M’Cheyne Bible Reading Plan
ยาโคบที่เบธเอล
35 พระเจ้าพูดกับยาโคบว่า “ลุกขึ้นเถอะ ไปที่เบธเอล[a] และตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นั่น ให้สร้างแท่นบูชาขึ้นที่นั่นให้กับพระเจ้าองค์ที่เคยปรากฏกับเจ้า[b] ตอนที่เจ้าหลบหนีจากเอซาวพี่ชายของเจ้า”
2 ยาโคบจึงบอกกับครอบครัวของเขาและทุกคนที่อยู่กับเขาว่า “ให้ทิ้งพวกพระของคนต่างชาติที่พวกเจ้ามีอยู่ และชำระตัวเองให้บริสุทธิ์ และเปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย 3 ให้พวกเราไปจากที่นี่ แล้วขึ้นไปที่เบธเอล ที่นั่น ข้าจะสร้างแท่นบูชาให้กับพระเจ้า องค์ที่ตอบข้าในเวลาที่ข้ากำลังลำบาก และอยู่ด้วยกับข้าตลอดทางที่ข้าไป”
4 พวกเขาจึงเอาพวกพระต่างชาติที่พวกเขามี รวมทั้งต่างหูของพวกพระนั้นและต่างหูของพวกเขาเอง มาให้กับยาโคบ แล้วยาโคบได้เอาไปฝังไว้ใต้ต้นโอ้คใกล้เมืองเชเคม
5 พวกเขาได้ออกเดินทาง พระเจ้าทำให้ผู้คนที่อยู่ตามเมืองต่างๆแถบนั้น กลัวครอบครัวของยาโคบ จึงไม่มีใครกล้าไล่ตามมาแก้แค้นลูกชายของยาโคบ 6 ยาโคบและคนที่อยู่กับเขาได้ไปถึงที่ลูส ซึ่งปัจจุบันเรียกว่าเบธเอลในแคว้นคานาอัน 7 ยาโคบได้สร้างแท่นบูชาขึ้นที่นั่น และเรียกตำบลนั้นว่า “เอลเบเธล”[c] เพราะพระเจ้าได้ปรากฏให้เขาเห็นที่นั่นเมื่อครั้งที่เขาหลบหนีจากพี่ชาย
8 เดโบราห์พี่เลี้ยงของเรเบคาห์ตายที่นั่น นางถูกฝังอยู่ใต้ต้นโอ๊คใกล้เบธเอล ยาโคบเรียกสถานที่นั้นว่า “อัลโลนบาคูท”[d]
ชื่อใหม่ของยาโคบ
9 พระเจ้าได้ปรากฏตัวกับยาโคบอีก เมื่อเขากลับมาจากปัดดาน อารัม และพระองค์ได้อวยพรให้กับยาโคบ 10 พระองค์พูดกับเขาว่า “เจ้าชื่อยาโคบ แต่ชื่อของเจ้าจะไม่ใช่ยาโคบอีกต่อไป เจ้าจะมีชื่อใหม่ว่าอิสราเอล[e]” พระเจ้าจึงตั้งชื่อให้กับเขาว่าอิสราเอล
11 พระเจ้าพูดกับเขาว่า “เราคือพระเจ้าผู้เต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจ[f] ให้เจ้าเกิดลูกหลานมากมาย และมีจำนวนมากขึ้น ชนชาติหนึ่งหรือแม้แต่อีกหลายๆชนชาติ จะสืบเชื้อสายมาจากเจ้า กษัตริย์ทั้งหลายจะมาจากเจ้า 12 แผ่นดินที่เราได้ยกให้อับราฮัมและอิสอัค เราก็จะยกให้กับเจ้าและลูกหลานของเจ้าที่เกิดมาภายหลัง” 13 แล้วพระเจ้าก็ลอยขึ้นไปจากเขา ตรงที่พระองค์พูดกับเขานั้น 14 ยาโคบจึงตั้งแท่งหินขึ้น ตรงบริเวณนั้นที่พระเจ้าได้พูดกับเขา และยาโคบได้เทเครื่องดื่มบูชาและเทน้ำมันมะกอกลงบนเสาหินนั้น เพื่ออุทิศมันให้กับพระเจ้า 15 ยาโคบตั้งชื่อสถานที่นั้นว่า “เบธเอล” เป็นสถานที่ที่พระเจ้าพูดกับเขา
ราเชลตายเมื่อคลอดลูก
16 หลังจากนั้นยาโคบและครอบครัวได้เดินทางออกจากเบธเอล ในระหว่างทางที่ยังอีกไกลกว่าจะถึงเอฟราธาห์ ราเชลเจ็บท้องคลอด นางคลอดลูกยากมาก เจ็บปวดทรมานมาก 17 ในระหว่างที่นางกำลังคลอดด้วยความยากลำบากนั้น หมอตำแยได้บอกนางว่า “ไม่ต้องกลัว นี่จะเป็นลูกชายอีกคนหนึ่งให้กับท่าน”
18 ขณะที่นางกำลังจะตาย นางตั้งชื่อลูกว่า เบนโอนี[g] แต่ยาโคบผู้เป็นพ่อตั้งชื่อเด็กว่า เบนยามิน[h]
