Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
กันดารวิถี 11

เพลิงไฟจากพระผู้เป็นเจ้า

11 ประชาชนต่างพากันบ่นเรื่องความทุกข์ยาก จนเข้าหูพระผู้เป็นเจ้า เมื่อพระผู้เป็นเจ้าได้ยิน ความกริ้วของพระองค์ก็พลุ่งขึ้น เปลวเพลิงของพระผู้เป็นเจ้าจึงลุกไหม้ท่ามกลางพวกเขาและรอบนอกค่ายบางส่วนด้วย ประชาชนร้องต่อโมเสส ท่านก็อธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า ไฟจึงมอดลง สถานที่นั้นจึงเรียกว่า ทาเบราห์[a] เพราะเพลิงไฟของพระผู้เป็นเจ้าได้ลุกไหม้ท่ามกลางพวกเขา

นกกระทาที่ขิบโรทหัทธาอาวาห์

คนชาติอื่นในหมู่ชาวอิสราเอลนึกอยากจะกินอาหารบางชนิดเป็นอย่างยิ่ง ชาวอิสราเอลนั่งร่ำไห้อีก และพูดกันว่า “ใครจะให้เนื้อพวกเรากินได้บ้างนี่ พวกเรายังจำได้ว่ามีปลาที่เคยกินในอียิปต์โดยไม่ต้องเสียเงิน อีกทั้งแตงกวา แตงโม ต้นหอมเทศ หัวหอม และกระเทียม บัดนี้ชีวิตจิตใจของเราห่อเหี่ยว แต่ก็ไม่เห็นสิ่งใดนอกจากมานานี้เท่านั้น”[b]

มานาเป็นเหมือนเมล็ดผักชี และมีลักษณะคล้ายกับยางไม้หอม ผู้คนเดินเก็บมานามาบดด้วยโม่หรือใส่ครกตำ ใส่หม้อต้มเพื่อทำเป็นขนม มีรสชาติเหมือนขนมอบกับน้ำมัน ยามน้ำค้างลงในยามค่ำที่ค่าย มานาก็ตกลงมาพร้อมกับน้ำค้างนั้น

10 โมเสสได้ยินผู้คนของแต่ละครอบครัวยืนร่ำไห้อยู่ที่ทางเข้าประตูกระโจมของตนเอง พระผู้เป็นเจ้าโกรธกริ้วมาก และโมเสสเองก็เป็นทุกข์ 11 โมเสสพูดกับพระผู้เป็นเจ้าว่า “ทำไมพระองค์จึงทำให้ผู้รับใช้ของพระองค์ต้องลำบาก และทำไมข้าพเจ้าไม่เป็นที่โปรดปรานในสายตาของพระองค์ พระองค์จึงได้ให้ข้าพเจ้าแบกภาระของประชาชนทั้งหมดนี้ 12 ข้าพเจ้าตั้งครรภ์ผู้คนเหล่านี้มาหรือ ข้าพเจ้าให้พวกเขาเกิดมาในโลกนี้หรือ พระองค์จึงได้กล่าวกับข้าพเจ้าว่า ‘จงอุ้มเขาไว้แนบอกเหมือนผู้เลี้ยงอุ้มทารก และนำเขาเข้าไปในแผ่นดินที่พระองค์ปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขา’ 13 ข้าพเจ้าจะไปเอาเนื้อจากไหนมาให้คนเหล่านี้ได้ทั้งหมด พวกเขาร่ำไห้ต่อหน้าข้าพเจ้าและขอว่า ‘ขอให้พวกเราได้กินเนื้อเถิด’ 14 ข้าพเจ้าไม่สามารถดูแลประชาชนทั้งหมดตามลำพังได้ ภาระนี้หนักเกินไปสำหรับข้าพเจ้า 15 ถ้าพระองค์จะทำกับข้าพเจ้าเช่นนี้ ก็ฆ่าข้าพเจ้าให้ตายทันทีไปเสียเลย หากว่าข้าพเจ้าเป็นที่โปรดปรานของพระองค์ ข้าพเจ้าจะได้ไม่ต้องเห็นความน่าสมเพชของตัวเอง”

