M’Cheyne Bible Reading Plan
โยเซฟทำนายฝันของนักโทษ
40 ต่อมาคนรับใช้ที่มีหน้าที่คอยยกแก้วเหล้าองุ่นให้กับกษัตริย์ของอียิปต์ และคนอบขนมปังของพระองค์ ทำให้พระองค์ไม่พอใจ 2 ฟาโรห์โกรธทั้งสองคนนี้มาก คือทั้งคนยกแก้วเหล้าองุ่นและคนอบขนมปัง 3 ฟาโรห์จึงให้จับสองคนนี้ไปขังในคุกที่อยู่ในบ้านของผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นคุกเดียวกับที่โยเซฟถูกขังอยู่ 4 ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์มอบหมายให้โยเซฟคอยดูแลพวกเขา พวกเขาอยู่ในคุกไปได้ระยะหนึ่ง 5 ทั้งคนยกเหล้าองุ่นและคนอบขนมปังของฟาโรห์ที่ถูกขังอยู่ในคุก ต่างก็ฝันในคืนเดียวกัน และความฝันนั้นก็มีความหมายแตกต่างกันไป 6 ในตอนเช้าโยเซฟมาหาพวกเขา เห็นพวกเขาสองคนดูท่าทางเป็นทุกข์มาก 7 โยเซฟจึงถามคนรับใช้ทั้งสองคนของฟาโรห์ที่อยู่กับเขาในคุกในบ้านของเจ้านายเขาว่า “ทำไมวันนี้หน้าตาพวกท่านดูเคร่งเครียดจัง”
8 พวกเขาตอบว่า “เมื่อคืนพวกเราฝัน แต่ไม่มีใครแก้ฝันให้เราได้เลย”
โยเซฟจึงตอบว่า “พระเจ้าเท่านั้นที่แก้ฝันได้ ไหนเล่าให้ผมฟังสิ”
ความฝันของคนยกเหล้าองุ่น
9 หัวหน้าคนยกถ้วยเหล้าองุ่นจึงเล่าความฝันให้โยเซฟฟังว่า “ในความฝันผมได้เห็นเถาองุ่นอยู่ตรงหน้า 10 บนเถานั้นมีกิ่งอยู่สามกิ่ง ทันใดนั้นมันก็ผลิดอกและดอกของมันก็บาน และช่อของมันก็กลายเป็นผลองุ่นสุก 11 และถ้วยของฟาโรห์ก็อยู่ในมือผม ผมได้หยิบผลองุ่นมาคั้นเป็นน้ำใส่ถ้วยของฟาโรห์ และเอาถ้วยนั้นใส่มือของฟาโรห์”
12 โยเซฟพูดกับคนยกถ้วยเหล้าองุ่นว่า “นี่คือความหมายของฝันนั้น กิ่งสามกิ่งนั้นหมายถึงสามวัน 13 ภายในสามวันฟาโรห์จะยกโทษให้ท่าน[a] และจะคืนตำแหน่งให้กับท่าน ท่านจะได้กลับไปยกแก้วเหล้าองุ่นให้ฟาโรห์เหมือนที่ท่านเคยทำมา 14 อย่าลืมผมนะ เมื่อทุกอย่างเป็นไปด้วยดีสำหรับท่าน ช่วยทำสิ่งนี้ให้กับผมหน่อย ช่วยบอกกับฟาโรห์ให้ปล่อยผมออกไปจากคุกนี้ด้วย 15 เพราะผมถูกลักพาตัวมาจากดินแดนของชาวฮีบรู และผมก็ไม่ได้ทำผิดอะไรที่จะต้องถูกจับมาอยู่ในคุกนี้”
ความฝันของคนทำขนมปัง
16 เมื่อหัวหน้าคนทำขนมปังเห็นว่าการทำนายฝันนั้นออกมาดี เขาจึงพูดกับโยเซฟว่า “เมื่อคืนนี้ ผมก็ฝันเหมือนกัน ผมฝันว่ามีตะกร้าสามใบใส่ขนมปังขาววางอยู่บนหัวผม 17 และในตะกร้าบนสุดนั้น มีขนมอบชนิดต่างๆสำหรับฟาโรห์ แต่มีฝูงนกลงมาจิกกินขนมเหล่านั้นบนหัวผม”
18 โยเซฟตอบว่า “นี่คือความหมายของฝันนั้น ตะกร้าสามใบหมายถึงสามวัน 19 ภายในเวลาสามวันฟาโรห์จะสั่งตัดหัวท่าน[b] และพระองค์จะสั่งให้เอาร่างท่านไปเสียบไว้บนเสาไม้ และฝูงนกจะมาจิกกินเนื้อท่าน”
โยเซฟถูกลืม
20 สามวันต่อมา ในวันเกิดของฟาโรห์ พระองค์จัดงานเลี้ยงให้กับข้าราชสำนัก คนรับใช้ทั้งหมด และพระองค์ได้สั่งให้นำตัวหัวหน้าคนยกถ้วยเหล้าองุ่นและหัวหน้าคนทำขนมปังมาอยู่ต่อหน้าคนทั้งปวง 21 พระองค์คืนตำแหน่งให้คนยกถ้วยเหล้าองุ่น เขาได้กลับมายกถ้วยเหล้าให้ฟาโรห์อีกครั้ง 22 แต่หัวหน้าคนทำขนมปังถูกเสียบไว้บนเสาไม้เหมือนที่โยเซฟได้พูดไว้ทุกอย่าง 23 แต่หัวหน้าคนยกถ้วยเหล้าองุ่นไม่ได้คิดถึงโยเซฟและลืมเขาไป
การหย่าร้าง
(มธ. 19:1-12)
10 แล้วพระเยซูก็ไปจากที่นั่น พระองค์เข้าไปที่แคว้นยูเดีย ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน มีชาวบ้านมากมายมาหาพระองค์ พระองค์ก็สั่งสอนเขาเหมือนเคย
2 มีฟาริสีบางคนมาทดสอบพระองค์ โดยถามว่า “มันถูกกฎหรือเปล่าที่ผู้ชายจะหย่ากับภรรยา”
3 พระองค์ย้อนถามว่า “แล้วโมเสสสั่งว่าอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้”
4 พวกเขาตอบว่า “โมเสสยอมให้ผู้ชายเขียนใบหย่าให้กับภรรยา แล้วก็หย่าได้”
5 พระองค์จึงพูดว่า “ที่โมเสสเขียนอย่างนั้นให้ ก็เพราะจิตใจของพวกคุณมันดื้อด้าน 6 แต่อันที่จริง ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว ‘พระเจ้าสร้างมนุษย์ให้เป็นชายและหญิง’(A) 7 ผู้ชายถึงได้แยกจากพ่อแม่ไปอยู่ร่วมกันกับภรรยาของเขา 8 แล้วทั้งสองก็กลายเป็นคนๆเดียวกัน(B) พวกเขาไม่ใช่สองคนอีกต่อไปแต่เป็นคนๆเดียวกัน 9 ดังนั้นสิ่งที่พระเจ้าได้ผูกพันเข้าด้วยกันแล้วก็อย่าให้ใครมาแยกออกจากกันเลย”
10 เมื่อพวกเขาอยู่กันตามลำพังในบ้าน พวกศิษย์ก็ถามพระเยซูเกี่ยวกับเรื่องนี้ 11 พระองค์ตอบว่า “ใครก็ตามที่หย่ากับภรรยาแล้วไปแต่งงานใหม่ ก็ถือว่ามีชู้ 12 และถ้าหญิงที่หย่ากับสามีแล้วไปแต่งงานใหม่ ก็ถือว่านางมีชู้เหมือนกัน”
พระเยซูทรงอวยพรเด็กเล็กๆ
(มธ. 19:13-15; ลก. 18:15-17)
13 ผู้คนต่างพาเด็กเล็กๆมาให้พระองค์แตะต้องตัว แต่พวกศิษย์ได้ต่อว่าพวกเขาไป 14 เมื่อพระองค์เห็นก็ไม่พอใจ จึงพูดกับพวกศิษย์ว่า “ปล่อยให้พวกเด็กเล็กๆเข้ามาหาเรา อย่าห้ามพวกเขา เพราะอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคนที่เป็นเหมือนกับเด็กเล็กๆพวกนี้ 15 เราจะบอกให้รู้ว่า ถ้าคนไหนไม่ยอมรับอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนกับที่เด็กเล็กๆพวกนี้ยอมรับ คนนั้นจะไม่ได้เข้าในอาณาจักรของพระเจ้าแน่ๆ” 16 แล้วพระองค์ก็โอบเด็กๆไว้ในอ้อมแขนและวางมืออวยพรให้กับพวกเขา
เศรษฐีหนุ่ม
(มธ. 19:16-30; ลก. 18:18-30)
17 ในขณะที่พระองค์เริ่มออกเดินทางนั้นก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งเข้ามาคุกเข่าลงต่อหน้าพระองค์ แล้วถามว่า “อาจารย์ผู้ประเสริฐ ผมจะต้องทำยังไงถึงจะมีชีวิตกับพระเจ้าตลอดไปครับ”
18 พระเยซูตอบว่า “คุณเรียกเราว่าผู้ประเสริฐทำไม ไม่มีใครประเสริฐหรอก นอกจากพระเจ้าเท่านั้น 19 คุณก็รู้กฎปฏิบัติดีอยู่แล้วนี่ ที่ว่าอย่าฆ่าคน อย่ามีชู้ อย่าขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ อย่าโกง และให้เคารพนับถือพ่อแม่”(C)
20 คนหนุ่มคนนั้นก็ว่า “อาจารย์ครับ ผมรักษากฎทุกข้อนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วครับ”
21 พระเยซูมองเขาด้วยความรักและพูดว่า “แต่คุณยังขาดอยู่อีกอย่างหนึ่ง คือให้ไปขายทรัพย์สมบัติทุกอย่างที่คุณมี แล้วเอาเงินไปแจกจ่ายให้กับคนยากจน คุณก็จะมีทรัพย์สมบัติอยู่ในสวรรค์ แล้วมาติดตามเรา”
22 เมื่อได้ยินพระเยซูพูดอย่างนี้ เขาก็เดินจากไปด้วยความเศร้า เพราะเขาร่ำรวยมาก
23 พระเยซูมองไปรอบๆและพูดกับพวกศิษย์ว่า “มันยากมากที่คนรวยจะได้เข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้า”
24 พวกศิษย์ต่างก็งงที่ได้ยินพระองค์พูดอย่างนั้น แต่พระเยซูพูดต่อว่า “ลูกๆเอ๋ยรู้ไหมว่า อาณาจักรของพระเจ้านี่เข้ายากจริงๆ 25 จะให้อูฐลอดรูเข็ม ก็ยังจะง่ายกว่าที่จะให้คนรวยเข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้า”
26 พวกศิษย์ก็ยิ่งงงกันไปใหญ่และพูดกันเองว่า “ถ้าอย่างนั้นใครจะไปรอดได้”
27 พระเยซูมองดูพวกเขาแล้วพูดว่า “สำหรับมนุษย์ก็เป็นไปไม่ได้เลย แต่สำหรับพระเจ้าก็เป็นไปได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้สำหรับพระเจ้า”
28 เปโตรพูดกับพระองค์ว่า “ดูสิครับ พวกเราได้สละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อมาติดตามอาจารย์”
29 พระเยซูพูดว่า “เราจะบอกให้รู้ว่า คนที่ได้สละบ้านเรือน พี่น้องชายหญิง พ่อแม่ ลูกๆหรือไร่นาเพื่อมาติดตามเราและข่าวดีของเรา 30 คนๆนั้นจะได้รับผลตอบแทนคืนเป็นร้อยเท่าของสิ่งที่เขามีในโลกนี้ ทั้งบ้านเรือน พี่น้องชายหญิง พ่อแม่ ลูกๆและไร่นา รวมถึงว่าพวกเขาจะต้องถูกกดขี่ข่มเหงด้วย แต่พวกเขาจะมีชีวิตกับพระเจ้าตลอดไปในโลกหน้าที่จะมาถึง 31 คนที่เป็นใหญ่เป็นโตที่สุดในตอนนี้จะกลายเป็นคนที่ต่ำต้อยที่สุด ส่วนคนที่ต่ำต้อยที่สุดในตอนนี้จะได้กลายเป็นใหญ่เป็นโตที่สุด”
พระเยซูพูดถึงความตายของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง
(มธ. 20:17-19; ลก. 18:31-34)
32 พวกเขามุ่งหน้าไปเมืองเยรูซาเล็ม พระเยซูเดินนำหน้า พวกศิษย์ต่างก็แปลกใจ ส่วนพวกที่ติดตามมาก็หวาดกลัว พระองค์พาศิษย์ทั้งสิบสองคนปลีกตัวออกมาข้างๆและเริ่มเล่าเรื่องที่จะเกิดขึ้นกับพระองค์ให้พวกเขาฟังอีกครั้ง 33 พระองค์บอกว่า “ฟังนะ พวกเรากำลังจะขึ้นไปเมืองเยรูซาเล็ม และบุตรมนุษย์จะถูกจับส่งตัวไปให้พวกผู้นำนักบวช และพวกครูสอนกฎปฏิบัติ พวกเขาจะตัดสินประหารชีวิตเขา และพวกนั้นจะจับเขาส่งไปให้กับคนที่ไม่ใช่ชาวยิว 34 แล้วพวกนั้นก็จะหัวเราะเยาะ ถ่มน้ำลายใส่ เฆี่ยนตี และในที่สุดก็จะฆ่าเขา แต่เขาก็จะฟื้นขึ้นจากความตายในวันที่สาม”
คำขอของยากอบกับยอห์น
(มธ. 20:20-28)
35 ยากอบและยอห์น ลูกของเศเบดีเข้ามาพูดกับพระเยซูว่า “อาจารย์ครับ ช่วยพวกเราสักเรื่องได้ไหมครับ”
36 พระเยซูถามว่า “จะให้ทำอะไรล่ะ”
37 พวกเขาตอบว่า “พออาจารย์ได้รับเกียรติยศอันสูงส่งอย่างกษัตริย์แล้ว ขอให้เราได้นั่งข้างขวาอาจารย์คนหนึ่งและข้างซ้ายอีกคนหนึ่งนะครับ”
38 พระเยซูตอบว่า “พวกคุณไม่รู้หรอกว่ากำลังขออะไรอยู่ พวกคุณจะดื่มจากจอก[a]ที่เราต้องดื่มนี้ได้หรือ ความทรมานนี้[b]ที่เราต้องรับ คุณจะรับได้หรือ”
39 พวกเขาตอบว่า “ได้ครับ” พระเยซูจึงพูดว่า “จริงอยู่ที่คุณจะดื่มจากจอกที่เราจะต้องดื่ม และคุณจะทนทุกข์ทรมานแบบเดียวกับที่เราจะต้องทน 40 แต่จะให้ใครนั่งทางขวาหรือทางซ้ายของเรานั้น เราไม่ได้เป็นคนเลือก พระเจ้าจะเป็นผู้เลือกเอง”
41 เมื่อศิษย์อีกสิบคนรู้เรื่องนี้ ก็โกรธยากอบและยอห์น 42 พระเยซูเลยเรียกพวกเขาเข้ามาหาและพูดว่า “พวกคุณก็รู้ว่ากษัตริย์ของพวกคนต่างชาติทำตัวเป็นเจ้าเป็นนายเหนือประชาชน และพวกข้าราชการระดับสูงก็ชอบใช้อำนาจต่อประชาชน 43 แต่ในพวกคุณมันจะไม่เป็นอย่างนั้น คนไหนที่อยากจะเป็นใหญ่ ก็ให้เขาเป็นผู้รับใช้พวกคุณ 44 และคนไหนอยากเป็นคนสำคัญที่สุด ก็ให้เขาเป็นทาสรับใช้ทุกคน 45 เพราะแม้แต่บุตรมนุษย์ ก็ยังไม่ได้มาเพื่อจะให้คนอื่นรับใช้ แต่มาเพื่อจะรับใช้คนอื่น และยอมสละชีวิตเพื่อปลดปล่อยให้คนมากมายเป็นอิสระ”
พระเยซูรักษาบารทิเมอัส
(มธ. 20:29-34; ลก. 18:35-43)
46 พระเยซูและพวกศิษย์เดินทางมาถึงเมืองเยริโค และในระหว่างที่พระองค์และพวกศิษย์กำลังเดินทางออกจากเมืองเยริโคพร้อมกับชาวบ้านนั้น ก็มีคนตาบอดคนหนึ่งชื่อบารทิเมอัสซึ่งเป็นลูกชายของทิเมอัส นั่งขอทานอยู่ริมถนน 47 เมื่อเขารู้ว่าเป็นพระเยซูชาวนาซาเร็ธ เขาก็ร้องตะโกนว่า “เยซู บุตรดาวิด สงสารผมด้วยครับ”
48 หลายคนตวาดให้เขาเงียบ แต่เขายิ่งตะโกนดังขึ้น “เยซูบุตรดาวิดสงสารผมด้วยครับ”
49 พระเยซูจึงหยุด และพูดว่า “เรียกเขามาสิ” พวกเขาก็เลยเรียกคนตาบอดนั้น และบอกเขาว่า “ดีใจได้แล้ว ลุกขึ้นสิ อาจารย์เรียกแกไปหาแล้ว” 50 คนตาบอดนั้นก็โยนเสื้อคลุมทิ้งไปข้างๆแล้วกระโดดลุกขึ้นมาหาพระเยซู
51 พระองค์ถามเขาว่า “อยากให้เราช่วยอะไร” คนตาบอดตอบว่า “ผมอยากมองเห็นครับอาจารย์”
52 พระเยซูจึงพูดว่า “ไปเถอะ ความเชื่อของคุณทำให้คุณหายแล้ว” เขาก็มองเห็นทันที และติดตามพระองค์ไป
โยบพูดตอบเอลีฟัส
6 แล้วโยบก็ตอบว่า
2 “ข้าอยากจะเอาความทุกข์ใจของข้า
ไปชั่งเสียเหลือเกิน
และเอาความทุกข์ยากทั้งหลายของข้านี้
ไปกองรวมกันบนตาชั่ง
3 มันคงหนักกว่าทรายในทะเล
ข้าถึงพูดโพล่งออกไปโดยไม่ทันยั้งคิด
4 เพราะพวกลูกธนูของพระองค์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นได้ปักอยู่ในตัวข้า
และวิญญาณของข้าดื่มพิษของลูกธนูเหล่านั้น
เรื่องน่ากลัวทั้งหลายจากพระเจ้าจัดขบวนทัพเข้าต่อสู้กับข้า
5 ลาป่าจะร้องบ่นเมื่อมีหญ้ากินหรือ
วัวผู้จะร้องบ่นเมื่อมีอาหารกินหรือ
6 คนกินอาหารที่จืดชืดจะไม่ใส่เกลือหรือ
ไข่ขาวมีรสชาติหรือ
7 อาหารพวกนั้นข้าแตะไม่ลงหรอก
เพราะมันเหมือนของเน่าบูดสำหรับข้า
8 ข้าหวังเหลือเกินว่าจะได้ในสิ่งที่ข้าขอ
ข้าหวังเหลือเกินว่าพระเจ้าจะให้ในสิ่งที่ข้าหวังไว้
9 ข้าหวังเหลือเกินว่าพระเจ้าจะยอมบดขยี้ข้า
ข้าหวังเหลือเกินว่าพระองค์จะปล่อยมือและตัดข้าออกไป
10 แต่สิ่งที่จะปลอบใจข้าได้คือ
ถึงข้าจะดิ้นรนอยู่ในความเจ็บปวดแสนสาหัส
อย่างน้อยข้าก็ได้เปิดโปงเรื่องที่พระองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้ตัดสินใจทรมานข้า
11 ข้ายังมีเรี่ยวแรงอะไรเหลืออยู่อีก
ที่จะรอคอยต่อไป
ข้ายังมีอนาคตอะไรเหลืออยู่อีก
ที่จะอดทนคอยต่อไป
12 ข้าแข็งแรงเหมือนหินหรือ
เนื้อหนังของข้าทำจากทองสัมฤทธิ์หรือยังไง
13 อันที่จริงข้าหมดแรงที่จะช่วยเหลือตัวเองแล้ว
และหนทางที่จะสำเร็จนั้นถูกยึดไปจากข้าแล้ว
14 คนที่ไม่จงรักภักดีต่อเพื่อน
คนผู้นั้นก็ทอดทิ้งความยำเกรงต่อพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์[a]
15 เพื่อนๆของข้านั้นพึ่งไม่ได้
เหมือนลำธารที่เดี๋ยวก็มีน้ำล้นเดี๋ยวก็แห้งขอด
16 เหมือนลำธารที่ดำคลักเมื่อน้ำแข็งละลาย
และไหลเชี่ยวตอนหิมะละลาย
17 แต่พอหน้าแล้งพวกมันก็หายไป
เมื่อร้อนพวกมันก็เหือดแห้งไป
18 ขบวนพ่อค้าเลี้ยวออกจากทางของพวกเขา
เพื่อไปหาน้ำในดินแดนรกร้างและพินาศไป
19 ขบวนพ่อค้าจากตำบลเทมามองหาน้ำ
พวกนักเดินทางจากเมืองเชบาหวังจะเจอน้ำ
20 พวกเขาต่างผิดหวังเพราะเชื่อมั่นว่าจะเจอน้ำ
แต่พอไปถึงที่นั่นต่างก็คอตก
21 ตอนนี้พวกท่านเป็นเหมือนสายน้ำเหล่านั้นสำหรับข้า
เมื่อพวกท่านเห็นความทุกข์ยากของข้า พวกท่านก็พากันหวาดกลัว
22 ข้าเคยขอของขวัญจากท่านหรือ
หรือเคยขอให้ท่านใช้ความร่ำรวยติดสินบนเพื่อช่วยเหลือข้าหรือ
23 ข้าเคยบอกท่านหรือว่า
‘ช่วยให้ข้ารอดพ้นจากเงื้อมมือของศัตรู’
หรือ ‘ช่วยไถ่ข้าให้พ้นจากเงื้อมมือของพวกที่กดขี่ข่มเหงข้า’
24 สอนข้าสิ แล้วข้าจะเงียบ
และช่วยให้ข้าเข้าใจด้วยว่าข้าทำผิดตรงไหน
25 คำพูดที่ตรงไปตรงมาอาจทำให้คนสะดุ้งได้
แต่คำติเตียนของพวกท่านนี้ ติเตียนเรื่องอะไรก็ไม่รู้
26 ท่านคิดว่าคำพูดของท่านนั้นน่าเชื่อถือมากนักหรือ
แต่คำพูดของคนสิ้นหวังเป็นแค่ลมอย่างนั้นหรือ
27 พวกท่านคงกล้าจับสลากเพื่อให้ได้เด็กกำพร้ากัน
และประมูลขายเพื่อนของตน
28 แต่ตอนนี้ช่วยมองดูข้าหน่อย
ข้าจะไม่พูดโกหกต่อหน้าท่าน
29 เอาใหม่ๆอย่าทำผิดกับข้าอย่างนี้
คิดใหม่ และให้รู้ว่าข้าบริสุทธิ์
30 ลิ้นของข้าพูดอะไรผิดไปหรือ
หรือว่าปากของข้าไม่สามารถแยกแยะได้ว่าอะไรจริงอะไรไม่จริง
10 พี่น้องครับ สิ่งที่ผมต้องการมาก และสิ่งที่ผมอธิษฐานต่อพระเจ้าสำหรับคนยิวก็คือ ขอให้พวกเขาได้รับความรอด 2 ผมเป็นพยานว่าพวกเขามีใจให้พระเจ้าแต่เขาขาดความรู้ 3 พวกเขาไม่รู้จักความซื่อสัตย์สุจริตของพระเจ้า เขาพยายามที่จะยึดฐานะที่เป็นคนของพระเจ้าไว้ เขาจึงไม่ยอมรับแผนงานอันซื่อสัตย์สุจริตของพระองค์ 4 พระคริสต์เป็นเป้าหมายของกฎ เพื่อที่พระเจ้าจะได้ยอมรับทุกคนที่ไว้วางใจพระคริสต์
5 โมเสสได้เขียนถึงคนที่คิดว่าพระเจ้าจะยอมรับเขาเพราะเขาทำตามกฎที่จะทำให้คนสะดุดว่า “คนที่ทำอย่างนี้ จะต้องใช้ชีวิตตามกฎนั้นทุกอย่าง”(A) 6 ส่วนคนที่พระเจ้ายอมรับเพราะเขาไว้วางใจพระเจ้า โมเสสพูดว่า “ไม่ต้องคิดในใจว่า แล้วใครจะเป็นคนขึ้นไปบนสวรรค์” (หมายถึงขึ้นไปเชิญพระคริสต์ลงมาบนโลกเพื่อช่วยเรา) 7 “หรือใครจะเป็นคนลงไปในหลุมที่ลึกมาก” (หมายถึงลงไปเชิญพระคริสต์ขึ้นมาจากความตาย) 8 เพราะพระคัมภีร์พูดไว้ว่า “ถ้อยคำนั้นอยู่ใกล้กับคุณแล้ว มันอยู่ในปากและอยู่ในใจของคุณ”(B) นี่แหละคือเรื่องที่เราประกาศ 9 ถ้าคุณยอมรับด้วยปากว่า “พระเยซูเป็นองค์เจ้าชีวิต” และเชื่อในใจว่าพระเจ้าทำให้พระเยซูฟื้นขึ้นจากความตาย คุณก็จะรอด 10 เพราะพระเจ้ายอมรับคนที่ไว้วางใจ และคนที่ยอมรับด้วยปากว่าเชื่อก็จะรอด 11 เพราะพระคัมภีร์บอกว่า “ทุกคนที่ไว้วางใจพระองค์จะไม่มีวันอับอาย”(C) 12 ที่พระคัมภีร์บอกว่าทุกคน แสดงว่าคนยิวกับคนที่ไม่ใช่ยิวไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย เพราะองค์เจ้าชีวิตองค์เดียวกันนี้เป็นองค์เจ้าชีวิตของทุกคน และพระองค์ก็เต็มไปด้วยความเมตตากับทุกคนที่ร้องเรียกให้พระองค์ช่วย 13 เพราะ “ทุกคนที่ร้องเรียกให้องค์เจ้าชีวิตช่วย ก็จะรอด”(D)
14 แต่พวกเขาจะร้องเรียกให้พระองค์ช่วยได้อย่างไร ในเมื่อพวกเขายังไม่ได้ไว้วางใจพระองค์เลย แล้วพวกเขาจะไว้วางใจได้อย่างไร ในเมื่อยังไม่เคยได้ยินเรื่องของพระองค์เลย แล้วพวกเขาจะเคยได้ยินได้อย่างไร ในเมื่อยังไม่เคยมีใครไปประกาศให้พวกเขาฟังเลย 15 แล้วจะมีใครไปประกาศได้อย่างไรถ้าไม่มีคนส่งไป เหมือนกับที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “เป็นเวลาที่เหมาะจริงๆที่มีคนวิ่งมาบอกข่าวดีกับเรา”(E) 16 แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ทำตามข่าวดีนั้น อิสยาห์ก็พูดไว้ว่า “องค์เจ้าชีวิต มีใครบ้างที่ไว้วางใจในถ้อยคำของเรา”(F) 17 ดังนั้นความไว้วางใจจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อได้ยินข่าวดีก่อน และคนจะได้ยินข่าวดีได้ ก็ต่อเมื่อมีคนออกไปประกาศเรื่องของพระคริสต์ 18 แต่ผมขอถามหน่อยว่า พวกยิวไม่ได้ยินข่าวดีที่เราไปประกาศหรืออย่างไร ได้ยินแน่ เพราะพระคัมภีร์พูดไว้ว่า
“เสียงของพวกเขาได้กระจายออกไปทั่วโลก
และถ้อยคำของพวกเขาได้แพร่ออกไปจนสุดขอบฟ้า”(G)
19 แต่ผมขอถามว่า คนอิสราเอล รู้เรื่องหรือเปล่า พวกเขารู้เรื่องแน่ ตอนแรกพระเจ้าพูดผ่านโมเสสว่า
“เราจะใช้ชนชาติกระจอกๆทำให้พวกเจ้าอิจฉา
เราจะใช้ชนชาติที่โง่ๆทำให้พวกเจ้าโมโห”(H)
20 ต่อมาพระเจ้าพูดผ่านทางอิสยาห์ และอิสยาห์กล้าพูดว่า
“คนที่ไม่ได้แสวงหาเรา ได้พบเรา
เราได้ปรากฏตัวให้กับคนที่ไม่สนใจเรา”(I)
21 แต่เรื่องของคนอิสราเอลนั้น พระเจ้าพูดว่า
“เรายื่นมือเราออกไปทั้งวัน
ให้กับพวกที่ไม่เชื่อฟังและต่อต้านเรา”(J)
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International