19 เมื่อราเชลตาย ร่างของนางถูกฝังอยู่ระหว่างทางที่จะไปเอฟราธาห์ (ซึ่งก็คือเบธเลเฮม) 20 ยาโคบจึงตั้งเสาหินขึ้นบนหลุมฝังศพของนาง และเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า เสาหินของหลุมศพราเชล มาจนถึงทุกวันนี้ 21 แล้วอิสราเอลได้เดินทางต่อ และเขาตั้งค่ายอยู่ทางตอนใต้ของหอคอยเอเดอร์[i]
22 ในช่วงที่อิสราเอลอาศัยอยู่ในแคว้นนั้น รูเบนได้ไปร่วมหลับนอนกับบิลฮาห์[j] เมียน้อยของพ่อเขา และเรื่องนี้รู้ไปถึงหูของอิสราเอล
ครอบครัวอิสราเอล
(1 พศด. 2:1-2)
ขณะนั้นยาโคบมีลูกชายสิบสองคน
23 ลูกที่เกิดจากเลอาห์คือ รูเบน (ลูกคนโตของยาโคบ) สิเมโอน เลวี ยูดาห์ อิสสาคาร์ และเศบูลุน
24 ลูกชายที่เกิดจากราเชลคือ โยเซฟ และเบนยามิน
25 ลูกชายของบิลฮาห์สาวใช้ของราเชลคือ ดานและนัฟทาลี
26 ลูกชายของศิลปาห์สาวใช้ของเลอาห์คือ กาดและอาเชอร์ คนเหล่านี้คือลูกชายของยาโคบที่เกิดในปัดดาน อารัม
27 ยาโคบได้มาหาอิสอัคพ่อของเขาที่มัมเร (เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าคิริยาทอารบา หรือเฮโบรน) เป็นที่ที่อับราฮัมและอิสอัคอาศัยอยู่ 28 อิสอัคมีชีวิตอยู่หนึ่งร้อยแปดสิบปี 29 เขาตายและถูกฝังร่วมกับบรรพบุรุษ เขาเป็นคนแก่ที่มีอายุยืนยาวมาก เอซาวและยาโคบลูกทั้งสองของเขาได้ร่วมกันฝังศพเขา
ครอบครัวเอซาว
(1 พศด. 1:34-37)
36 ต่อไปนี้คือลูกหลานของเอซาว (ซึ่งก็คือเอโดม) 2 เอซาวได้เอาพวกผู้หญิงชาวคานาอันมาเป็นเมีย คือ นางอาดาห์ลูกสาวของเอโลนชาวฮิตไทต์ นางโอโฮลีบามาห์ลูกสาวของอานาห์ อานาห์เป็นลูกชายของศิเบโอนชาวฮีไวต์ 3 และนางบาเสมัท[k]ที่เป็นลูกสาวของอิชมาเอล นางเป็นน้องสาวของเนบาโยธ 4 ฝ่ายนางอาดาห์และเอซาวมีลูกชายชื่อเอลีฟัส ส่วนนางบาเสมัทมีลูกชายชื่อเรอูเอล 5 และนางโอโฮลีบามาห์มีลูกชายชื่อ เยอูช ยาลาม และโคราห์ คนเหล่านี้คือลูกชายของเอซาวที่เกิดในแคว้นคานาอัน
6 เอซาวพาบรรดาเมีย ลูกชาย ลูกสาว และผู้คนทั้งหมดที่อยู่กับเขา รวมทั้งสัตว์เลี้ยง สัตว์อื่นๆและทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่เขามีในแผ่นดินคานาอัน แล้วย้ายไปอยู่ในดินแดนที่ห่างไกลจากยาโคบน้องชายของเขา 7 เพราะพวกเขามีทรัพย์สมบัติมากมายเกินกว่าที่จะอยู่ด้วยกันได้ แผ่นดินที่พวกเขาอยู่ในขณะนี้ ไม่มีที่พอที่จะรับฝูงสัตว์ของพวกเขา เพราะฝูงสัตว์ของพวกเขาใหญ่โตเกินไป 8 เอซาวจึงไปอาศัยอยู่ในแถบเนินเขาเสอีร์ (เอซาวก็คือเอโดม)
9 และนี่คือลูกหลานของเอซาว เอซาวเป็นบรรพบุรุษของคนเอโดมที่อาศัยอยู่ในแถบเนินเขาเสอีร์
10 ต่อไปนี้เป็นรายชื่อของลูกๆเอซาว คือ เอลีฟัส เกิดจากนางอาดาห์ เมียของเอซาว และเรอูเอล เกิดจากนางบาเสมัทเมียของเอซาว
11 เอลีฟัสมีลูกชายห้าคน คือเทมาน โอมาห์ เศโฟ กาทามและเคนัส
12 (เอลีฟัสยังมีเมียน้อยชื่อทิมนา และนางทิมนาคลอดลูกชายให้กับเอลีฟัส ชื่ออามาเลค) พวกนี้คือรายชื่อหลานๆของเอซาว ที่เกิดจากลูกชายของอาดาห์เมียของเอซาว
13 ส่วนเรอูเอลมีลูกสี่คน คือนาหัท เศราห์ ชัมมาห์และมิสซาห์
พวกนี้คือรายชื่อหลานๆของเอซาว ที่เกิดจากลูกชายของบาเสมัทเมียของเอซาว
14 ส่วนเมียคนที่สามของเอซาวคือโอโฮลีบามาห์ นางเป็นลูกสาวของอานาห์ อานาห์เป็นลูกชายศิเบโอน นางโอโฮลีบามาห์ได้คลอดลูกชายสามคนให้กับเอซาว คือเยอูช ยาลาม และโคราห์
15 ต่อไปนี้คือหัวหน้าตระกูลต่างๆที่สืบเชื้อสายมาจากเอซาว
ลูกชายคนแรกของเอซาวคือเอลีฟัส ลูกๆของเอลีฟัส ก็มีเทมาน โอมาห์ เศโฟ เคนัส
16 โคราห์ กาทามและอามาเลค
คนพวกนี้ได้กลายเป็นหัวหน้าตระกูลต่างๆที่สืบเชื้อสายมาจากเอลีฟัสในดินแดนเอโดม พวกเขาเป็นลูกหลานของนางอาดาห์เมียเอซาว
17 เรอูเอลลูกชายของเอซาวก็มีลูกๆคือ นาหัท เศราห์ ชัมมาห์และมิสซาห์
คนพวกนี้ได้กลายเป็นหัวหน้าตระกูลต่างๆที่สืบเชื้อสายมาจากเรอูเอลในดินแดนเอโดม พวกเขาเป็นลูกหลานของนางบาเสมัทเมียเอซาว
18 นางโอโฮลีบามาห์เมียเอซาว ได้คลอดลูกชายคือเยอูช ยาลาม และโคราห์ ทั้งสามคนได้กลายเป็นหัวหน้าตระกูลเยอูช ยาลามและโคราห์ ที่สืบเชื้อสายมาจากนางโอโฮลีบามาห์เมียเอซาว ลูกสาวของอานาห์
19 คนพวกนั้นทั้งหมดเป็นหัวหน้าตระกูลต่างๆที่สืบเชื้อสายมาจากเอซาว (ซึ่งก็คือเอโดม)
ครอบครัวเสอีร์
(1 พศด. 1:38-42)
20 ต่อไปนี้คือพวกลูกชายของเสอีร์ชาวโฮรี ที่อาศัยในแผ่นดินนั้น พวกเขาชื่อว่า
โลทาน โชบาล ศิเบโอน อานาห์ 21 ดีโชน เอเซอร์ และดีชาน พวกเขาเป็นหัวหน้าตระกูลของคนโฮรี ผู้สืบเชื้อสายมาจากเสอีร์ ในแผ่นดินเอโดม
22 โลทานมีลูกชาย คือ โฮรี เฮมาน[l] โลทานมีน้องสาวคือทิมนา
23 โชบาลมีลูกชาย คือ อัลวาน มานาฮาท เอบาล เชโฟและโอนัม
24 ศิเบโอนมีลูกชายคือ อัยยาห์และอานาห์ (อานาห์คือผู้พบตาน้ำ[m] ในเขตเทือกเขา ขณะที่เขากำลังดูแลฝูงลาของพ่อเขาอยู่)
25 อานาห์มีลูกชายคือ ดีโชน และมีลูกสาวคือโอโฮลีบามาห์
26 ดีโชนมีลูกชาย คือ เฮมดาน เอชบาน อิธรานและเคราน
27 เอเซอร์มีลูกชาย คือ บิลฮาน ศาวาน และอาขาน
28 ดีชานมีลูกชาย คือ อูสและอารัน
29 ต่อไปนี้คือหัวหน้าตระกูลต่างๆของชาวโฮรี คือ โลทาน โชบาล ศิเบโอน อานาห์ 30 ดีโชน เอเซอร์ และดีชาน พวกเขาเป็นหัวหน้าตระกูลต่างๆของชาวโฮรีในแคว้นเสอีร์
กษัตริย์ของเอโดม
(1 พศด. 1:43-54)
31 ต่อไปนี้เป็นรายชื่อของกษัตริย์ที่ปกครองแผ่นดินเอโดม ก่อนที่อิสราเอลจะมีกษัตริย์ปกครอง[n]
32 เบลาลูกชายของเบโอร์ขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองแคว้นเอโดมเมืองของเขา[o] ชื่อว่าดินฮาบาห์
33 เมื่อเบลาตาย โยบับลูกชายเศราห์จากเมืองโบสราห์ขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อ
34 เมื่อโยบับตาย หุชามจากดินแดนเทมานขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อ
35 เมื่อหุชามตาย ฮาดัด[p] ลูกชายเบดัดเป็นกษัตริย์ต่อ (ฮาดัดคือผู้ที่รบชนะชาวมีเดียนในประเทศโมอับ) เมืองของเขาชื่ออาวีท
36 เมื่อฮาดัดตาย สัมลาห์จากเมืองมัสเรคาห์ขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อ
37 เมื่อสัมลาห์ตาย ชาอูลจากเมืองเรโหโบทริมแม่น้ำยูเฟรติสขึ้นเป็นกษัตริย์
38 เมื่อชาอูลตาย บาอัลฮานันลูกชายอัคโบร์ขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อ
39 เมื่อบาอัลฮานันลูกชายอัคโบร์ตาย ฮาดาร์ขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อ เมืองของเขาชื่อปาอู เขามีเมียชื่อเมเหทาเบล ซึ่งเป็นลูกสาวของมัทเรด มัทเรดเป็นลูกสาวของเมซาหับ
40 ต่อไปนี้เป็นรายชื่อของหัวหน้าตระกูลต่างๆที่เกิดจากเอซาว เรียงตามตระกูลและแคว้นต่างๆที่ใช้ชื่อเดียวกับตระกูลนั้น พวกเขาคือ
ทิมนา อัลวาห์ เยเธท 41 โอโฮลีบามาห์ เอลาห์ ปิโนน 42 เคนัส เทมาน มิบซาร์ 43 มักดีเอล และอิราม พวกเขาคือหัวหน้าตระกูลต่างๆของเอโดม ตามถิ่นฐานและแผ่นดินที่พวกเขาเป็นเจ้าของ เอซาวจึงเป็นต้นตระกูลของชาวเอโดม
พระเยซูกลับบ้าน
(มธ. 13:53-58; ลก. 4:16-30)
6 พระเยซูไปจากที่นั่นและกลับไปบ้านเดิม พวกศิษย์ก็ติดตามไปด้วย 2 เมื่อถึงวันหยุดทางศาสนา พระองค์ก็สั่งสอนอยู่ในที่ประชุมของชาวยิว มีคนมากมายที่ทึ่งในคำสอนของพระองค์ และพูดกันว่า “เขาไปเอาความรู้แบบนี้มาจากไหน แล้วทำการอัศจรรย์เหล่านี้ได้ยังไง 3 เขาเป็นแค่ช่างไม้ ลูกของมารีย์ พี่ชายของยากอบ โยเสส ยูดาส และซีโมน และพวกน้องสาวของเขาก็อยู่ในเมืองนี้กับพวกเราอีกด้วย” พวกเขาจึงขุ่นเคืองพระองค์
4 พระเยซูจึงพูดกับพวกเขาว่า “ผู้พูดแทนพระเจ้าได้รับเกียรติในทุกที่ ยกเว้นในบ้านเมือง ในหมู่ญาติพี่น้อง และในครอบครัวของตัวเอง” 5 เมื่ออยู่ที่นั่น พระเยซูจึงไม่สามารถทำการอัศจรรย์ได้นอกจากวางมือรักษาคนป่วยไม่กี่คน 6 พระองค์แปลกใจที่พวกเขาไม่มีความเชื่อในพระองค์ พระองค์จึงไปสอนที่หมู่บ้านใกล้เคียงแถวนั้นแทน
พระเยซูส่งศิษย์เอกสิบสองคนออกไป
(มธ. 10:1, 5-15; ลก. 9:1-6)
7 พระองค์เรียกศิษย์เอกทั้งสิบสองคนมา แล้วส่งพวกเขาออกไปเป็นคู่ๆพระองค์ทำให้พวกเขามีสิทธิอำนาจเหนือวิญญาณชั่วทั้งหลาย 8 และสั่งว่า “อย่าเอาอะไรติดตัวไปเลยนอกจากไม้เท้า ไม่ต้องเอาอาหาร ถุงย่ามหรือเงินติดตัวไป 9 ให้ใส่รองเท้าได้แต่ไม่ต้องเอาเสื้อผ้าสำรองไป” 10 พระองค์พูดกับพวกเขาว่า “บ้านไหนที่ต้อนรับคุณ ก็ให้อยู่ที่บ้านนั้นตลอดจนกว่าจะจากเมืองนั้นไป 11 แต่ถ้าที่ไหนไม่ต้อนรับหรือไม่ฟังพวกคุณ ก็ให้ออกไปจากที่นั่น และให้สะบัดฝุ่นออกจากเท้า[a] ด้วย เพื่อเป็นการเตือนพวกเขา”
12 พวกศิษย์ของพระองค์ก็ออกไปสั่งสอน ให้ผู้คนกลับตัวกลับใจเสียใหม่ 13 พวกเขาขับผีชั่วออกไปหลายตน ทาน้ำมันมะกอกให้กับคนเจ็บป่วยเป็นจำนวนมาก และรักษาพวกเขาจนหาย
เฮโรดสั่งตัดหัวยอห์นคนทำพิธีจุ่มน้ำ
(มธ. 14:1-12; ลก. 9:7-9)
14 กษัตริย์เฮโรด[b] ได้ยินชื่อเสียงของพระเยซูเพราะคนพูดกันไปทั่ว บางคนพูดว่า “เขาต้องเป็นยอห์นคนทำพิธีจุ่มน้ำที่ฟื้นขึ้นจากความตายแน่ๆถึงทำการอัศจรรย์พวกนี้ได้”
15 บางคนพูดว่า “เขาคือเอลียาห์” และบางคนพูดว่า “เขาคือผู้พูดแทนพระเจ้าเหมือนกับผู้พูดแทนพระเจ้าคนอื่นๆในสมัยโบราณนั้น”
16 เมื่อเฮโรดได้ยินเรื่องพวกนี้ พระองค์พูดว่า “ต้องเป็นยอห์น คนที่เราสั่งให้ตัดหัวฟื้นขึ้นจากตายแน่ๆ” 17 เพราะเฮโรดเองที่เป็นคนสั่งให้จับยอห์นล่ามโซ่และขังคุกไว้ เพราะเห็นแก่นางเฮโรเดียสภรรยาของฟีลิปน้องชายของเฮโรด 18 เพราะยอห์นได้เตือนกษัตริย์เฮโรดบ่อยๆว่า “พระองค์ทำไม่ถูก ที่เอาภรรยาน้องชายมาเป็นภรรยาตัวเอง” 19 ทำให้เฮโรเดียสแค้นใจอยากจะฆ่ายอห์น แต่ก็ทำไม่ได้ 20 เพราะกษัตริย์เฮโรดกลัวยอห์น พระองค์รู้ว่ายอห์นเป็นคนที่ทำตามใจพระเจ้า และเป็นคนของพระเจ้าจริงๆ จึงปกป้องยอห์นไว้ ทุกครั้งที่เฮโรดฟังยอห์นสอนก็ลำบากใจ แต่ก็ยังชอบฟัง
21 แล้วโอกาสของนางเฮโรเดียสก็มาถึง เมื่อเฮโรดจัดงานวันเกิดของพระองค์ขึ้น พระองค์เชิญพวกข้าราชการชั้นสูง นายทหารชั้นผู้ใหญ่ และคนสำคัญๆของแคว้นกาลิลีมาในงาน 22 ลูกสาวของนางเฮโรเดียสเข้ามาเต้นรำ ทำให้เฮโรดและบรรดาแขกเหรื่อถูกอกถูกใจมาก แล้วกษัตริย์เฮโรดจึงบอกกับหญิงสาวนี้ว่า “อยากได้รางวัลอะไรก็ขอมาเลย เราจะให้” 23 พระองค์ยังสัญญาอีกว่า “เราจะให้ทุกอย่างที่เจ้าขอ แม้กระทั่งครึ่งหนึ่งของอาณาจักรนี้”
24 เธอก็ออกไปถามแม่ว่า “แม่ หนูขออะไรดีคะ” แม่ตอบว่า “ขอหัวของยอห์นคนทำพิธีจุ่มน้ำสิ”
25 แล้วเธอก็รีบวิ่งเข้าไปบอกกษัตริย์ว่า “ดิฉันขอหัวของยอห์นคนทำพิธีจุ่มน้ำใส่ถาดมาให้ที่นี่ค่ะ”
26 กษัตริย์เฮโรดเสียใจมาก แต่เพราะเขาได้สาบานไว้แล้วต่อหน้าแขกเป็นจำนวนมาก เฮโรดจึงไม่กล้าที่จะผิดคำพูดกับเธอ 27 เฮโรดจึงสั่งให้เพชฌฆาตไปตัดหัวของยอห์นในคุกทันที 28 และเอาใส่ถาดมาให้กับเธอ แล้วเธอก็เอาไปให้แม่ของเธอ 29 เมื่อศิษย์ของยอห์นรู้เข้าก็พากันมารับร่างของยอห์นไปฝังไว้ในอุโมงค์
พระเยซูเลี้ยงคนห้าพันคน
(มธ. 14:13-21; ลก. 9:10-17; ยน. 6:1-14)
30 พวกศิษย์ที่พระเยซูส่งออกไป ได้กลับมาหาพระองค์ และเล่าเรื่องทุกอย่างที่ได้ทำและสอนให้พระองค์ฟัง แล้วพระเยซูบอกพวกเขาว่า 31 “พวกเราไปหาที่เงียบๆพักผ่อนกันเถอะ” เพราะมีผู้คนเป็นจำนวนมากมาหาพระองค์ จนไม่มีเวลาแม้แต่จะกินอาหารกัน
32 พวกเขาจึงลงเรือไปยังที่เปลี่ยวเพื่ออยู่กันเฉพาะพวกเขา 33 แต่ก็มีคนจำนวนมากเห็นพวกเขาจากไปและจำเขาได้ จึงมีคนมากมายจากหมู่บ้านต่างๆรีบเดินตามไปที่นั่น และไปถึงก่อนพวกเขา 34 เมื่อพระองค์มาถึงฝั่งก็เห็นฝูงชนเป็นจำนวนมากรออยู่ก่อนแล้ว พระองค์รู้สึกสงสาร เพราะพวกเขาเหมือนฝูงแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง พระองค์จึงเริ่มสั่งสอนพวกเขาหลายเรื่อง
35 เมื่อมันเริ่มเย็นมาก พวกศิษย์มาบอกพระองค์ว่า “ที่นี่เปลี่ยวมาก และนี่ก็เย็นมากแล้ว 36 ส่งพวกนี้กลับไปเถอะ พวกเขาจะได้เข้าไปตามชนบท ตามหมู่บ้านแถวๆนี้ และไปหาซื้ออะไรกินกัน”
37 แต่พระองค์กลับตอบว่า “พวกคุณหาอะไรให้พวกเขากินสิ” พวกเขาก็ตอบว่า “พวกเราต้องใช้ถึงสองร้อยเหรียญเงินทีเดียวนะครับ ถึงจะพอซื้ออาหารมาเลี้ยงคนพวกนี้”
38 พระเยซูพูดกับพวกเขาว่า “ไปดูสิว่าคุณมีขนมปังอยู่กี่ก้อน” เมื่อพวกเขารู้ก็กลับมาบอกว่า “มีขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวครับ”
39 พระองค์จึงสั่งให้พวกเขาไปจัดการให้ชาวบ้านนั่งกันเป็นกลุ่มๆบนพื้นที่มีหญ้าขึ้นเขียวชอุ่มแถวนั้น 40 พวกชาวบ้านนั่งกันเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละหนึ่งร้อยบ้าง ห้าสิบบ้าง 41 แล้วพระองค์หยิบขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัวขึ้นมา มองขึ้นไปบนสวรรค์ขอบคุณพระเจ้า แล้วหักขนมปังส่งให้กับพวกศิษย์ไปแจกชาวบ้าน และพระองค์แบ่งปลาสองตัวนั้นแจกพวกเขาทุกคนด้วย 42 ทุกคนกินกันจนอิ่ม 43 แล้วพวกศิษย์เก็บเศษขนมปังและปลาที่เหลือได้สิบสองเข่งเต็มๆ 44 นับเฉพาะผู้ชายที่มากินได้ถึงห้าพันคน
พระเยซูเดินบนทะเล
(มธ. 14:22-33; ยน. 6:16-21)
45 ทันทีหลังจากที่กินเสร็จ พระองค์ให้พวกศิษย์ลงเรือข้ามฟากไปก่อนล่วงหน้า ไปยังเมืองเบธไซดา ส่วนพระองค์ยังรอส่งชาวบ้านอยู่ 46 หลังจากชาวบ้านกลับหมดแล้วพระองค์ขึ้นไปอธิษฐานที่บนภูเขา
47 ในคืนนั้นเรือของพวกศิษย์ยังลอยอยู่กลางทะเลสาบ ส่วนพระองค์อยู่บนฝั่งเพียงคนเดียว 48 พระองค์เห็นพวกศิษย์กำลังพายเรืออยู่ด้วยความยากลำบากเพราะมีลมแรงมากต้านเรือไว้ ระหว่างตีสามถึงหกโมงเช้านั้นพระองค์เดินบนน้ำมาหาพวกเขา และทำท่าเหมือนจะเดินผ่านไป 49 เมื่อพวกศิษย์เห็นพระองค์เดินอยู่บนน้ำ ก็คิดว่าเป็นผี เลยร้องตะโกนกันลั่น 50 เพราะตกใจกลัวมาก แต่ในทันใดนั้น พระองค์ก็พูดกับพวกเขาว่า “ไม่ต้องตกใจ เราเอง ไม่ต้องกลัว” 51 จากนั้นพระองค์ก็ขึ้นไปอยู่บนเรือกับพวกเขา แล้วลมก็สงบลง พวกเขาประหลาดใจมาก 52 เพราะพวกเขายังมีใจที่แข็งกระด้างอยู่ จึงยังไม่เข้าใจถึงการอัศจรรย์ที่พระองค์เพิ่งทำไปกับขนมปังห้าก้อนนั้น
พระเยซูรักษาคนไม่สบาย
(มธ. 14:34-36)
53 เมื่อข้ามฟากมาก็มาถึงฝั่งเมืองเยนเนซาเรท พวกศิษย์ก็ผูกเรือไว้ 54 พอลงจากเรือ ชาวบ้านก็จำพระองค์ได้ 55 พวกเขาวิ่งไปบอกคนอื่นๆทั่วบริเวณนั้น และหามคนป่วยใส่แคร่มาหาพระองค์ ไม่ว่าพระองค์จะอยู่ที่ไหนก็ตาม 56 ไม่ว่าพระองค์จะเข้าไปในหมู่บ้าน หรือในเมือง หรือในชนบท ชาวบ้านก็จะนำคนป่วยมาวางไว้ที่ตลาด และพวกคนป่วยต่างอ้อนวอนขอแค่แตะพู่ที่ชายเสื้อคลุมของพระองค์ และทุกคนที่ได้แตะก็หายกันหมด
ผู้ฟ้องร้องเล่นงานสุขภาพของโยบ
2 อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อพวกทูตสวรรค์มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าพระยาห์เวห์ ผู้ฟ้องร้องก็มาอยู่กับพวกทูตสวรรค์นั้นด้วยเพื่อมารายงานตัวต่อพระยาห์เวห์ 2 พระยาห์เวห์พูดกับผู้ฟ้องร้องว่า “เจ้าไปไหนมา”
ผู้ฟ้องร้องตอบพระยาห์เวห์ว่า “ไปเที่ยวตรวจตราในแผ่นดินโลก และเดินสำรวจไปมาบนแผ่นดินนั้น”
3 พระยาห์เวห์พูดกับผู้ฟ้องร้องว่า “เจ้าสังเกตตัวโยบ ผู้รับใช้ของเราหรือเปล่า ไม่มีใครเลยในโลกนี้ที่เหมือนกับเขา เขาเป็นคนดีพร้อม สัตย์ซื่อ ยำเกรงพระเจ้า และไม่ยอมทำชั่ว เขาก็ยังยึดมั่นในความดีพร้อมของเขา ทั้งๆที่เจ้าพยายามโน้มน้าวให้เราต่อต้านเขา และให้กลืนกินเขาเสียโดยไม่มีเหตุ”
4 ผู้ฟ้องร้องตอบพระยาห์เวห์ว่า “หนังแทนหนัง[a] แน่นอน มนุษย์จะสละทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีเพื่อแลกกับชีวิตของตน 5 ลองยื่นมือของพระองค์ออกไปทำร้ายกระดูกและเนื้อของเขาดูสิ เขาจะสาปแช่งพระองค์ต่อหน้าอย่างแน่นอน”
6 แล้วพระยาห์เวห์ก็พูดกับผู้ฟ้องร้องว่า “เอาสิ ทุกอย่างของเขาอยู่ในกำมือของเจ้าแล้ว แต่ให้ไว้ชีวิตเขา”
7 ผู้ฟ้องร้องก็ออกไปจากเบื้องหน้าของพระยาห์เวห์
ผู้ฟ้องร้องทำให้โยบเกิดแผลพุพองตั้งแต่หัวจรดเท้า 8 โยบนั่งอยู่กลางกองขี้เถ้าและใช้เศษหม้อดินแตกเกาครูดตามตัว 9 เมียของเขาพูดกับเขาว่า “แกยังจะยึดมั่นในความดีพร้อมของแกอยู่อีกหรือ สาปแช่งพระเจ้า แล้วไปตายซะ”
10 โยบพูดกับนางว่า “เจ้าพูดเหมือนกับหญิงโง่ไม่มีผิด เราจะรับแต่สิ่งดีๆจากพระเจ้าเท่านั้น สิ่งเลวร้ายจะไม่ยอมรับเลยหรือ” ถึงแม้จะเกิดเรื่องทั้งหมดนี้กับโยบ โยบก็ไม่ได้ทำบาปด้วยริมฝีปากของเขาเลย
เพื่อนทั้งสามคนของโยบ
11 ต่อมาเมื่อเพื่อนสามคนของโยบคือ เอลีฟัสชาวเทมาน บิลดัดชาวชูอาห์ และโศฟาร์ชาวนาอามาห์ ได้ยินเรื่องเลวร้ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับโยบ พวกเขานัดกันที่จะไปร่วมทุกข์และปลอบโยนโยบ พวกเขาต่างออกจากบ้านเรือนของตนมา 12 เมื่อพวกเขาเห็นโยบแต่ไกล พวกเขาแทบจะจำโยบไม่ได้เลย พวกเขาร้องไห้เสียงดัง และต่างฉีกเสื้อคลุมของตน แล้วต่างโยนฝุ่น[b]ขึ้นไปในอากาศให้ตกลงบนหัวของพวกเขา
13 แล้วเพื่อนทั้งสามก็ได้มานั่งอยู่กับโยบที่พื้นดิน เป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืน โดยไม่ได้พูดอะไรกับโยบสักคำ เพราะพวกเขาเห็นว่าความเจ็บปวดของโยบนั้นแสนสาหัสนัก
ตายจากบาป แล้วมีชีวิตในพระคริสต์
6 แล้วทีนี้จะว่ายังไง จะทำบาปต่อไปเพื่อพระเจ้าจะได้เมตตามากขึ้นอย่างนั้นหรือ 2 ไม่มีทาง ในเมื่อเราตายจากบาปแล้ว ยังจะใช้ชีวิตอยู่ในความบาปอีกได้อย่างไร 3 หรือพวกคุณไม่รู้ว่าการที่เรารับพิธีจุ่มน้ำเข้าในพระเยซูคริสต์นั้น คือการจุ่มเข้าไปในความตายของพระองค์นั่นเอง 4 ดังนั้นเมื่อเราจุ่มเข้าในความตายของพระเยซู ก็หมายถึงว่าเราถูกฝังร่วมกับพระองค์แล้ว เพื่อเราจะมีวิถีชีวิตใหม่เหมือนกับที่พระคริสต์ฟื้นขึ้นจากความตาย โดยฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระบิดา 5 เพราะถ้าเราได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในความตายนั้น เราก็จะได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ในการฟื้นขึ้นจากความตายด้วย 6 เรารู้ว่าคนเก่าของเราได้ถูกตรึงร่วมกันกับพระคริสต์แล้ว เพื่อตัวตนที่เต็มไปด้วยบาปจะได้หมดฤทธิ์ไป แล้วเราจะได้ไม่เป็นทาสของความบาปอีกต่อไป 7 เพราะคนที่ตายแล้วก็หลุดพ้นจากอำนาจของบาป
