M’Cheyne Bible Reading Plan
6 ดังนั้นโยชูวาบุตรของนูนเรียกบรรดาปุโรหิต และพูดกับพวกเขาว่า “จงหามหีบพันธสัญญาขึ้น และให้ปุโรหิต 7 คนถือแตรงอน 7 คันอยู่ที่หน้าหีบของพระผู้เป็นเจ้า” 7 และท่านพูดกับประชาชนว่า “จงมุ่งหน้าเดินทัพรอบเมืองต่อไป และให้ชายที่ถืออาวุธเดินไปข้างหน้าหีบของพระผู้เป็นเจ้า”
8 ทันทีที่โยชูวาบัญชาประชาชนแล้ว ปุโรหิต 7 คนถือแตรงอน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าก็เดินหน้าเป่าแตรงอน มีหีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าตามหลังไป 9 ชายที่ถืออาวุธเดินนำหน้าปุโรหิตที่กำลังเป่าแตรงอน ทหารเดินตามหลังหีบ ขณะที่แตรก็เป่าต่อไปเรื่อยๆ 10 แต่โยชูวาบัญชาประชาชนว่า “ท่านอย่าตะโกนหรือให้ใครได้ยินเสียงของท่าน หรือหลุดปากพูดอะไรออกไปเลย จนกว่าจะถึงวันที่เราบอกให้ท่านตะโกน แล้วท่านจึงจะตะโกน” 11 ดังนั้นโยชูวาให้หีบของพระผู้เป็นเจ้าวนไปรอบเมืองนั้น 1 ครั้ง แล้วกลับเข้าค่าย พักแรมอยู่ที่นั่น
12 โยชูวาตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่ และบรรดาปุโรหิตหามหีบของพระผู้เป็นเจ้าขึ้น 13 ปุโรหิต 7 คนเดินถือแตรงอน 7 คันที่หน้าหีบของพระผู้เป็นเจ้าไป และเป่าแตรงอนต่อไปเรื่อยๆ และบรรดาชายที่ถืออาวุธก็เดินนำหน้าปุโรหิตทั้งเจ็ด ทหารเดินตามหลังหีบของพระผู้เป็นเจ้า ขณะที่แตรก็เป่าต่อไปเรื่อยๆ 14 ในวันที่สองพวกเขาเดินทัพรอบเมือง 1 ครั้ง แล้วกลับเข้าค่าย ทำอยู่อย่างนั้นเป็นเวลา 6 วัน
15 ในวันที่เจ็ดเขาทั้งหลายตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่ จวนใกล้รุ่ง และเดินทัพรอบเมืองแบบเดิม 7 ครั้ง เป็นวันนั้นวันเดียวที่เดินรอบเมือง 7 ครั้ง 16 และครั้งที่เจ็ดนั้นเองเมื่อปุโรหิตเป่าแตรงอน โยชูวาก็บอกประชาชนว่า “จงตะโกนร้องเถิด เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้มอบเมืองนี้ให้แก่พวกท่านแล้ว 17 ทั้งตัวเมืองและทุกสิ่งในเมืองจะถูกถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า ยกเว้นราหับหญิงแพศยาและทุกคนที่อยู่ในบ้านกับนางเท่านั้นที่จะรอดชีวิต เพราะนางช่วยซ่อนตัวผู้ส่งข่าวที่เราส่งไป 18 แต่พวกท่านจงอย่าเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ถูกถวายแล้ว หากท่านถวาย และกลับรับเอาสิ่งเหล่านั้นกลับมา ท่านจะทำให้ค่ายของอิสราเอลพินาศ และนำปัญหามาให้อิสราเอล 19 ส่วนเงินและทองคำ ภาชนะทองสัมฤทธิ์และเหล็กทุกชิ้นเป็นของบริสุทธิ์สำหรับพระผู้เป็นเจ้า จงยกให้แก่คลังของพระผู้เป็นเจ้า” 20 ดังนั้น ประชาชนจึงตะโกนร้อง และแตรงอนก็ดังลั่นขึ้น ทันทีที่ประชาชนได้ยินเสียงแตรงอน พวกเขาตะโกนร้องเสียงดังพร้อมกัน กำแพงจึงพังราบลง ทุกคนต่างพากันเดินหน้าออกไปยึดเมืองไว้ได้ 21 แล้วเขาทั้งหลายถวายเมืองนั้นให้แด่พระผู้เป็นเจ้า และใช้ดาบทำลายทุกสิ่งที่มีชีวิตในเมืองคือ ชายและหญิง เด็กเล็กและคนชรา โค แกะ และลา