16 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “จงรวบรวมชาย 70 คนจากบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของอิสราเอลให้เรา เป็นคนที่เจ้ารู้ว่าเป็นผู้ใหญ่และเจ้าหน้าที่มีอำนาจเหนือประชาชน พาพวกเขามายังกระโจมที่นัดหมายและให้ยืนอยู่พร้อมกับเจ้าที่นั่น 17 แล้วเราจะลงมาพูดกับเจ้าที่นั่น เราจะให้พระวิญญาณที่อยู่บนตัวเจ้ามาอยู่บนตัวพวกเขาด้วย แล้วพวกเขาจะรับภาระของประชาชนไปพร้อมกันกับเจ้า เพื่อเจ้าจะไม่ต้องแบกตามลำพัง 18 จงบอกประชาชนว่า ‘ชำระตัวให้บริสุทธิ์สำหรับวันพรุ่งนี้ แล้วเจ้าจะได้เนื้อรับประทาน เพราะเราได้ยินพวกเจ้าร้องคร่ำครวญว่า “ใครจะให้เนื้อแก่พวกเรากิน พวกเราอยู่ดีกว่านี้ในอียิปต์” ฉะนั้นพระผู้เป็นเจ้าจะให้เนื้อแก่พวกท่าน แล้วพวกท่านก็จะได้รับประทาน 19 ท่านจะได้รับประทานไม่ใช่แค่วันเดียว หรือ 2 วัน 5 วัน 10 หรือ 20 วันเท่านั้น 20 แต่นานถึง 1 เดือนเต็มจนท่านเหม็นเบื่อเอือมระอา เพราะท่านไม่เชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้าผู้อยู่ท่ามกลางพวกท่าน และพวกท่านยังมาร้องคร่ำครวญต่อหน้าพระองค์ว่า “ทำไมพวกเราจึงได้ออกมาจากอียิปต์”’” 21 แต่โมเสสพูดว่า “ข้าพเจ้าอยู่ท่ามกลางชายฉกรรจ์ 600,000 คน และพระองค์กล่าวว่า ‘เราจะให้เนื้อพวกเขากินได้นานถึง 1 เดือนเต็ม’ 22 มีฝูงแพะแกะและโคมากพอไว้ฆ่าสำหรับพวกเขาหรือ มีปลาในทะเลมากพอที่จะให้พวกเขาไหม” 23 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสว่า “มือของพระผู้เป็นเจ้าสั้นเกินไปหรือ บัดนี้เจ้าจะเห็นว่าคำของเราจะเป็นจริงเพื่อเจ้าหรือไม่”

24 โมเสสออกไปบอกประชาชนว่าพระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่าอย่างไร และรวบรวมบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของประชาชน 70 คนให้ยืนอยู่รอบกระโจม 25 พระผู้เป็นเจ้าลงมาในลักษณะของก้อนเมฆและกล่าวกับท่าน และให้พระวิญญาณที่อยู่บนตัวท่านมาอยู่บนตัวหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ 70 คนด้วย เมื่อพระวิญญาณสถิตบนพวกเขาแล้ว พวกเขาก็เผยคำกล่าวของพระเจ้า แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่ได้เผยคำกล่าวอีกเลย

26 มีชาย 2 คนที่ยังอยู่ในค่าย คนหนึ่งชื่อเอลดาด อีกคนชื่อเมดาด และพระวิญญาณอยู่บนตัวเขาทั้งสองซึ่งมีชื่อบันทึกอยู่ในบรรดาผู้นำ แต่ยังไม่ได้ออกไปที่กระโจม ฉะนั้นเขาเผยคำกล่าวของพระเจ้าในค่าย 27 มีชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งมาบอกโมเสสว่า “เอลดาดและเมดาดกำลังเผยคำกล่าวของพระเจ้าในค่าย”

28 และโยชูวาบุตรของนูนรับใช้โมเสสตั้งแต่หนุ่มพูดว่า “โมเสส นายท่านห้าม 2 คนนั้นเถิด” 29 แต่โมเสสตอบว่า “ท่านอิจฉาแทนเราหรือ เราปรารถนาให้ชนชาติของพระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า แล้วพระผู้เป็นเจ้าจะให้พระวิญญาณของพระองค์อยู่บนตัวเขาทุกคน” 30 โมเสสและบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของอิสราเอลก็กลับค่ายไป

