Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
เฉลยธรรมบัญญัติ 32

32 “ฟ้าสวรรค์จงฟังเถิด แล้วเราจะพูด
    ขอให้ผืนแผ่นดินได้ยินคำจากปากของเรา
ขอให้คำสั่งสอนของเราหลั่งลงดั่งหยาดฝน
    คำพูดของเราหยดลงดั่งหยาดน้ำค้าง
ประหนึ่งหยดฝนบนใบหญ้า
    และดุจดังละอองฝนโปรยลงบนพืชพรรณไม้

ด้วยว่าเราจะประกาศพระนามของพระผู้เป็นเจ้า
    จงยอมรับว่า พระเจ้าของพวกเรายิ่งใหญ่
พระองค์เป็นศิลา การงานของพระองค์เพียบพร้อมทุกประการ
    ด้วยว่าทุกวิถีทางของพระองค์เที่ยงธรรม
พระเจ้าแห่งความสัตย์จริงและปราศจากความผิด
    พระองค์เที่ยงธรรมและมีความชอบธรรม

เขาทั้งหลายประพฤติเลวทรามต่อพระองค์
    เขาไม่ใช่บุตรของพระองค์อีกต่อไปแล้วเพราะมลทินของเขา
    และเป็นคนในยุคที่บิดเบือนและไม่ซื่อตรง
ท่านโง่เขลาและไม่มีสติยั้งคิด
    ท่านกระทำตอบพระผู้เป็นเจ้าเช่นนี้หรือ
พระองค์มิใช่พระบิดาของท่านหรอกหรือที่เป็นผู้บันดาลท่านขึ้นมา
    ผู้สร้างและทำให้ท่านมั่นคง

จงจำสมัยดึกดำบรรพ์
    นึกถึงสมัยที่ผ่านพ้นมานานแล้ว
จงถามบิดาของท่าน และเขาจะบอกท่าน
    ถามพวกอาวุโสของท่าน แล้วพวกเขาจะเล่าให้ท่านทราบ
เมื่อองค์ผู้สูงสุดมอบมรดกแก่บรรดาประชาชาติ
    เมื่อพระองค์แยกบรรดาบุตรของมนุษย์ให้จากกัน
พระองค์กั้นเขตแดนให้บรรดาชนชาติได้อยู่อาศัย
    ตามแต่จำนวนบุตรของอิสราเอล
และส่วนที่พระผู้เป็นเจ้าได้รับก็คือชนชาติของพระองค์
    ชาวอิสราเอลเป็นผู้สืบมรดกของพระองค์ที่ได้มั่นหมายไว้

10 พระองค์พบพวกเขาในถิ่นทุรกันดาร
    ในที่ร้างอันแร้นแค้นปราศจากผู้คน
พระองค์อารักขาและดูแลเขา
    พระองค์ปกปักรักษาเขาดั่งแก้วตาของพระองค์
11 ดั่งนกอินทรีที่เขี่ยกระตุ้นรังของมัน
    ที่บินวนเวียนอยู่ใกล้ลูกน้อย
กางปีกของมันออกคอยโอบ
    ประคับประคองให้ลูกๆ พักพิงบนปีกของมัน
12 พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่นำพวกเขาไป
    โดยไม่มีเทพเจ้าต่างชาติเกี่ยวข้องด้วย

13 พระองค์ให้พวกเขาปกครองในที่สูงแห่งแผ่นดินโลก
    และพวกเขาได้รับประทานผลผลิตจากทุ่งนา
พระองค์ให้เขาดื่มน้ำผึ้งจากซอกหิน
    และน้ำมันจากหินเหล็กไฟ
14 โยเกิร์ตจากนมโค และน้ำนมจากฝูงแพะแกะ
    ลูกแกะ อีกทั้งแพะ
และแกะตัวผู้ของบาชานอันอ้วนพี
    กับข้าวสาลีชนิดดีที่สุด
และท่านได้ดื่มเหล้าองุ่นแดงพันธุ์ดี