22 แต่โยชูวาพูดกับชาย 2 คนที่เคยไปเป็นสายสืบในแผ่นดินว่า “จงเข้าไปในบ้านหญิงแพศยา และพาหญิงคนนั้นมาพร้อมกับทุกคนที่เกี่ยวดองกับนางตามที่ท่านสัญญากับนางไว้” 23 ดังนั้นชายหนุ่มที่เป็นสายสืบจึงเข้าไปพาราหับกับบิดามารดา พี่น้องและทุกคนที่เกี่ยวดองกับนาง และพาญาติทุกคนของนางไปอยู่ที่นอกค่ายของอิสราเอล 24 จากนั้นพวกเขาก็เผาเมืองรวมทั้งทุกสิ่งในเมืองด้วย ยกเว้นเงินและทองคำ ภาชนะทองสัมฤทธิ์และเหล็กที่เขาเก็บไว้ในคลังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า 25 แต่โยชูวาไว้ชีวิตหญิงแพศยาและตระกูลของนางและทุกคนที่เกี่ยวดองกับนาง และนางอาศัยอยู่ในอิสราเอลมาจนถึงทุกวันนี้[a] เพราะนางซ่อนตัวผู้ส่งข่าว 2 คนที่โยชูวาให้ไปสืบความในเยรีโค
26 ในครั้งนั้น โยชูวาสาบานว่า “ผู้ใดลุกขึ้นมาสร้างเมืองเยรีโคนี้ขึ้นใหม่ ขอให้ถูกสาปแช่งต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า
ใครก็ตามที่วางฐานราก
จะเสียบุตรชายหัวปี
ใครก็ตามที่สร้างประตูเมือง
จะเสียบุตรคนสุดท้อง”
27 ดังนั้นพระผู้เป็นเจ้าสถิตกับโยชูวา และกิตติศัพท์ของท่านเลื่องลือไปทั่วแผ่นดิน
พระคุณอันสูงส่ง
1 สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า
จงสรรเสริญพระนามของพระผู้เป็นเจ้า
บรรดาผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้า จงสรรเสริญเถิด
2 ท่านที่ยืนอยู่ในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า
ในลานพระตำหนักของพระเจ้าของเรา
3 จงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า เพราะพระผู้เป็นเจ้าประเสริฐ
จงร้องเพลงสรรเสริญพระนามของพระองค์ เพราะเป็นที่น่าเบิกบานใจ
4 เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้เลือกยาโคบไว้สำหรับพระองค์เอง
เลือกอิสราเอลไว้เป็นสมบัติอันมีค่าของพระองค์
5 เพราะข้าพเจ้าทราบว่าพระผู้เป็นเจ้าใหญ่ยิ่งนัก
และพระผู้เป็นเจ้าของเรายิ่งใหญ่เหนือเทพเจ้าทั้งปวง
6 พระผู้เป็นเจ้ากระทำตามความประสงค์ของพระองค์
ทั้งเบื้องสวรรค์และแหล่งหล้า
ทั้งในทะเลและห้วงน้ำลึกทั้งปวง
7 พระองค์เป็นผู้ทำให้เมฆลอยขึ้นจากทุกมุมโลก
เป็นผู้ให้กำเนิดฟ้าแลบกับสายฝน
และลมพัดออกจากแหล่งเก็บลมของพระองค์
8 พระองค์เป็นผู้ฆ่าบุตรหัวปีในอียิปต์
ไม่เลือกว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์เลี้ยง
9 พระองค์บันดาลปรากฏการณ์และสิ่งมหัศจรรย์ในท่ามกลางประเทศอียิปต์
เป็นการต่อต้านฟาโรห์และหมู่บริวาร
10 พระองค์เป็นผู้ฆ่าประชาชาติมากหลาย
และสังหารหมู่กษัตริย์ใจฉกาจ
11 สิโหนกษัตริย์ของชาวอาโมร์
โอกกษัตริย์แห่งแคว้นบาชาน
และอาณาจักรทั้งหมดของคานาอัน[a]
