยชูวาบุตรนูนเป็นกรรมสิทธิ์ท่ามกลางพวกเขา 50 ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงบัญชาไว้ พวกเขายกเมืองให้ตามที่โยชูวาขอคือทิมนาทเสราห์[f]ในแดนเทือกเขาแห่งเอฟราอิม เขาก็สร้างเมืองและตั้งหลักแหล่งที่นั่น
51 ทั้งหมดนี้คือดินแดนต่างๆ ซึ่งปุโรหิตเอเลอาซาร์ โยชูวาบุตรนูน และบรรดาผู้นำของเผ่าต่างๆ ของอิสราเอลแบ่งสรร โดยการทอดสลากที่ชิโลห์ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าตรงทางเข้าเต็นท์นัดพบ เป็นอันว่าพวกเขาแบ่งสรรดินแดนเสร็จเรียบร้อย
149 จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า[a]
จงร้องเพลงบทใหม่ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า
ร้องเพลงสรรเสริญพระองค์ในที่ชุมนุมของประชากร
2 ให้อิสราเอลปีติยินดีในพระผู้สร้างของตน
ให้ประชากรแห่งศิโยนชื่นชมในองค์กษัตริย์ของเขา
3 ให้พวกเขาสรรเสริญพระนามของพระองค์ด้วยการเต้นรำ
และบรรเลงเพลงถวายแด่พระองค์ด้วยพิณและรำมะนา
4 เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปีติยินดีในประชากรของพระองค์
ทรงเชิดชูผู้ถ่อมใจด้วยชัยชนะ
5 ประชากรของพระองค์จงปีติยินดีในเกียรติยศนี้
และร้องเพลงด้วยความชื่นชมยินดีขณะอยู่บนที่นอนของพวกเขา
6 ขอให้คำสรรเสริญพระเจ้าติดปากของพวกเขา
และดาบสองคมอยู่ในมือของพวกเขา
7 เพื่อแก้แค้นประชาชาติต่างๆ
เพื่อลงโทษชนชาติทั้งหลาย
8 เพื่อพันธนาการเหล่ากษัตริย์ของพวกเขาด้วยโซ่ตรวน
และพันธนาการเจ้านายทั้งหลายของพวกเขาด้วยโซ่เหล็ก
9 เพื่อจัดการกับพวกเขาตามคำตัดสินที่เขียนไว้
นี่คือศักดิ์ศรีของประชากรทั้งปวงของพระองค์
จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า
150 จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า[b]
จงสรรเสริญพระเจ้าในสถานนมัสการของพระองค์
จงสรรเสริญพระองค์ในฟ้าสวรรค์อันเกรียงไกรของพระองค์
2 จงสรรเสริญพระเจ้าเนื่องด้วยพระราชกิจอันทรงเดชานุภาพ
จงสรรเสริญพระองค์เพราะความยิ่งใหญ่อันหาที่เปรียบมิได้
3 จงสรรเสริญพระองค์ด้วยเสียงแตรดังก้อง
จงสรรเสริญพระองค์ด้วยพิณใหญ่และพิณเขาคู่
4 จงสรรเสริญพระองค์ด้วยรำมะนาและการเต้นรำ
จงสรรเสริญพระองค์ด้วยเครื่องสายและปี่
5 จงสรรเสริญพระองค์ด้วยเสียงฉิ่งเสียงฉาบ
จงสรรเสริญพระองค์ด้วยเสียงฉิ่งฉาบอันกังวาน
6 ให้ทุกสิ่งที่มีลมหายใจ สรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า
จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า
9 โอ ถ้าศีรษะของข้าพเจ้าเป็นเหมือนแหล่งน้ำ
และตาของข้าพเจ้าเป็นเหมือนบ่อน้ำพุแห่งน้ำตา!