8 เมื่อเราตายร่วมกับพระคริสต์แล้ว เราเชื่อว่าเราจะมีชีวิตร่วมกับพระองค์ด้วย 9 เรารู้ว่าพระคริสต์ ผู้ที่ฟื้นขึ้นจากความตายนั้น จะไม่มีวันตายอีกต่อไป ความตายก็ไม่ได้เป็นนายเหนือพระองค์อีกต่อไป 10 พระองค์ตายเพียงครั้งเดียวก็พอตลอดไปเพื่อชนะอำนาจของบาป ชีวิตที่พระองค์มีอยู่นี้ พระองค์อยู่เพื่อพระเจ้า 11 พวกคุณก็เหมือนกัน ให้ถือว่าตัวคุณเองตายจากบาปแล้ว และมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้าในพระเยซูคริสต์นั้น
12 ดังนั้นอย่าปล่อยให้บาปมาเป็นเจ้าครอบครองร่างกายที่ต้องตายของคุณอีกเลย คือให้ความบาปทำให้คุณต้องเชื่อฟังและทำตามกิเลสตัณหาของมัน 13 คุณไม่ควรยอมให้บาปมาใช้อวัยวะส่วนไหนก็ตามของคุณเป็นเครื่องมือในการทำชั่ว แต่ให้มอบชีวิตของคุณเองกับพระเจ้า ให้สมกับเป็นคนที่ตายไปและฟื้นขึ้นมาใหม่แล้ว ดังนั้นขอให้คุณยอมให้พระเจ้าใช้อวัยวะทุกส่วนของร่างกายคุณให้เป็นเครื่องมือในการทำความดี 14 ความบาปก็ไม่มีอำนาจเหนือพวกคุณอีกต่อไปแล้ว เพราะพวกคุณไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของกฎ แต่อยู่ใต้ความเมตตากรุณาของพระเจ้า
ทาสที่ทำตามใจพระเจ้า
15 แล้วทีนี้เราจะว่าอย่างไรดี ทำบาปต่อไปดีไหม ไม่มีทาง เพราะตอนนี้เราไม่ได้อยู่ใต้กฎแล้ว แต่อยู่ใต้ความเมตตากรุณาของพระเจ้า 16 พวกคุณไม่รู้หรือว่า เมื่อคุณยอมมอบตัวเป็นทาสเชื่อฟังใครก็ตาม คุณก็เป็นทาสของคนๆนั้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทาสของความบาปที่ทำให้ต้องตาย หรือเป็นทาสที่เชื่อฟังพระเจ้าซึ่งจะนำไปถึงชีวิตที่พระเจ้าชอบใจ 17 แต่ขอบคุณพระเจ้าที่ถึงแม้คุณจะเคยเป็นทาสของความบาปมาก่อน แต่เดี๋ยวนี้คุณได้เชื่อฟังแบบอย่างคำสอนที่พระเจ้าให้ครอบครองคุณนั้นอย่างสุดหัวใจ 18 คุณจึงไม่เป็นทาสของความบาปอีกต่อไป แต่เป็นทาสที่ทำตามใจพระเจ้า 19 (ที่ผมใช้ตัวอย่างเรื่องทาสมาอธิบายให้ฟัง ก็เพราะกลัวว่าคุณจะไม่เข้าใจ) ในอดีตคุณเคยมอบอวัยวะของคุณให้เป็นทาสของความสกปรกโสโครกและการแหกกฎ ซึ่งทำให้คุณแหกกฎมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เดี๋ยวนี้ขอให้ยอมมอบอวัยวะของคุณให้เป็นทาสที่ทำตามใจพระเจ้าซึ่งนำไปสู่ความบริสุทธิ์
20 แต่ก่อน เมื่อคุณเป็นทาสของความบาปนั้น คุณก็เป็นอิสระ ไม่ได้อยู่ใต้การควบคุมของสิ่งที่ถูกต้อง 21 แต่คุณได้อะไรบ้างจากการใช้ชีวิตแบบนั้น สิ่งที่คุณได้คือสิ่งที่คุณละอายกับมันตอนนี้ เพราะสิ่งเหล่านั้นนำไปถึงความตาย 22 แต่ตอนนี้คุณได้เป็นอิสระจากบาปและมาเป็นทาสของพระเจ้าแล้ว ผลที่คุณจะได้รับคือความบริสุทธิ์ที่นำไปถึงชีวิตที่อยู่กับพระเจ้าตลอดไป 23 เพราะค่าจ้างที่ความบาปจ่ายให้กับเราคือความตาย แต่ของขวัญที่พระเจ้าให้กับเรานั้นคือชีวิตที่อยู่กับพระเจ้าตลอดไป ในพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International