12 พระองค์มอบผืนแผ่นดินของคนเหล่านั้นให้เป็นมรดก
เป็นมรดกแก่คนของพระองค์คืออิสราเอล
13 โอ พระผู้เป็นเจ้า พระนามของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะเป็นที่ระลึกถึงทุกชั่วอายุคนจนชั่วลูกชั่วหลาน
14 เพราะพระผู้เป็นเจ้าจะพิสูจน์ว่าชนชาติของพระองค์ไม่ผิด
และเมตตาบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์
15 รูปเคารพของบรรดาประชาชาติเป็นเงินและทองคำ
เป็นสิ่งที่ทำด้วยมือมนุษย์
16 รูปเหล่านั้นมีปาก แต่พูดไม่ได้
มีตา แต่มองไม่เห็น
17 มีหู แต่ไม่สามารถได้ยิน
และไม่มีลมหายใจในปาก
18 พวกที่ปั้นรูปเคารพขึ้นก็ย่อมเป็นเหมือนกับรูปเคารพ
ผู้ใดวางใจในรูปเคารพก็เป็นดั่งรูปนั้น
19 พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย จงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า
พงศ์พันธุ์ของอาโรนเอ๋ย จงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า
20 พงศ์พันธุ์ของเลวีเอ๋ย จงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า
ท่านที่เกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า จงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า
21 สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าจากศิโยน
พระองค์พำนักอยู่ที่เยรูซาเล็ม
สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าเถิด
ความรักอันมั่นคงดำรงอยู่ตลอดกาล
1 จงขอบคุณพระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์ประเสริฐ
เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
2 จงขอบคุณพระเจ้า ผู้อยู่เหนือบรรดาเทพเจ้า
เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
3 จงขอบคุณพระผู้เป็นเจ้า ผู้อยู่เหนือบรรดาเจ้า
เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
4 แด่พระองค์ผู้กระทำสิ่งมหัศจรรย์เพียงลำพัง
เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
5 แด่พระองค์ผู้สร้างฟ้าสวรรค์ด้วยการหยั่งรู้
เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
6 แด่พระองค์ผู้แผ่แผ่นดินโลกไว้บนน้ำ
เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
7 แด่พระองค์ผู้สร้างดวงสว่างดวงใหญ่ๆ
เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
8 ให้ดวงอาทิตย์ดูแลในยามทิวา
เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
9 ให้ดวงจันทร์และดวงดาวทั้งหลายทำงานควบคุมยามราตรี
เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
10 แด่พระองค์ผู้ฆ่าบุตรหัวปีของอียิปต์
เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
11 และนำชาวอิสราเอลออกไปจากฝูงชนชาวอียิปต์
เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