31 ครั้นแล้วก็มีลมพัดมาจากพระผู้เป็นเจ้านำนกกระทามาจากทะเล บินลงมาอาศัยอยู่รอบค่ายในระยะห่างเท่ากับเดินไปได้ 1 วัน และสูงจากพื้นดินประมาณ 2 ศอก 32 ผู้คนพากันลุกขึ้นจับนกกระทาในวันนั้นตลอดวันตลอดคืนและตลอดในวันรุ่งขึ้นด้วย คนที่จับได้น้อยที่สุดได้ 10 โฮเมอร์[c] แล้วเขาก็ตากเนื้อมันไว้ที่รอบค่าย 33 แต่ขณะที่เศษเนื้อยังติดอยู่ที่ฟันและยังเคี้ยวไม่หมดเสียด้วยซ้ำ พระผู้เป็นเจ้ากริ้วผู้คนเหล่านั้นมาก พระผู้เป็นเจ้าจึงทำให้พวกเขาเป็นโรคระบาดร้ายแรง 34 ฉะนั้นจึงเรียกสถานที่นั้นว่า ขิบโรทหัทธาอาวาห์ เพราะเป็นสถานที่ฝังบรรดาผู้มีความตะกละอย่างยิ่ง 35 ประชาชนออกเดินทางจากขิบโรทหัทธาอาวาห์ไปยังฮาเซโรท แล้วพวกเขาก็หยุดพักอยู่ที่นั่น

สดุดี 48

ศิโยนเมืองของพระเจ้า

บทเพลง เพลงสดุดี ของตระกูลโคราห์

พระผู้เป็นเจ้ายิ่งใหญ่ และสมควรแก่การสรรเสริญยิ่งนัก
    ในเมืองแห่งพระเจ้าของเรา
ภูเขาอันบริสุทธิ์ของพระองค์
    ทั้งงดงามและตระหง่าน
เป็นความสุขใจทั่วทั้งแผ่นดินโลก
    คือภูเขาศิโยนซึ่งแลเห็นอยู่ทางเหนือสุด
    อันเป็นเมืองของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่
พระเจ้าผู้สถิตในป้อมปราการของเมือง
    ได้สำแดงพระองค์ว่า เป็นหลักยึดอันมั่นคง

บรรดากษัตริย์ประชุมร่วมกัน
    และได้ยกทัพมาด้วยกัน
แต่ครั้นมาเห็นภูเขาศิโยนแล้วก็ตกใจเป็นที่สุด
    จึงพากันเตลิดหนีไปด้วยความกลัว
บรรดากษัตริย์ต่างหวาดหวั่น ณ ที่นั้น
    ทั้งเจ็บปวดรวดร้าวประหนึ่งหญิงเจ็บครรภ์
ดั่งเรือเดินทะเลของเมืองทาร์ชิช
    ที่ถูกลมตะวันออกพัดถาโถมเข้าใส่จนอับปางไป
ตามที่ได้ยิน
    เราก็ได้เห็น
ณ เมืองของพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา
    ณ เมืองของพระเจ้าของเรา
อันเป็นที่ซึ่งพระองค์มอบความปลอดภัย
    ให้ชั่วนิรันดร์กาล เซล่าห์

โอ พระเจ้า เราคำนึงถึงความรักอันมั่นคงของพระองค์
    ในยามที่อยู่ในพระวิหารของพระองค์
10 โอ พระเจ้า คำสรรเสริญถึงพระองค์
    เลื่องลือไปไกลทั่วแหล่งหล้า
เช่นเดียวกับพระนามของพระองค์
    มือขวาของพระองค์พรั่งพร้อมด้วยความชอบธรรม
11 ให้ภูเขาศิโยนยินดี
    ให้ธิดาแห่งยูดาเปรมปรีดิ์
    เพราะความเป็นธรรมของพระองค์

12 จงเดินดูศิโยนให้ทั่ว เดินให้รอบ
    และนับจำนวนหอคอย
13 สังเกตที่ตัวกำแพง
    ตรวจสอบดูป้อมปราการ
    เพื่อให้ท่านสามารถบอกให้คนยุคต่อไปฟังได้ว่า
14 พระเจ้าผู้นี้เป็นพระเจ้าของเราชั่วนิรันดร์กาล
    พระองค์จะเป็นผู้นำของเราไปจนชั่วชีวิต

อิสยาห์ 1

ภาพนิมิตซึ่งอิสยาห์บุตรอามอสเห็น เป็นภาพเกี่ยวกับยูดาห์และเยรูซาเล็มในรัชสมัยของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์คือ อุสซียาห์ โยธาม อาหัส และเฮเซคียาห์[a]

ความชั่วร้ายของยูดาห์

โอ ฟ้าสวรรค์ โปรดฟัง โอ แผ่นดินโลก โปรดเงี่ยหู
    เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวดังนี้ว่า
“เราได้เลี้ยงดูลูกๆ จนเติบโตขึ้น
    แต่พวกเขากลับขัดขืนเรา
โครู้จักเจ้าของ
    และลารู้จักรางหญ้าของนาย
แต่อิสราเอลไม่รู้จัก
    ชนชาติของเราไม่เข้าใจ”
วิบัติ ประชาชาติที่ชั่วโฉด
    ชนชาติที่สุมความชั่วไว้มาก
เชื้อสายของบรรดาผู้ทำความชั่ว
    ลูกๆ ไร้ศีลธรรม
พวกเขาได้ทอดทิ้งพระผู้เป็นเจ้า
    พวกเขาได้ดูหมิ่นองค์ผู้บริสุทธิ์ของอิสราเอล
    พวกเขาหันหลังให้พระองค์

ทำไมพวกท่านจึงจะถูกเหยียบลงอีก
    ทำไมท่านจะขัดขืนต่อไปอีก
หัวทั้งหัวก็บาดเจ็บ
    และใจทั้งใจก็เป็นทุกข์
ตั้งแต่ฝ่าเท้าจนถึงศีรษะ
    ไม่มีส่วนไหนเป็นปกติ
มีแต่รอยฟกช้ำ เป็นแผล และบาดเจ็บ
    ไม่ได้รับการรักษาให้สะอาด
ไม่มีการพันแผล
    หรือทาน้ำมันให้บรรเทา

แผ่นดินของท่านถูกทิ้งร้าง
    เมืองต่างๆ ถูกไฟเผา
ชนต่างชาติแย่งชิงแผ่นดินของท่านไปต่อหน้าต่อตา
    มันกลายเป็นที่รกร้าง
    เหมือนถูกล้มล้างโดยชนต่างชาติ
ธิดาแห่งศิโยนถูกทิ้งไว้
    เหมือนเพิงในสวนองุ่น
เหมือนกระท่อมในไร่แตงกวา
    เหมือนเมืองที่ถูกล้อม
ถ้าหากว่าพระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา
    ไม่ได้ให้มีผู้รอดชีวิตเหลือไว้เพื่อพวกเรา
พวกเราคงกลายเป็นเหมือนเมืองโสโดม
    และเป็นอย่างเมืองโกโมราห์[b]

10 บรรดาผู้ปกครองเมืองโสโดมเอ๋ย
    จงฟังคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า
ประชาชนของเมืองโกโมราห์เอ๋ย
    จงเงี่ยหูฟังคำสั่งสอนของพระเจ้าของเรา
11 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้
    “ทำไมพวกเจ้าจึงมอบเครื่องสักการะให้แก่เรามากมาย
เรามักได้รับแกะตัวผู้เป็นสัตว์ที่เผาเป็นของถวาย
    และไขมันกระทิง
เราไม่ชื่นชอบเลือดโคหนุ่ม
    เลือดแกะ หรือเลือดแพะ

12 เมื่อเจ้ามาแสดงตัว ณ เบื้องหน้าเรา
    ใครขอให้พวกเจ้ามา
    ย่ำเหยียบบริเวณวิหารของเรา
13 อย่านำเครื่องสักการะซึ่งไม่มีความหมายมาถวายอีก
    เครื่องหอมเป็นสิ่งน่ารังเกียจสำหรับเรา
รวมทั้งเทศกาลข้างขึ้น วันสะบาโต และการเรียกประชุมในเทศกาลต่างๆ
    เราทนต่อการประชุมเทศกาลที่เกี่ยวโยงกับความชั่วร้ายไม่ได้
14 จิตวิญญาณของเราเกลียดชังเทศกาลข้างขึ้นและเทศกาลที่เจ้ากำหนดไว้
    มันกลายเป็นภาระต่อเรา
    เราเอือมระอาที่จะต้องทนกับมัน
15 เมื่อเจ้ายื่นมือของเจ้าออกมา
    เราจะหลบสายตาไปจากเจ้า
แม้ว่าเจ้าจะอธิษฐานมากมาย
    เราก็จะไม่ฟัง
    มือของเจ้าโชกเลือด
16 พวกเจ้าจงชำระตัว ทำตัวให้สะอาด
    จงเอาความชั่วไปให้พ้นสายตาของเรา
จงหยุดทำชั่ว
17     จงเรียนรู้การทำดี
แสวงหาความเป็นธรรม
    แก้ไขการบีบบังคับ
รักษาสิทธิของเด็กกำพร้า
    ช่วยสู้ความให้กับหญิงม่าย”

18 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า “มาเถิด เรามาพูดด้วยเหตุผลกัน

แม้ว่าบาปของพวกเจ้าเป็นเหมือนสีแดงสด
    มันจะกลับขาวราวกับหิมะ
แม้ว่ามันแดงดั่งเลือดนก
    แต่มันจะเป็นดั่งขนแกะ
19 ถ้าพวกเจ้าเต็มใจและเชื่อฟัง
    เจ้าจะได้รับประทานสิ่งดีๆ ของแผ่นดิน
20 แต่ถ้าพวกเจ้าปฏิเสธและขัดขืน
    เจ้าก็จะถูกกำจัดด้วยคมดาบ
เพราะคำพูดได้ออกจากปากของพระผู้เป็นเจ้าแล้ว”

เมืองที่ไร้ความภักดี

21 เมืองที่ภักดีกลายเป็น
    เมืองแพศยาได้อย่างไร
นางเคยเปี่ยมด้วยความเป็นธรรม
    ความชอบธรรมอยู่ในตัวนาง
    แต่บัดนี้กลับกลายเป็นฆาตกร
22 เงินของพวกท่านกลายเป็นขี้เงิน
    น้ำองุ่นดีที่สุดก็มีน้ำปะปนอยู่
23 บรรดาผู้นำของพวกท่านก็เป็นพวกขัดขืน
    คบค้ากับโจร
ทุกคนรักสินบน และรับของกำนัล
    ไม่รักษาสิทธิของเด็กกำพร้า
    และหญิงม่ายไม่ได้รับความช่วยเหลือ

24 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาผู้ยิ่งใหญ่
    องค์ผู้กอปรด้วยอานุภาพของอิสราเอลประกาศว่า
“เอาล่ะ พวกศัตรูของเราจะไม่ก่อความยุ่งยากให้กับเราอีก
    และเราเองจะลงโทษเหล่าปรปักษ์
25 เราจะหันมากล่าวโทษพวกเจ้า
    และจะกำจัดขี้แร่ออกจากเจ้าราวกับใช้น้ำด่าง
    และเอาสิ่งเจือปนในตัวเจ้าออกให้หมด
26 และเราจะคืนบรรดาผู้ตัดสินความของเจ้ากลับมาดังเดิม
    เราจะคืนที่ปรึกษาของเจ้าเหมือนสมัยแรกเริ่ม
ต่อจากนั้นเจ้าจะถูกเรียกว่า
    เมืองที่มีความชอบธรรม
    เมืองที่ภักดี”

27 ศิโยนจะได้รับการไถ่อย่างเป็นธรรม
    และบรรดาผู้ที่กลับใจในเมืองนั้นจะได้รับการไถ่ด้วยความชอบธรรม
28 แต่พวกคนล่วงละเมิดและคนบาปจะย่อยยับ
    และพวกที่ทอดทิ้งพระผู้เป็นเจ้าจะพินาศ
29 “เจ้าจะอับอายเรื่องต้นโอ๊ก
    ซึ่งเจ้าเคยชื่นชอบ
และเจ้าจะอดสูเรื่องสวน
    ซึ่งเจ้าได้เลือก
30 เพราะเจ้าจะเป็นอย่างต้นโอ๊ก
    ที่ใบเหี่ยวเฉา
    และเป็นอย่างสวนไร้น้ำ
31 และคนแข็งแรงจะกลายเป็นเชื้อไฟ
    และผลงานของเขาจะกลายเป็นประกายไฟ
ทั้งสองจะมอดไหม้ไปด้วยกัน
    โดยไม่มีใครดับได้”

ฮีบรู 9

นมัสการในกระโจม

แม้พันธสัญญาแรกก็ยังมีกฎเกณฑ์ในการนมัสการ และมีสถานที่บริสุทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งมนุษย์ทำขึ้นมา เพราะว่ามีกระโจมเตรียมไว้ที่ห้องด้านนอก ซึ่งมีคันประทีป โต๊ะ และขนมปังอันบริสุทธิ์ ห้องนี้เรียกว่าวิสุทธิสถาน และด้านหลังม่านชั้นที่ 2 มีห้องซึ่งเรียกว่า อภิสุทธิสถาน ซึ่งมีแท่นบูชาทำด้วยทองคำสำหรับเผาเครื่องหอม และมีหีบพันธสัญญาที่หุ้มด้วยทองคำทุกด้าน หีบนี้มีโถทองคำซึ่งบรรจุมานา มีไม้เท้าของอาโรนที่ผลิดอกตูม และมีศิลา 2 แผ่นซึ่งมีพันธสัญญาจารึกไว้ เหนือหีบใบนี้มีรูปปั้นเครูบ[a]ซึ่งแสดงพระสง่าราศีของพระเจ้า และกางปีกปกฝาหีบแห่งการชดใช้บาป แต่ในเวลานี้เราจะพูดถึงเรื่องเหล่านี้อย่างละเอียดไม่ได้

เมื่อจัดเตรียมสิ่งเหล่านี้ไว้แล้ว บรรดาปุโรหิตก็เข้าไปในกระโจมด้านนอกเป็นประจำเพื่อนมัสการตามหน้าที่ มีแต่หัวหน้ามหาปุโรหิตเท่านั้นที่เข้าไปในห้องด้านในได้เพียงปีละครั้ง และจะต้องนำเลือดเข้าไปถวายเพื่อตนเอง และเพื่อบาปทั้งหลายของมนุษย์ที่ทำไปโดยไม่เจตนา พระวิญญาณบริสุทธิ์แสดงให้เห็นจากการปฏิบัติตามที่กล่าวมานี้ว่า ทางเข้าไปสู่อภิสุทธิสถานยังไม่เปิด ตราบที่กระโจมด้านนอกยังตั้งอยู่ นี่คือภาพที่แสดงให้เห็นถึงยุคปัจจุบัน ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ของบรรณาการและเครื่องสักการะทั้งหลายที่ถวาย ไม่สามารถทำให้มโนธรรมของผู้นมัสการสะอาดได้ 10 ในเมื่อเป็นเพียงเรื่องอาหารและเครื่องดื่ม และพิธีชำระล้างด้วยวิธีต่างๆ กัน อันเป็นกฎเกณฑ์สำหรับร่างกาย ซึ่งใช้ได้จนกระทั่งถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไขใหม่

โลหิตของพระคริสต์

11 เมื่อพระคริสต์มาในฐานะหัวหน้ามหาปุโรหิตของสิ่งประเสริฐต่างๆ ที่เราได้รับแล้ว พระองค์ก็ได้เข้าสู่กระโจมที่ยิ่งใหญ่และบริบูรณ์กว่า ซึ่งไม่ได้ทำขึ้นด้วยมือมนุษย์ คือไม่ได้เป็นส่วนของโลกที่ถูกสร้างขึ้น 12 พระองค์ไม่ได้เข้าไปด้วยเลือดแพะ และเลือดลูกโค แต่พระองค์เข้าไปในอภิสุทธิสถานด้วยโลหิตของพระองค์เอง เพียงครั้งเดียวเป็นพอ เราจึงได้มาซึ่งการไถ่อันเป็นนิรันดร์ 13 ถ้าเลือดแพะ และโคตัวผู้ และเถ้าจากลูกโคตัวเมีย ที่ประพรมลงบนคนที่มีมลทิน เพื่อชำระให้มนุษย์บริสุทธิ์ภายนอกได้ 14 ดังนั้นโลหิตของพระคริสต์จะชำระล้างมโนธรรมของเราจากการกระทำอันไร้ประโยชน์ เพื่อรับใช้พระเจ้าผู้ดำรงอยู่ได้มากกว่าเพียงไร ด้วยเหตุว่า พระองค์ได้ถวายพระองค์เองผู้ปราศจากตำหนิแด่พระเจ้า โดยผ่านพระวิญญาณอันเป็นนิรันดร์

