M’Cheyne Bible Reading Plan
พระเจ้าให้เกิดโรคระบาดกับสัตว์
9 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ไปหาฟาโรห์และบอกกับเขาว่ายาห์เวห์พระเจ้าของชาวฮีบรู พูดอย่างนี้ว่า ‘ปล่อยประชาชนของเรา เพื่อพวกเขาจะได้มารับใช้เรา’ 2 เพราะถ้าเจ้ายังไม่ยอมปล่อยพวกเขา และยังคงกักตัวพวกเขาไว้ 3 มือของพระยาห์เวห์จะทำให้ฝูงสัตว์เลี้ยงที่อยู่ในท้องทุ่งของเจ้า เกิดโรคระบาดอย่างร้ายแรง ทั้งฝูงม้า ฝูงลา ฝูงอูฐ ฝูงวัวควาย และฝูงแพะแกะ 4 แต่พระยาห์เวห์จะแยกระหว่างฝูงสัตว์ของคนอิสราเอลกับฝูงสัตว์ของคนอียิปต์ ฝูงสัตว์ของลูกหลานอิสราเอลจะไม่ตายแม้แต่ตัวเดียว 5 พระยาห์เวห์ได้กำหนดเวลาไว้ว่าพรุ่งนี้พระยาห์เวห์จะลงมือทำสิ่งนี้ในแผ่นดินนี้”
6 วันต่อมา พระยาห์เวห์ได้ทำสิ่งที่ได้พูดไว้ ฝูงสัตว์ทั้งหมดของคนอียิปต์ล้มตาย แต่ฝูงสัตว์ของคนอิสราเอลไม่ตายแม้แต่ตัวเดียว 7 ฟาโรห์ส่งคนออกไปดูและพบว่าฝูงสัตว์ของคนอิสราเอลไม่ตายแม้แต่ตัวเดียว แต่จิตใจของฟาโรห์ยังแข็งกระด้าง และเขาก็ไม่ยอมปล่อยชาวอิสราเอลไป
โรคฝีพุพอง
8 พระยาห์เวห์บอกโมเสสและอาโรนว่า ให้เอาเขม่าจากเตาหลอมมาหนึ่งกำมือ และโยนขึ้นไปบนท้องฟ้า ต่อหน้าฟาโรห์ 9 มันจะกลายเป็นฝุ่นฟุ้งตลบไปทั่วแผ่นดินอียิปต์ มันจะทำให้เกิดฝีพุพองบนผิวหนังคนและสัตว์ไปทั่วแผ่นดินอียิปต์
10 พวกเขาจึงไปหยิบเขม่าจากเตาหลอม และไปยืนต่อหน้าฟาโรห์ โมเสสโยนเขม่านั้นขึ้นไปบนท้องฟ้า มันกลายเป็นฝีพุพองไปทั่วตัวคนและสัตว์ทั้งหลาย 11 แม้แต่พวกพระที่มีเวทมนตร์คาถา ก็ไม่สามารถที่จะยืนอยู่ต่อหน้าโมเสสได้ เพราะเกิดฝีพุพองตามตัวพวกเขาและคนอียิปต์ทุกคน 12 แต่พระยาห์เวห์ยังคงทำให้ฟาโรห์ใจแข็งกระด้าง และฟาโรห์ก็ไม่ยอมฟังพวกเขา เหมือนกับที่พระยาห์เวห์บอกไว้
ฝนลูกเห็บ
13 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “เช้าตรู่วันพรุ่งนี้ ให้ไปยืนอยู่ต่อหน้าฟาโรห์ และบอกกับเขาว่า ยาห์เวห์พระเจ้าของชาวฮีบรู พูดอย่างนี้ว่า ‘ปล่อยประชาชนของเรา เพื่อพวกเขาจะได้มารับใช้เรา 14 เพราะในครั้งนี้เราจะให้ภัยพิบัติต่างๆเกิดขึ้นกับเจ้า พวกข้าราชการของเจ้าและประชาชนของเจ้า เพื่อเจ้าจะได้รู้ว่าไม่มีใครเหมือนเราอีกแล้วบนโลกนี้ 15 เพราะความจริงแล้ว