12 ด้วยอานุภาพและพลานุภาพ
เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
13 แด่พระองค์ผู้แหวกทะเลแดงออก
เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
14 และปล่อยให้ชาวอิสราเอลผ่านไปทางนั้น
เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
15 แต่โยนฟาโรห์กับกองทัพลงในทะเลแดง
เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
16 แด่พระองค์ผู้พาชนชาติของพระองค์ผ่านพ้นถิ่นทุรกันดาร
เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
17 แด่พระองค์ผู้ฆ่าบรรดามหากษัตริย์
เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
18 และสังหารบรรดากษัตริย์ใจฉกาจ
เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
19 อันได้แก่สิโหนกษัตริย์ของชาวอาโมร์
เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
20 และโอกกษัตริย์แห่งแคว้นบาชาน
เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล[b]
21 และให้ผืนแผ่นดินของกษัตริย์เหล่านั้นเป็นมรดก
เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
22 ให้มรดกแก่อิสราเอลผู้รับใช้ของพระองค์
เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
23 พระองค์ระลึกถึงพวกเราในยามตกอับ
เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
24 และช่วยพวกเราให้รอดพ้นจากพวกศัตรู
เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
25 พระองค์ให้สิ่งมีชีวิตทั้งปวงมีอาหาร
เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
26 จงขอบคุณพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์เถิด
เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล
ผู้ถ่อมตนและผู้สำนึกผิดในฝ่ายวิญญาณ
66 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า
“สวรรค์เป็นบัลลังก์ของเรา
และโลกเป็นที่วางเท้าของเรา
ตำหนักที่เจ้าจะสร้างให้เราอยู่ที่ไหน
และที่พำนักของเราอยู่ที่ไหน
2 มิใช่มือของเราหรอกหรือ ที่ได้สร้างสิ่งเหล่านี้ไว้[a]
สิ่งเหล่านี้จึงเป็นขึ้นมาได้”
พระผู้เป็นเจ้าประกาศ
“แต่ผู้ที่เราจะเชิดชู ก็คือ
ผู้ที่ถ่อมตนและรู้สำนึกผิดในฝ่ายวิญญาณ
และหวั่นเกรงในคำกล่าวของเรา
3 ผู้ที่ฆ่าโค
เป็นเหมือนกับคนที่ฆ่ามนุษย์
ผู้ที่มอบลูกแกะเป็นเครื่องสักการะ
เป็นเหมือนกับคนที่หักคอสุนัข
ผู้ที่มอบเครื่องธัญญบูชา
เป็นเหมือนกับคนที่ถวายเลือดหมู
ผู้ที่มอบกำยานเป็นของถวายที่เตือนความทรงจำ
เป็นเหมือนกับคนที่อวยพรรูปเคารพ
พวกเขาได้เลือกทางของตนเอง
และจิตวิญญาณของเขาชื่นชอบสิ่งที่น่ารังเกียจ
4 เราจะเลือกการกระทำตอบต่อพวกเขาอย่างแข็งกระด้าง
และทำให้พวกเขาเกิดความกลัว
ด้วยว่า เมื่อเราเรียก ก็ไม่มีใครตอบ
เมื่อเราพูด พวกเขาก็ไม่ฟัง
แต่พวกเขากระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายตาของเรา
และเลือกสิ่งที่เราไม่ชื่นชอบ”
5 จงฟังคำของพระผู้เป็นเจ้า
พวกท่านที่หวั่นเกรงในคำกล่าวของพระองค์
“พี่น้องของเจ้าที่เกลียดเจ้า
และเหวี่ยงเจ้าออกไปเพราะชื่อของเรา ได้พูดว่า
‘จงให้พระผู้เป็นเจ้าได้รับพระบารมี
เพื่อเราจะได้เห็นความยินดีของเจ้า’
แต่เป็นพวกเขาที่จะเผชิญกับความอับอาย
6 เสียงของความวุ่นวายจากตัวเมือง
เสียงจากพระวิหาร
เสียงของพระผู้เป็นเจ้า
เปิดทางในการจ่ายคืนให้แก่พวกศัตรูของพระองค์
ชื่นชมยินดีกับเยรูซาเล็ม
7 ก่อนที่นางจะเจ็บครรภ์
นางให้กำเนิด
ก่อนที่นางจะเริ่มเจ็บครรภ์
นางก็คลอดบุตรชาย
8 ใครเคยได้ยินอะไรอย่างนี้บ้าง
ใครเคยได้เห็นอะไรอย่างนี้บ้าง
แผ่นดินเกิดขึ้นได้ในวันเดียวหรือ
ประชาชาติจะถูกสร้างขึ้นได้ในขณะเดียวหรือ
เพราะทันทีที่ศิโยนเจ็บครรภ์
นางก็ให้กำเนิดลูกๆ ของนาง”
9 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า
“เราพามาจนถึงจุดให้กำเนิด
แล้วเราจะหยุดเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ”
พระเจ้าของท่านกล่าวดังนี้ว่า
“เราเป็นผู้ที่ทำให้เกิดขึ้น
แล้วเราควรปิดครรภ์หรือ
10 เจ้าทุกคนที่รักนาง
จงชื่นชมยินดีกับเยรูซาเล็ม และจงดีใจกับนาง
เจ้าทุกคนที่ร้องคร่ำครวญถึงนาง
จงชื่นชมยินดีด้วย
11 เพื่อเจ้าจะได้ดื่มจากอก และพอใจ
จากอ้อมอกที่ปลอบประโลม
เพื่อเจ้าจะดื่มจนหนำใจด้วยความชื่นชอบ
จากอกอันอุดมสมบูรณ์”
12 เพราะพระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า
“ดูเถิด เราจะเผื่อแผ่ความสันติสุขให้แก่นางดั่งแม่น้ำ
และเผื่อแผ่ราศีของบรรดาประชาชาติดั่งธารน้ำที่ไหลล้น
เจ้าจะได้ดื่มจากอก และนางจะอุ้มเจ้าเข้าสะเอว
และให้เจ้านั่งเล่นบนตักนาง
13 ดั่งลูกที่มีแม่เป็นผู้ให้กำลังใจ
เราก็จะให้กำลังใจเจ้า
เจ้าจะได้รับกำลังใจอยู่ในเยรูซาเล็ม
14 เจ้าจะเห็น และใจของเจ้าจะชื่นชมยินดี
กระดูกของเจ้าจะแข็งแรงดุจหญ้า
และบรรดาผู้รับใช้จะรู้จักอานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า
และพระองค์จะแสดงการลงโทษต่อศัตรูของพระองค์
15 ดูเถิด พระผู้เป็นเจ้าจะมากับไฟ
และรถศึกของพระองค์ดุจพายุหมุน
พระองค์จะลงโทษในความกริ้วเป็นที่สุด
และพระองค์จะปราบด้วยเปลวไฟ
16 ด้วยว่า พระผู้เป็นเจ้าจะลงโทษด้วยไฟ
และกระทำต่อทุกคนด้วยดาบของพระองค์
และบรรดาผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าจะสังหารมีจำนวนมาก”
17 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า “บรรดาผู้ที่มอบเครื่องสักการะและทำพิธีชำระตัวเพื่อเข้าไปในสวน ตามไปกับคนที่อยู่ในท่ามกลางพวกที่กินเนื้อหมูและสิ่งน่าชังและพวกหนู พวกเขาจะมาถึงจุดจบด้วยกัน