15 เยชูรูน[a]อ้วนพีและขัดขืน
    เจ้าอ้วนใหญ่ขึ้น ตัวหนา และอ้วนท้วน
เขาทอดทิ้งพระเจ้าผู้สร้างเขามา
    และเยาะเย้ยศิลาแห่งความรอดพ้นของเขา
16 พวกเขากระตุ้นให้ความหวงแหนของพระองค์พลุ่งขึ้นด้วยบรรดาเทพเจ้าต่างชาติ
    เขายั่วโทสะพระองค์ด้วยรูปเคารพที่น่าชัง
17 พวกเขามอบเครื่องบูชาแก่มารซึ่งไม่ใช่พระเจ้า
    แต่เป็นเทพเจ้าที่ไม่เคยรู้จัก
เป็นบรรดาเทพเจ้าใหม่ๆ
    ซึ่งบรรพบุรุษของท่านก็ไม่เคยเกรงกลัว
18 ท่านเพิกเฉยต่อศิลาผู้บังเกิดเกล้าของท่าน
    และท่านลืมพระเจ้าผู้ให้กำเนิดแก่ท่าน

19 พระผู้เป็นเจ้าเห็นการกระทำเช่นนั้น
    พระองค์โกรธและปฏิเสธบรรดาบุตรชายบุตรหญิงของพระองค์
20 และพระองค์กล่าวว่า ‘เราจะซ่อนหน้าจากพวกเขา
    เราจะดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเขาในที่สุด
เพราะพวกเขาเป็นคนในยุคที่บิดเบือน
    เป็นบุตรที่ไม่ภักดี
21 พวกเขาได้ปลุกให้เราเกิดหวงแหนด้วยสิ่งที่ไม่ใช่เทพเจ้า
    พวกเขาทำให้เราโกรธด้วยรูปเคารพซึ่งไร้ค่าของเขา
ฉะนั้นเราจะกระตุ้นให้พวกเขาอิจฉาบรรดาผู้ที่ไม่ได้เป็นชนชาติ
    เราจะทำให้พวกเขาโกรธด้วยประชาชาติที่โง่เขลา[b]
22 เพราะเพลิงไฟลุกขึ้นจากความโกรธของเรา
    และมันเผาไหม้ถึงก้นบึ้งของแดนคนตาย
เผาผลาญแผ่นดินโลกกับพืชผล
    และทำให้ฐานรากของภูเขาลุกโพลง

23 เราจะสุมความวิบัติไว้กับพวกเขา
    และเราจะยิงลูกธนูใส่เขา
24 ชีวิตของเขาจะดับลงด้วยความหิวโหย
    และถูกกลืนกินด้วยความร้อนดั่งเพลิงและโรคระบาดร้ายแรง
และเราจะทำให้เขาถูกรังควานด้วยสัตว์ป่า
    และด้วยพิษของสัตว์เลื้อยคลานที่อยู่บนดิน
25 จะมีการฆ่ารันฟันแทงในที่แจ้ง
    สิ่งอันน่าสะพรึงกลัวจะเกิดขึ้นในเรือน
ทำให้ชายหนุ่มและหญิงสาวล้มตาย
    รวมทั้งเด็กเล็กและคนชราด้วย
26 เราจะพูดก็ได้ว่า เราจะทำให้พวกเขากระจัดกระจายไปให้ไกล
    เราจะทำให้มนุษย์ไม่รำลึกถึงพวกเขาอีกต่อไป
27 แต่เราไม่อยากให้ศัตรูคุยโว
    เกรงว่าปฏิปักษ์จะสำคัญผิดไป
และพวกเขาจะพูดว่า “เราได้ชัยชนะด้วยมือของเราเอง
    พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้เป็นผู้กระทำสิ่งเหล่านี้”’