เราสามารถที่จะยื่นมือของเราออกมาจัดการให้เจ้าและประชาชนของเจ้าเป็นโรคระบาดได้ เพื่อเจ้าจะได้ถูกทำลายไปจากโลกนี้ 16 แต่เรายังปล่อยให้เจ้าอยู่ต่อไป เพื่อเราจะได้แสดงความแข็งแกร่งของเราให้เจ้าเห็น และจะได้ป่าวประกาศชื่อของเราไปทั่วโลก 17 ถ้าเจ้ายังถือดีที่จะไม่ยอมปล่อยประชาชนของเรา 18 พรุ่งนี้ เวลานี้ เราจะทำให้เกิดลูกเห็บขนาดใหญ่ตกลงมา จะเป็นฝนลูกเห็บชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอียิปต์ ตั้งแต่ก่อตั้งอียิปต์มาจนถึงเดี๋ยวนี้ 19 ตอนนี้ ให้เอาฝูงสัตว์ของเจ้าและทุกอย่างที่เจ้ามีในท้องทุ่งเข้ามาใต้ที่กำบัง คนหรือสัตว์ที่อยู่ในท้องทุ่งที่ไม่เข้ามาหลบข้างในจะตายกันหมด เมื่อลูกเห็บตกลงมา’”
20 พวกข้าราชการของฟาโรห์ ที่เชื่อคำพูดของพระยาห์เวห์ ต่างรีบพาพวกคนรับใช้และฝูงสัตว์ของเขา เข้ามาข้างใน 21 แต่พวกที่ไม่ใส่ใจกับคำพูดของพระยาห์เวห์ ยังคงปล่อยให้พวกคนรับใช้และฝูงสัตว์ของเขาอยู่ในท้องทุ่ง
22 พระยาห์เวห์พูดกับโมเสสว่า “ให้ยื่นแขนของเจ้าออกไปในท้องฟ้าเพื่อลูกเห็บจะได้ตกลงมาในแผ่นดินอียิปต์ จะได้ตกลงมาบนคนอียิปต์ ฝูงสัตว์และพืชทั้งหมดในท้องทุ่งของแผ่นดินอียิปต์”
23 โมเสสจึงยื่นไม้เท้าของเขาออกไปในท้องฟ้า พระยาห์เวห์ทำให้เกิดฟ้าร้อง ลูกเห็บตก พร้อมกับสายฟ้าแลบ พระยาห์เวห์ทำให้ลูกเห็บ ตกแบบห่าฝนลงบนแผ่นดินอียิปต์ 24 มีทั้งลูกเห็บตกพร้อมกับสายฟ้าแลบตลอดเวลา มันรุนแรงมากแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในแผ่นดินอียิปต์ ตั้งแต่มีชาติอียิปต์มา 25 ลูกเห็บได้ทำลายแผ่นดินอียิปต์ไปทั่ว ทุกอย่างที่อยู่ในท้องทุ่ง ตั้งแต่คนไปจนถึงสัตว์ ลูกเห็บได้ทำลายพืชผลและต้นไม้ทุกต้นในท้องทุ่ง 26 ยกเว้นในโกเชน ที่ลูกหลานของคนอิสราเอลอยู่ ไม่มีลูกเห็บตกเลย
27 ฟาโรห์เรียกตัวโมเสสและอาโรนมาพบและพูดกับพวกเขาว่า “เราได้ทำบาปไปแล้วครั้งนี้ พระยาห์เวห์คือฝ่ายถูก เราและประชาชนของเราเป็นฝ่ายผิด 28 อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ ขอให้หยุดฟ้าร้องกับลูกเห็บได้แล้ว พอแล้ว เรายอมปล่อยพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าไม่ต้องอยู่อีกต่อไปแล้ว”
29 โมเสสกล่าวว่า “เมื่อข้าพเจ้าออกจากเมืองนี้ ข้าพเจ้าจึงจะกางแขนออกต่อหน้าพระยาห์เวห์ ฟ้าจะหยุดร้องและจะไม่มีลูกเห็บอีกต่อไป แล้วท่านจะได้รู้ว่า โลกนี้เป็นของพระยาห์เวห์ 30 แต่ข้าพเจ้ารู้ว่าทั้งท่านและข้าราชการของท่านยังคงไม่ได้เกรงกลัวพระเจ้ายาห์เวห์หรอก”
31 ต้นป่านและข้าวบาร์เลย์ถูกทำลายเสียหาย เพราะต้นป่านยังเป็นต้นอ่อนอยู่ และต้นข้าวบาร์เลย์กำลังออกรวง 32 แต่ข้าวสาลีและข้าวสแปลต์ไม่ได้ถูกทำลายเพราะงอกช้า
33 เมื่อโมเสสจากฟาโรห์และออกจากเมืองนั้น เขากางแขนออกต่อพระยาห์เวห์ ทันใดนั้นฟ้าหยุดร้อง ลูกเห็บหยุดตก และฝนก็ไม่ได้ตกลงสู่พื้นดินอีก
34 แต่เมื่อฟาโรห์เห็นฝน ลูกเห็บ และฟ้าร้องหยุดหมดแล้ว เขาก็บาปอีก ใจแข็งกระด้างอีก ทั้งเขาและข้าราชการของเขา 35 ในที่สุดหัวใจของฟาโรห์ได้แข็งกระด้าง และไม่ยอมปล่อยลูกหลานอิสราเอลไป เหมือนกับที่พระยาห์เวห์ได้บอกโมเสสไว้
อย่าเป็นคนหน้าซื่อใจคด
12 มีชาวบ้านหลายพันคนได้มายืนเบียดเสียดกันอยู่ พระเยซูพูดกับพวกศิษย์ก่อนว่า “ระวังเชื้อของพวกฟาริสีไว้ให้ดี นั่นคือความหน้าซื่อใจคด[a]ของพวกเขา 2 ทุกอย่างที่ปิดบังไว้ก็จะถูกเปิดโปงออกมา และทุกอย่างที่เป็นความลับก็จะถูกเปิดเผย 3 สิ่งที่พวกคุณแอบพูดกันในที่มืดจะได้ยินในที่แจ้ง และสิ่งที่คุณกระซิบข้างหูในห้องส่วนตัว ก็จะถูกประกาศจากบนดาดฟ้า”
ควรกลัวใคร
(มธ. 10:28-31)
4 “เพื่อนรัก อย่ากลัวมนุษย์เลย เพราะเขาฆ่าได้แต่เพียงร่างกายเท่านั้น หลังจากนั้นเขาก็ทำอะไรคุณไม่ได้อีกแล้ว 5 แต่ให้เกรงกลัวพระองค์ ผู้ที่มีอำนาจที่นอกจากจะฆ่าแล้วยังโยนลงไปในนรกได้อีกด้วย ใช่แล้ว เราบอกให้เกรงกลัวผู้นี้แหละ
6 ขนาดนกกระจอกห้าตัว ขายแค่สองบาท พระเจ้าก็ยังไม่เคยลืมพวกมันสักตัว 7 ขนาดผมทุกเส้นบนหัวคุณ พระองค์ก็นับไว้หมดแล้ว อย่ากลัวเลย เพราะคุณมีค่ามากกว่านกกระจอกทั้งฝูงมากนัก”
การยอมรับพระเยซูต่อหน้ามนุษย์
(มธ. 10:32-33; 12:32; 10:19-20)
8 “เราจะบอกให้รู้ว่า คนที่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ บุตรมนุษย์ก็จะยอมรับเขาต่อหน้าทูตของพระเจ้าเหมือนกัน 9 แต่คนที่ไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราก็จะไม่ยอมรับเขาต่อหน้าพวกทูตสวรรค์ของพระเจ้าเหมือนกัน
10 พระเจ้าจะยกโทษให้กับคนที่ใส่ร้ายบุตรมนุษย์ แต่พระเจ้าจะไม่ยกโทษให้คนที่พูดหมิ่นประมาทต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์
11 เมื่อคุณถูกนำตัวไปสอบสวนในที่ประชุมชาวยิว และต้องยืนอยู่ต่อหน้าพวกผู้ปกครองบ้านเมืองและผู้มีอำนาจ ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะพูดแก้ตัวยังไงดี 12 เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนคุณว่าจะต้องพูดอะไรในเวลานั้น”
พระเยซูเตือนเรื่องความโลภ
13 มีชาวบ้านคนหนึ่งพูดว่า “อาจารย์ครับ ช่วยบอกให้พี่ชายผมแบ่งมรดกให้ผมด้วยครับ”
14 แต่พระเยซูตอบว่า “พ่อหนุ่ม ใครเป็นคนตั้งให้เราเป็นผู้แบ่งมรดกระหว่างคุณสองคน” 15 พระเยซูพูดอีกว่า “ระวังความโลภทุกชนิด เพราะชีวิตที่แท้จริงนั้นไม่ได้อยู่ที่การมีทรัพย์สมบัติมากมาย”
16 แล้วพระองค์เล่าเรื่องเปรียบเทียบนี้ให้ฟังว่า “มีชายที่ร่ำรวยคนหนึ่ง ไร่นาของเขาให้พืชผลดีมาก 17 เขาคิดในใจว่า ‘ข้าจะทำยังไงดี ไม่มีที่จะเก็บพืชผลพวกนี้ของข้าแล้ว’ 18 เขาจึงคิดว่า ‘อ๋อ รู้แล้ว ข้าจะรื้อยุ้งฉางพวกนี้ของข้าทิ้งแล้วสร้างขึ้นใหม่ให้ใหญ่กว่าเดิม เพื่อจะได้เก็บพืชผลและสิ่งของทั้งหมดของข้าไว้ที่นั่น’ 19 แล้วจะบอกกับตัวเองว่า ‘ข้าได้เก็บสะสมของดีๆไว้ตั้งมากมายแล้ว มีพอสำหรับหลายปี ไปกิน ดื่มและใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานดีกว่า’ 20 แต่พระเจ้าบอกกับเขาว่า ‘ไอ้โง่ คืนนี้เจ้าก็จะตายแล้ว แล้วของที่เจ้าสะสมไว้จะตกไปเป็นของใครกัน’
21 มันก็จะเป็นอย่างนี้แหละ สำหรับคนที่ชอบสะสมความร่ำรวยให้กับตัวเอง แต่ไม่ร่ำรวยในสายตาพระเจ้า”
แสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าก่อน
(มธ. 6:25-34, 19-21)
22 แล้วพระเยซูก็พูดกับพวกศิษย์ว่า “เพราะอย่างนี้ เราถึงขอบอกพวกคุณว่า ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับชีวิตนี้ ว่าจะมีอะไรกิน หรือเป็นห่วงร่างกายว่าจะมีอะไรสวมใส่ไหม 23 เพราะชีวิตนั้นสำคัญยิ่งกว่าอาหาร และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเสื้อผ้า 24 ดูอย่างอีกาสิ มันไม่ต้องหว่านหรือเก็บเกี่ยว ไม่มีห้องเก็บของหรือยุ้งฉาง แต่พระเจ้าก็เลี้ยงดูพวกมัน พวกคุณมีค่ามากกว่านกหลายเท่านัก 25 กังวลไปทำไม กังวลแล้วทำให้ชีวิตคุณยืดออกไปได้อีกสักชั่วโมงหรือเปล่าล่ะ 26 ถ้าแม้แต่เรื่องเล็กแค่นี้ ยังทำไม่ได้เลย แล้วยังจะไปกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้นเรื่องนี้อีกทำไม 27 ดูอย่างดอกไม้ป่าสิว่ามันโตได้ยังไง มันไม่ได้ทำงาน และไม่ได้ปั่นด้ายเอง แต่ก็ยังสวยกว่ากษัตริย์ซาโลมอนในชุดเต็มยศเสียอีก 28 ขนาดหญ้าในทุ่งซึ่งอยู่แค่วันนี้ แล้วพรุ่งนี้ถูกเผา พระเจ้ายังรู้จักที่จะตกแต่งให้สวยแบบนี้ แล้วนับประสาอะไรกับพวกคุณเล่า พระองค์จะไม่ยิ่งตกแต่งให้มากกว่าทุ่งหญ้าหรือ พวกคุณนี่ช่างมีความเชื่อน้อยเสียจริงๆ 29 เลิกกังวลเกี่ยวกับอาหารได้แล้ว ว่าจะมีอะไรกินหรือดื่ม 30 ชนชาติทั้งหลายในโลกนี้ที่ไม่รู้จักพระเจ้าก็ดิ้นรนหาสิ่งเหล่านี้กัน แต่พระบิดาของคุณรู้อยู่แล้วว่าสิ่งเหล่านี้จำเป็นสำหรับคุณ 31 แต่ให้ดิ้นรนหาอาณาจักรของพระเจ้าแทน แล้วพระองค์จะให้สิ่งที่จำเป็นทั้งหมดนี้กับคุณ”
อย่าไว้วางใจเงิน
32 “ฝูงแกะเล็กๆเอ๋ย ไม่ต้องกลัวนะ เพราะพระบิดาของคุณยินดีที่จะมอบอาณาจักรให้กับคุณ 33 ให้ไปขายทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ เอาเงินไปแจกให้กับคนจน แล้วจัดหาถุงเงินที่ไม่มีวันเก่าหรือขาดให้กับตัวเอง คือทรัพย์สมบัติบนสวรรค์ที่ไม่มีวันหมด ขโมยก็ลักเอาไปไม่ได้ และตัวมอดก็กัดกินไม่ได้ด้วย 34 เพราะทรัพย์สมบัติของคุณอยู่ที่ไหน ใจของคุณก็อยู่ที่นั่นด้วย”
เตรียมตัวให้พร้อมเสมอ
(มธ. 24:45-51)
35 “แต่งตัวเตรียมพร้อมที่จะรับใช้อยู่เสมอ และจุดตะเกียงให้ส่องสว่างอยู่เสมอ 36 เหมือนกับคนที่กำลังคอยเจ้านายของตนกลับมาจากงานแต่งงาน เมื่อเขามาเคาะประตูเรียก ก็จะได้เปิดให้ทันที 37 พวกคนใช้ที่เจ้านายกลับมาพบว่ายังคงตื่นคอยเขาอยู่ ก็ถือว่ามีเกียรติจริงๆ เราจะบอกให้รู้ว่า นายคนนั้นจะพาพวกคนใช้ไปนั่งที่โต๊ะ และเขาก็จะใส่ผ้ากันเปื้อน มาคอยให้บริการพวกคนใช้ที่นั่งกินอยู่ 38 ถ้านายกลับมาตอนเที่ยงคืนหรือดึกกว่านั้น แล้วพบว่าคนใช้ยังอยู่เตรียมพร้อมอย่างนั้น พวกเขาก็มีเกียรติจริงๆ 39 แต่ให้รู้นะว่า ถ้าเจ้าของบ้านรู้ตัวว่า ขโมยจะมาเวลาไหน เขาคงไม่ปล่อยให้ขโมยงัดเข้ามาในบ้านแน่ 40 พวกคุณก็เหมือนกัน ให้เตรียมพร้อมอยู่เสมอ เพราะบุตรมนุษย์จะมาตอนที่คุณคาดไม่ถึง”
ใครคือผู้รับใช้ที่ไว้ใจได้
(มธ. 24:45-51)
41 เปโตรได้ถามว่า “อาจารย์ครับ เรื่องเปรียบเทียบนี้ อาจารย์เล่าให้แต่พวกเราฟังเท่านั้น หรือเล่าให้กับทุกคนฟัง”
42 องค์เจ้าชีวิตจึงตอบว่า “ใครคือพ่อบ้านที่ซื่อสัตย์และฉลาด ที่เจ้านายมอบหมายให้ดูแลและจัดหาอาหารให้กับทาสอื่นๆตามเวลา 43 เมื่อนายกลับมาเห็นทาสคนนั้นทำงานอย่างดี ทาสคนนั้นก็จะได้รับเกียรติจริงๆ 44 เราจะบอกให้รู้ว่า เจ้านายจะแต่งตั้งทาสคนนั้นให้ดูแลทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเขา 45 แต่ถ้าทาสคนนั้นคิดในใจว่า ‘นายของข้ายังไม่กลับมาหรอก’ ก็เลยเริ่มทุบตีพวกทาสชายหญิงคนอื่นๆและกินดื่มจนเมามาย 46 เจ้านายจะกลับมาในวันและเวลาที่เขาไม่คาดคิด แล้วเขาก็จะถูกตัดเป็นชิ้นๆพร้อมกับทาสคนอื่นๆที่ไม่เชื่อฟัง
47 ทาสที่ไม่ยอมเตรียมตัว หรือไม่ทำตามสิ่งที่เจ้านายสั่งให้ทำ จะถูกเฆี่ยนอย่างหนัก 48 แต่ถ้าทาสไม่รู้ว่าเจ้านายสั่งให้ทำอะไร ก็จะถูกเฆี่ยนน้อยหน่อยเมื่อทำผิด พระเจ้าให้พระพรกับใครมาก คนนั้นก็ต้องคืนมาก พระเจ้าฝากความรับผิดชอบให้กับใครมาก พระองค์ก็จะคาดหวังมากจากคนนั้น”
ความแตกแยกกันเรื่องพระเยซู
(มธ. 10:34-36)
49 “เรามาเพื่อทำให้โลกนี้ลุกเป็นไฟ เราอยากให้มันลุกเป็นไฟเดี๋ยวนี้เลย 50 แต่เราต้องได้รับการจุ่มลงไปในความทุกข์เสียก่อน เราเองก็รู้สึกทุกข์ใจมากจนกว่ามันจะสำเร็จ 51 อย่าคิดว่าเรามาเพื่อนำความสงบสุขมาให้กับโลกนี้ แต่เรามาเพื่อทำให้เกิดการแตกแยกต่างหาก 52 ต่อไปนี้ครอบครัวที่มีห้าคนจะแตกแยกกันเป็นสองฝ่าย สามต่อสอง หรือสองต่อสาม 53 จะเกิดการแตกแยกกันระหว่างพ่อกับลูกชาย แม่กับลูกสาว และแม่ผัวกับลูกสะใภ้”
ให้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นเดี๋ยวนี้
(มธ. 16:2-3)
54 แล้วพระเยซูหันไปพูดกับชาวบ้านว่า “เมื่อคุณเห็นก้อนเมฆมืดครึ้มลอยมาจากทิศตะวันตก คุณก็พูดว่า ‘ฝนจะตกแล้ว’ แล้วมันก็ตกจริงๆ 55 เมื่อคุณเห็นลมพัดมาจากทิศใต้ คุณก็บอกว่า ‘อากาศจะร้อนแน่ๆ’ และมันก็เป็นอย่างนั้น 56 ไอ้พวกหน้าซื่อใจคด พวกคุณรู้จักที่จะตีความหมายของดินฟ้าอากาศ แต่กลับไม่รู้จักความหมายของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้
ไกล่เกลี่ยกับคู่กรณี
(มธ. 5:25-26)
57 คุณตัดสินใจเอาเองไม่ได้หรือ ว่าคุณควรจะทำยังไง 58 เมื่อคุณกำลังไปศาลกับคนที่ฟ้องร้องคุณ พยายามไกล่เกลี่ยกับเขาซะในระหว่างทาง ไม่อย่างนั้นเขาจะลากตัวคุณไปพบผู้พิพากษา และผู้พิพากษาก็จะส่งตัวคุณให้กับผู้คุมเพื่อจับเข้าคุก 59 เราจะบอกให้รู้ว่าคุณจะถูกขังจนกว่าจะใช้หนี้ครบทุกบาททุกสตางค์”
27 โยบเริ่มพูดต่ออีกว่า
2-4 “ถึงแม้ว่าพระองค์เอาความยุติธรรมไปจากข้า
ถึงแม้ว่าพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ทำให้ชีวิตข้าขมขื่น
ข้าขอสาบานว่า พระองค์มีชีวิตอยู่แน่ฉันใด
ข้าจะไม่ปล่อยให้ริมฝีปากของข้าพูดโกหก
ลิ้นของข้าจะไม่พูดคำหลอกลวง
ตราบเท่าที่ข้ายังมีชีวิตอยู่
ตราบเท่าที่ลมหายใจจากพระเจ้ายังอยู่ในรูจมูกข้า
5 ไม่มีวันที่ข้าจะพูดว่าพวกท่านถูก
ข้าจะไม่มีวันพูดโกหกว่าข้าผิดหรอกตราบเท่าวันตาย
6 ข้าจะยืนหยัดในความบริสุทธิ์ของข้าและจะไม่ยอมปล่อยมัน
จิตใจของข้าไม่ได้ฟ้องข้าสำหรับสิ่งทั้งหลายที่ข้าทำในชีวิต
7 ขอให้ศัตรูของข้าถูกลงโทษเหมือนคนชั่วร้าย
ขอให้ผู้ที่ต่อต้านข้าถูกลงโทษเหมือนคนทำชั่ว
8 ผู้ที่ไม่นับถือพระเจ้าจะมีความหวังอะไรเมื่อพระเจ้าตัดเขาออกไป
เมื่อพระเจ้าเอาชีวิตของเขาไป
9 เมื่อความยากลำบากมาสู่เขา
พระเจ้าจะฟังเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเขาหรือ
10 เขาจะชื่นชมยินดีในพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์หรือ
เขาจะร้องเรียกหาพระองค์ตลอดเวลาหรือ
11 ข้าจะสอนพวกท่านถึงเรื่องพลังอำนาจของพระเจ้า
ข้าจะไม่ปิดบังความจริงเกี่ยวกับพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์
12 อันที่จริง พวกท่านก็ได้เห็นเองแล้ว
ทำไมพวกท่านยังพูดเรื่องไร้สาระอยู่อีก
13 นี่คือส่วนแบ่งที่คนชั่วได้รับจากพระเจ้า
นี่คือมรดกที่คนกดขี่ข่มเหงได้รับจากพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์
14 ถึงเขามีลูกเพิ่มทวีขึ้นมากมาย ดาบก็จะมาฆ่าพวกเขา
ส่วนลูกหลานของพวกเขาก็จะไม่มีอาหารพอกิน
15 คนของเขาที่ยังเหลือรอดชีวิตก็จะถูกฝังเพราะโรคระบาด
และเมียหม้ายของพวกเขาก็จะไม่ไว้ทุกข์
16 ถึงคนชั่วกองเงินมากมายเหมือนฝุ่น
และกองเสื้อผ้าราวกับดินเหนียว
17 เขาอาจจะเป็นคนกองมันขึ้นมาก็จริง แต่จะเป็นคนที่ซื่อตรงที่ได้ใส่มัน
และคนบริสุทธิ์จะแบ่งปันเงินนั้น
18 พวกบ้านที่คนชั่วสร้างจะเปราะบางเหมือนรังนก
เปราะบางเหมือนเพิงของยามเฝ้าสวนองุ่น
19 ในคืนหนึ่ง เขาอาจล้มตัวลงนอนอย่างคนมั่งคั่ง แต่คืนต่อไปอาจจะไม่เป็นอย่างนั้น
พอเขาลืมตาขึ้น ความมั่งคั่งนั้นได้สูญหายไปหมดแล้ว
20 เรื่องสยดสยองต่างๆท่วมท้นเขาราวกับน้ำท่วม
ในตอนกลางคืนลมพายุก็หอบเขาไป
21 ลมตะวันออกยกเขาขึ้น แล้วเขาก็จากไป
มันกวาดเขาไปจากที่ของเขา
22 พายุพัดกระแทกใส่เขาอย่างไม่ปรานี
พวกเขาพยายามวิ่งหนีฤทธิ์ของพายุนั้น
23 ลมตบมือเยาะเย้ยพวกเขา
และผิวปากใส่เขาจากที่อยู่ของมัน”
13 ถ้าผมพูดภาษาต่างๆของมนุษย์ก็ดี หรือแม้แต่ภาษาของทูตสวรรค์ แต่ถ้าไม่มีความรัก ผมก็เป็นแค่เสียงอึกทึกของฆ้องหรือฉิ่งฉาบที่ตีกัน 2 ถ้าผมเป็นผู้พูดแทนพระเจ้า รู้สิ่งลึกลับต่างๆของพระเจ้า มีความรู้ทุกอย่าง และมีความเชื่อทั้งหมดถึงกับเลื่อนภูเขาได้ แต่ไม่มีความรัก ผมก็ไม่มีค่าอะไรเลย 3 ถ้าผมเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมมีไปแจกให้กับคนจนและสละร่างของตัวเองจนถึงขั้นที่โอ้อวดได้[a]แต่ไม่มีความรัก มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
4 ความรักนั้นก็อดทนนาน มีเมตตากรุณา ไม่อิจฉาริษยา ไม่โอ้อวด 5 ไม่หยิ่งจองหอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิดของคนอื่น 6 ความรักไม่ยินดีเมื่อเห็นคนอื่นทำชั่วแต่ยินดีกับความจริง 7 ความรักปกป้องเสมอ ไว้วางใจเสมอ มีความหวังเสมอ และทนต่อทุกอย่างเสมอ
8 ความรักไม่มีวันสูญสิ้นไป แต่การพูดแทนพระเจ้าจะมีวันเลิกรา การพูดภาษาแปลกๆก็จะมีวันหยุดลง พรสวรรค์ที่มีความรู้พิเศษจากพระเจ้าก็จะมีวันเลิกรา 9 เพราะเรารู้แค่เพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น เราพูดแทนพระเจ้าก็ได้แค่เสี้ยวเดียว 10 แต่เมื่อความสมบูรณ์แบบมาถึง อะไรก็ตามที่ไม่สมบูรณ์ก็จะหมดไป 11 ตอนที่ผมเป็นเด็ก ผมก็พูดเหมือนเด็ก คิดเหมือนเด็ก ใช้เหตุผลเหมือนเด็ก แต่เมื่อผมโตเป็นผู้ใหญ่ ผมก็เลิกทำตัวเหมือนเด็ก 12 ในทำนองเดียวกันสิ่งที่เราเห็นในตอนนี้เป็นภาพสะท้อนจากกระจก แต่เมื่อความสมบูรณ์แบบมาถึง ในตอนนั้นเราก็จะมองเห็นกันต่อหน้าเลย ตอนนี้ผมรู้แค่เพียงเสี้ยวเดียว แต่เมื่อถึงตอนนั้นผมก็จะรู้หมดทุกอย่าง เหมือนกับที่พระเจ้ารู้จักผม 13 แต่ตอนนี้เหลืออยู่สามอย่างคือความเชื่อ ความหวังและความรัก แต่ในสามอย่างนี้ความรักยิ่งใหญ่ที่สุด
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International