18 เพราะเรารู้การกระทำและความคิดของพวกเขา และจะถึงเวลาที่จะรวบรวมประชาชาติทั้งปวงและทุกภาษาเข้าด้วยกัน และพวกเขาจะมา และจะเห็นบารมีของเรา 19 และเราจะตั้งสัญญาณท่ามกลางพวกเขา และเราจะให้พวกเขาที่รอดชีวิตไปยังบรรดาประชาชาติ ไปยังทาร์ชิช ปูล ลูด ซึ่งเป็นนักธนู ไปยังทูบัล ยาวาน ไปยังหมู่เกาะต่างๆ ที่อยู่ห่างไกลที่ยังไม่เคยได้ยินกิตติศัพท์ของเรา หรือได้เห็นบารมีของเรา และพวกเขาจะประกาศบารมีของเราในบรรดาประชาชาติ 20 และพวกเขาจะพาพี่น้องของเจ้าทุกคนจากประชาชาติทั้งปวงมาเพื่อเป็นของถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาจะขี่ม้า รถศึก รถพ่วง ล่อ และอูฐ เพื่อมายังภูเขาบริสุทธิ์ของเราคือ เยรูซาเล็ม” พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนั้น “เหมือนกับที่ชาวอิสราเอลนำเครื่องธัญญบูชาของพวกเขาใส่มาในภาชนะที่สะอาด มายังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า 21 และเราจะให้บางคนจากพวกเขาเป็นปุโรหิตและชาวเลวี” พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนั้น
22 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ว่า “อย่างที่เราสร้างฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ ซึ่งจะคงอยู่ต่อหน้าเราฉันใด[b] เชื้อสายของเจ้าและชื่อของเจ้าจะคงอยู่ฉันนั้น 23 จากวันข้างขึ้นถึงวันข้างขึ้น และจากวันสะบาโตถึงวันสะบาโต มนุษย์ทุกคนจะมานมัสการ ณ เบื้องหน้าเรา 24 และพวกเขาจะออกไปมองดูศพของคนตายที่ได้ขัดขืนเรา เพราะตัวหนอนที่ชอนไชเนื้อของพวกเขาจะไม่ตาย ไฟที่เผาพวกเขาจะไม่มีวันดับ[c] และพวกเขาจะเป็นที่น่ารังเกียจต่อมนุษย์ทุกคน”
ยอห์นถูกตัดศีรษะ
14 ในครั้งนั้นเฮโรด[a]ผู้ปกครองแคว้นได้ยินเรื่องราวของพระเยซู 2 จึงพูดกับพวกผู้รับใช้ว่า “ผู้นี้เป็นยอห์นผู้ให้บัพติศมา ท่านฟื้นคืนชีวิตจากความตายแล้ว จึงเป็นเหตุให้ท่านมีอานุภาพสำแดงสิ่งอัศจรรย์ต่างๆ ได้” 3 เมื่อครั้งที่เฮโรดให้คนจับกุมยอห์น ท่านให้จำตรวนไว้ในคุก เพราะเห็นแก่นางเฮโรเดียสภรรยาของฟีลิปน้องชายของตน 4 เพราะยอห์นได้พูดไว้เสมอว่า “เป็นการผิดกฎที่ท่านจะสมรสกับนาง” 5 แม้เฮโรดต้องการจะฆ่ายอห์นให้ตายแต่ยังกลัวฝูงชนอยู่ เพราะพวกเขานับว่ายอห์นเป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า 6 เมื่อถึงวันเกิดของเฮโรด บุตรสาวของนางเฮโรเดียสเต้นระบำต่อหน้าผู้คน และเป็นที่พอใจของเฮโรด 7 เฮโรดจึงให้คำมั่นสัญญาจะให้สิ่งใดก็ตามที่เธอขอ 8 มารดาของเธอแนะให้เธอขอ เธอจึงขอว่า “ข้าพเจ้าขอศีรษะของยอห์นผู้ให้บัพติศมาบนถาดเดี๋ยวนี้” 9 แม้เฮโรดจะเศร้าใจ แต่เป็นเพราะคำมั่นสัญญาของท่านและแขกในงาน ท่านจึงสั่งให้นำมาให้ 10 ท่านสั่งให้คนตัดศีรษะของยอห์นในคุก 11 ฉะนั้นศีรษะถูกวางมาบนถาดนำมาให้เด็กสาวคนนั้น และเธอก็นำไปให้มารดา 12 พวกสาวกของยอห์นมารับเอาร่างของท่านไปฝัง แล้วไปรายงานต่อพระเยซู
มหาชนกับขนมปัง 5 ก้อนและปลา 2 ตัว
13 เมื่อพระเยซูทราบเรื่องจึงลงเรือจากที่นั่นไปยังที่ร้างตามลำพัง ฝูงชนจากเมืองต่างๆ รู้เช่นนั้นก็ได้เดินตามพระองค์ไป 14 เมื่อพระองค์ขึ้นฝั่งก็เห็นมหาชนและเกิดความสงสาร พระองค์ได้รักษาผู้คนที่ป่วยไข้ 15 ครั้นถึงเวลาเย็น เหล่าสาวกมาพูดกับพระองค์ว่า “ที่นี่เป็นที่กันดารและเวลาล่วงเลยแล้วเช่นนี้ ฉะนั้นปล่อยให้ผู้คนไปเถิด พวกเขาจะได้เข้าไปตามหมู่บ้านซื้ออาหารกันเอง” 16 พระเยซูกล่าวว่า “พวกเขาไม่จำเป็นต้องไปหรอก พวกเจ้าเอาอาหารมาให้เขาเถิด” 17 บรรดาสาวกจึงพูดกับพระองค์ว่า “พวกเรามีเพียงขนมปัง 5 ก้อนกับปลา 2 ตัวเท่านั้น” 18 พระองค์กล่าวว่า “เอาอาหารนั้นมาให้เราเถิด” 19 พระองค์สั่งฝูงชนให้นั่งลงบนพื้นหญ้า พระองค์หยิบขนมปัง 5 ก้อนกับปลา 2 ตัว แล้วแหงนหน้าขึ้นสู่สวรรค์กล่าวขอบคุณพระเจ้า และบิขนมปังยื่นให้เหล่าสาวก ซึ่งสาวกก็แจกจ่ายให้แก่ฝูงชน 20 พวกเขาทุกคนได้รับประทานกันจนอิ่มหนำ และสามารถรวบรวมอาหารที่เหลือได้ 12 ตะกร้าเต็มๆ 21 มีผู้ชายประมาณ 5,000 คนที่รับประทานกัน ไม่นับผู้หญิงและเด็ก
พระเยซูเดินบนผิวน้ำในทะเลสาบ
22 พระองค์สั่งเหล่าสาวกให้ลงเรือข้ามฟากไปล่วงหน้าพระองค์ทันที ขณะเดียวกัน พระองค์บอกให้ฝูงชนกลับไปบ้าน 23 หลังจากพระองค์บอกฝูงชนให้กลับไปบ้านแล้ว พระองค์ก็ขึ้นไปบนภูเขาตามลำพังเพื่ออธิษฐาน เมื่อเย็นลงพระองค์ก็ยังอยู่ที่นั่นแต่ผู้เดียว 24 เรือออกไปไกลจากฝั่งมากแล้ว และถูกคลื่นซัดเพราะทวนลม 25 ระหว่างตีสามถึงหกโมงเช้าพระองค์เดินบนผิวน้ำในทะเลสาบไปยังสาวก 26 เมื่อสาวกเห็นพระองค์เดินบนผิวน้ำ ก็ตกใจพูดว่า “ผีมา” แล้วส่งเสียงร้องด้วยความกลัว 27 พระองค์กล่าวกับพวกเขาทันทีว่า “ทำใจให้ดีไว้ นี่เราเอง อย่ากลัวเลย”
28 เปโตรตอบว่า “พระองค์ท่าน ถ้าเป็นพระองค์ โปรดสั่งให้ข้าพเจ้าเดินบนน้ำมาหาพระองค์เถิด” 29 พระองค์กล่าวว่า “มาเถิด” เปโตรก้าวออกจากเรือ แล้วเดินบนน้ำไปหาพระเยซู 30 เปโตรเห็นว่ามีลมพัด จึงเกิดความกลัวแล้วเริ่มจมน้ำ เขาร้องส่งเสียงว่า “พระองค์ท่าน ช่วยข้าพเจ้าด้วย” 31 ทันใดนั้น พระเยซูยื่นมือออกไปจับเปโตรแล้วกล่าวว่า “เจ้ามีความเชื่อน้อยเสียจริง ทำไมเจ้าจึงสงสัย” 32 เมื่อได้ลงเรือกันแล้ว ลมก็หยุดพัด 33 พวกคนที่อยู่ในเรือก็ก้มกราบนมัสการพระองค์ แล้วพูดว่า “พระองค์เป็นบุตรของพระเจ้าอย่างแท้จริง”
34 ครั้นข้ามฟากไปแล้วก็ขึ้นฝั่งที่แขวงเยนเนซาเรท 35 ผู้คนในเมืองนั้นจำพระองค์ได้ จึงให้คนไปบอกและพาคนป่วยไข้จากแขวงเมืองรอบๆ นั้นมาหาพระองค์ 36 และขอให้พระองค์โปรดให้ผู้ป่วยเพียงแต่แตะชายเสื้อตัวนอกของพระองค์ ทุกคนที่กระทำอย่างนั้นแล้วก็หายขาดจากโรค
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation