M’Cheyne Bible Reading Plan
โยสิยาห์ทรงรื้อฟื้นพันธสัญญา(A)
23 กษัตริย์โยสิยาห์จึงทรงเรียกผู้อาวุโสของยูดาห์และเยรูซาเล็มทุกคนมารวมกัน 2 พระองค์เสด็จไปยังพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าพร้อมชนยูดาห์ ชาวเยรูซาเล็ม ปุโรหิต ผู้เผยพระวจนะ คือประชากรทั้งปวงตั้งแต่ผู้น้อยที่สุดจนถึงผู้ใหญ่ที่สุด กษัตริย์ทรงอ่านทุกถ้อยคำในหนังสือพันธสัญญาซึ่งพบในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าต่อหน้าพวกเขา 3 พระองค์ประทับยืนอยู่ข้างเสา ทรงรื้อฟื้นพันธสัญญาต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า ถวายปฏิญาณที่จะติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า และปฏิบัติตามพระบัญชา กฎระเบียบ และกฎหมายของพระองค์ด้วยสุดจิตสุดใจ เป็นการยืนยันใจความของพันธสัญญาที่เขียนไว้ในหนังสือนี้ แล้วประชาชนทั้งหมดก็ปฏิญาณเข้าร่วมในพันธสัญญา
4 กษัตริย์ทรงบัญชามหาปุโรหิตฮิลคียาห์ ปุโรหิตอื่นๆ ที่รองลงมาและนายประตูทั้งหลายให้กำจัดเครื่องใช้ทุกอย่างสำหรับพระบาอัล เจ้าแม่อาเชราห์ และดวงดาวทั้งปวงในฟากฟ้าออกไปจากพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเผาของเหล่านั้นที่ลานหุบเขาขิดโรนนอกกรุงเยรูซาเล็มและนำเถ้าถ่านไปทิ้งที่เบธเอล 5 โยสิยาห์ทรงปลดปุโรหิตของพระทั้งหลายซึ่งบรรดากษัตริย์ยูดาห์ได้แต่งตั้งพวกเขาให้เผาเครื่องหอมในสถานบูชาบนที่สูงทั้งหลายทั่วแดนยูดาห์และรอบๆ กรุงเยรูซาเล็มเพื่อบูชาพระบาอัล ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาราจักรและดวงดาวทั้งปวงในฟากฟ้า 6 กษัตริย์ทรงรื้อเสาเจ้าแม่อาเชราห์ออกจากพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า นำไปเผาที่หุบเขาขิดโรน นอกกรุงเยรูซาเล็ม แล้วบดเป็นผง โปรยบนหลุมฝังศพของสามัญชน 7 ทั้งทรงรื้อสำนักบูชาต่างๆ ของโสเภณีชายในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า และของบรรดาหญิงทอผ้าสำหรับเจ้าแม่อาเชราห์
8 โยสิยาห์ทรงนำบรรดาปุโรหิตจากหัวเมืองต่างๆ ของยูดาห์มายังกรุงเยรูซาเล็ม และทรงรื้อสถานบูชาบนที่สูงทั้งหลายจากเกบาจดเบเออร์เชบา ที่ซึ่งปุโรหิตทั้งหลายได้เผาเครื่องหอม พระองค์ทรงทำลายสถานบูชา[a]ตรงทางเข้าประตูที่โยชูวาผู้ว่าการเมืองของเยรูซาเล็มสร้างขึ้น ตั้งอยู่ทางซ้ายมือของประตูเมือง 9 ถึงแม้ปุโรหิตของสถานบูชาบนที่สูงเหล่านี้ไม่ได้ทำหน้าที่ปรนนิบัติรับใช้ที่แท่นบูชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าในกรุงเยรูซาเล็ม แต่ก็รับประทานขนมปังไม่ใส่เชื้อร่วมกับปุโรหิตอื่นๆ
10 โยสิยาห์ทรงทำลายโทเฟทในหุบเขาเบนฮินโนม เพื่อจะไม่มีใครสามารถใช้ที่นั่นเผาบุตรชายบุตรสาวของตนเป็นเครื่องบูชายัญ[b]แก่พระโมเลคได้อีก 11 ทรงรื้อรูปปั้นม้าที่ตั้งอยู่ตรงทางเข้าพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า ถัดจากห้องของขุนนางนาธันเมเลค รูปปั้นเหล่านี้กษัตริย์องค์ก่อนๆ ของยูดาห์ได้สร้างถวายดวงอาทิตย์ จากนั้นโยสิยาห์ได้เผารถม้าศึกที่สร้างถวายดวงอาทิตย์ด้วย
12 พระองค์ทรงรื้อแท่นบูชาต่างๆ ที่กษัตริย์ยูดาห์สร้างขึ้นบนดาดฟ้าพระราชวัง เหนือห้องประทับของอาหัส ส่วนแท่นบูชาซึ่งมนัสเสห์สร้างขึ้นในลานทั้งสองของพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้น โยสิยาห์ทรงทุบเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและโยนทิ้งในหุบเขาขิดโรน 13 พระองค์ทรงทำลายสถานบูชาบนที่สูงทั้งหลายทางตะวันออกของเยรูซาเล็ม ทางใต้ของเนินเขาแห่งความเสื่อมทราม ซึ่งกษัตริย์โซโลมอนแห่งอิสราเอลสร้างขึ้นสำหรับเทวีอัชโทเรทอันชั่วช้าของชาวไซดอน สำหรับพระเคโมชอันเลวทรามของโมอับ และสำหรับพระโมเลค[c]อันน่าชิงชังของชาวอัมโมน 14 โยสิยาห์ทรงทุบหินศักดิ์สิทธิ์และโค่นเสาเจ้าแม่อาเชราห์ทิ้ง และถมที่เหล่านั้นด้วยกระดูกคนตาย
15 พระองค์ยังทรงรื้อแท่นบูชาและสถานบูชาบนที่สูงในเบธเอลซึ่งเยโรโบอัมบุตรเนบัทผู้ชักนำอิสราเอลให้ทำบาปได้สร้างขึ้น โยสิยาห์ทรงทุบทิ้งให้แหลกเป็นธุลี และทรงเผาเสาเจ้าแม่อาเชราห์ด้วย 16 ขณะที่โยสิยาห์ทอดพระเนตรไปรอบๆ พระองค์ทรงสังเกตเห็นสุสานต่างๆ ข้างภูเขา ก็ทรงบัญชาให้นำกระดูกในสุสานเหล่านั้นออกมาเผาบนแท่นบูชาแห่งเบธเอล เพื่อให้แท่นนั้นเสื่อมความศักดิ์สิทธิ์ ตามที่ผู้เผยพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศไว้แล้วว่าจะเกิดขึ้น
17 โยสิยาห์ตรัสถามว่า “หินสุสานที่เห็นนั้นคืออะไร?”
ชาวเมืองกราบทูลว่า “เป็นหลุมฝังศพของคนของพระเจ้าจากยูดาห์ซึ่งประกาศว่าสิ่งที่ฝ่าพระบาทเพิ่งทำเสร็จลงไปจะเกิดขึ้นบนแท่นแห่งเบธเอลนี้”
18 โยสิยาห์จึงตรัสว่า “ปล่อยสุสานนั้นไว้ อย่าให้ใครไปรบกวนกระดูกของเขาเลย” พวกเขาจึงไม่ได้เผากระดูกของผู้นั้นและกระดูกของผู้เผยพระวจนะจากสะมาเรีย
19 เช่นเดียวกับที่เบธเอล โยสิยาห์ทรงทลายสถานบูชาบนที่สูงทั้งหลายทั่วสะมาเรียและทำให้เสื่อมความศักดิ์สิทธิ์ คือที่ซึ่งบรรดากษัตริย์อิสราเอลสร้างขึ้นยั่วยุพระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้า 20 โยสิยาห์ทรงประหารปุโรหิตทั้งปวงของสถานบูชาบนที่สูงบนแท่นบูชาเหล่านั้น และทรงเผากระดูกคนบนแท่นบูชานั้น ด้วยจากนั้นก็เสด็จกลับกรุงเยรูซาเล็ม
21 โยสิยาห์ตรัสสั่งประชากรทั้งปวงว่า “จงฉลองปัสกาถวายแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านตามที่เขียนไว้ในหนังสือพันธสัญญานี้” 22 ไม่เคยมีการฉลองปัสกาอย่างนั้นเลยนับตั้งแต่สมัยผู้วินิจฉัยของอิสราเอลและตลอดยุคของกษัตริย์อิสราเอลและยูดาห์ 23 แต่พิธีปัสกานี้ฉลองแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าในกรุงเยรูซาเล็มในปีที่สิบแปดแห่งรัชกาลกษัตริย์โยสิยาห์
24 ยิ่งกว่านั้นโยสิยาห์ยังได้ทรงกำจัดคนทรงหมอดู เทพเจ้าประจำเรือน รูปเคารพ และสิ่งที่น่าชิงชังทั้งปวงที่พบเห็นในยูดาห์และกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อให้ครบถ้วนตามข้อกำหนดของบทบัญญัติซึ่งเขียนไว้ในหนังสือที่ปุโรหิตฮิลคียาห์พบในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า 25 ก่อนหน้าหรือหลังโยสิยาห์ ไม่มีกษัตริย์องค์ใดเสมอเหมือนพระองค์ ซึ่งหันกลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจและสุดกำลังตามบทบัญญัติทั้งสิ้นของโมเสส
26 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงหันเหพระพิโรธอันใหญ่หลวงที่มีต่อยูดาห์อันเนื่องมาจากการกระทำทั้งสิ้นของมนัสเสห์ซึ่งยั่วยุพระพิโรธของพระองค์ 27 ดังนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ว่า “เราจะขจัดยูดาห์ออกไปให้พ้นหน้าเรา เหมือนที่เราได้ขจัดอิสราเอล และเราจะทิ้งเยรูซาเล็มเมืองที่เราเลือกสรรไว้และทิ้งวิหารซึ่งเรากล่าวว่า ‘นามของเราจะอยู่ที่นั่น’[d]”
28 เหตุการณ์อื่นๆ ในรัชกาลของโยสิยาห์และพระราชกิจทั้งปวงมีบันทึกอยู่ในจดหมายเหตุกษัตริย์แห่งยูดาห์ไม่ใช่หรือ?
29 ในขณะที่โยสิยาห์ยังทรงครองราชย์อยู่ ฟาโรห์เนโคแห่งอียิปต์เสด็จมายังแม่น้ำยูเฟรติสเพื่อช่วยกษัตริย์อัสซีเรีย โยสิยาห์ยกทัพออกไปรบกับเนโค และถูกประหารที่เมกิดโด 30 ทหารของโยสิยาห์จึงนำพระศพขึ้นรถม้าศึกจากเมกิดโดมายังกรุงเยรูซาเล็ม และฝังไว้ในสุสานของพระองค์เอง ประชาชนได้เลือกเยโฮอาหาสโอรสของโยสิยาห์และเจิมตั้งขึ้นเป็นกษัตริย์แทนราชบิดา
กษัตริย์เยโฮอาหาสแห่งยูดาห์(B)
31 เมื่อเยโฮอาหาสขึ้นเป็นกษัตริย์ พระองค์ทรงมีพระชนมายุ 23 พรรษา ทรงครองราชย์อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มสามเดือน ราชมารดาคือฮามุทาลธิดาของเยเรมีย์แห่งลิบนาห์ 32 เยโฮอาหาสทรงทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าเหมือนที่บรรพบุรุษของพระองค์ได้ทรงทำ 33 ฟาโรห์เนโคจับพระองค์ล่ามโซ่ไว้ที่ริบลาห์ในฮามัท[e] เพื่อไม่ให้ทรงครองราชย์ที่กรุงเยรูซาเล็ม และบังคับยูดาห์ให้ส่งบรรณาการเป็นเงินหนักประมาณ 3.4 ตัน[f] และทองหนักประมาณ 34 กิโลกรัม[g] 34 ฟาโรห์เนโคทรงเลือกเอลียาคิมโอรสของโยสิยาห์ให้ครองราชย์ในเยรูซาเล็ม แล้วเปลี่ยนพระนามเป็นเยโฮยาคิม ส่วนเยโฮอาหาสถูกนำตัวไปยังอียิปต์และสิ้นพระชนม์ที่นั่น 35 เยโฮยาคิมทรงเก็บภาษีแผ่นดินจากประชากรเพื่อให้ได้เงินและทองเต็มจำนวนตามที่ฟาโรห์เนโคเรียกร้องมา
กษัตริย์เยโฮยาคิมแห่งยูดาห์(C)
36 เมื่อเยโฮยาคิมขึ้นเป็นกษัตริย์ พระองค์ทรงมีพระชนมายุ 25 พรรษา และทรงครองราชย์อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มสิบเอ็ดปี ราชมารดาคือเศบิดาห์ธิดาเปดายาห์จากรูมาห์ 37 เยโฮยาคิมทรงทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าเหมือนที่บรรพบุรุษของพระองค์ได้ทรงทำ
5 มหาปุโรหิตทุกคนถูกเลือกจากมนุษย์ และได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่แทนมนุษย์ในสิ่งสารพัดที่เกี่ยวกับพระเจ้า คือการถวายเครื่องบูชาและของถวายสำหรับการทรงอภัยโทษบาป 2 มหาปุโรหิตสามารถปฏิบัติต่อผู้ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์และกำลังหลงผิดไปนั้นอย่างเห็นอกเห็นใจเพราะเขาเองก็ตกอยู่ในความอ่อนแอ 3 ด้วยเหตุนี้มหาปุโรหิตจึงต้องถวายเครื่องบูชาสำหรับบาปของตนเองเช่นเดียวกับบาปของประชาชน
4 ไม่มีใครเอาตำแหน่งอันมีเกียรตินี้มาเป็นของตนเองได้ เขาต้องเป็นผู้ที่ได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้าเหมือนที่อาโรนได้รับ 5 ดังนั้นพระคริสต์ก็เช่นกัน พระองค์ไม่ได้ทรงยกพระองค์เองขึ้นรับพระเกียรติสิริแห่งการเป็นมหาปุโรหิต แต่พระเจ้าตรัสกับพระองค์ว่า
6 และพระองค์ตรัสไว้ในอีกตอนหนึ่งว่า
“เจ้าเป็นปุโรหิตชั่วนิรันดร์
ตามแบบของเมลคีเซเดค”[c]
7 ในระหว่างที่พระเยซูทรงอยู่ในโลก พระองค์ได้ถวายคำอธิษฐานและคำร้องทูลอ้อนวอนด้วยเสียงอันดังและด้วยน้ำตาไหลต่อพระเจ้าผู้ทรงสามารถช่วยพระองค์จากความตาย และพระเจ้าทรงสดับเพราะพระเยซูทรงยอมเชื่อฟังพระเจ้าด้วยความยำเกรง 8 แม้ทรงเป็นพระบุตร พระองค์ก็ทรงเรียนรู้ที่จะเชื่อฟังจากความทุกข์ยากที่พระองค์เผชิญ 9 และเมื่อพระเจ้าทรงทำให้พระเยซูเพียบพร้อมสมบูรณ์แล้ว พระองค์จึงทรงเป็นแหล่งความรอดนิรันดร์สำหรับคนทั้งปวงที่เชื่อฟังพระองค์ 10 และพระเจ้าทรงแต่งตั้งพระองค์เป็นมหาปุโรหิตตามแบบของเมลคีเซเดค
คำเตือนไม่ให้หลงไป
11 ยังมีอีกมากที่เราจะกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ยากที่จะอธิบายเพราะท่านได้กลายเป็นคนเฉื่อยช้าในการเรียนรู้ 12 อันที่จริงแม้ขณะนี้ท่านน่าจะเป็นครูได้แล้ว แต่ท่านยังต้องให้คนมาสอนหลักความจริงเบื้องต้นของพระวจนะของพระเจ้าซ้ำอีก ท่านยังต้องการนม ไม่ใช่อาหารแข็ง! 13 ใครที่ยังกินนมก็ยังเป็นทารก ไม่คุ้นกับคำสอนเรื่องความชอบธรรม 14 แต่อาหารแข็งนั้นสำหรับผู้ใหญ่ผู้ได้ฝึกฝนตนเองที่จะแยกแยะดีชั่วโดยการปฏิบัติอยู่เสมอ
กองทัพตั๊กแตน
2 จงเป่าแตรในศิโยน
ให้สัญญาณเตือนบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเรา
ประชาชนทั้งปวงจงสั่นสะท้าน
เพราะวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังมาถึงแล้ว
วันนั้นใกล้เข้ามาทุกที
2 เป็นวันแห่งความมืดมิดและหม่นหมอง
เป็นวันเมฆครึ้มและดำทะมึน
เหมือนแสงอรุณสาดฉายทั่วภูเขา
กองทัพยิ่งใหญ่เกรียงไกรยกมา
อย่างที่ไม่เคยมีในอดีต
และจะไม่มีอีกเลยในอนาคต
3 เบื้องหน้ามันมีไฟเผาผลาญ
เบื้องหลังมีเปลวไฟแผดกล้า
ตรงหน้ามันมีดินแดนงดงามเหมือนสวนเอเดน
คล้อยหลังมันเหลือแต่แดนร้าง
ไม่มีสิ่งใดพ้นเงื้อมมือมันไปได้
4 มันมีลักษณะคล้ายม้า
ขับควบมาเหมือนขบวนม้าศึก
5 มันโลดแล่นอยู่บนยอดเขา
เสียงดังเหมือนรถม้าศึก
ดั่งเสียงไฟแตกปะทุซึ่งเผาตอไม้
และเหมือนทัพใหญ่ยกขึ้นมารบ
6 ประชาชาติต่างๆ เห็นมันแล้วก็กระสับกระส่าย
ทุกคนใบหน้าซีดเผือด
7 มันบุกเข้ามาเหมือนนักรบ
ปีนกำแพงเหมือนทหาร
มันเดินขบวนเข้ามาเป็นแนว
ไม่มีแตกแถวเลย
8 มันไม่เบียดเสียดกัน
แต่ละตัวเดินตรงไปข้างหน้า
ตะลุยฝ่าเครื่องกีดขวาง
โดยไม่แตกแถว
9 มันรีบรุดเข้าเมือง
มันวิ่งไปตามกำแพง
ปีนเข้าไปในบ้าน
เข้าไปทางหน้าต่างเหมือนขโมย
10 โลกสั่นคลอนต่อหน้าพวกมัน
ฟ้าสวรรค์สั่นสะท้าน
ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มืดไป
ดวงดาวอับแสง
11 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปล่งพระสุรเสียงกึกก้อง
ทรงนำกองทัพของพระองค์มา
กองกำลังของพระองค์สุดคณานับ
ผู้ที่เชื่อฟังพระบัญชาของพระองค์ก็มีอานุภาพมาก
วันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้ายิ่งใหญ่
และน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
ใครเล่าจะทนอยู่ได้?
จงฉีกใจของเจ้า
12 องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า
“บัดนี้จงกลับมาหาเราอย่างสุดใจ
ด้วยการถืออดอาหาร ร้องไห้ และคร่ำครวญ”
13 จงฉีกใจ
ไม่ใช่ฉีกเสื้อผ้า
จงหันกลับมาหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า
เพราะพระองค์ทรงเปี่ยมด้วยพระคุณและความเอ็นดูสงสาร
ทรงกริ้วช้าและเปี่ยมด้วยความรัก
ทรงอดพระทัยไว้ไม่ลงโทษ
14 ใครจะรู้ได้ พระองค์อาจหวนกลับมาสงสาร
และทรงอำนวยพระพร
ทรงให้มีธัญบูชาและเครื่องดื่มบูชา
เพื่อถวายแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า
15 จงเป่าแตรในศิโยน
จงประกาศการถืออดอาหารอันบริสุทธิ์
และเรียกชุมนุมอันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์
16 จงรวบรวมประชาชน
ชำระให้เป็นที่ประชุมอันบริสุทธิ์
จงประชุมผู้อาวุโส
รวบรวมเด็กๆ
แม้เด็กที่ยังกินนมแม่
ให้เจ้าบ่าวออกมาจากห้อง
และให้เจ้าสาวออกมาจากหอ
17 ให้ปุโรหิตผู้ปฏิบัติงานอยู่ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า
ร่ำไห้อยู่ระหว่างมุขพระวิหารกับแท่นบูชา
ให้พวกเขาทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงสงวนประชากรของพระองค์
อย่าให้มรดกของพระองค์เป็นที่เย้ยหยัน
เป็นคำเปรียบเปรยในหมู่ประชาชาติ
อย่าให้ชนชาติทั้งหลายพูดกันว่า
‘ไหนล่ะพระเจ้าของพวกเขา?’ ”
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตอบ
18 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงหวงแหนดินแดนของพระองค์
และจะทรงเวทนาสงสารประชากรของพระองค์
19 องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงตอบ[a]พวกเขาว่า
“เราจะส่งเมล็ดข้าว เหล้าองุ่นใหม่ และน้ำมันมาให้
จนเจ้าทั้งหลายอิ่มหนำสำราญ
เราจะไม่ทำให้เจ้าตกเป็นเป้าของการเย้ยหยัน
ของประชาชาติต่างๆ อีกต่อไป
20 “เราจะขับไล่กองทัพแดนเหนือไปไกลจากเจ้า
ไสส่งเขาไปยังถิ่นที่แห้งแล้งกันดาร
ให้กองหน้าของมันลงทะเลด้านตะวันออก[b]ไป
ส่วนกองหลังลงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
และส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง
โชยขึ้นมา”
พระองค์ได้ทรง[c]กระทำการยิ่งใหญ่มากอย่างแน่นอน!
21 แผ่นดินเอ๋ย อย่ากลัวเลย
จงยินดีปรีดา
องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำการยิ่งใหญ่มากอย่างแน่นอน!
22 สัตว์ป่าทั้งหลาย อย่ากลัวเลย
เพราะทุ่งโล่งซึ่งใช้เลี้ยงสัตว์จะกลับเขียวขจี
ต้นไม้จะผลิผล
มะเดื่อและเถาองุ่นจะออกผลงาม
23 ประชากรศิโยนเอ๋ย จงเปรมปรีดิ์
จงชื่นชมยินดีในพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน
เพราะพระองค์ได้ประทาน
สายฝนฤดูใบไม้ร่วงด้วยความชอบธรรมให้แก่ท่าน[d]
พระองค์ทรงให้ฝนตกชุก
ทั้งฝนฤดูใบไม้ร่วงและฤดูใบไม้ผลิเหมือนแต่ก่อน
24 ลานนวดข้าวจะมีข้าวอยู่เต็ม
บ่อเก็บมีเหล้าองุ่นใหม่และน้ำมันมะกอกเต็มล้น
25 “เราจะชดเชยให้สำหรับช่วงปีที่ตั๊กแตนกัดกิน
ทั้งตั๊กแตนใหญ่ ตั๊กแตนอ่อน
ตั๊กแตนวัยเดิน และตั๊กแตนอื่นๆ
คือกองทัพใหญ่ที่เราส่งมายังเจ้า
26 เจ้าจะมีกินอย่างเหลือเฟือจนอิ่มหนำ
และเจ้าจะสรรเสริญพระนามพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า
ผู้ทรงกระทำการอัศจรรย์เพื่อเจ้า
ประชากรของเราจะไม่ต้องอัปยศอดสูอีกเลย
27 แล้วเจ้าจะรู้ว่าเราอยู่ในอิสราเอล
เราคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า
ไม่มีอื่นใดอีก
ประชากรของเราจะไม่ต้องอัปยศอดสูอีก
วันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า
28 “และต่อมาภายหลัง
เราจะเทวิญญาณของเราลงเหนือประชากรทั้งปวง
บุตรชายบุตรสาวของเจ้าจะเผยพระวจนะ
คนชราของเจ้าจะฝันเห็น
คนหนุ่มของเจ้าจะเห็นนิมิต
29 เมื่อถึงเวลานั้นเราจะเทวิญญาณของเรา
ลงมาเหนือผู้รับใช้ของเราทั้งชายและหญิง
30 เราจะสำแดงการอัศจรรย์ในฟ้าสวรรค์
และที่แผ่นดินโลก
มีเลือด ไฟ และกลุ่มควัน
31 ดวงอาทิตย์จะถูกเปลี่ยนเป็นความมืด
และดวงจันทร์จะกลายเป็นเลือด
ก่อนวันอันยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัวขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาถึง
32 และทุกคนที่ร้องออกพระนามของพระยาห์เวห์
จะได้รับการช่วยให้รอด
เพราะบนภูเขาศิโยน
และในเยรูซาเล็มจะมีการช่วยกู้
ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้
ท่ามกลางผู้รอดชีวิตอยู่
ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกไว้
(มัสคิล[a]ของดาวิด ขณะที่เขาอยู่ในถ้ำ คำอธิษฐาน)
142 ข้าพเจ้าร้องทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยเสียงดัง
ข้าพเจ้าเปล่งเสียงทูลวิงวอนขอความเมตตาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
2 ข้าพเจ้าระบายความทุกข์ยากต่อหน้าพระองค์
ต่อหน้าพระองค์ ข้าพเจ้าทูลความเดือดร้อนของข้าพเจ้า
3 เมื่อจิตวิญญาณของข้าพระองค์หดหู่อยู่ภายในข้าพระองค์
พระองค์ทรงเป็นผู้ทราบทางของข้าพระองค์
บนเส้นทางที่ข้าพระองค์เดินไป
คนได้ซ่อนบ่วงแร้วดักข้าพระองค์
4 มองไปทางขวา
ไม่มีใครเหลียวแลข้าพระองค์
ข้าพระองค์ไร้ที่พึ่ง
ไม่มีใครห่วงใยชีวิตของข้าพระองค์
5 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ร้องทูลพระองค์ว่า
“พระองค์ทรงเป็นที่ลี้ภัยของข้าพระองค์
เป็นส่วนมรดกของข้าพระองค์ในดินแดนของคนเป็น”
6 ขอทรงสดับฟังเสียงร่ำร้องของข้าพระองค์
เพราะข้าพระองค์อับจนยิ่งนัก
ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์จากผู้ไล่ล่า
เพราะเขาแข็งแกร่งเกินกำลังของข้าพระองค์
7 ขอทรงปลดปล่อยข้าพระองค์จากการจองจำ
เพื่อข้าพระองค์จะสรรเสริญพระนามของพระองค์
แล้วคนชอบธรรมจะห้อมล้อมข้าพระองค์
เพราะความดีของพระองค์ที่ทรงมีต่อข้าพระองค์
Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.