Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Contemporary Bible (TNCV)
Version
1 ซามูเอล 29-30

อาคีชส่งดาวิดกลับไปศิกลาก

29 ชาวฟีลิสเตียระดมกำลังทั้งหมดที่อาเฟค ส่วนอิสราเอลตั้งค่ายอยู่ที่ริมธารน้ำพุในยิสเรเอล เมื่อขุนพลฟีลิสเตียยกขบวนออกไปเป็นกองร้อยและกองพัน ดาวิดและพรรคพวกก็ร่วมขบวนเป็นกองหลังพร้อมกับอาคีช ขุนพลฟีลิสเตียทูลถามว่า “คนฮีบรูพวกนี้มาทำอะไรอยู่ที่นี่?”

อาคีชตรัสตอบว่า “นี่ไงดาวิด อดีตทหารของกษัตริย์ซาอูลแห่งอิสราเอล เขามาอยู่กับเราปีกว่าแล้ว เราไม่พบข้อเสียของเขาเลยตั้งแต่เขาจากซาอูลมา”

แต่ขุนพลฟีลิสเตียพากันโกรธจัด และทูลว่า “ส่งเขากลับไปเถิด เขาจะได้กลับไปยังสถานที่ซึ่งพระองค์ทรงกำหนดให้ ห้ามเขาไปช่วยเรารบเด็ดขาด มิฉะนั้นเขาจะทรยศเราและไปเข้าข้างนายเดิม ลองคิดดูสิว่าเขาจะได้รับความโปรดปรานสักเพียงใดจากการนำศีรษะของพวกเราไปถวาย? ดาวิดคนนี้ไม่ใช่หรือที่พวกเขาร้องรำทำเพลงว่า

“ ‘ซาอูลฆ่าศัตรูนับพัน
และดาวิดฆ่าศัตรูนับหมื่น’”

อาคีชจึงทรงเรียกดาวิดมาและตรัสกับดาวิดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เจ้าเป็นคนที่น่าเชื่อถือ และเราจะดีใจมากถ้าได้เจ้าเข้ามาร่วมกองทัพกับเราฉันนั้น ตั้งแต่วันที่เจ้ามาหาเราจนถึงวันนี้ เราไม่พบข้อเสียในตัวเจ้าเลย แต่พวกผู้นำไม่ยอมรับเจ้า จงกลับไปอย่างสันติ อย่าทำอะไรให้เหล่าผู้นำฟีลิสเตียไม่พอใจเลย”

ดาวิดทูลว่า “ข้าพระบาททำอะไรหรือ? นับแต่วันที่ข้าพระบาทมาเข้าเฝ้าฝ่าพระบาทจนบัดนี้ ฝ่าพระบาททรงพบสิ่งใดไม่ดีในตัวข้าพระบาทหรือ? ทำไมข้าพระบาทออกไปสู้รบกับศัตรูของฝ่าพระบาทไม่ได้?”

อาคีชตรัสว่า “เรารู้ว่าเจ้าเป็นที่ชื่นชอบในสายตาของเราเหมือนทูตของพระเจ้า แต่ขุนพลฟีลิสเตียกล่าวว่า ‘ห้ามเขาไปช่วยเรารบเด็ดขาด’ 10 เจ้ากับบริวารของนายเจ้าจงตื่นขึ้นแต่เช้าและกลับไปทันทีเมื่อฟ้าสาง”

11 ดาวิดกับพวกจึงตื่นขึ้นแต่เช้าตรู่และกลับไปยังดินแดนฟีลิสเตีย ส่วนกองทัพฟีลิสเตียเคลื่อนสู่ยิสเรเอล

ดาวิดทำลายคนอามาเลข

30 ดาวิดและพรรคพวกมาถึงศิกลากในวันที่สาม ฝ่ายชาวอามาเลขได้มาปล้นเนเกบและเมืองศิกลาก พวกเขาโจมตีและเผาเมืองศิกลาก จับผู้หญิงและทุกคนที่อยู่ในเมืองทั้งเด็กและผู้ใหญ่ไปเป็นเชลยโดยไม่ได้ฆ่าใคร แต่กวาดต้อนไปพร้อมกับพวกเขาด้วย

เมื่อดาวิดกับพวกมาถึงก็พบว่าเมืองศิกลากถูกเผาวอดวาย และภรรยากับบุตรชายบุตรสาวถูกจับตัวไปเป็นเชลย ทั้งดาวิดและพวกก็ร้องไห้เสียงดังจนไม่เหลือแรงที่จะร้องไห้อีก ภรรยาทั้งสองคนของดาวิดก็ตกเป็นเชลยด้วยคืออาหิโนอัมแห่งยิสเรเอล และอาบีกายิลภรรยาม่ายของนาบาลแห่งคารเมล ดาวิดทุกข์ใจมากเพราะพรรคพวกพูดกันว่าจะเอาหินขว้างดาวิด พวกเขาต่างก็ขมขื่นรันทดใจด้วยเรื่องบุตรชายบุตรสาว แต่ดาวิดได้รับกำลังในพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขา

ดาวิดจึงพูดกับปุโรหิตอาบียาธาร์บุตรอาหิเมเลคว่า “โปรดนำเอโฟดมา” อาบียาธาร์ก็นำมา ดาวิดทูลถามองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าพระองค์ควรไล่ตามกองโจรนี้ไปหรือไม่? จะตามทันหรือไม่?”

พระเจ้าตรัสว่า “จงตามพวกเขาไปเถิด เจ้าจะตามทันและช่วยผู้คนได้สำเร็จ”

ดาวิดกับพรรคพวกหกร้อยคนมาถึงลำธารเบโสร์ ซึ่งบางคนหยุดพักอยู่ที่นั่น 10 เพราะมีสองร้อยคนหมดแรง ข้ามลำธารไปไม่ไหว แต่ดาวิดกับอีกสี่ร้อยคนยังคงตามล่าต่อไป

11 พวกเขาพบชายอียิปต์คนหนึ่งกลางทุ่ง จึงนำตัวมาพบดาวิด พวกเขาเอาน้ำดื่มและอาหารมาให้คนนั้น 12 คือมะเดื่ออัดจำนวนเล็กน้อยและขนมลูกเกดสองก้อน เขารับประทานแล้วค่อยมีกำลังวังชาขึ้นเพราะไม่ได้กินดื่มอะไรมาสามวันสามคืนแล้ว

13 ดาวิดถามว่า “เจ้าเป็นคนของใครและมาจากไหน?”

เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นชาวอียิปต์ เป็นทาสของชาวอามาเลขคนหนึ่ง นายทิ้งข้าพเจ้าไว้สามวันแล้วเพราะข้าพเจ้าไม่สบาย 14 เราได้ปล้นเนเกบของพวกเคเรธีกับพรมแดนที่เป็นของยูดาห์ และเนเกบของคาเลบ แล้วเราเผาเมืองศิกลาก”

15 ดาวิดถามว่า “เจ้านำทางเราลงไปถึงกองโจรนั้นได้หรือไม่?”

เขาตอบว่า “หากท่านสาบานในพระนามของพระเจ้าว่าจะไม่ฆ่าข้าพเจ้าหรือส่งตัวกลับไปให้นาย ข้าพเจ้าจะนำทางท่านไปหาพวกนั้น”

16 เขานำดาวิดลงไปที่นั่น พวกอามาเลขกระจายกันอยู่เต็มทุ่ง กินดื่มกันอย่างสนุกสนาน และชื่นชมกับทรัพย์มากมายที่ยึดมาได้จากแดนฟีลิสเตียและจากยูดาห์ 17 เย็นวันนั้นดาวิดสู้รบกับพวกเขาจนถึงเย็นวันรุ่งขึ้น ไม่มีใครหนีรอดไปได้เว้นแต่ชายหนุ่มสี่ร้อยคนซึ่งขี่อูฐหนีไป 18 ดาวิดได้ของทุกอย่างที่พวกอามาเลขริบไปคืนมาทั้งหมด รวมทั้งภรรยาสองคน 19 ไม่มีสิ่งใดขาดหายไป ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ เด็กชายเด็กหญิง ของที่ถูกปล้นหรือสิ่งที่ถูกริบไป ดาวิดได้คืนมาทั้งหมด 20 เขายึดฝูงสัตว์ทั้งหมดและคนของเขาก็กวาดต้อนมาข้างหน้าอีกฝูงหนึ่งบอกว่า “นี่เป็นของที่ดาวิดยึดมา”

21 แล้วดาวิดกลับมาหาสองร้อยคนที่หมดแรงติดตามไปไม่ไหว ซึ่งรออยู่ที่ลำธารเบโสร์ พวกเขาออกมาพบดาวิดกับพวก 22 แต่บรรดาอันธพาลและคนชั่วในหมู่ผู้ติดตามของดาวิดกล่าวว่า “เราจะไม่แบ่งของที่ยึดคืนมาได้ให้พวกเขา เพราะเขา ไม่ได้ไปกับเรา แต่ให้เขาเอาภรรยาเอาลูกคืนไป แล้วไปเสีย”

23 ดาวิดตอบว่า “อย่าเลยพี่น้องเอ๋ย พวกท่านอย่าทำเช่นนั้นกับสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่เรา พระองค์ทรงปกป้องเราและทรงมอบกองกำลังต่างๆ ที่มาโจมตีเรานั้นแก่เรา 24 ใครจะเห็นด้วยกับสิ่งที่ท่านพูด? เราจะแบ่งให้เท่าๆ กัน ทั้งคนที่ออกรบและคนที่คอยดูแลสัมภาระ” 25 ดาวิดจึงตั้งเป็นกฎเกณฑ์และข้อปฏิบัติสำหรับอิสราเอลตั้งแต่วันนั้นจนถึงบัดนี้ 26 เมื่อดาวิดมาถึงเมืองศิกลาก ก็ส่งของที่ยึดมาได้บางส่วนไปให้บรรดาผู้อาวุโสของยูดาห์ที่เป็นสหายของเขาและแจ้งว่า “นี่คือของกำนัลสำหรับท่าน ได้มาจากการปล้นศัตรูขององค์พระผู้เป็นเจ้า”

27 เขาส่งของกำนัลเหล่านี้ไปยังบรรดาผู้นำในเบธเอล ราโมท เนเกบ และยัททีร์ 28 ในอาโรเออร์ สิฟโมท เอชเทโมอา 29 และราคาล ในหัวเมืองต่างๆ ของวงศ์เยราห์เมเอลและวงศ์เคไนต์ 30 ในโฮรมาห์ โบร์อาชาน อาธาค 31 และเฮโบรน และในที่ต่างๆ ซึ่งดาวิดกับคนของเขาเคยเดินทางไปมา

1 โครินธ์ 10

ข้อเตือนใจจากประวัติศาสตร์อิสราเอล

10 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากให้ท่านรับรู้ข้อเท็จจริงที่ว่าบรรพบุรุษของเราล้วนได้อยู่ใต้เมฆและได้ผ่านทะเลไปทุกคน พวกเขาล้วนได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในโมเสส ในเมฆและในทะเล พวกเขาล้วนได้รับประทานอาหารทิพย์เหมือนกัน และได้ดื่มน้ำทิพย์เหมือนกัน พวกเขาได้ดื่มน้ำจากศิลาทิพย์ ซึ่งร่วมทางมากับพวกเขา และศิลานั้นคือพระคริสต์ อย่างไรก็ตามพระเจ้าไม่พอพระทัยพวกเขาเกือบทั้งหมด บรรพบุรุษเหล่านั้นจึงล้มตายเกลื่อนกลาดในถิ่นกันดาร

สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อเป็นตัวอย่าง[a] ไม่ให้จิตใจของเราฝักใฝ่ในสิ่งชั่วร้ายเหมือนที่คนเหล่านั้นได้ทำ อย่านับถือรูปเคารพเหมือนบางคน ดังที่มีเขียนไว้ว่า “ประชากรนั่งล้อมวงกินดื่มและลุกขึ้นระเริงในงานเลี้ยงอย่างคนนอกศาสนา”[b] เราไม่ควรทำผิดศีลธรรมทางเพศเหมือนที่บางคนได้ทำแล้วล้มตายถึง 23,100 คนในวันเดียว เราไม่ควรลองดีกับองค์พระผู้เป็นเจ้าเหมือนที่พวกเขาบางคนได้ทำแล้วถูกงูกัดตาย 10 และอย่าพร่ำบ่นเหมือนที่พวกเขาบางคนได้ทำแล้วถูกทูตมรณะประหาร

11 สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแก่พวกเขาเพื่อเป็นตัวอย่าง และบันทึกไว้เพื่อเตือนใจเราผู้ซึ่งอยู่ในยุคที่พระราชกิจของพระเจ้าจะสำเร็จ 12 ดังนั้นถ้าท่านคิดว่าตนยืนหยัดมั่นคงดีแล้ว ก็จงระวังให้ดีเพื่อท่านจะไม่ล้มลง! 13 ไม่มีการทดลองใดๆ มาถึงท่านนอกจากการทดลองที่เกิดกับมนุษย์ทั่วไป และพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ พระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้ท่านถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ แต่เมื่อท่านถูกทดลอง พระองค์จะทรงให้ท่านมีทางออกด้วยเพื่อท่านจะยืนหยัดได้ภายใต้การทดลอง

งานเลี้ยงของรูปเคารพกับพิธีมหาสนิท

14 เหตุฉะนั้นท่านที่รัก จงหลีกห่างการนับถือรูปเคารพ 15 ข้าพเจ้าพูดกับคนที่มีสามัญสำนึก ท่านจงวินิจฉัยคำพูดของข้าพเจ้าเอาเองเถิด 16 ถ้วยน้ำองุ่นซึ่งเราอธิษฐานขอบพระคุณคือการเข้าร่วมในพระโลหิตของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ? และขนมปังซึ่งเราหักนั้นคือการเข้าร่วมในพระกายของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ? 17 เนื่องจากมีขนมปังก้อนเดียว เราหลายคนจึงเป็นกายเดียวกัน เพราะทุกคนร่วมรับประทานขนมปังก้อนเดียวกัน

18 จงพิจารณาชนชาติอิสราเอลผู้ที่กินของถวายบูชาก็มีส่วนร่วมในแท่นบูชาไม่ใช่หรือ? 19 นี่ข้าพเจ้าหมายความว่ารูปเคารพกับของที่เซ่นไหว้มีความสำคัญอย่างนั้นหรือ? 20 เปล่าเลย แต่หมายความว่าของเซ่นไหว้ของคนนอกศาสนานั้นสังเวยแก่ผีมาร ไม่ใช่ถวายแด่พระเจ้า และข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่านไปเข้าร่วมกับพวกผีมาร 21 ท่านจะดื่มทั้งจากถ้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้าและถ้วยของผีมารไม่ได้ จะร่วมโต๊ะทั้งขององค์พระผู้เป็นเจ้าและของพวกผีมารด้วยไม่ได้ 22 เรากำลังพยายามยั่วยุองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ทรงริษยาหรือ? เราเข้มแข็งกว่าพระองค์หรือ?

เสรีภาพของผู้เชื่อ

23 “เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้” แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์ “เราได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้” แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นการเสริมสร้างขึ้น 24 ทุกคนไม่ควรเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่น

25 สิ่งใดที่วางขายตามตลาดเนื้อก็ให้รับประทานไปเถิดโดยไม่ต้องถามตนเองว่าผิดหรือไม่ 26 เพราะ “แผ่นดินโลกและทุกสิ่งในโลกเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า”[c]

27 หากผู้ไม่เชื่อบางคนเชิญท่านไปร่วมรับประทานอาหารและท่านประสงค์จะไป จงรับประทานสิ่งที่วางอยู่ตรงหน้าท่านไปเถิดโดยไม่ต้องถามว่าผิดหรือไม่ 28 แต่ถ้ามีใครมาบอกว่า “ของนี้ได้นำไปเซ่นไหว้แล้ว” ก็อย่ารับประทานเพื่อเห็นแก่ทั้งคนที่บอกและจิตสำนึกผิดชอบ[d] 29 ข้าพเจ้าหมายถึงจิตสำนึกของคนนั้นไม่ใช่ของท่าน ทำไมเสรีภาพของข้าพเจ้าจึงถูกตัดสินโดยจิตสำนึกของคนอื่นเล่า? 30 ถ้าข้าพเจ้ารับประทานโดยขอบพระคุณพระเจ้า ทำไมข้าพเจ้าจึงถูกตำหนิเพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าแล้ว? 31 ดังนั้นไม่ว่าท่านจะกินหรือดื่มหรือทำอะไรก็ตาม จงทำทุกสิ่งเพื่อพระเกียรติสิริของพระเจ้า 32 อย่าเป็นต้นเหตุให้ใครสะดุดไม่ว่าจะเป็นคนยิว คนกรีก หรือคริสตจักรของพระเจ้า 33 เหมือนที่ข้าพเจ้าเองพยายามทำให้ทุกคนพอใจในทุกด้านเพราะข้าพเจ้าไม่ได้แสวงหาประโยชน์ส่วนตัว แต่แสวงหาประโยชน์ของคนทั้งหลายเพื่อให้พวกเขารอด

เอเสเคียล 8

การกราบไหว้รูปเคารพในพระวิหาร

ในวันที่ห้าเดือนที่หกปีที่หก ขณะที่ข้าพเจ้านั่งอยู่ในบ้าน และบรรดาผู้อาวุโสของยูดาห์นั่งอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า พระหัตถ์ของพระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตมาเหนือข้าพเจ้าที่นั่น ข้าพเจ้ามองดูก็เห็นร่างหนึ่งคล้ายมนุษย์[a] จากส่วนที่ดูคล้ายบั้นเอวของผู้นั้นลงมาเป็นไฟ และจากส่วนนั้นขึ้นไปเหมือนโลหะสุกปลั่ง ผู้นั้นยื่นส่วนที่คล้ายมือออกมาจับผมบนศีรษะของข้าพเจ้า พระวิญญาณทรงยกข้าพเจ้าขึ้นระหว่างพิภพโลกและฟ้าสวรรค์ และในนิมิตของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงพาข้าพเจ้ามายังเยรูซาเล็มตรงทางเข้าประตูทิศเหนือของลานชั้นใน ซึ่งเป็นที่ตั้งของรูปเคารพ ซึ่งยั่วยุพระพิโรธของพระเจ้า ที่นั่นพระเกียรติสิริของพระเจ้าแห่งอิสราเอลอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้าเหมือนในนิมิตซึ่งข้าพเจ้าเห็นในที่ราบนั้น

แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงมองไปทางเหนือ” ข้าพเจ้าก็มองไปและข้าพเจ้าเห็นรูปเคารพที่ยั่วยุพระพิโรธตรงทางเข้าด้านเหนือของประตูแท่นบูชา

และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าเห็นสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่หรือไม่? คือสิ่งที่น่ารังเกียจอย่างยิ่ง ซึ่งพงศ์พันธุ์อิสราเอลกำลังทำอยู่ที่นี่ สิ่งซึ่งจะผลักไสเราให้ไกลห่างจากสถานนมัสการของเรา แต่เจ้าจะเห็นสิ่งที่น่ารังเกียจยิ่งกว่านี้อีก”

แล้วพระองค์ทรงนำข้าพเจ้ามาที่ทางเข้าลาน ข้าพเจ้ามองดู เห็นช่องช่องหนึ่งในกำแพง พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงเจาะเข้าไปในกำแพงเดี๋ยวนี้” ข้าพเจ้าก็เจาะและเห็นเป็นทางเข้าไป

แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงเข้าไปเถิด ไปดูสิ่งชั่วร้ายและน่าชิงชังที่พวกเขากำลังทำอยู่ที่นี่” 10 ข้าพเจ้าจึงเข้าไปดู เห็นบนผนังโดยรอบมีภาพวาดสัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ที่น่ารังเกียจทุกชนิด และรูปเคารพทั้งสิ้นของพงศ์พันธุ์อิสราเอล 11 ผู้อาวุโสของพงศ์พันธุ์อิสราเอลเจ็ดสิบคนยืนอยู่ตรงหน้าสิ่งเหล่านั้น และยาอาซันยาห์บุตรชาฟาน ก็ยืนอยู่ในหมู่พวกเขาด้วย แต่ละคนถือกระถางไฟและมีควันจากเครื่องหอมลอยขึ้นไป

12 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าเห็นแล้วใช่ไหมว่า บรรดาผู้อาวุโสของพงศ์พันธุ์อิสราเอลซุ่มทำอะไรอยู่ในความมืด? แต่ละคนอยู่ที่สถานบูชารูปเคารพของตน พวกเขาพูดว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่เห็นเราหรอก องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทิ้งดินแดนนี้ไปแล้ว’ ” 13 แล้วพระองค์ตรัสอีกว่า “เจ้าจะเห็นพวกเขาทำสิ่งที่น่ารังเกียจยิ่งกว่านี้อีก”

14 แล้วพระองค์ทรงนำข้าพเจ้ามาที่ทางเข้าประตูทิศเหนือของพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าเห็นพวกผู้หญิงนั่งร้องไห้ไว้อาลัยแก่พระทัมมุส 15 พระองค์ตรัสว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าเห็นแล้วใช่ไหม เจ้าจะได้เห็นสิ่งที่น่ารังเกียจยิ่งกว่านี้อีก”

16 แล้วพระองค์ทรงนำข้าพเจ้ามายังลานชั้นในของพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าและที่ประตูทางเข้าพระวิหาร ระหว่างมุขกับแท่นบูชา มีผู้ชายประมาณ 25 คนหันหลังให้พระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่หันหน้าไปทางทิศตะวันออก พวกเขากำลังหมอบกราบดวงอาทิตย์ทางทิศตะวันออก

17 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าเห็นแล้วใช่ไหม? นี่เป็นเรื่องเล็กน้อยหรือที่พงศ์พันธุ์ยูดาห์ทำสิ่งน่ารังเกียจอย่างที่พวกเขาทำอยู่ที่นี่? พวกเขาทำให้แผ่นดินเต็มไปด้วยความทารุณ และยั่วโมโหเราอยู่เนืองๆ ดูเถิด พวกเขากำลังเย้ยหยันเรา![b] 18 ฉะนั้นเราจะจัดการกับพวกเขาด้วยความโกรธ เราจะไม่เอ็นดูสงสารหรือไว้ชีวิตพวกเขา แม้พวกเขาจะตะโกนใส่หูเรา เราก็จะไม่ฟัง”

สดุดี 46-47

(ถึงหัวหน้านักร้อง บทเพลงของบุตรโคราห์ ตามทำนองอาลาโมธ)

46 พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยและเป็นกำลังของเรา
เป็นความช่วยเหลือที่พร้อมเสมอในยามทุกข์ร้อน
ฉะนั้นเราจะไม่กลัว ถึงแม้โลกจะสั่นสะเทือน
และภูเขาทลายราบลงสู่ใจกลางทะเล
ถึงแม้มหาสมุทรคำรามก้องและซัดคลื่นเป็นฟองฟูฟ่อง
และภูเขาสะเทือนเลื่อนลั่น
เสลาห์

มีแม่น้ำสายหนึ่งที่ให้ความยินดีแก่นครของพระเจ้า
ซึ่งเป็นที่ประทับบริสุทธิ์ขององค์ผู้สูงสุด
พระเจ้าสถิตในนคร นครนั้นจะไม่ล่มสลาย
พระเจ้าจะทรงช่วยในยามรุ่งอรุณ
ประชาชาติทั้งหลายโกลาหลอลหม่าน อาณาจักรต่างๆ ล่มสลาย
พระเจ้าทรงเปล่งพระสุรเสียง แผ่นดินโลกก็หลอมละลายไป

พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์สถิตกับเรา
พระเจ้าของยาโคบทรงเป็นป้อมปราการของเรา
เสลาห์

มาเถิด มาดูพระราชกิจขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ดูความเริศร้างที่พระองค์ทรงนำมาสู่โลก
พระองค์ทรงกระทำให้สงครามยุติทั่วโลก
ทรงหักคันธนู และทำให้หอกหักสะบั้น
พระองค์ทรงเผาโล่[a]
10 “จงนิ่งสงบและรู้ว่าเราเป็นพระเจ้า
เราจะได้รับการยกย่องท่ามกลางประชาชาติ
เราจะได้รับการยกย่องในโลก”

11 พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์สถิตกับเรา
พระเจ้าของยาโคบทรงเป็นป้อมปราการของเรา
เสลาห์

(ถึงหัวหน้านักร้อง บทสดุดีของบุตรโคราห์)

47 ประชาชาติทั้งปวงเอ๋ย จงปรบมือ
จงโห่ร้องยินดีถวายแด่พระเจ้า

เพราะพระยาห์เวห์ผู้สูงสุดนั้นน่าครั่นคร้ามยิ่งนัก
ทรงเป็นจอมกษัตริย์แห่งสากลโลก!
พระองค์ทรงปราบบรรดาประชาชาติให้อยู่ใต้อำนาจของเรา
ทรงปราบชนชาติทั้งหลายให้อยู่ใต้เท้าของเรา
พระองค์ทรงเลือกสรรมรดกให้แก่เรา
ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของยาโคบผู้ที่พระองค์ทรงรัก
เสลาห์

พระเจ้าเสด็จขึ้นท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดี
องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จขึ้นท่ามกลางเสียงแตร
จงร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า จงร้องสรรเสริญ
จงร้องเพลงสรรเสริญองค์กษัตริย์ของเรา จงร้องสรรเสริญ
เพราะพระเจ้าทรงเป็นกษัตริย์แห่งสากลโลก
จงร้องเพลงสดุดี[b]สรรเสริญพระองค์เถิด

พระเจ้าทรงครอบครองเหนือนานาประชาชาติ
พระเจ้าประทับบนพระที่นั่งบริสุทธิ์ของพระองค์
บรรดาเจ้านายของชนชาติทั้งหลายร่วมชุมนุมกัน
เป็นประชากรของพระเจ้าของอับราฮัม
เพราะว่ากษัตริย์[c]ทั้งหลายของแผ่นดินโลกเป็นของพระเจ้า
พระองค์ทรงเป็นที่เทิดทูนสูงสุด

Thai New Contemporary Bible (TNCV)

Thai New Contemporary Bible Copyright © 1999, 2001, 2007 by Biblica, Inc.® Used by permission. All rights reserved worldwide.