Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
ปฐมกาล 28

ยาโคบหาเมีย

28 แล้วอิสอัคเรียกยาโคบมา และอวยพรให้กับเขาและสั่งเขาว่า “ห้ามเอาลูกสาวของชาวคานาอันมาเป็นเมีย ให้ไปที่แคว้น ปัดดาน อารัม ทันที ให้ไปบ้านเบธูเอลพ่อของแม่เจ้า และให้หาเมียที่นั่น ให้เอาลูกสาวคนหนึ่งของลาบัน พี่ชายของแม่เจ้ามาเป็นเมีย ขอให้พระเจ้าผู้เต็มไปด้วยฤทธิ์เดชทั้งสิ้น[a] อวยพรเจ้า ให้เจ้ามีลูกหลานมากมายเพื่อว่าเจ้าจะได้กลายเป็นพ่อของหลายชนชาติ และขอให้พระองค์อวยพรเจ้าเหมือนกับที่อวยพรให้อับราฮัม อวยพรเจ้าและลูกหลานของเจ้าด้วย เพื่อว่าเจ้าจะได้เป็นเจ้าของแผ่นดินที่เจ้าอาศัยอยู่เดี๋ยวนี้ในฐานะคนต่างชาติ ซึ่งพระเจ้าได้ยกให้กับอับราฮัม”

แล้วอิสอัคส่งยาโคบไป และยาโคบก็ไปที่ปัดดาน อารัม ไปหาลาบันลูกชายของเบธูเอลชาวอารัม ลาบันเป็นพี่ชายของเรเบคาห์ แม่ของยาโคบและเอซาว

ตอนนี้เอซาวเห็นว่าอิสอัคอวยพรให้ยาโคบ และได้ส่งเขาไปปัดดาน อารัม เพื่อเอาเมียจากที่นั่น เอซาวก็รู้ว่า เมื่อพ่ออวยพรให้น้อง พ่อสั่งน้องว่า “อย่าแต่งงานกับผู้หญิงชาวคานาอัน” เอซาวก็รู้ว่า ยาโคบเชื่อฟังพ่อและแม่ของเขา และไปแคว้นปัดดาน อารัม เอซาวเห็นว่า อิสอัคพ่อของเขาไม่พอใจผู้หญิงคานาอันเหล่านั้น เขาจึงไปหาอิชมาเอลและเอามาหะลัทลูกสาวของอิชมาเอลมาเป็นเมีย อิชมาเอลเป็นลูกของอับราฮัม และมาหะลัทเป็นน้องสาวของเนบาโยธ เอซาวมีเมียอยู่ก่อนหน้านั้นหลายคนแล้ว

บ้านของพระเจ้า (เบธเอล)

10 ยาโคบจากเมืองเบเออร์เชบาเขามุ่งตรงไปยังเมืองฮาราน 11 เขาได้มาถึงที่แห่งหนึ่ง และพักค้างคืนที่นั่น เพราะตะวันตกดินแล้ว เขาเอาหินจากที่นั่นมาก้อนหนึ่ง แล้วเอามาหนุนหัวนอนที่นั่น 12 เขาได้ฝันว่า มีบันไดอันหนึ่งตั้งอยู่ที่พื้น ปลายของมันยื่นถึงสวรรค์ และมีทูตสวรรค์ของพระเจ้า กำลังขึ้นๆลงๆอยู่บนบันไดนั้น 13 และมีพระยาห์เวห์กำลังยืนอยู่ข้างๆเขา[b] และพูดว่า “เราคือยาห์เวห์ พระเจ้าของอับราฮัมและพระเจ้าของอิสอัคบรรพบุรุษของเจ้า เราจะยกแผ่นดินที่เจ้ากำลังนอนอยู่นี้ให้กับเจ้าและลูกหลานของเจ้า 14 และลูกหลานของเจ้าก็จะมีมากมายเหมือนฝุ่นบนโลกนี้ และพวกเขาจะขยายไปทางทิศตะวันตก ทิศตะวันออก ทิศเหนือและทิศใต้ แล้วทุกครอบครัวในโลกนี้จะได้รับพรผ่านทางเจ้าและลูกหลานของเจ้า

15 และดูเถิด เราจะอยู่กับเจ้า เราจะปกป้องเจ้าในทุกที่ที่เจ้าไป เราจะนำเจ้ากลับมายังแผ่นดินนี้ เพราะเราจะไม่ทอดทิ้งเจ้า แต่เราจะทำสิ่งที่เราได้สัญญาไว้กับเจ้า”

16 แล้วยาโคบก็ตื่นขึ้นมา พูดว่า “พระยาห์เวห์สถิตอยู่ในที่แห่งนี้แน่ๆแต่เราไม่รู้มาก่อน”

17 เขากลัวและพูดว่า “สถานที่แห่งนี้น่าเกรงขามยิ่งนัก จะต้องเป็นบ้านของพระเจ้า และเป็นประตูสวรรค์แน่ๆ”

18 ยาโคบจึงลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ และเขาเอาก้อนหินที่เขาเอาหนุนหัว มาตั้งขึ้นเป็นแท่งหิน และเทน้ำมันบนยอดของหินนั้น เพื่ออุทิศให้กับพระเจ้า 19 และเขาเรียกสถานที่แห่งนี้ว่า “เบธเอล”[c] แต่เมืองนั้น เดิมมีชื่อว่า “ลูส”

20 แล้วยาโคบสาบานว่า “ถ้าพระเจ้าจะอยู่กับข้าพเจ้า และปกป้องข้าพเจ้าในการเดินทางครั้งนี้ และให้ข้าพเจ้ามีอาหารกินกับมีเสื้อผ้าใส่ 21 และนำข้าพเจ้ากลับไปยังบ้านของพ่อข้าพเจ้าอย่างปลอดภัยแล้วละก็ พระยาห์เวห์ก็จะเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า 22 และหินก้อนนี้ที่ข้าพเจ้าได้ตั้งขึ้นเป็นเสาหิน ก็จะเป็นบ้านของพระเจ้า[d] ข้าพเจ้าก็จะถวายพระองค์หนึ่งในสิบจากทุกอย่างที่พระองค์ให้กับข้าพเจ้า”

มัทธิว 27

พระเยซูถูกนำตัวไปให้ปีลาตเจ้าเมือง

(มก. 15:1; ลก. 23:1-2; ยน. 18:28-32)

27 ตอนเช้ามืด พวกหัวหน้านักบวชและผู้อาวุโสทั้งหมดได้ตัดสินกันว่า พระเยซูสมควรตาย พวกเขามัดพระองค์ แล้วนำตัวไปมอบให้กับปีลาต[a]เจ้าเมือง

ยูดาสฆ่าตัวตาย

(กจ. 1:18-19)

เมื่อยูดาสคนที่หักหลังพระเยซูเห็นว่าพระองค์ถูกตัดสินลงโทษถึงตาย ก็รู้สึกเสียใจมาก เขาจึงคืนเงินสามสิบเหรียญให้กับหัวหน้านักบวชและพวกผู้นำอาวุโส ยูดาสคร่ำครวญว่า “ผมทำบาปไปแล้วที่หักหลังคนที่บริสุทธิ์” พวกหัวหน้านักบวชและพวกผู้นำอาวุโสตอบว่า “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเราด้วย นั่นมันเรื่องของแก”

ยูดาสโยนเงินทิ้งไปในวิหาร และเดินออกไปผูกคอตาย

พวกหัวหน้านักบวชเก็บเงินนั้นขึ้นมาและพูดว่า “มันผิดกฎ ที่จะเอาเงินแบบนี้เก็บรวมกับเงินของวิหาร เพราะเป็นเงินเปื้อนเลือด” พวกเขาตัดสินใจเอาเงินนี้ไปซื้อที่นาของช่างปั้นหม้อ เพื่อเอาไว้เป็นที่ฝังศพคนต่างบ้านต่างเมือง ที่ตรงนั้นถูกเรียกว่า “ทุ่งเลือด” มาจนถึงทุกวันนี้ เรื่องนี้ก็เป็นไปตามที่เยเรมียาห์ ผู้พูดแทนพระเจ้า ได้พูดไว้ว่า

“พวกเขาเอาเงินสามสิบเหรียญ ซึ่งเป็นราคาค่าตัวของพระองค์ที่คนอิสราเอลตั้งขึ้น 10 ไปซื้อที่นาของช่างปั้นหม้อ ตามที่องค์เจ้าชีวิตได้สั่งผมไว้”[b]

ปีลาต เจ้าเมืองสอบสวนพระเยซู

(มก. 15:2-5; ลก. 23:3-5; ยน. 18:33-38)

11 เขาได้นำพระเยซูไปยืนอยู่ต่อหน้าเจ้าเมืองปีลาต เจ้าเมืองได้ถามพระองค์ว่า “แกเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ” พระเยซูตอบว่า “ใช่ อย่างที่ท่านว่า”

12 แต่เมื่อพวกหัวหน้านักบวชและพวกผู้นำอาวุโสกล่าวหาพระองค์ พระองค์ก็ไม่ได้ตอบอะไร

13 แล้วปีลาตจึงถามพระองค์ว่า “เจ้าไม่ได้ยินข้อกล่าวหามากมายที่เขาว่าเจ้าหรือ”

14 แต่พระองค์ไม่ตอบปีลาตสักคำ ทำให้ปีลาตแปลกใจมาก

ปีลาตพยายามจะปล่อยตัวพระเยซูแต่ไม่สำเร็จ

(มก. 15:6-15; ลก. 23:13-25; ยน. 18:39-19:16)

15 ในช่วงเทศกาลวันปลดปล่อยเป็นประเพณีของเจ้าเมืองที่จะให้ประชาชนเลือกปล่อยนักโทษหนึ่งคน 16 ตอนนั้นมีนักโทษอื้อฉาวคนหนึ่งชื่อบารับบัส 17 เมื่อประชาชนมาชุมนุมกันแล้ว ปีลาตถามพวกเขาว่า “อยากให้เราปล่อยใคร บารับบัสหรือเยซูที่เรียกกันว่าพระคริสต์” 18 ปีลาตรู้ดีว่าที่พวกหัวหน้านักบวชและพวกผู้นำอาวุโสจับพระเยซูส่งมาให้กับเขานั้นมันเกิดจากความอิจฉา

19 ขณะที่ปีลาตนั่งอยู่บนบัลลังก์ตัดสินคดี ภรรยาของเขาได้ส่งข้อความมาให้เขาว่า “อย่าไปยุ่งกับผู้ชายที่บริสุทธิ์คนนี้เลย เพราะเมื่อคืนฉันฝันร้ายถึงเขา ทำให้ฉันกลุ้มทั้งวัน”

20 แต่พวกหัวหน้านักบวชและพวกผู้นำอาวุโสได้ยุยงประชาชนให้ขอปีลาตปล่อยบารับบัส และให้ฆ่าพระเยซู

21 เจ้าเมืองถามประชาชนว่า “จะให้ปล่อยใครดีระหว่างสองคนนี้” ประชาชนตะโกนว่า “บารับบัส”

22 ปีลาตถามว่า “แล้วจะให้ทำอะไรกับเยซูที่คนเรียกกันว่าพระคริสต์” พวกเขาทุกคนก็ตะโกนว่า “ตรึงมันซะ”

23 ปีลาตถามว่า “ทำไม เขาทำผิดอะไรหรือ” แต่ประชาชนกลับยิ่งตะโกนดังขึ้นว่า “ตรึงมันซะ”

24 เมื่อปีลาตเห็นว่าเขาทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้ และเริ่มเกิดความวุ่นวายขึ้นแล้ว เขาจึงเอาน้ำมาล้างมือต่อหน้าประชาชน และพูดว่า “เราไม่เกี่ยวกับการตายของชายคนนี้ พวกคุณรับผิดชอบกันเอาเองก็แล้วกัน”

25 ประชาชนทั้งหมดบอกว่า “พวกเราและลูกๆของเราจะรับผิดชอบต่อการตายของเขาเอง”[c]

26 ปีลาตก็เลยปล่อยบารับบัสให้พวกเขา จากนั้นเขาสั่งให้เฆี่ยนตีพระเยซู และส่งตัวพระองค์ไปให้กับทหารเพื่อเอาไปตรึงที่ไม้กางเขน

ทหารของปีลาตล้อเลียนพระเยซู

(มก. 15:16-20; ยน. 19:2-3)

27 ทหารของปีลาตนำตัวพระเยซูเข้าไปที่ศูนย์บัญชาการใหญ่ของพวกเขา แล้วให้ทหารทั้งกองเข้ามารายล้อมพระองค์ไว้ 28 พวกเขาถอดเสื้อผ้าของพระองค์ แล้วเอาชุดสีแดงมาใส่ให้แทน 29 พวกเขาเอากิ่งหนามมาสานเป็นมงกุฎสวมหัวของพระองค์ และให้ถือไม้อ้อไว้ในมือขวา จากนั้นพวกเขาก็แกล้งทำเป็นคุกเข่าลงต่อหน้าพระองค์ ล้อเลียนพระองค์ว่า “กษัตริย์ของชาวยิว จงเจริญ” 30 แล้วก็ถ่มน้ำลายรดพระองค์ และเอาไม้อ้อมาตีหัวพระองค์ 31 เมื่อล้อเลียนจนพอใจแล้ว พวกเขาก็ถอดชุดสีแดง ใส่เสื้อผ้าชุดเดิมให้ และนำตัวพระองค์ไปตรึงที่ไม้กางเขน

พระเยซูตายบนไม้กางเขน

(มก. 15:21-32; ลก. 23:26-43; ยน. 19:17-27)

32 ขณะที่พวกเขากำลังเดินออกมา ก็พบชายคนหนึ่งมาจากไซรีนชื่อซีโมน พวกเขาจึงได้บังคับให้ซีโมนแบกไม้กางเขนแทนพระเยซู 33 เมื่อมาถึงสถานที่ที่เรียกว่า “กลโกธา” ซึ่งหมายถึง “เนินหัวกระโหลก” 34 พวกเขาเอาเหล้าองุ่นผสมกับของขมมาให้พระองค์ แต่เมื่อพระองค์ชิมแล้วก็ไม่ยอมดื่ม 35 หลังจากพวกเขาจับพระองค์ตรึงบนไม้กางเขนแล้ว ก็เอาเสื้อผ้าของพระองค์มาจับสลากแบ่งกัน 36 แล้วพวกเขาก็นั่งเฝ้าพระองค์อยู่ที่นั่น 37 เขาเขียนคำกล่าวหาติดไว้เหนือหัวพระองค์ว่า “นี่คือเยซู กษัตริย์ของชาวยิว” 38 มีโจรสองคนถูกตรึงกางเขนพร้อมกับพระเยซู ทางขวาคนหนึ่งและทางซ้ายคนหนึ่ง 39 คนที่เดินผ่านไปมาต่างส่ายหัว และพูดเยาะเย้ยว่า 40 “อ้าวไหนบอกว่าจะทำลายวิหาร แล้วสร้างมันขึ้นมาใหม่ภายในสามวันไง ถ้าแกเป็นลูกของพระเจ้าจริงก็ให้ช่วยชีวิตตัวเอง แล้วลงมาจากไม้กางเขนสิ”

41 นอกจากนี้พวกหัวหน้านักบวช ครูสอนกฎปฏิบัติ และพวกผู้นำอาวุโส ต่างก็พากันพูดเยาะเย้ยพระองค์ว่า 42 “มันช่วยคนอื่นให้รอดได้ แต่ช่วยตัวเองไม่ได้ ถ้ามันเป็นกษัตริย์ของอิสราเอลจริง ให้มันลงมาจากไม้กางเขนเดี๋ยวนี้ แล้วเราจะเชื่อ 43 มันวางใจในพระเจ้า ถ้าพระเจ้าต้องการตัวมัน ก็ขอให้พระเจ้าช่วยชีวิตมันเดี๋ยวนี้ เพราะมันพูดว่า ‘เราเป็นลูกของพระเจ้า’” 44 โจรสองคนที่ถูกตรึงไม้กางเขนกับพระองค์ก็พูดจาดูถูกพระองค์เหมือนกัน

พระเยซูตาย

(มก. 15:33-41; ลก. 23:44-49; ยน. 19:28-30)

45 ตั้งแต่เที่ยงวัน มีแต่ความมืดมิดปกคลุมไปทั่วทั้งแผ่นดินจนถึงบ่ายสามโมง 46 ประมาณบ่ายสามโมง พระเยซูร้องออกมาเสียงดังว่า “เอลี เอลี ลามา สะบักธานี” แปลว่า “พระเจ้าของลูก พระเจ้าของลูก ทำไมถึงทอดทิ้งลูกไป”[d]

47 เมื่อบางคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นได้ยิน พวกเขาก็พูดกันว่า “เขากำลังเรียกเอลียาห์”

48 ทันใดนั้น คนหนึ่งในพวกเขาวิ่งไปเอาฟองน้ำมาชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวมาเสียบที่ปลายไม้อ้อ แล้วยื่นขึ้นไปให้พระองค์ดื่ม 49 แต่พวกที่เหลือพูดว่า “ให้คอยดูซิว่าเอลียาห์จะมาช่วยชีวิตเขาหรือเปล่า”

50 พระเยซูร้องเสียงดังออกมาอีกครั้ง แล้วก็สิ้นใจตาย

51 ในขณะนั้นเอง ม่านภายในวิหารได้ฉีกขาดออกเป็นสองส่วนจากบนลงล่าง เกิดแผ่นดินไหว และก้อนหินแตกเป็นเสี่ยงๆ 52 พวกอุโมงค์ฝังศพเปิดออก และร่างของประชาชนของพระเจ้าหลายคนที่ตายไปแล้วก็ฟื้นขึ้นมา 53 หลังจากพระเยซูฟื้นขึ้นมา พวกเขาก็ออกมาจากอุโมงค์ฝังศพ จากนั้นพากันเข้าไปในเมืองเยรูซาเล็ม และปรากฏตัวให้ประชาชนจำนวนมากได้เห็น

54 เมื่อนายร้อยและพวกทหารที่เฝ้าพระเยซูอยู่ เห็นแผ่นดินไหวและเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็กลัวมาก ต่างก็พูดว่า “เขาเป็นลูกของพระเจ้าแน่ๆ”

55 มีผู้หญิงหลายคนที่ยืนดูอยู่ห่างๆ พวกเธอเคยติดตามรับใช้พระเยซูมาตั้งแต่แคว้นกาลิลี 56 ในพวกนั้นมี มารีย์ชาวมักดาลา มารีย์แม่ของยากอบกับโยเซฟ และแม่ของยากอบกับยอห์นที่เป็นภรรยาของเศเบดี

ฝังศพพระเยซู

(มก. 15:42-47; ลก. 23:50-56; ยน. 19:38-42)

57 มีเศรษฐีคนหนึ่งจากเมืองอาริมาเธียชื่อโยเซฟ เขาเป็นศิษย์ของพระเยซู ในตอนเย็น 58 โยเซฟได้ไปหาปีลาตเพื่อขอศพพระเยซู ปีลาตจึงสั่งให้ทหารมอบศพพระเยซูให้กับโยเซฟ 59 โยเซฟได้นำศพพระเยซูไป และเอาผ้าลินินสะอาดพันศพไว้ 60 เขานำศพไปไว้ที่อุโมงค์ฝังศพใหม่ของเขาเอง ซึ่งเขาได้ขุดเข้าไปในหิน และก่อนจะจากไป เขากลิ้งหินก้อนใหญ่มาปิดปากอุโมงค์ไว้ 61 ตอนนั้น มารีย์ชาวเมืองมักดาลา และมารีย์อีกคนหนึ่ง ได้มานั่งมองอยู่ตรงข้ามอุโมงค์ฝังศพ

การจัดทหารยามเฝ้าอุโมงค์ฝังศพพระเยซู

62 วันรุ่งขึ้นซึ่งตรงกับวันหยุดทางศาสนา พวกหัวหน้านักบวชและพวกฟาริสี มาพบปีลาต 63 และบอกว่า “พวกเราจำได้ว่า เจ้าจอมหลอกลวงคนนั้นเคยพูดไว้ตอนที่ยังมีชีวิตว่า ‘หลังจากสามวัน เราจะฟื้นขึ้นจากความตาย’ 64 ช่วยสั่งให้คนไปเฝ้าที่อุโมงค์ฝังศพด้วยเถอะ เพื่อเฝ้าอย่างแน่นหนาจนถึงวันที่สาม เพราะไม่แน่พวกศิษย์ของมันอาจจะมาขโมยศพไปก็ได้ แล้วไปบอกกับประชาชนทั้งหลายว่า ‘เขาฟื้นขึ้นจากความตาย’ การหลอกลวงครั้งนี้จะเลวร้ายยิ่งกว่าครั้งแรกเสียอีก” 65 ปีลาตพูดกับพวกเขาว่า “เอาทหารไปเฝ้าอุโมงค์ฝังศพให้แน่นหนาเท่าที่พวกคุณจะทำได้” 66 ดังนั้นพวกเขาไปที่อุโมงค์ฝังศพ จัดเวรยามดูแลอย่างแน่นหนา และได้ประทับตราไว้บนหินที่ปิดปากทางเข้าอุโมงค์ฝังศพ

เอสเธอร์ 4

โมรเดคัยเรียกร้องให้เอสเธอร์ช่วยเหลือชาวยิว

เมื่อโมรเดคัยรู้เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้น เขาก็ฉีกเสื้อผ้าตัวเอง ใส่ชุดผ้ากระสอบ เอาขี้เถ้ามาโรยหัว แล้วออกไปกลางเมือง ร้องไห้คร่ำครวญเสียงดังด้วยความขมขื่น โมรเดคัยเดินไปได้แค่หน้าประตูวังเท่านั้น เพราะคนที่สวมชุดผ้ากระสอบไม่สามารถผ่านเข้าประตูวังไปได้ ในทุกมณฑลที่ได้รับคำสั่งของกษัตริย์ มีแต่ความทุกข์ระทมอันใหญ่หลวงในหมู่ชาวยิว พวกเขาอดอาหาร ร้องไห้คร่ำครวญเสียงดัง พวกชาวยิวส่วนใหญ่ปูผ้ากระสอบและโรยขี้เถ้าบนมัน แล้วนอนบนผ้านั้น

พวกสาวใช้และขันทีของเอสเธอร์มาเข้าเฝ้าพระนาง และรายงานเรื่องโมรเดคัยให้พระนางฟัง ทำให้พระนางเป็นทุกข์และกลุ้มใจมาก ดังนั้นพระนางจึงส่งเสื้อผ้าไปให้โมรเดคัย แทนชุดผ้ากระสอบของเขา แต่โมรเดคัยไม่ยอมรับเสื้อผ้าที่ส่งมา เอสเธอร์จึงเรียกฮาธาคมาพบ ฮาธาคเป็นขันทีที่กษัตริย์ส่งให้มารับใช้พระนาง และพระนางสั่งให้เขาไปดูว่าที่โมรเดคัยทำอยู่นั้นหมายถึงอะไร และทำไมถึงทำอย่างนั้น ฮาธาคจึงไปพบโมรเดคัยที่ลานเมืองหน้าประตูวัง โมรเดคัยเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง และบอกถึงจำนวนเงินที่ฮามานสัญญาว่าจะถวายเข้าคลังหลวงเพื่อทำลายชาวยิว โมรเดคัยยังมอบสำเนาจดหมายคำสั่งที่เขียนออกมาจากเขตวังของเมืองสุสาเรื่องทำลายชาวยิว ให้กับฮาธาคด้วย เพื่อฮาธาคจะได้นำไปให้เอสเธอร์ดู และจะได้อธิบายเรื่องทั้งหมดให้พระนางเข้าใจ โมรเดคัยได้กำชับให้ฮาธาคบอกให้เอสเธอร์ไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ เพื่อวิงวอนขอความเมตตาจากกษัตริย์ให้กับโมรเดคัยและคนของพระนางด้วย

ฮาธาคจึงกลับไปเล่าให้เอสเธอร์ฟังถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่โมรเดคัยบอกเขา

10 เอสเธอร์จึงบอกกับฮาธาคให้ไปบอกกับโมรเดคัยว่า

11 “เจ้าหน้าที่ของกษัตริย์ทุกคน และประชาชนทั้งหลายในมณฑลของกษัตริย์ ต่างก็รู้ดีว่า ถ้าชายหรือหญิงคนใดไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ที่ลานชั้นใน โดยไม่มีรับสั่งเรียก จะมีโทษถึงตาย ยกเว้นแต่ว่าพระองค์จะยื่นคทาทองคำให้ คนนั้นถึงจะรอดตาย แต่พระองค์ไม่ได้เรียกหาลูกเป็นเวลาสามสิบวันแล้ว”

12 เมื่อโมรเดคัยได้ฟังถึงสิ่งที่เอสเธอร์ส่งมาบอก 13 โมรเดคัยก็ตอบกลับไปว่า “เอสเธอร์เอ๋ย ในพวกยิวทั้งหมด เธอคิดว่าจะมีแต่เธอเท่านั้นหรือที่รอดเพราะอยู่ในวัง 14 ถ้าในครั้งนี้ เธอทำเป็นนิ่งเฉย ความช่วยเหลือและการปลดปล่อยของพวกชาวยิวก็จะมาจากที่อื่น แต่เธอและครอบครัวก็จะพินาศ ใครจะไปรู้ ที่เธอได้รับเลือกเป็นราชินี ก็อาจจะเพื่อเวลานี้ก็ได้”

15-16 จากนั้นเอสเธอร์ก็ส่งคำตอบนี้ไปยังโมรเดคัยว่า “ท่านโมรเดคัย ให้ไปรวบรวมชาวยิวทุกคนที่อยู่ในเมืองสุสา ให้ทุกคนอดอาหารเพื่อลูก อย่าได้กินอาหารและดื่มน้ำเป็นเวลาสามวันสามคืน ตัวลูกเองและพวกสาวใช้ ก็จะอดอาหารเหมือนกัน และหลังจากนั้น ลูกก็จะไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ แม้จะไม่ได้ถูกเรียกและเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายก็ตาม ตายเป็นตาย”

17 โมรเดคัยจึงข้ามคลอง[a] กลับไป และทำตามที่เอสเธอร์สั่งทุกอย่าง

กิจการ 27

เปาโลแล่นเรือไปกรุงโรม

27 เมื่อถึงเวลาที่พวกเราจะเดินทางไปประเทศอิตาลี พวกเขาก็ให้นายร้อยยูเลียสในกองทหารของจักรพรรดิ ควบคุมตัวเปาโลและนักโทษคนอื่นๆไป พวกเราไปลงเรือที่เมืองอัดรามิททิยุม เรือนั้นกำลังจะแล่นไปตามท่าต่างๆที่อยู่ตามแนวชายฝั่งของแคว้นเอเชีย แล้วพวกเราก็ออกทะเลไป อาริสทารคัสไปกับพวกเราด้วย เขาเป็นชาวเมืองเธสะโลนิกาในแคว้นมาซิโดเนีย พอวันรุ่งขึ้น พวกเราก็มาถึงเมืองไซดอน ยูเลียสดีกับเปาโลมาก เขายอมให้เปาโลไปเยี่ยมเพื่อนฝูงได้ เพื่อว่าเพื่อนๆจะได้ช่วยเหลือเปาโลตามความจำเป็น จากไซดอน พวกเราแล่นเรือออกสู่ทะเล กระแสลมต้านเรามาก เราจึงแล่นโดยใช้เกาะไซปรัสเป็นที่กำบังลมให้กับเรา พวกเราแล่นเรือข้ามทะเลที่เป็นน่านน้ำของแคว้นซีลีเซียและแคว้นปัมฟีเลียจนมาถึงเมืองมิราในแคว้นลิเซีย ที่นี่นายร้อยพบเรือลำหนึ่งที่มาจากเมืองอเล็กซานเดรียและกำลังจะไปประเทศอิตาลี เขาเลยให้พวกเราลงเรือลำนี้ เรือของพวกเราแล่นไปได้ช้ามากเป็นเวลาหลายวัน ในที่สุดก็มาใกล้เมืองคนีดัส อย่างทุลักทุเล เราไม่สามารถเดินทางต่อไปได้เพราะกระแสลมแรงมาก จึงต้องเปลี่ยนเส้นทางแล่นไปแอบลมอยู่หลังเกาะครีต ที่อยู่ตรงข้ามกับแหลมสัลโมเน เรือแล่นเลียบชายฝั่งเกาะครีตไปด้วยความยากลำบาก แล้วก็มาถึงที่หนึ่งชื่อว่า ท่างามดี ใกล้เมืองลาเซีย

พวกเราเสียเวลาไปมาก และตอนนี้ก็ไม่ปลอดภัยแล้วที่จะแล่นเรือ เพราะวันอดอาหาร[a] ของยิวก็ผ่านไปแล้ว เปาโลจึงเตือนพวกเขาว่า 10 “ท่านทั้งหลาย ผมเห็นว่าการเดินทางครั้งนี้จะประสบกับความหายนะ และจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ไม่ใช่แต่เฉพาะสินค้าและเรือเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชีวิตของพวกเราด้วย” 11 แต่แทนที่นายร้อยจะฟังคำเตือนของเปาโล เขากลับไปเชื่อกัปตันและเจ้าของเรือ 12 เพราะท่าเรือนี้ไม่เหมาะที่จะจอดเรือในฤดูหนาว คนส่วนใหญ่จึงตกลงที่จะแล่นเรือออกจากที่นั่น ถ้าเป็นไปได้พวกเขาอยากจะไปให้ถึงเมืองฟีนิกส์จะได้จอดเรืออยู่ที่นั่นในช่วงฤดูหนาว ฟีนิกส์เป็นเมืองท่าบนเกาะครีต เป็นท่าเรือที่หันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้และทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

พายุในทะเล

13 เมื่อมีลมพัดมาจากทิศใต้เบาๆพวกเขาก็คิดว่า “นี่แหละเป็นลมที่เราอยากได้” พวกเขาจึงถอนสมอเรือขึ้น แล้วแล่นไปตามชายฝั่งเกาะครีต 14 แต่ไม่ช้าก็มีลมพายุคล้ายเฮอร์ริเคน ที่เรียกว่าลมตะวันออกเฉียงเหนือ พัดมาจากเกาะ 15 เรือติดอยู่ท่ามกลางพายุ และไม่สามารถต้านกระแสลมได้ พวกเราจึงปล่อยให้เรือแล่นไปตามลม 16 ในที่สุดเรือก็แล่นไปอยู่หลังเกาะเล็กๆแห่งหนึ่งชื่อ คาวดา ที่ช่วยกำบังลมให้เรา พวกเราได้ดึงเรือชูชีพขึ้นมาผูกไว้กับเรือด้วยความทุลักทุเลยิ่งนัก 17 หลังจากที่ดึงเรือชูชีพขึ้นมาแล้ว พวกเขาก็เอาเชือกลอดใต้ท้องเรือใหญ่แล้วมัดเรือใหญ่ให้แน่นขึ้น เพราะกลัวว่ามันอาจจะแล่นไปเกยตื้นบนสันดอนทรายของอ่าวเสอร์ทิส พวกเขาจึงทิ้งลูกทุ่น[b]ลงทะเล ปล่อยให้เรือลอยไปตามกระแสลม 18 หลังจากถูกพายุโหมกระหน่ำอย่างแรง วันต่อมา พวกเขาก็เริ่มโยนสินค้าลงทะเลไป 19 ถึงวันที่สาม พวกเขาทิ้งอุปกรณ์ต่างๆในเรือลงทะเลด้วยมือตนเอง 20 พวกเราไม่เห็นเดือนเห็นตะวันมาหลายวันแล้ว พายุยังคงโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง ในที่สุดพวกเราก็หมดหวังที่จะมีชีวิตรอด

21 ไม่มีใครยอมกินอะไรมาหลายวันแล้ว เปาโลจึงยืนขึ้นต่อหน้าพวกเขาพูดว่า “พวกคุณน่าจะฟังคำแนะนำของผมว่าอย่าแล่นเรือออกจากเกาะครีต จะได้ไม่ต้องมาพบกับความเสียหายและสูญเสียอย่างนี้ 22 แต่ตอนนี้ผมอยากให้พวกคุณมีกำลังใจกันไว้ จะไม่มีใครตายหรอก มีแต่เรือลำนี้เท่านั้นที่จะพังไป 23 เพราะเมื่อคืนนี้มีทูตสวรรค์ของพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของผม และผู้ที่ผมรับใช้อยู่ได้มายืนอยู่ข้างๆผม 24 แล้วบอกว่า ‘ไม่ต้องกลัวเปาโล เจ้าจะต้องได้ยืนอยู่ต่อหน้าซีซาร์แน่ และพระเจ้าจะช่วยชีวิตทุกคนบนเรือก็เพราะเจ้า’ 25 เพราะฉะนั้นให้พวกคุณมีกำลังใจไว้ เพราะผมไว้ใจพระเจ้าว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นอย่างที่ทูตสวรรค์ได้บอกผมไว้อย่างแน่นอน 26 แต่พวกเราจะต้องวิ่งไปเกยตื้นที่เกาะไหนสักแห่ง”

27 มาถึงคืนที่สิบสี่ เรือของพวกเราลอยคออยู่ในทะเลอาเดรีย[c] ประมาณเที่ยงคืนพวกลูกเรือรู้สึกว่าแผ่นดินอยู่ใกล้ๆ 28 พวกเขาหยั่งระดับน้ำดู และวัดความลึกได้สามสิบเจ็ดเมตร เวลาผ่านไปสักพักพวกเขาก็หยั่งระดับน้ำอีก คราวนี้วัดความลึกได้ยี่สิบเจ็ดเมตร 29 พวกเขากลัวว่าเรือจะไปเกยตื้นบนฝั่งที่มีหินจึงโยนสมอสี่ตัวลงจากด้านหลังของเรือ และอธิษฐานให้ถึงตอนเช้าเร็วๆ 30 พวกลูกเรือพยายามหนีออกจากเรือ พวกเขาจึงหย่อนเรือชูชีพลงในทะเล แกล้งทำเป็นว่าจะไปโยนสมอเรือจากทางหัวเรือ 31 แต่เปาโลบอกกับนายร้อยและพวกทหารว่า “ถ้าคนพวกนี้ไม่อยู่บนเรือ พวกท่านทั้งหมดก็จะไม่รอด” 32 พวกทหารจึงตัดเชือกที่ผูกเรือชูชีพไว้ แล้วปล่อยให้มันลอยไป

33 พอใกล้จะสว่างแล้ว เปาโลก็ชักชวนให้พวกเขากินอาหาร เปาโลบอกว่า “นี่พวกคุณก็ได้เฝ้าคอยด้วยใจระทึกมาตั้งสิบสี่วันแล้ว โดยไม่ได้กินอะไรเลย 34 กินอะไรบ้างเถอะ เพื่อจะได้อยู่ต่อไป ไม่ต้องห่วงหรอก จะไม่มีผมสักเส้นหลุดไปจากหัวของพวกคุณแม้แต่คนเดียว” 35 เมื่อเปาโลพูดเสร็จ เขาก็เอาขนมปังมากล่าวขอบคุณพระเจ้าต่อหน้าคนทั้งหมดแล้วก็หักกิน 36 ทุกคนก็มีกำลังใจขึ้นมาและหยิบอาหารมากินกัน 37 บนเรือมีทั้งหมดสองร้อยเจ็ดสิบหกคน 38 หลังจากที่กินอาหารกันจนอิ่มแล้ว พวกเขาได้โยนข้าวสารทั้งหมดทิ้ง เพื่อให้เรือเบาขึ้น

เรือแตก

39 พอสว่างแล้ว พวกเขาไม่รู้ว่าแผ่นดินที่เห็นนั้นเป็นที่ไหน แต่พวกเขาสังเกตเห็นอ่าวที่มีชายหาดแห่งหนึ่ง พวกเขาจึงตัดสินใจว่าถ้าเป็นไปได้จะนำเรือแล่นไปเกยตื้นบนหาดแห่งนั้น 40 พวกเขาจึงตัดสมอเรือทิ้งลงทะเล แล้วแก้เชือกที่มัดหางเสือออก จากนั้นดึงใบหัวเรือขึ้นให้รับลม และมุ่งหน้าเข้าหาชายหาด 41 แต่พวกเขากลับชนสันดอนทรายและเกยตื้น หัวเรือติดแน่นไม่ขยับเขยื้อน ส่วนท้ายเรือก็ถูกคลื่นซัดจนเรือแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

42 พวกทหารจึงวางแผนที่จะฆ่านักโทษ เพราะกลัวว่าจะมีใครว่ายน้ำหนีไป 43 แต่นายร้อยอยากจะช่วยชีวิตเปาโล จึงสั่งห้ามไม่ให้พวกเขาทำตามแผนนั้น เขาสั่งคนที่ว่ายน้ำเป็นให้กระโดดลงน้ำแล้วว่ายขึ้นฝั่งไปก่อน 44 ส่วนคนที่เหลือก็ให้เกาะไม้กระดานหรือซากเรือที่แตก ในที่สุดทุกคนก็เข้าถึงฝั่งอย่างปลอดภัย

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International