ข้าพเจ้าจะได้ร่ำไห้ทั้งวันทั้งคืน
เพื่อพี่น้องร่วมชาติซึ่งถูกสังหาร
2 โอ ข้าพเจ้าอยากมีที่พักแรม
สำหรับคนเดินทางในถิ่นกันดารนัก
เพื่อข้าพเจ้าจะได้ไปให้พ้น
จากพี่น้องร่วมชาติของข้าพเจ้า
เพราะพวกเขาล้วนเป็นคนล่วงประเวณี
เป็นฝูงชนที่ไม่ซื่อสัตย์
3 “พวกเขาโก่งลิ้นเหมือนคันศร
เพื่อยิงคำโกหกออกมา
ความเท็จจึงมีชัย
เหนือความจริง[a]ในแผ่นดิน
พวกเขาทำบาปอย่างหนึ่ง
แล้วก็แล่นไปสู่บาปอีกอย่างหนึ่ง พวกเขาไม่ยอมรับเรา”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
4 “จงระวังเพื่อนของเจ้า
และอย่าไว้ใจพี่น้องของเจ้า
เพราะว่าพี่น้องทุกคนเป็นคนหลอกลวง[b]
และเพื่อนทุกคนเป็นนักใส่ร้ายป้ายสี
5 เพื่อนหลอกลวงเพื่อน
และไม่มีใครพูดความจริง
พวกเขาฝึกลิ้นตัวเองให้โกหก
ทำให้ตัวเองเหนื่อยล้าด้วยการทำบาป
6 เจ้า[c]อาศัยอยู่ท่ามกลางการหลอกลวง
เพราะความหลอกลวงของพวกเขา พวกเขาจึงไม่ยอมรับเรา”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
7 ฉะนั้นพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า
“ดูเถิด เราจะถลุงและทดสอบพวกเขา
เพราะนอกจากนี้เราจะทำสิ่งอื่นใดได้อีก
เนื่องจากบาปที่ประชากรของเราได้ทำ?
8 ลิ้นของพวกเขาเป็นลูกศรคร่าชีวิต
พูดจาตลบตะแลง
ทุกคนพูดอย่างเป็นมิตรกับเพื่อนบ้านของเขา
แต่ในใจคิดวางแผนเล่นงานเขา
9 ไม่ควรหรือที่เราจะลงโทษพวกเขาเพราะเหตุนี้?”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
“ไม่ควรหรือที่เราจะแก้แค้น
ชนชาติที่เป็นเช่นนี้?”
10 ข้าพเจ้าจะร้องไห้คร่ำครวญเพื่อภูเขาทั้งหลาย
และเปล่งคำคร่ำครวญเรื่องทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ที่ถูกทิ้งร้าง
มันถูกทอดทิ้ง ไม่มีใครสัญจรไปมา
ไม่ได้ยินเสียงสัตว์ร้อง
ทั้งนกในอากาศและสัตว์ทั้งปวง
ก็หนีไปหมด
11 “เราจะทำให้เยรูซาเล็มกลายเป็นซากปรักหักพัง
เป็นถิ่นที่อยู่ของหมาใน
และเราจะทำให้หัวเมืองต่างๆ ของยูดาห์เป็นที่รกร้าง
เพื่อจะไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นั่น”
12 ใครหนอฉลาดพอที่จะเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้? ใครบ้างที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสอนและอธิบายได้? เหตุใดดินแดนจึงถูกทำให้ย่อยยับและถูกทิ้งร้างเหมือนถิ่นกันดารที่ไม่มีใครผ่านไปมา?
13 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ก็เพราะพวกเขาละทิ้งบทบัญญัติของเรา ซึ่งเราตั้งไว้ตรงหน้าพวกเขา พวกเขาไม่ได้เชื่อฟังเรา หรือทำตามบทบัญญัติของเรา 14 พวกเขากลับทำตามใจดื้อดึงของตน เขานมัสการพระบาอัลตามที่บรรพบุรุษสอน” 15 ฉะนั้นพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า “ดูเถิดเราจะทำให้ชนชาตินี้กินอาหารขมและดื่มน้ำซึ่งมีพิษ 16 เราจะทำให้พวกเขากระจัดกระจายไปตามชนชาติต่างๆ ซึ่งพวกเขาเองหรือบรรพบุรุษไม่เคยรู้จักมาก่อน เราจะถือดาบไล่ล่าพวกเขาจนกว่าเราจะได้ทำลายล้างพวกเขาให้สิ้น”
17 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า
“บัดนี้จงพิจารณาดู! จงตามนางร้องไห้มา
เรียกคนที่ชำนาญที่สุดมา
18 จงให้พวกนางรีบมาโดยเร็ว
มาร่ำไห้เพื่อพวกเรา
จนน้ำตาท่วมตาของเรา
และธารน้ำหลั่งรินจากนัยน์ตาของเรา
19 ได้ยินเสียงร่ำไห้ดังจากศิโยนว่า
‘เราพินาศย่อยยับแล้ว!
เราอัปยศอดสูนัก!
เราต้องทิ้งดินแดนไป
เพราะบ้านเรือนของเราปรักหักพัง’ ”
20 บัดนี้ หญิงเอ๋ย จงฟังพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า
จงเปิดหูฟังพระดำรัสจากพระโอษฐ์ของพระองค์
จงสอนลูกสาวทั้งหลายของเจ้าให้ร่ำไห้
และจงสอนเพลงคร่ำครวญให้เพื่อนบ้านของตน
21 ความตายได้ปีนเข้ามาทางหน้าต่างของเรา
มันทะลวงป้อมต่างๆ เข้ามา
คร่าเอาเด็กๆ ไปจากท้องถนน
และคร่าคนหนุ่มๆ ไปจากลานเมือง
22 จงบอกเขาว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า
“ ‘ซากศพจะระเนระนาดเหมือนขยะอยู่ในทุ่งโล่ง
เหมือนข้าวที่ถูกตัดเก็บไว้ข้างหลังผู้เกี่ยว ไม่มีใครมาเก็บรวบรวม’ ”
23 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า
“คนฉลาด อย่าโอ้อวดสติปัญญาของตน
คนแข็งแรง อย่าโอ้อวดพละกำลังของตน
คนรวยก็อย่าโอ้อวดทรัพย์สมบัติของตน
24 แต่ให้ผู้ที่อวดจงอวดเรื่องนี้
คือที่เขามีความเข้าใจและรู้จักเรา
รู้ว่าเราเป็นพระยาห์เวห์ผู้ผดุงความเมตตากรุณา
ความยุติธรรมและความชอบธรรมในโลกนี้
เพราะเราปีติยินดีในสิ่งเหล่านี้”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
25 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “เวลานั้นจะมาถึง เมื่อเราจะลงโทษคนทั้งปวงที่เข้าสุหนัตแต่เพียงทางกาย 26 คือชาวอียิปต์ ชาวยูดาห์ ชาวเอโดม ชาวอัมโมน ชาวโมอับ และคนทั้งปวงที่อาศัยในถิ่นกันดารในที่ห่างไกล[d] เพราะชนชาติทั้งหมดนี้ยังไม่ได้เข้าสุหนัตอย่างแท้จริง และแม้แต่พงศ์พันธุ์ของอิสราเอลก็ไม่ได้เข้าสุหนัตทางใจ”
วิบัติทั้งเจ็ด(A)
23 แล้วพระเยซูตรัสกับประชาชนและเหล่าสาวกของพระองค์ว่า 2 “เหล่าธรรมาจารย์กับพวกฟาริสีนั่งอยู่บนที่นั่งของโมเสส 3 ดังนั้นท่านต้องเชื่อฟังเขาและทำทุกอย่างที่เขาบอก แต่อย่าทำสิ่งที่เขาทำเพราะเขาไม่ได้ปฏิบัติตามสิ่งที่เขาสอน 4 เขาผูกภาระหนักวางไว้บนบ่าคนทั้งหลาย ส่วนพวกเขาเองไม่ยอมแม้แต่ใช้สักนิ้วเดียวช่วยยก
5 “ทุกสิ่งที่เขาทำล้วนเพื่ออวดให้คนเห็น เขาคาดกลักพระธรรม[a]ขนาดใหญ่ พู่ห้อยอย่างยาวที่ชายเสื้อ 6 เขาชอบที่อันทรงเกียรติในงานเลี้ยงและที่นั่งสำคัญที่สุดในธรรมศาลา 7 เขาชอบให้ผู้คนมาคำนับทักทายในย่านตลาดและเรียกเขาว่า ‘รับบี’[b]
8 “ส่วนท่านอย่าให้ใครเรียกว่า ‘รับบี’ เลยเพราะท่านมีพระอาจารย์เพียงองค์เดียวและท่านทั้งหมดล้วนเป็นพี่น้องกัน 9 และอย่าเรียกผู้ใดในโลกว่า ‘บิดา’ เพราะท่านมีพระบิดาเพียงองค์เดียวและพระองค์สถิตในสวรรค์ 10 ทั้งอย่าให้ใครมาเรียกท่านว่า ‘ครู’ เพราะท่านมีพระครูเพียงองค์เดียวคือพระคริสต์[c] 11 ผู้เป็นใหญ่ที่สุดท่ามกลางท่านจะเป็นผู้รับใช้ท่าน 12 เพราะผู้ใดยกตัวเองขึ้นจะถูกทำให้ต่ำลงและผู้ใดถ่อมตัวลงจะได้รับการเชิดชูขึ้น
13 “วิบัติแก่เจ้า เหล่าธรรมาจารย์และพวกฟาริสี เจ้าคนหน้าซื่อใจคด! เจ้าปิดอาณาจักรสวรรค์ใส่หน้าเพื่อนมนุษย์ ตัวเจ้าเองไม่เข้าไปและเจ้าไม่ยอมให้คนที่พยายามจะเข้าได้เข้าไป[d]
15 “วิบัติแก่เจ้า เหล่าธรรมาจารย์และพวกฟาริสี เจ้าคนหน้าซื่อใจคด! เจ้าข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อนำเพียงคนหนึ่งมาเข้าศาสนา และเมื่อได้มาก็ทำให้เขาเป็นเด็กนรกยิ่งกว่าเจ้าเองสองเท่า
16 “วิบัติแก่เจ้า คนนำทางตาบอด! เจ้าพูดว่า ‘ใครสาบานโดยอ้างพระวิหารก็ไม่มีผลอะไร แต่ถ้าสาบานโดยอ้างทองคำของพระวิหารก็ต้องทำตามที่สาบานไว้’ 17 เจ้าคนโง่มืดบอด! อย่างไหนสำคัญกว่ากัน ทองคำหรือพระวิหารที่ทำให้ทองคำศักดิ์สิทธิ์? 18 และเจ้าพูดด้วยว่า ‘ถ้าใครสาบานโดยอ้างแท่นบูชาก็ไม่มีผลอะไร แต่ถ้าอ้างของถวายบนแท่นนั้นก็ต้องทำตามที่สาบานไว้’ 19 เจ้าคนตาบอด! อย่างไหนสำคัญกว่า ของถวายหรือแท่นบูชาที่ทำให้ของถวายนั้นศักดิ์สิทธิ์? 20 ฉะนั้นผู้ที่สาบานโดยอ้างแท่นบูชาก็สาบานโดยอ้างแท่นบูชาและทุกสิ่งบนแท่นนั้น 21 ผู้ที่สาบานโดยอ้างพระวิหารก็สาบานโดยอ้างพระวิหารและองค์ผู้สถิตในวิหารนั้น 22 และผู้ที่สาบานโดยอ้างฟ้าสวรรค์ก็สาบานโดยอ้างพระบัลลังก์ของพระเจ้าและพระองค์ผู้ประทับบนบัลลังก์นั้น
23 “วิบัติแก่เจ้า เหล่าธรรมาจารย์และพวกฟาริสี เจ้าคนหน้าซื่อใจคด! เจ้าถวายสิบลดของเครื่องเทศของเจ้า คือสะระแหน่ ลูกผักชี และยี่หร่า แต่ละเลยเรื่องที่สำคัญกว่านั้นในบทบัญญัติ คือความยุติธรรม ความเมตตา และความสัตย์ซื่อ เจ้าควรปฏิบัติอย่างหลังโดยไม่ละเลยอย่างแรก 24 เจ้าคนนำทางตาบอด! เจ้ากรองลูกน้ำออกแต่กลืนอูฐทั้งตัวเข้าไป
25 “วิบัติแก่เจ้า เหล่าธรรมาจารย์และพวกฟาริสี เจ้าคนหน้าซื่อใจคด! เจ้าล้างถ้วยชามแต่ภายนอก ส่วนภายในเต็มไปด้วยความโลภและความมัวเมาในกิเลส 26 เจ้าฟาริสีตาบอด! จงล้างถ้วยชามภายในเสียก่อน แล้วภายนอกก็จะสะอาดหมดจดด้วย
27 “วิบัติแก่เจ้า เหล่าธรรมาจารย์และพวกฟาริสี เจ้าคนหน้าซื่อใจคด! เจ้าเป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพฉาบปูนขาว ภายนอกแลดูสวยงามแต่ภายในเต็มไปด้วยซากกระดูกและสิ่งโสโครกทั้งปวง 28 ในทำนองเดียวกันเปลือกนอกผู้คนมองว่าเจ้าชอบธรรม แต่ภายในเต็มไปด้วยความหน้าซื่อใจคดและความชั่วร้าย
29 “วิบัติแก่เจ้า เหล่าธรรมาจารย์และพวกฟาริสี เจ้าคนหน้าซื่อใจคด! เจ้าสร้างอุโมงค์ฝังศพให้เหล่าผู้เผยพระวจนะและตกแต่งหลุมศพของผู้ชอบธรรม 30 และเจ้าพูดว่า ‘ถ้าเราอยู่ในสมัยเดียวกับบรรพบุรุษ เราจะไม่ร่วมในการเข่นฆ่าผู้เผยพระวจนะเลย’ 31 นั่นคือเจ้ายืนยันตัวเองว่าเจ้าเป็นลูกหลานของคนที่สังหารผู้เผยพระวจนะ 32 เช่นนั้นแล้วจงสานต่อบาปของบรรพบุรุษของเจ้าให้ถึงที่สุดเถิด!
33 “เจ้างูร้าย! เจ้าฝูงงูพิษ! เจ้าจะรอดพ้นจากการพิพากษาให้ลงนรกได้อย่างไร? 34 เราส่งผู้เผยพระวจนะ นักปราชญ์ และครูอาจารย์มา บางคนเจ้าก็ฆ่าและจับตรึงไม้กางเขน บางคนเจ้าก็เฆี่ยนตีในธรรมศาลา และไล่ล่าจากเมืองนั้นไปเมืองนี้ 35 ฉะนั้นโลหิตของผู้ชอบธรรมทั้งปวงที่หลั่งชโลมดินจะตกอยู่แก่เจ้าทั้งหลาย ตั้งแต่โลหิตของอาแบลผู้ชอบธรรมไปจนถึงโลหิตของเศคาริยาห์บุตรเบเรคิยาห์ซึ่งเจ้าฆ่าตายระหว่างพระวิหารกับแท่นบูชา 36 เราบอกความจริงแก่เจ้าว่าทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นแก่คนในชั่วอายุนี้
37 “โอ เยรูซาเล็ม เยรูซาเล็มเอ๋ย เจ้าผู้เข่นฆ่าเหล่าผู้เผยพระวจนะและเอาหินขว้างบรรดาผู้ที่ทรงส่งมาหาเจ้า เราปรารถนาอยู่เนืองๆ ที่จะรวบรวมลูกๆ ของเจ้ามาเหมือนแม่ไก่ที่กกลูกๆ ไว้ใต้ปีก แต่เจ้าไม่ยอมเลย 38 ดูเถิด นิเวศของเจ้าถูกทิ้งร้าง 39 เพราะเราบอกเจ้าว่าเจ้าจะไม่ได้เห็นเราอีกจนกว่าเจ้าจะพูดว่า ‘สรรเสริญพระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า’[e]”
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.