28 พวกเขาเป็นประชาชาติหนึ่งที่ขาดคำปรึกษา
    และไม่มีความหยั่งรู้
29 ถ้าพวกเขามีสติปัญญาก็จะเข้าใจเรื่องนี้ได้
    และก็จะสังเกตได้ว่า อะไรจะเกิดขึ้นกับเขาในที่สุด
30 คนเดียวจะขับไล่คนเป็นพัน
    และสองคนทำให้คนเป็นหมื่นเตลิดหนีได้อย่างไร
นอกจากว่าศิลาของพวกเขาทอดทิ้งเขาไปแล้ว
    และพระผู้เป็นเจ้ายอมยกพวกเขาให้แล้ว
31 เพราะศิลาของพวกเขาไม่เป็นเช่นศิลาของพวกเรา
    แม้แต่พวกศัตรูเองก็ทราบดี
32 เพราะกิ่งก้านของพวกเขาผลิออกมาจากกิ่งก้านของโสโดม
    และจากทุ่งนาของโกโมราห์
ผลองุ่นของพวกเขาเป็นผลที่มีพิษ
    เป็นพวงองุ่นขม
33 เหล้าองุ่นของพวกเขาเป็นพิษดั่งพิษงู
    พิษร้ายของงูเห่า

34 ‘เราไม่ได้เก็บเรื่องนี้ไว้เอง
    และปิดไว้อย่างมิดชิดดั่งของมีค่าของเราหรอกหรือ
35 การแก้แค้นและการสนองตอบเป็นของเรา
    เมื่อถึงคราวเท้าของพวกเขาจะพลาดพลั้ง
เพราะวันหายนะใกล้จะถึง
    และเขาจะถูกพิพากษาอย่างฉับพลัน’

36 เพราะพระผู้เป็นเจ้าจะพิสูจน์ว่าคนของพระองค์ไม่ผิด
    และเมตตาต่อบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์
เมื่อพระองค์เห็นว่าพลังของพวกเขาหมดสิ้นแล้ว
    และไม่มีใครเหลืออยู่เลย ไม่ว่าจะเป็นทาสหรืออิสระ
37 พระองค์จะกล่าวว่า ‘เทพเจ้าของพวกเขาอยู่ที่ไหน
    ศิลาที่เขาพึ่งพิง
38 เทพเจ้าผู้กินเครื่องสักการะที่ดีที่สุดของพวกเขา
    และดื่มเหล้าองุ่นจากเครื่องดื่มบูชาของเขา
ให้เทพเจ้าเหล่านั้นลุกขึ้นมาช่วยพวกเจ้า
    และปกป้องเจ้าเถิด

39 บัดนี้ จงดูเถิด เรานี่แหละ เราเป็นผู้นั้น
    และไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากเรา
เราฆ่า และเราทำให้มีชีวิตอยู่
    เราทำให้บาดเจ็บ และเรารักษาให้หาย
    และไม่มีใครที่สามารถช่วยให้พ้นจากมือของเราได้
40 เราชูมือของเราขึ้นสู่สวรรค์ และประกาศว่า
    ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์กาล
41 เมื่อเราลับดาบอันวาววับของเรา
    และการพิพากษาอยู่ในมือของเรา
เราจะลงโทษพวกศัตรูของเรา
    และจะสนองตอบพวกที่เกลียดชังเรา
42 เราจะทำให้ลูกธนูของเราอาบชุ่มด้วยเลือด
    และดาบของเราจะกลืนกินเนื้อหนัง
พร้อมกับเลือดของคนถูกเชือดและเชลย
    จากหัวของศัตรูซึ่งมีผมยาว’

43 บรรดาประชาชาติเอ๋ย จงยินดีกับชนชาติของพระองค์เถิด
    เพราะพระองค์จะแก้แค้นเลือดของบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์
พระองค์จะลงโทษศัตรูของพระองค์
    และลบล้างบาปให้แผ่นดินและชนชาติของพระองค์”

44 แล้วโมเสสก็มากล่าวคำในบทเพลงทั้งหมดให้ประชาชนได้ยิน ทั้งตัวท่านกับโยชูวาบุตรของนูน 45 เมื่อโมเสสกล่าวแก่ชาวอิสราเอลจบแล้ว 46 ท่านกล่าวแก่พวกเขาต่อไปว่า “จงใส่ใจในคำพูดที่เรากำชับพวกท่านในวันนี้ เพื่อท่านจะได้สั่งลูกๆ ของท่านให้กระทำตามคำกล่าวในกฎบัญญัตินี้อย่างระมัดระวัง 47 เพราะไม่ใช่เรื่องพูดเล่น แต่เป็นชีวิตของพวกท่าน ท่านจะมีชีวิตยืนยาวในแผ่นดินที่ท่านกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปเพื่อยึดครองก็ด้วยการกระทำตามคำสั่งดังกล่าว”

โมเสสสิ้นชีวิตที่ภูเขาเนโบ

48 ในวันเดียวกันนั้นเอง พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า 49 “จงขึ้นไปที่เทือกเขาอาบาริมนี้ ไปยังภูเขาเนโบซึ่งอยู่ในแผ่นดินโมอับ ตรงข้ามกับเมืองเยรีโค แล้วมองดูแผ่นดินคานาอันที่เรามอบให้ชาวอิสราเอลเป็นเจ้าของ 50 และสิ้นลมบนภูเขาที่เจ้าขึ้นไป เจ้าจะถูกนำไปรวมอยู่กับชนชาติของเจ้าที่ล่วงลับไปแล้ว อย่างที่อาโรนพี่ชายของเจ้าสิ้นชีวิตที่ภูเขาโฮร์และถูกนำไปรวมอยู่กับชนชาติของเขาที่ล่วงลับไปแล้ว[c] 51 เพราะเจ้าไม่ภักดีต่อเราท่ามกลางชาวอิสราเอลที่แหล่งน้ำเมรีบาห์-คาเดช[d] ในถิ่นทุรกันดารศิน เพราะเจ้าไม่แสดงความเคารพต่อเราท่ามกลางชาวอิสราเอลว่าเราบริสุทธิ์ 52 เจ้าจะเห็นแผ่นดินอยู่เบื้องหน้าเจ้า แต่จะไม่ได้ก้าวเท้าเข้าไปยังแผ่นดินที่เรามอบให้แก่ชาวอิสราเอล”

สดุดี 119:121-144

ע ใอยิน

121 ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามความเป็นธรรมและถูกต้อง
    อย่าทอดทิ้งข้าพเจ้าไว้กับพวกศัตรูของข้าพเจ้าเลย
122 ขอให้พระองค์รับรองว่า ผู้รับใช้ของพระองค์จะปลอดภัย
    อย่าให้พวกที่ยโสบีบบังคับข้าพเจ้า
123 ข้าพเจ้ารอคอยความรอดพ้น
    และคำสัญญาอันชอบธรรมของพระองค์จนดวงตาพร่าพราย
124 โปรดกระทำต่อผู้รับใช้ของพระองค์ตามความรักอันมั่นคงของพระองค์
    และโปรดสอนกฎเกณฑ์ของพระองค์แก่ข้าพเจ้าด้วย
125 ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ โปรดให้ข้าพเจ้าได้หยั่งรู้
    ให้ได้ทราบคำสั่งของพระองค์
126 ได้เวลาแล้วที่พระผู้เป็นเจ้าจะดำเนินการ
    เนื่องจากมีคนฝ่าฝืนกฎบัญญัติของพระองค์
127 ฉะนั้น ข้าพเจ้ารักพระบัญญัติของพระองค์ยิ่งกว่าทองคำ
    ยิ่งกว่าทองนพคุณ
128 ฉะนั้น ข้าพเจ้าก้าวไปในทางอันควรโดยข้อบังคับของพระองค์ทุกข้อ
    ข้าพเจ้าเกลียดชังทุกวิถีทางที่จอมปลอม