15 และด้วยเหตุนี้ พระคริสต์จึงเป็นคนกลางของพันธสัญญาใหม่ ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ เพื่อว่าบรรดาผู้ที่พระเจ้าเรียก จะได้รับมรดกอันเป็นนิรันดร์ซึ่งเป็นพระสัญญา เพราะพระองค์ได้สิ้นชีวิต เพื่อเป็นค่าไถ่ให้พวกเขาเป็นอิสระจากการล่วงละเมิดภายใต้บังคับของพันธสัญญาแรก 16 ในกรณีที่เกี่ยวกับหนังสือพินัยกรรม จำเป็นต้องพิสูจน์ว่าผู้ทำหนังสือนั้นตายแล้ว 17 เพราะหนังสือพินัยกรรมจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อคนนั้นตายแล้ว และยังใช้ไม่ได้หากว่าคนที่ทำหนังสือยังมีชีวิตอยู่ 18 เหตุฉะนั้นแม้พันธสัญญาแรกจะใช้ได้ ก็ต่อเมื่อมีการใช้เลือด 19 เมื่อโมเสสได้ประกาศพระบัญญัติทุกข้อแก่คนทั้งปวงตามกฎบัญญัติแล้ว ท่านใช้ขนสัตว์สีแดงสดกับไม้หุสบ จุ่มเลือดลูกโคกับเลือดแพะผสมน้ำ ประพรมหนังสือม้วนและคนทั้งปวง 20 ท่านกล่าวว่า “นี่คือเลือดแห่งพันธสัญญา ซึ่งพระเจ้าได้สั่งให้พวกท่านรักษาไว้”[b] 21 ในวิธีเดียวกันท่านก็ได้ประพรมกระโจมและทุกสิ่งที่ใช้ในพิธีด้วยเลือด 22 ตามกฎบัญญัติแล้ว เกือบทุกสิ่งได้รับการชำระด้วยเลือด และถ้าปราศจากการหลั่งเลือดแล้วก็จะไม่มีการให้อภัยโทษ

23 ฉะนั้น จึงจำเป็นต้องให้สิ่งที่ทำขึ้นตามแบบอย่างสวรรค์ ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ด้วยเครื่องสักการะเหล่านี้ แต่สิ่งซึ่งเป็นอย่างสวรรค์เองต้องมีเครื่องสักการะที่ดีกว่านี้ 24 ด้วยว่าพระคริสต์ไม่ได้เข้าสู่สถานที่บริสุทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็นแบบของจริงด้วยมือมนุษย์ แต่ได้เข้าสู่สวรรค์อันแท้จริง และบัดนี้พระองค์ปรากฏต่อหน้าพระเจ้าเพื่อพวกเรา 25 พระองค์ไม่ได้เข้าสู่สวรรค์เพื่อถวายตัวครั้งแล้วครั้งเล่า ตามแบบของหัวหน้ามหาปุโรหิตที่เข้าไปในอภิสุทธิสถานทุกปี พร้อมกับเอาเลือดที่ไม่ใช่ของตนเองไป 26 มิฉะนั้น พระองค์จะต้องทนทุกข์บ่อยครั้งนับตั้งแต่การสร้างโลกแล้ว แต่บัดนี้พระองค์ได้ปรากฏเพียงครั้งเดียวเป็นพอในปลายยุค เพื่อกำจัดบาป โดยสละชีวิตของพระองค์เองเป็นเครื่องสักการะ 27 มนุษย์ทุกคนถูกกำหนดให้ตายครั้งเดียว และจากนั้นก็มีการพิพากษาฉันใด 28 พระคริสต์ก็เป็นเครื่องลบล้างบาปครั้งเดียว เพื่อกำจัดบาปทั้งปวงของมนุษย์จำนวนมากฉันนั้น พระองค์จะปรากฏเป็นครั้งที่สองมิใช่เพื่อรับบาปไป แต่เพื่อนำความรอดพ้นมาให้บรรดาผู้ที่รอคอยพระองค์อยู่ด้วยใจจดจ่อ

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation