Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
2 ซามูเอล 23

คำอำลาของดาวิด

23 ต่อไปนี้คือคำอำลาของดาวิด

“วาทะของดาวิดบุตรเจสซี
วาทะของผู้ที่องค์ผู้สูงสุดทรงเชิดชู
บุรุษผู้ได้รับการเจิมตั้งโดยพระเจ้าของยาโคบ
ผู้ขับขานบทเพลงของอิสราเอล[a]

“พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสผ่านข้าพเจ้า
พระดำรัสของพระองค์อยู่ที่ลิ้นของข้าพเจ้า
พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัส
พระศิลาแห่งอิสราเอลตรัสกับข้าพเจ้าว่า
‘เมื่อผู้หนึ่งปกครองปวงชนด้วยความชอบธรรม
เมื่อเขาปกครองด้วยความยำเกรงพระเจ้า
เขาก็เป็นเช่นแสงอรุณ
ดั่งอรุโณทัยอันไร้เมฆหมอก
ประดุจฟ้ากระจ่างหลังฝน
ซึ่งทำให้หญ้างอกขึ้นมาจากผืนดิน’

“พระเจ้าทรงตั้งพงศ์พันธุ์ของข้าพเจ้าไว้ไม่ใช่หรือ?
พระองค์ทรงทำพันธสัญญานิรันดร์กับข้าพเจ้าอย่างสมบูรณ์
และมั่นคงทุกส่วนทุกตอนไม่ใช่หรือ?
พระองค์จะไม่ทรงให้ความรอด
และความปรารถนาทั้งปวงของข้าพเจ้าสัมฤทธิ์ผลหรือ?
ส่วนคนชั่วจะถูกเหวี่ยงทิ้งไปหมด
เหมือนหนามซึ่งจะไม่ใช้มือกอบหรือกำ
ผู้ใดแตะต้องหนาม
ย่อมใช้เครื่องมือเหล็กหรือด้ามหอก
พวกเขาถูกเผาทิ้งในที่ที่เขาอยู่”

ยอดนักรบของดาวิด(A)

ต่อไปนี้คือยอดนักรบของดาวิด ได้แก่

โยเชบบัสเชเบธ[b]แห่งทาห์เคโมนี[c] หัวหน้าสามยอดนักรบ เขาใช้หอกสังหาร[d]ข้าศึกถึงแปดร้อยคนในคราวเดียวกัน

คนต่อมาคือเอเลอาซาร์บุตรโดดัยชาวอาโหอาห์ เขาเป็นหนึ่งในสามยอดนักรบซึ่งอยู่กับดาวิด ข่มขวัญพวกฟีลิสเตียผู้มาร่วมพลอยู่ที่ปัสดัมมิม[e] เพื่อสู้รบ ครั้งนั้นคนอิสราเอลล่าถอย 10 แต่เขายืนหยัดฟาดฟันคนฟีลิสเตียจนมือล้าเป็นเหน็บปล่อยดาบไม่ได้ องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานชัยชนะอันยิ่งใหญ่ในวันนั้น บรรดาทหารกลับมาหาเอเลอาซาร์ เพียงเพื่อจะริบข้าวของจากผู้ตาย

11 ถัดมาคือชัมมาห์บุตรอากีชาวฮาราร์ เมื่อพวกฟีลิสเตียรวมตัวกันอยู่ที่หนึ่งซึ่งมีต้นถั่วเต็มไปหมด กองทัพอิสราเอลก็หนีไป 12 แต่ชัมมาห์ยืนหยัดอยู่กลางทุ่งนั้นป้องกันพื้นที่ ฟาดฟันจนชาวฟีลิสเตียพ่ายแพ้ และองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานชัยชนะอันยิ่งใหญ่

13 ในฤดูเก็บเกี่ยว สามทหารแห่งสามสิบยอดนักรบมาหาดาวิดที่ถ้ำอดุลลัม ขณะกองทหารของฟีลิสเตียตั้งค่ายอยู่ในหุบเขาเรฟาอิม 14 ครั้งนั้นดาวิดอยู่ในที่มั่น ส่วนแนวรบของฟีลิสเตียอยู่ที่เบธเลเฮม 15 ดาวิดกระหายน้ำและเปรยขึ้นว่า “ถ้ามีใครไปนำน้ำจากบ่อใกล้ประตูเมืองเบธเลเฮมมาให้เราดื่มก็ดี!” 16 คนทั้งสามก็ตีฝ่าแนวรบของฟีลิสเตียไปตักน้ำจากบ่อนั้นมาให้ แต่ดาวิดไม่ยอมดื่ม กลับรินลงต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า และกล่าวว่า 17 “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ไม่อาจดื่มได้! นี่คือเลือดของคนที่เสี่ยงชีวิตเอามาไม่ใช่หรือ?” และดาวิดก็ไม่ยอมดื่มน้ำนั้น

นี่คือวีรกรรม ของสามยอดนักรบ

18 อาบีชัยน้องชายของโยอาบบุตรนางเศรุยาห์เป็นหัวหน้าของสามสิบยอดนักรบ[f] เขาใช้หอกสังหารข้าศึกถึงสามร้อยคน เขาจึงมีชื่อเสียงเทียบเท่าสามยอดนักรบ 19 แม้จะไม่ได้เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น แต่เขายิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาสามสิบยอดนักรบที่เป็นนายทหารชั้นแนวหน้าของกองทัพ และเขาคือหัวหน้าของพวกเขา

20 เบไนยาห์บุตรเยโฮยาดาเป็นทหารกล้าจากเมืองขับเซเอล ผู้สร้างวีรกรรมหลายครั้ง เขาสังหารยอดฝีมือสองคนของโมอับ ครั้งหนึ่งเขาลงไปในหลุมฆ่าสิงโตในวันที่หิมะตกหนัก 21 และเขาได้สังหารคนอียิปต์คนหนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่แม้ว่าคนนั้นถือหอกอยู่ เบไนยาห์ถือไม้พลองเข้าสู้ เขากระชากหอกจากมือของชาวอียิปต์คนนั้นและสังหารด้วยหอก 22 นี่คือวีรกรรมของเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดา เขาก็มีชื่อเสียงเลื่องลือเทียบเท่าสามยอดนักรบด้วย 23 เขามีเกียรติมากกว่าใครๆ ในสามสิบยอดนักรบ แต่ไม่ได้รวมอยู่ในสามยอดนักรบ ดาวิดทรงแต่งตั้งให้เขาดูแลกองทหารรักษาพระองค์

24 ในบรรดาสามสิบยอดนักรบ ได้แก่

อาสาเฮลน้องชายของโยอาบ

เอลฮานันบุตรโดโด คนเบธเลเฮม

25 ชัมมาห์คนฮาโรด

เอลีคาคนฮาโรด

26 เฮเลสคนปัลที

อิราบุตรอิกเขชคนเทโคอา

27 อาบีเอเซอร์คนอานาโธท

สิบเบคัย[g]คนหุชาห์

28 ศัลโมนคนอาโหอาห์

มาหะรัยคนเนโทฟาห์

29 เฮเลด[h] บุตรบาอานาห์คนเนโทฟาห์

อิธัยบุตรรีบัยคนกิเบอาห์ในเขตเบนยามิน

30 เบไนยาห์คนปิราโธนฮิดดัย[i]คนห้วยกาอัช

31 อาบีอัลโบนคนอารบา

อัสมาเวทคนบาฮูริม

32 เอลียาห์บาคนชาอัลโบน

บรรดาบุตรของยาเชน

โยนาธาน 33 บุตรของ[j]ชัมมาห์คนฮาราร์

อาหิอัมบุตรชาราร์[k]คนฮาราร์

34 เอลีเฟเลทบุตรอาหัสบัยคนมาอาคาห์

เอลีอัมบุตรอาหิโธเฟลคนกิโลห์

35 เฮสโรคนคารเมล

ปาอารัยคนอาราบ

36 อิกาลบุตรนาธันคนโศบาห์

บุตรของฮากรี[l]

37 เศเลกคนอัมโมน

นาหะรัย คนเบเอโรทผู้ถืออาวุธประจำตัวของโยอาบบุตรเศรุยาห์

38 อิราคนอิธรา

กาเรบคนอิธรา

39 และอุรียาห์คนฮิตไทต์

รวมทั้งหมด 37 คน

กาลาเทีย 3

ความเชื่อหรือการทำตามบทบัญญัติ

ชาวกาลาเทียผู้โง่เขลาเอ๋ย! ใครสะกดท่านให้หลงไปเสียแล้วเล่า? ภาพพระเยซูคริสต์ถูกตรึงตายบนไม้กางเขนก็ชัดเจนอยู่ต่อหน้าต่อตาท่าน สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าอยากรู้จากท่านคือท่านได้รับพระวิญญาณโดยการทำตามบทบัญญัติหรือโดยการเชื่อสิ่งที่ท่านได้ยิน? ท่านโง่เขลาปานนี้หรือ? หลังจากที่เริ่มต้นด้วยพระวิญญาณ บัดนี้ท่านกำลังพยายามบรรลุจุดหมายของท่านด้วยการขวนขวายของมนุษย์หรือ? ท่านได้ทนทุกข์มากมายโดยเปล่าประโยชน์หรือ? สิ่งนี้เป็นการเปล่าประโยชน์จริงๆ หรือ? พระเจ้าประทานพระวิญญาณของพระองค์แก่ท่าน และทรงทำการอัศจรรย์ท่ามกลางพวกท่านนั้น ก็เพราะท่านรักษาบทบัญญัติหรือเพราะท่านเชื่อสิ่งที่ท่านได้ยิน?

จงพิจารณาดูอับราฮัม “เขาเชื่อพระเจ้าและความเชื่อนี้พระองค์ทรงถือว่าเป็นความชอบธรรมของเขา”[a] ฉะนั้นจงเข้าใจเถิดว่าคนที่เชื่อก็เป็นวงศ์วานของอับราฮัม พระคัมภีร์รู้ล่วงหน้าว่าพระเจ้าจะทรงนับว่าคนต่างชาติเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อ และประกาศข่าวประเสริฐล่วงหน้าแก่อับราฮัมว่า “ทุกประชาชาติจะได้รับพรผ่านทางเจ้า”[b] ฉะนั้นผู้ที่เชื่อจึงได้รับพระพรร่วมกับอับราฮัมบุรุษแห่งความเชื่อ

10 คนทั้งปวงที่พึ่งการทำตามบทบัญญัติก็ถูกสาปแช่ง เพราะมีเขียนไว้ว่า “ขอแช่งทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตามทุกสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติ”[c] 11 เห็นได้ชัดว่าต่อหน้าพระเจ้าไม่มีใครถูกนับว่าเป็นผู้ชอบธรรมได้โดยบทบัญญัติ เพราะว่า “คนชอบธรรมจะดำรงชีวิตโดยความเชื่อ”[d] 12 บทบัญญัติไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความเชื่อ แต่ “ผู้ใดที่ทำสิ่งเหล่านี้จะมีชีวิตอยู่โดยสิ่งเหล่านี้”[e] 13 พระคริสต์ได้ทรงไถ่เราพ้นจากคำสาปแช่งของบทบัญญัติ โดยทรงรับคำสาปแช่งแทนเรา เนื่องจากมีเขียนไว้ว่า “ผู้ใดถูกแขวนบนต้นไม้ก็ถูกแช่งสาปแล้ว”[f] 14 พระองค์ทรงไถ่เราเพื่อว่าพระพรที่มีแก่อับราฮัมจะมาถึงคนต่างชาติโดยทางพระเยซูคริสต์ เพื่อว่าโดยความเชื่อเราจะได้รับพระวิญญาณตามพระสัญญา

บทบัญญัติกับพระสัญญา

15 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างจากชีวิตประจำวัน พันธสัญญาของมนุษย์เมื่อตกลงกันแล้วก็ไม่มีใครยกเลิกหรือเพิ่มเติมได้ฉันใด กรณีนี้ก็ฉันนั้น 16 พระเจ้าทรงทำพระสัญญาต่างๆ กับอับราฮัมและพงศ์พันธุ์ของเขา พระคัมภีร์ไม่ได้ระบุว่า “แก่บรรดาพงศ์พันธุ์” อันหมายถึงผู้คนมากมาย แต่ระบุว่า “แก่พงศ์พันธุ์ของเจ้า”[g] อันหมายถึงคนเพียงคนเดียวคือพระคริสต์ 17 ข้าพเจ้าหมายความว่าอย่างนี้คือ บทบัญญัติซึ่งมีมาภายหลัง 430 ปีไม่ได้ล้มล้างพันธสัญญาที่พระเจ้าได้ทรงตั้งไว้ก่อนแล้ว และด้วยเหตุนี้บทบัญญัติจึงไม่ได้ยกเลิกพระสัญญา 18 เพราะหากการรับมรดกขึ้นกับบทบัญญัติก็ไม่ได้ขึ้นกับพระสัญญาอีกต่อไป แต่โดยพระคุณของพระองค์ พระเจ้าประทานมรดกแก่อับราฮัมผ่านทางพระสัญญา

19 ถ้าเช่นนั้นบทบัญญัติมีไว้เพื่ออะไร? การที่มีบทบัญญัติเพิ่มขึ้นมาก็เพราะการล่วงละเมิดทั้งหลาย และบทบัญญัตินี้คงอยู่จนกว่า “พงศ์พันธุ์” นั้นซึ่งพระสัญญาระบุไว้มาถึง บทบัญญัติมีผลบังคับใช้ผ่านทางเหล่าทูตสวรรค์โดยคนกลาง 20 อย่างไรก็ตามคนกลางไม่ได้เป็นตัวแทนของฝ่ายเดียวเท่านั้น แต่พระเจ้าทรงเป็นฝ่ายเดียว

21 ถ้าเช่นนั้นบทบัญญัติขัดกับพระสัญญาของพระเจ้าหรือ? ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน! เพราะถ้าทรงให้มีบทบัญญัติซึ่งให้ชีวิต ความชอบธรรมย่อมมีได้โดยบทบัญญัติ 22 แต่พระคัมภีร์ประกาศว่าทั้งโลกตกเป็นนักโทษของบาป เพื่อว่าสิ่งที่ทรงสัญญาไว้นั้นจะประทานแก่บรรดาผู้เชื่อโดยทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์

23 ก่อนที่ความเชื่อนี้จะมีมา เราตกเป็นนักโทษของบทบัญญัติ ถูกกักขังไว้จนกว่าความเชื่อจะถูกเปิดเผย 24 ดังนั้นบทบัญญัติได้รับมอบหมายหน้าที่ให้นำเรามาถึงพระคริสต์[h] เพื่อเราจะได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อ 25 บัดนี้ความเชื่อนั้นมาถึงแล้ว เราจึงไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของบทบัญญัติอีกต่อไป

บุตรของพระเจ้า

26 ท่านทั้งหลายล้วนเป็นบุตรของพระเจ้าโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ 27 เพราะพวกท่านทั้งปวงผู้ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในพระคริสต์แล้วได้คลุมกายของท่านด้วยพระคริสต์ 28 ไม่มียิวหรือกรีก ทาสหรือไท ชายหรือหญิง เพราะพวกท่านทั้งปวงเป็นหนึ่งเดียวในพระเยซูคริสต์ 29 ถ้าท่านเป็นของพระคริสต์ ท่านก็เป็นพงศ์พันธุ์ของอับราฮัมและเป็นทายาทตามพระสัญญา

เอเสเคียล 30

บทคร่ำครวญแด่อียิปต์

30 พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงกล่าวพยากรณ์ว่า ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า

“ ‘จงร่ำไห้และกล่าวว่า
“อนิจจา วันนั้นเอ๋ย!”
เพราะว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว
วันขององค์พระผู้เป็นเจ้าใกล้เข้ามา
เป็นวันแห่งเมฆครึ้ม
เป็นเวลาแห่งความพินาศของบรรดาประชาชาติ
ดาบเล่มหนึ่งจะมาฟาดฟันอียิปต์
และความทุกข์ทรมานจะมากระหน่ำคูช[a]
เมื่อผู้ที่ถูกสังหารล้มตายในอียิปต์
ทรัพย์สมบัติของอียิปต์จะถูกริบไป
และฐานรากของมันก็พังครืน

คูช พูต ลิเดีย อาระเบียทั้งหมด ลิเบีย[b] และประชาชนของดินแดนแห่งพันธสัญญาจะล้มตายด้วยดาบพร้อมอียิปต์

“ ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า

“ ‘บรรดาพันธมิตรของอียิปต์จะล้มตาย
และพลังอันภาคภูมิของมันจะสูญสลาย
จากมิกดลถึงอัสวาน
ผู้คนในอียิปต์จะล้มตายด้วยดาบ
            พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประกาศดังนั้น
พวกเขาจะโดดเดี่ยว
อยู่ในแดนร้าง
นครต่างๆ ของพวกเขาจะพินาศ
อยู่ท่ามกลางนครที่ปรักหักพัง
แล้วพวกเขาจะรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์
เมื่อเราจุดไฟเผาอียิปต์
และผู้ที่ช่วยเหลืออียิปต์ทุกคนจะถูกบดขยี้

“ ‘ในวันนั้นผู้สื่อสารจะลงเรือจากเราไป เพื่อเขย่าขวัญคูชซึ่งอยู่อย่างทองไม่รู้ร้อน ความทุกข์ลำเค็ญจะเกาะกินใจของพวกเขาในวันหายนะของอียิปต์ เพราะวันนั้นจะมาถึงอย่างแน่นอน

10 “ ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า

“ ‘เราจะนำกองกำลังทั้งหลายของอียิปต์มาถึงจุดจบ
โดยน้ำมือของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน
11 เขากับกองทัพซึ่งเป็นผู้อำมหิตที่สุดในหมู่ประชาชาติ
จะถูกนำมาทำลายดินแดนแห่งนี้
เขาจะชักดาบออกห้ำหั่นอียิปต์
และทำให้คนตายเกลื่อนแผ่นดิน
12 เราจะทำให้ลำน้ำไนล์เหือดแห้ง
และขายดินแดนอียิปต์ให้แก่คนชั่ว
เราจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในดินแดนนั้นเริศร้าง
โดยน้ำมือของชาวต่างชาติ

เราผู้เป็นพระยาห์เวห์ได้ลั่นวาจาไว้

13 “ ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า

“ ‘เราจะทำลายบรรดารูปเคารพ
และทำให้เทวรูปต่างๆ ในเมมฟิสถึงกาลอวสาน
จะไม่มีเจ้านายอีกต่อไปในอียิปต์
และเราจะบันดาลให้ความหวาดหวั่นแพร่สะพัดไปทั่วดินแดนนั้น
14 เราจะทำให้อียิปต์ตอนบนเริศร้าง
จะจุดไฟเผาโศอัน
และลงโทษเธเบส
15 เราจะระบายโทสะแก่เปลูเซียม
ซึ่งเป็นที่มั่นของอียิปต์
และทำลายกองกำลังต่างๆ ของเธเบส
16 เราจะจุดไฟเผาอียิปต์
เปลูเซียมจะทุรนทุรายด้วยความทุกข์ทรมาน
เธเบสจะถูกพายุซัดกระหน่ำ
เมมฟิสจะทุกข์ลำเค็ญอยู่ตลอดเวลา
17 คนหนุ่มของเมืองเฮลิโอโปลิสและบูบาสทิส
จะล้มตายด้วยดาบ
และนครต่างๆ จะตกเป็นเชลย
18 ที่ทาห์ปานเหส กลางวันแสกๆ จะมืดครึ้ม
เมื่อเราทำลายแอกของอียิปต์
ที่นั่นพละกำลังอันภาคภูมิของมันจะถึงกาลอวสาน
จะมีเมฆปกคลุมทั่วเมืองนั้น
และหมู่บ้านต่างๆ จะตกเป็นเชลย
19 เราจะลงโทษอียิปต์เช่นนี้แหละ
แล้วพวกเขาจะรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์’ ”

20 ในวันที่เจ็ดเดือนที่หนึ่งปีที่สิบเอ็ด พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าว่า 21 “บุตรมนุษย์เอ๋ย เราได้หักแขนของฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ ไม่มีการพันผ้ารักษาหรือเข้าเฝือกเพื่อให้มันกลับแข็งแรงพอที่จะจับดาบได้อีก 22 ฉะนั้นพระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่าเราเป็นศัตรูกับฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ เราจะหักแขนของเขาทั้งสองข้าง ทั้งข้างที่ยังดีและข้างที่หัก เราจะทำให้ดาบร่วงจากมือของเขา 23 เราจะทำให้ชาวอียิปต์กระจัดกระจายออกไปตามชนชาติต่างๆ และไปยังนานาประเทศ 24 เราจะทำให้แขนของกษัตริย์บาบิโลนแข็งแกร่งและเอาดาบของเราใส่มือเขา แต่เราจะหักแขนของฟาโรห์และเขาจะร้องครวญครางต่อหน้ากษัตริย์บาบิโลนเหมือนคนบาดเจ็บใกล้ตาย 25 เราจะทำให้แขนของกษัตริย์บาบิโลนแข็งแกร่ง ส่วนแขนของฟาโรห์จะกะปลกกะเปลี้ย แล้วพวกเขาจะรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์ เมื่อเราเอาดาบใส่มือกษัตริย์บาบิโลน แล้วเขาก็กวัดแกว่งมันฟาดฟันอียิปต์ 26 เราจะทำให้ชาวอียิปต์กระจัดกระจายออกไปตามชนชาติต่างๆ และไปยังนานาประเทศ แล้วพวกเขาจะรู้ว่าเราคือพระยาห์เวห์”

สดุดี 78:38-72

38 ถึงกระนั้นพระองค์ยังทรงเมตตากรุณา
พระองค์ทรงอภัยความชั่วช้าของพวกเขา
และไม่ได้ทำลายล้างพวกเขาเสียหมด
หลายต่อหลายครั้งพระองค์ทรงยับยั้งความกริ้ว
ไม่ให้พระพิโรธพลุ่งขึ้นเต็มที่
39 พระองค์ทรงระลึกว่าพวกเขาเป็นเพียงมนุษย์
เป็นแค่ลมวูบหนึ่ง ซึ่งผ่านไปแล้วไม่หวนกลับมา

40 พวกเขากบฏต่อพระองค์ในถิ่นกันดาร
และกระทำให้พระองค์เศร้าพระทัยในดินแดนร้างเปล่าบ่อยเหลือเกิน!
41 พวกเขาลองดีกับพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า
พวกยั่วยุองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล
42 พวกเขาไม่ได้นึกถึงพระเดชานุภาพ
ในวันที่พระองค์ทรงช่วยพวกเขาให้พ้นจากผู้ข่มเหงรังแก
43 ในวันที่พระองค์ทรงสำแดงหมายสำคัญต่างๆ ในอียิปต์
ทรงสำแดงปาฏิหาริย์ต่างๆ ในดินแดนโศอัน
44 พระองค์ทรงเปลี่ยนน้ำให้เป็นเลือด
จนไม่มีใครอาจดื่มน้ำจากธารน้ำได้
45 พระองค์ทรงส่งฝูงเหลือบมาเล่นงานพวกเขา
และทรงส่งฝูงกบมาทำลายล้างพวกเขา
46 พระองค์ทรงยกพืชผลของพวกเขาให้แก่ตั๊กแตน
ทรงยกผลิตผลของพวกเขาให้แก่ฝูงตั๊กแตน
47 พระองค์ทรงให้ลูกเห็บทำลายเถาองุ่นของพวกเขา
และทรงให้น้ำค้างแข็งทำลายต้นมะเดื่อของพวกเขา
48 พระองค์ทรงให้ลูกเห็บจัดการกับฝูงวัวของพวกเขา
ทรงให้ฟ้าผ่าจัดการกับฝูงปศุสัตว์ของพวกเขา
49 พระองค์ทรงระบายความกริ้วอันเกรี้ยวกราด
ทรงระบายพระพิโรธ ความขุ่นเคืองพระทัย และการเป็นปฏิปักษ์ต่อพวกเขา
ทรงส่งเหล่าทูตสวรรค์ผู้ล้างผลาญมาลงโทษพวกเขา
50 พระองค์ทรงเตรียมทางสำหรับพระพิโรธของพระองค์
พระองค์ไม่ได้ทรงไว้ชีวิตพวกเขา
แต่ทรงหยิบยื่นพวกเขาให้แก่โรคระบาด
51 พระองค์ทรงประหารลูกหัวปีทั้งสิ้นในอียิปต์
คือผลแรกแห่งวัยฉกรรจ์ในเต็นท์ของฮาม
52 แต่พระองค์ทรงนำประชากรของพระองค์ออกมาอย่างฝูงแกะ
พระองค์ทรงนำพวกเขาดั่งนำแกะผ่านถิ่นกันดาร
53 พระองค์ทรงนำพวกเขามาอย่างปลอดภัย พวกเขาจึงไม่หวาดหวั่น
แต่น้ำทะเลซัดท่วมศัตรูของพวกเขา
54 ดังนั้นพระองค์ทรงนำพวกเขามาถึงเขตดินแดนบริสุทธิ์ของพระองค์
มายังดินแดนเทือกเขาซึ่งได้มาโดยพระหัตถ์ขวาของพระองค์
55 พระองค์ทรงขับไล่ชนชาติต่างๆ ไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา
และแบ่งสรรปันส่วนดินแดนให้พวกเขาเป็นมรดก
พระองค์ทรงให้เผ่าต่างๆ ของอิสราเอลตั้งถิ่นฐานในบ้านของคนเหล่านั้น

56 แต่พวกเขาก็ยังลองดีกับพระเจ้า
และกบฏต่อองค์ผู้สูงสุด
พวกเขาไม่ยอมปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของพระองค์
57 เช่นเดียวกับบรรพบุรุษ พวกเขาไม่มีความจงรักภักดีและไม่มีความซื่อสัตย์
เหมือนคันธนูบิดที่ไว้ใจไม่ได้
58 พวกเขายั่วยุพระพิโรธด้วยสถานบูชาบนที่สูงทั้งหลาย
พวกเขากระตุ้นความหึงหวงของพระองค์ด้วยรูปเคารพต่างๆ
59 เมื่อพระเจ้าทรงได้ยิน พระองค์ก็ทรงพระพิโรธยิ่งนัก
พระองค์ไม่ทรงยอมรับอิสราเอลเลย
60 พระองค์ทรงละทิ้งพลับพลาแห่งชิโลห์
ที่ซึ่งพระองค์ประทับท่ามกลางมนุษย์
61 และทรงยินยอมให้หีบพันธสัญญาของพระองค์ถูกยึดไป
ทรงหยิบยื่นสง่าราศีของพระองค์ให้ตกอยู่ในมือของศัตรู
62 พระองค์ทรงกระทำให้ประชากรของพระองค์ตกเป็นเหยื่อของคมดาบ
พระองค์ทรงพระพิโรธต่อผู้ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ยิ่งนัก
63 ไฟเผาผลาญหนุ่มฉกรรจ์
ส่วนหญิงสาวไม่มีเพลงสมรส
64 เหล่าปุโรหิตถูกประหารด้วยดาบ
และภรรยาม่ายของพวกเขาก็ไม่สามารถร้องไห้ไว้ทุกข์

65 แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงลุกขึ้นดั่งตื่นจากบรรทม
เหมือนนักรบสร่างจากฤทธิ์เหล้าองุ่น
66 พระองค์ทรงรุกไล่ศัตรูของพระองค์ให้ล่าถอยไป
พระองค์ทรงส่งพวกเขาไปสู่ความอัปยศนิรันดร์
67 แล้วพระองค์ทรงปฏิเสธเต็นท์ของโยเซฟ
พระองค์ไม่ได้ทรงเลือกชนเผ่าเอฟราอิม
68 แต่พระองค์ทรงเลือกเผ่ายูดาห์
และภูเขาศิโยนที่พระองค์ทรงรัก
69 พระองค์ทรงสร้างสถานนมัสการของพระองค์ให้สูงตระหง่านและยืนยง
ดั่งพื้นปฐพีที่พระองค์ทรงสถาปนาไว้เป็นนิตย์
70 พระองค์ทรงเลือกดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์
และทรงนำเขาออกมาจากคอกแกะ
71 ทรงนำเขาออกจากการเลี้ยงดูฝูงแกะ
มาเป็นผู้เลี้ยงดูยาโคบประชากรของพระองค์
เลี้ยงดูอิสราเอลผู้เป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์
72 และดาวิดได้เลี้ยงดูพวกเขาด้วยใจซื่อสัตย์สุจริต
นำพวกเขาไปด้วยมืออันเชี่ยวชาญ

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.