פ เผ

129 คำสั่งของพระองค์ช่างล้ำเลิศ
    ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงปฏิบัติตาม
130 ขณะที่คำกล่าวของพระองค์ถูกเผยออกให้คนทราบ ความสว่างก็เกิดขึ้นกับเขา
    และแม้แต่คนเขลาก็เข้าใจได้
131 ข้าพเจ้ากระหายในพระบัญญัติของพระองค์ยิ่งนัก
    จนถึงกับปากอ้ากระหืดกระหอบ
132 โปรดหันมาทางข้าพเจ้า และเมตตาข้าพเจ้า
    อย่างที่พระองค์กระทำต่อบรรดาผู้ที่รักพระนามของพระองค์
133 ให้ข้าพเจ้าก้าวไปอย่างมั่นคงตามคำสัญญาของพระองค์
    และอย่าปล่อยให้อำนาจแห่งความชั่วใดๆ คุมข้าพเจ้าไว้
134 ช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากการบีบบังคับของมนุษย์
    ข้าพเจ้าจะได้ปฏิบัติตามข้อบังคับของพระองค์
135 โปรดหันหน้ามาทางผู้รับใช้ด้วยแสงอันรุ่งโรจน์ของพระองค์
    และโปรดสอนกฎเกณฑ์ของพระองค์แก่ข้าพเจ้าเถิด
136 น้ำตาไหลพรั่งพรูจากดวงตาของข้าพเจ้า
    เพราะผู้คนไม่ปฏิบัติตามกฎบัญญัติของพระองค์

ץ ธซาเด

137 โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์มีความชอบธรรม
    และการตัดสินของพระองค์ก็ยุติธรรม
138 คำสั่งของพระองค์ที่ได้บัญชาไว้ล้วนมีความชอบธรรม
    และความสัตย์จริงโดยบริบูรณ์
139 ความปรารถนาอันแรงกล้าท่วมท้นใจข้าพเจ้า
    เพราะศัตรูของข้าพเจ้าลืมคำกล่าวของพระองค์
140 คำพูดของพระองค์บริสุทธิ์ยิ่งนัก
    และผู้รับใช้ของพระองค์รักคำสัญญานั้น
141 แม้ข้าพเจ้าถูกดูหมิ่นและไม่มีความสำคัญใดๆ
    แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ลืมข้อบังคับของพระองค์
142 ความชอบธรรมของพระองค์จะคงอยู่ตลอดกาล
    และกฎบัญญัติของพระองค์เป็นความจริง
143 ความลำบากและความทุกข์โหมกระหน่ำข้าพเจ้า
    ข้าพเจ้ายินดีในพระบัญญัติของพระองค์
144 คำสั่งของพระองค์มีความชอบธรรมตลอดกาล
    โปรดให้ข้าพเจ้าได้หยั่งรู้เพื่อมีชีวิตคงอยู่ได้

อิสยาห์ 59

ความชั่วและการบีบบังคับ

59 ดูเถิด มือของพระผู้เป็นเจ้ามิได้สั้นเกินที่จะช่วยให้รอดได้
    หูของพระองค์มิได้ตึงเกินที่จะได้ยินได้
แต่ความชั่วของท่านได้ทำให้ท่าน
    แยกไปจากพระเจ้า
และบาปของท่านได้ทำให้พระองค์ซ่อนหน้าไปจากท่าน
    และทำให้พระองค์ไม่ฟัง
เพราะว่ามือของท่านเป็นมลทินด้วยเลือด
    และนิ้วของท่านเป็นมลทินด้วยความชั่ว
ปากของท่านพูดเท็จ
    ลิ้นของท่านพร่ำบ่นถึงสิ่งชั่วร้าย
ไม่มีผู้ใดฟ้องศาลอย่างเป็นธรรม
    ไม่มีผู้ใดใช้กฎหมายอย่างซื่อสัตย์
พวกเขาไว้วางใจในคำวิวาทที่ไร้ประโยชน์ และพูดเท็จ
    พวกเขาวางแผนก่อความยุ่งยาก และสิ่งที่ตามมาคือการทำความชั่ว
พวกเขาเป็นที่มาของไข่งูพิษ
    พวกเขาชักใยแมงมุม
ผู้ที่กินไข่ของพวกเขาจะตาย
    และไข่งูพิษที่ถูกย่ำก็จะฟักเป็นตัว
จะใช้ใยแมงมุมเป็นเครื่องนุ่งห่มไม่ได้
    ผู้คนจะไม่ใช้ใยที่ตนชักเป็นเครื่องนุ่งห่ม
สิ่งที่ทำขึ้นเป็นความชั่ว
    และมือของพวกเขาทำสิ่งที่รุนแรง
เท้าของพวกเขาวิ่งไปในทางที่ชั่ว
    และพวกเขารีบฆ่าคนไร้ความผิด
ความคิดของพวกเขาเป็นความคิดชั่ว
    ความพินาศและความวิบัติอยู่ในวิถีทางของเขา
พวกเขาไม่รู้จักทางที่นำไปสู่สันติสุข
    และพวกเขาไม่มีความยุติธรรมในการดำเนินชีวิต
พวกเขาทำทางของเขาเองให้คด
    ไม่มีผู้ใดที่ย่ำบนทางนั้นแล้วจะรู้จักสันติสุข[a]

ฉะนั้น ความยุติธรรมอยู่ห่างไกลจากพวกเรา
    และความชอบธรรมไม่เกิดขึ้นกับเรา
พวกเราหวังในแสงสว่าง แต่ดูเถิด มีแต่ความมืด
    และหวังในความสว่าง แต่พวกเราเดินอยู่ในความมืดมน
10 พวกเราคลำหาตามกำแพงอย่างคนตาบอด
    พวกเราคลำหาราวกับคนไม่มีตา
พวกเราสะดุดตอนเที่ยงวันราวกับเป็นเวลาพลบค่ำ
    พวกเราเป็นเหมือนคนตายแล้วในหมู่คนร่างกำยำ
11 พวกเราทุกคนคำรามอย่างหมี
    พวกเราโอดครวญ คร่ำครวญอย่างนกพิราบ
พวกเราหวังในความยุติธรรม แต่หาไม่พบเลย
    หวังในความรอดพ้น แต่ก็ห่างไกลจากพวกเรา

12 เพราะการล่วงละเมิดของเราทวีคูณขึ้น ณ เบื้องหน้าพระองค์
    และบาปของพวกเราเป็นพยานฟ้องเรา
เพราะการล่วงละเมิดอยู่กับพวกเรา
    และเรารู้ถึงความชั่วของเรา
13 การล่วงละเมิดและการปฏิเสธพระผู้เป็นเจ้า
    และการหันหลังให้กับพระเจ้าของเรา
พูดด้วยการบีบบังคับและฝ่าฝืน
    กล่าวคำเท็จซึ่งเกิดขึ้นจากจิตใจของพวกเรา
14 ความยุติธรรมถูกบังคับให้ถอยกลับ
    และความชอบธรรมอยู่ห่างไกล
เพราะความจริงไม่มั่นคงที่ลานชุมนุม
    และความเที่ยงธรรมเข้ามาไม่ถึง
15 หามีความจริงไม่
    และผู้ที่เดินไปจากความชั่วกลายเป็นผู้ถูกตามล่า

พระผู้เป็นเจ้ามองดู และไม่พอใจ
    ที่ไม่มีความยุติธรรม
16 พระองค์เห็นว่าไม่มีผู้ใด
    และใจหายว่าไม่มีใครสักคนที่จะอธิษฐานขอ
แล้วพละกำลังของพระองค์เองนำความรอดพ้นมา
    และความชอบธรรมของพระองค์เสริมพลังให้แก่พระองค์
17 พระองค์สวมความชอบธรรมอย่างเกราะป้องกันอก
    และสวมหมวกเหล็กแห่งความรอดพ้น
พระองค์สวมเสื้อแห่งการแก้แค้นเป็นเครื่องนุ่งห่ม
    และคลุมพระองค์เองด้วยความรักอันแรงกล้าอย่างเสื้อคลุม
18 พระองค์จะสนองคืน
    ตามการกระทำของพวกเขา
การลงโทษแก่ฝ่ายตรงข้าม
    การสนองคืนแก่ศัตรูของพระองค์
    พระองค์จะสนองคืนแก่หมู่เกาะต่างๆ
19 ดังนั้น พวกเขาจะยำเกรงพระนามของพระผู้เป็นเจ้าจากฟากตะวันตก
    และพระบารมีของพระองค์จากทางที่ดวงตะวันขึ้น
เพราะพระองค์จะมาอย่างสายน้ำที่ไหลหลาก
    ซึ่งลมของพระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้พัดมันมา

20 “และผู้ไถ่จะมายังศิโยน
    มายังบรรดาผู้ที่อยู่ในยาโคบ ผู้หันจากการล่วงละเมิด”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

21 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “สำหรับเราแล้ว นี่คือพันธสัญญาของเราที่มีกับพวกเขา วิญญาณของเราซึ่งอยู่เหนือเจ้า และเราบันดาลให้เจ้าพูดตามคำของเราซึ่งจะไม่หายไปจากปากเจ้า หรือจากปากของเชื้อสายของเจ้า หรือจากปากของเชื้อสายของลูกๆ ของเจ้า นับแต่บัดนี้และตลอดไปเป็นนิตย์”[b]

มัทธิว 7

การตำหนิผู้อื่น

อย่าตำหนิติเตียนผู้อื่น เพื่อท่านจะได้ไม่ถูกตำหนิ เพราะว่าท่านจะถูกตำหนิเช่นเดียวกับที่ท่านตำหนิผู้อื่น และท่านตวงให้ไปเท่าใด ท่านก็จะได้รับเท่านั้น เหตุใดท่านจึงมองเห็นผงในดวงตาของพี่น้องของท่าน แต่ไม่สังเกตเห็นไม้ท่อนใหญ่ในดวงตาของท่านเอง ท่านพูดกับพี่น้องของท่านได้อย่างไรว่า ‘ให้เราเขี่ยผงออกจากดวงตาของท่านเถิด’ แต่ดูเถิด ไม้ท่อนใหญ่อยู่ในดวงตาของท่านเอง คนหน้าไหว้หลังหลอกเอ๋ย ท่านต้องเอาไม้ท่อนใหญ่ออกจากดวงตาของท่านเสียก่อน จึงจะเห็นอย่างชัดเจน แล้วจะได้เขี่ยผงออกจากดวงตาของพี่น้องของท่านได้

อย่าให้สิ่งที่ประเสริฐแก่สุนัข และอย่าโยนไข่มุกให้แก่หมู ถ้าท่านทำเช่นนั้นมันก็จะเหยียบย่ำเสีย และจะหันมาแว้งกัดท่าน

การขอจากพระเจ้า

จงขอ และท่านก็จะได้รับ จงแสวงหา และท่านก็จะพบ จงเคาะประตู และประตูก็จะเปิดให้ท่าน เพราะทุกคนที่ขอก็จะได้รับ คนที่หาก็พบ คนที่เคาะประตู ประตูก็จะเปิด มีคนใดบ้างที่ลูกขอขนมปัง แล้วให้ก้อนหินแทน 10 หรือว่าถ้าลูกขอปลา แล้วพ่อจะให้งูแทนหรือ 11 ดังนั้นถ้าพวกท่านซึ่งเป็นคนชั่วยังรู้จักให้สิ่งที่ดีแก่ลูกๆ แล้วพระบิดาในสวรรค์จะให้สิ่งดีมากกว่าเพียงไรแก่ผู้ที่ขอจากพระองค์

12 ฉะนั้น จงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างที่ท่านต้องการให้เขาปฏิบัติต่อท่าน เพราะเป็นหมวดกฎบัญญัติและหมวดผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า[a]

อาณาจักรแห่งสวรรค์

13 จงเข้าทางประตูแคบ เพราะประตูใหญ่และทางกว้างนำไปสู่ความพินาศ และมีคนจำนวนมากที่เข้าไปทางนั้น 14 ประตูเล็กและทางแคบนำไปสู่ชีวิต และมีน้อยคนที่พบทางนั้น

15 จงระวังบรรดาผู้เผยคำกล่าวจอมปลอมซึ่งสวมรอยเป็นลูกแกะ แต่แท้จริงแล้วคือสุนัขป่าร้ายกาจ 16 ท่านจะทราบได้โดยดูจากการกระทำของเขา ผลองุ่นไม่ได้มาจากพุ่มไม้ประเภทหนาม หรือมะเดื่อจากพืชพันธุ์ไม้หนาม 17 ดังนั้นไม้ดีย่อมให้ผลดี และไม้เลวให้ผลเลว 18 ไม้ดีย่อมไม่ให้ผลเลว ไม้เลวจะให้ผลดีก็ไม่ได้เช่นกัน 19 ไม้ทุกต้นที่ไม่ให้ผลดีถูกฟันลงแล้วทิ้งไปในไฟเสีย 20 ดังนั้นท่านจะทราบได้โดยดูจากการกระทำของเขา

21 มิใช่ว่าทุกคนที่เรียกเราว่า ‘พระองค์ท่าน พระองค์ท่าน’ แล้วจะเข้าสู่อาณาจักรแห่งสวรรค์ได้ แต่จะเป็นคนที่กระทำตามความประสงค์ของพระบิดาในสวรรค์ของเรา 22 จะมีคนจำนวนมากที่พูดกับเราในวันนั้นว่า ‘พระองค์ท่าน พระองค์ท่าน พวกเราได้เผยคำกล่าวในพระนามของพระองค์ ขับพวกมารออกจากผู้คน และแสดงสิ่งอัศจรรย์หลายสิ่งในพระนามของพระองค์มิใช่หรือ’ 23 แล้วเราจะประกาศว่า ‘เราไม่เคยรู้จักเจ้า ไปให้พ้น พวกเจ้าคนชั่ว’

ฐานรากอันมั่นคง

24 ฉะนั้น ทุกคนที่ได้ยินคำของเราแล้วปฏิบัติตาม ก็เปรียบเสมือนคนที่มีสติปัญญา ที่สร้างบ้านของเขาบนฐานรากที่เป็นหิน 25 ฝนกระหน่ำลง น้ำสาดท่วม พายุพัดปะทะบ้านหลังนั้น แต่ก็ไม่พังลงเพราะสร้างฐานรากไว้บนหิน 26 ทุกคนที่ได้ยินคำของเรา แล้วไม่ปฏิบัติตาม ก็เปรียบเสมือนคนโง่เขลาที่สร้างบ้านบนฐานรากที่เป็นทราย 27 ฝนกระหน่ำลง น้ำสาดท่วม พายุพัดปะทะบ้านหลังนั้น บ้านก็พังทลายลง”

28 เมื่อพระเยซูกล่าวสิ่งเหล่านั้นจบแล้ว ฝูงชนก็พากันอัศจรรย์ใจกับการสอนของพระองค์ 29 ด้วยว่าพระองค์สั่งสอนพวกเขาดังเช่นผู้มีสิทธิอำนาจ ซึ่งไม่เหมือนบรรดาอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติของพวกเขา

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation