Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
2 พงศ์กษัตริย์ 10

เยฮูสังหารลูกหลานของอาหับ

10 อาหับมีบุตรชาย 70 คนในสะมาเรีย เยฮูจึงเขียนสาสน์ส่งไปยังสะมาเรีย ไปถึงบรรดาผู้ปกครองยิสเรเอล หัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ และผู้ดูแลบุตรของอาหับ มีใจความว่า “ทันทีที่สาสน์นี้ถึงมือพวกท่าน บรรดาบุตรของเจ้านายของพวกท่านก็อยู่กับท่าน ท่านมีรถศึกและม้า เมืองที่คุ้มกันไว้อย่างแข็งแกร่ง พร้อมทั้งอาวุธยุทธภัณฑ์ จงเลือกสรรบุตรของเจ้านายของท่านที่เก่งและเหมาะสมที่สุด และแต่งตั้งเขาขึ้นครองบัลลังก์บิดาของเขา เพื่อต่อสู้รักษาพงศ์พันธุ์ของเจ้านายท่าน” แต่พวกเขาหวั่นกลัวยิ่งนัก และพูดว่า “ดูเถิด กษัตริย์ทั้งสองก่อนหน้านี้ยังยืนหยัดต่อสู้กับเขาไม่ไหว แล้วพวกเราจะยืนหยัดอยู่ได้อย่างไร” ดังนั้น ผู้บริหารวัง ผู้จัดการดูแลเมือง บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ และผู้ดูแลบุตร จึงให้คนไปแจ้งเยฮูว่า “พวกเราเป็นผู้รับใช้ของท่าน และเราจะทำทุกสิ่งที่ท่านสั่ง พวกเราจะไม่แต่งตั้งผู้ใดให้เป็นกษัตริย์ ขอท่านกระทำสิ่งที่ท่านเห็นว่าดีที่สุดในสายตาของท่าน” ท่านจึงเขียนสาสน์ฉบับที่สอง มีใจความว่า “ถ้าท่านเป็นฝ่ายเรา และถ้าท่านพร้อมที่จะเชื่อฟังเรา ก็จงนำศีรษะของบรรดาบุตรของเจ้านายของท่านมา เมื่อท่านมาหาเราที่ยิสเรเอลในวันพรุ่งนี้ เวลานี้” ฝ่ายบุตร 70 คนของกษัตริย์อยู่ภายใต้การดูแลของบรรดาผู้เป็นใหญ่ประจำเมืองนั้น และทันทีที่สาสน์ถึงมือพวกเขา เขาก็จับบุตรทั้ง 70 คนของกษัตริย์ฆ่าเสีย และเอาศีรษะใส่ตะกร้าส่งไปให้เยฮูที่ยิสเรเอล เมื่อผู้สื่อสาสน์มาแจ้งท่านว่า “พวกเขานำศีรษะบุตรของกษัตริย์มาแล้ว” ท่านบอกว่า “เอาไปกองไว้เป็น 2 กองที่ทางเข้าประตูเมืองจนถึงรุ่งเช้า” ครั้นรุ่งเช้า ท่านออกไปยืนต่อหน้าประชาชน และพูดว่า “เราเป็นคนที่คิดกบฏต่อเจ้านายของเรา และฆ่าท่านเสีย ซึ่งพวกท่านไม่ต้องรับผิดชอบในเรื่องนั้น แต่ใครฆ่าคนเหล่านี้ 10 ขอให้ท่านทราบว่า ทุกสิ่งเกิดขึ้นกับพงศ์พันธุ์ของอาหับตามคำของพระผู้เป็นเจ้า เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้กระทำตามที่พระองค์กล่าวผ่านเอลียาห์ผู้รับใช้ของพระองค์”[a] 11 เยฮูได้ฆ่าคนทั้งปวงของพงศ์พันธุ์อาหับที่เหลืออยู่ในยิสเรเอล รวมทั้งพวกหัวหน้า เพื่อนสนิท และปุโรหิตของท่าน จนไม่เหลือแม้แต่คนเดียว

12 ครั้นแล้วท่านก็เดินทางเพื่อจะไปยังสะมาเรีย ในระหว่างทางที่ไป ขณะอยู่ที่เบธเอเขดของผู้เลี้ยงแกะ 13 เยฮูพบกับบรรดาญาติของอาหัสยาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ และถามว่า “ท่านเป็นใคร” พวกเขาตอบว่า “พวกเราเป็นญาติของอาหัสยาห์ เราลงมาเยี่ยมเยียนเจ้าชายทั้งปวงและบรรดาบุตรของมารดากษัตริย์” 14 ท่านพูดว่า “จับตัวไปทั้งเป็น” และพวกเขาจับไปทั้งเป็น และก็ได้ฆ่าพวกเขาที่บ่อที่เบธเอเขด รวมได้ 42 คน ไม่เว้นแม้แต่คนเดียว

15 เมื่อท่านไปจากที่นั่นแล้ว ท่านพบเยโฮนาดับบุตรเรคาบที่กำลังมาหาท่าน ท่านทักทายและถามเขาว่า “จิตใจของท่านซื่อตรงต่อเรา เหมือนที่เราซื่อตรงต่อท่านไหม” เยโฮนาดับตอบว่า “ซื่อตรงสิ” เยฮูพูดว่า “ถ้าเช่นนั้น ก็ยื่นมือมาให้เรา” เขาก็ยื่นมือให้ และเยฮูดึงเขาขึ้นรถศึก 16 ท่านพูดว่า “มากับเรา และมาดูความรู้สึกอันแรงกล้าของเราที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้า” ท่านจึงให้เขาขึ้นขี่ในรถศึกของท่าน 17 เมื่อท่านมาถึงสะมาเรีย ท่านก็ฆ่าทุกคนในพงศ์พันธุ์ของอาหับที่เหลืออยู่ทั้งหมดในสะมาเรีย ตามคำที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวแก่เอลียาห์

เยฮูสังหารบรรดาผู้เผยคำกล่าวของเทพเจ้าบาอัล

18 เยฮูเรียกประชาชนทั้งปวงมาประชุม และพูดว่า “อาหับบูชาเทพเจ้าบาอัล[b]เพียงเล็กน้อย แต่เยฮูจะบูชาให้มาก 19 ฉะนั้นจงไปเรียกบรรดาผู้เผยคำกล่าวของเทพเจ้าบาอัลมาหาเรา รวมทั้งผู้นมัสการและปุโรหิตทุกคนของเทพเจ้าบาอัล อย่าให้ผู้ใดขาดหายไป เพราะว่าเรามีเครื่องสักการะใหญ่จะมอบให้แก่เทพเจ้าบาอัล ใครที่พลาดโอกาสนี้จะไม่รอดชีวิตแน่” แต่นี่คือแผนลวงของเยฮู เพื่อกำจัดพวกที่นมัสการเทพเจ้าบาอัล 20 และเยฮูสั่งว่า “จงเตรียมการประชุมอันบริสุทธิ์ให้แก่เทพเจ้าบาอัล” ดังนั้นประชาชนจึงประกาศวันประชุม 21 เยฮูให้ชาวอิสราเอลทราบทั่วหน้ากัน ทุกคนที่นมัสการเทพเจ้าบาอัลก็มากันถ้วนหน้า ไม่มีใครสักคนที่พลาดงานนี้ พวกเขาพากันเข้าไปในวิหารของเทพเจ้าบาอัล จนผู้คนเต็มวิหารจากด้านหนึ่งจรดอีกด้านหนึ่ง 22 ท่านพูดกับคนที่ดูแลเครื่องแต่งกายว่า “จงนำชุดเฉพาะสำหรับผู้นมัสการเทพเจ้าบาอัลออกมาให้พวกเขาทุกคน” เขาจึงนำชุดเฉพาะออกมาให้พวกเขา 23 จากนั้นเยฮูกับเยโฮนาดับบุตรเรคาบก็เข้าไปในวิหารของเทพเจ้าบาอัล และท่านบอกบรรดาผู้นมัสการเทพเจ้าบาอัลว่า “จงตรวจดูให้ดีว่า ไม่มีผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้าอยู่ในที่นี่ในหมู่พวกท่าน มีแต่ผู้นมัสการเทพเจ้าบาอัลเท่านั้น” 24 แล้วท่านกับเยโฮนาดับก็เข้าไปถวายเครื่องบูชาและสัตว์ที่เผาเป็นของถวาย

โดยเยฮูได้สั่งชาย 80 คนยืนประจำอยู่ที่นอกวิหาร และสั่งว่า “ผู้ใดที่ปล่อยให้คนหนึ่งคนใดที่เรามอบไว้ในมือเจ้าหนีออกมาได้ ก็จะต้องชดเชยด้วยชีวิตของตนเอง” 25 ดังนั้น ทันทีที่ท่านมอบสัตว์ที่เผาเป็นของถวายเสร็จสิ้นแล้ว เยฮูสั่งทหารคุ้มกันและพวกนายทหารว่า “เข้าไปข้างใน และสังหารพวกเขาทุกคน อย่าปล่อยให้ผู้ใดหนีออกมาได้แม้แต่คนเดียว” พวกเขาจึงใช้ดาบฆ่าฟันคนเหล่านั้น ทหารคุ้มกันและพวกนายทหารลากศพออกไปทิ้งข้างนอก แล้วก็เข้าไปในห้องที่อยู่ด้านในของวิหารของเทพเจ้าบาอัล 26 พวกเขาแบกเสาออกมาจากวิหารของเทพเจ้าบาอัล และเผาทิ้งเสีย 27 พวกเขาทำลายเสาและวิหารของเทพเจ้าบาอัล และทำให้เป็นส้วมสาธารณะมาจนถึงทุกวันนี้

เยฮูครองราชย์ในอิสราเอล

28 เท่ากับว่า เยฮูได้กำจัดการนมัสการเทพเจ้าบาอัลไปจากอิสราเอลแล้ว 29 แต่เยฮูยังกระทำบาปตามอย่างเยโรโบอัมบุตรเนบัท ซึ่งนำให้อิสราเอลกระทำบาป นั่นคือรูปลูกโคทองคำที่อยู่ในเมืองเบธเอลและเมืองดาน[c] 30 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยฮูว่า “เป็นเพราะว่า เจ้าได้ปฏิบัติสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของเราเป็นอย่างดี และได้กระทำต่อพงศ์พันธุ์ของอาหับตามทุกสิ่งที่เราประสงค์ เราจะให้บรรดาผู้สืบเชื้อสายของเจ้า 4 ชั่วอายุได้นั่งบนบัลลังก์ของอิสราเอล” 31 แต่เยฮูกลับไม่ระมัดระวังที่จะดำเนินชีวิตตามกฎบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอลอย่างสุดจิตสุดใจ ท่านกระทำบาปตามอย่างเยโรโบอัม ซึ่งนำให้อิสราเอลกระทำบาป

32 ในครั้งนั้น พระผู้เป็นเจ้าจึงเริ่มตัดทอนอาณาเขตบางส่วนของอิสราเอลออก ฮาซาเอลโจมตีชนะทุกเขตแดนของอิสราเอล 33 ตั้งแต่ทางตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน แผ่นดินทั้งหมดของกิเลอาด (อาณาเขตที่เป็นของชาวกาด ชาวรูเบน และชาวมนัสเสห์) ตั้งแต่อาโรเออร์ซึ่งอยู่ข้างลุ่มน้ำอาร์โนน คือกิเลอาดและบาชาน 34 กิจอื่นๆ ทั้งสิ้นของเยฮู ทุกสิ่งที่ท่านกระทำ และความสำเร็จด้านยุทธการ ก็ได้มีบันทึกไว้แล้วในหนังสือแห่งพงศาวดารของบรรดากษัตริย์แห่งอิสราเอลมิใช่หรือ 35 ดังนั้นเยฮูสิ้นชีวิตและถูกนำไปวางรวมกับบรรพบุรุษของท่าน ศพถูกบรรจุไว้ในเมืองสะมาเรีย และเยโฮอาหาสบุตรของท่านครองราชย์แทนท่าน 36 เยฮูเป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอลเป็นเวลา 28 ปีในสะมาเรีย

2 ทิโมธี 1

การทักทายของเปาโล

ข้าพเจ้าเปาโลอัครทูตของพระเยซูคริสต์ ตามความประสงค์ของพระเจ้า ตามพระสัญญาแห่งชีวิตที่มีในพระเยซูคริสต์

ถึง ทิโมธีบุตรที่รักของข้าพเจ้า

ขอพระคุณ ความเมตตา และสันติสุขจากพระเจ้า ผู้เป็นพระบิดา และพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา จงอยู่กับท่านเถิด

คำอธิษฐานขอบพระคุณ และให้กำลังใจ

ตลอดทั้งวันทั้งคืน เมื่อข้าพเจ้าอธิษฐานข้าพเจ้าระลึกถึงท่าน ข้าพเจ้าขอบคุณพระเจ้าผู้ที่ข้าพเจ้ารับใช้ด้วยมโนธรรมอันบริสุทธิ์ เช่นเดียวกับบรรพบุรุษของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าระลึกถึงน้ำตาของท่าน และปรารถนาที่จะได้พบท่านเพื่อว่าข้าพเจ้าจะได้มีความยินดียิ่ง ข้าพเจ้าระลึกถึงความเชื่ออันจริงใจของท่าน ซึ่งแต่เดิมก็มีอยู่ในโลอิสคุณยายของท่าน และยูนีสมารดาของท่าน ข้าพเจ้าแน่ใจว่าความเชื่อนั้นอยู่ในตัวท่านเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงขอเตือนให้ท่านหมั่นใช้ของประทาน ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าให้ท่านไว้ โดยการที่ข้าพเจ้าวางมือทั้งสองบนตัวท่าน เพราะพระเจ้าไม่ได้มอบวิญญาณที่ขลาดกลัวแก่เรา แต่เป็นวิญญาณซึ่งมีอานุภาพ ความรัก และการมีวินัย

ฉะนั้น อย่าละอายที่จะเป็นพยานในเรื่องที่เกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าของเรา หรือละอายในตัวข้าพเจ้าที่เป็นนักโทษอยู่เนื่องจากการรับใช้พระองค์ แต่จงร่วมทนทุกข์กับข้าพเจ้า เพื่อเห็นแก่ข่าวประเสริฐโดยอาศัยอานุภาพของพระเจ้า พระองค์ได้ช่วยเราให้รอดพ้น และเรียกเราเพื่อให้เป็นคนบริสุทธิ์ของพระเจ้า ไม่ใช่เป็นเพราะสิ่งที่เรากระทำ แต่เป็นเพราะจุดประสงค์และพระคุณของพระองค์เอง พระคุณนี้ได้ให้แก่เราไว้โดยผ่านพระเยซูคริสต์ก่อนปฐมกาล 10 และเวลานี้ก็ได้ถูกเผยให้เห็นโดยการมาขององค์ผู้ช่วยให้รอดพ้นของเรา คือพระเยซูคริสต์ผู้ได้ทำลายความตายแล้ว และทำให้ชีวิตและความเป็นอมตะประจักษ์แจ้งโดยข่าวประเสริฐ 11 เพราะข่าวประเสริฐนี้ ข้าพเจ้าจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ประกาศ เป็นอัครทูต และเป็นครูอาจารย์ 12 ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงต้องทนทุกข์ทรมาน แต่ข้าพเจ้าไม่ละอาย เพราะข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ที่ข้าพเจ้าเชื่อ และข้าพเจ้ามั่นใจว่า พระองค์สามารถรักษาทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าได้มอบไว้กับพระองค์จนถึงวันนั้นได้ 13 จงรักษาสิ่งที่ท่านได้ยินจากข้าพเจ้าไว้ เพื่อเป็นแบบอย่างของการสั่งสอนอันถูกหลัก ทั้งในความเชื่อและความรักที่มีในพระเยซูคริสต์ 14 จงรักษาสมบัติอันมีค่าที่ได้มอบไว้กับท่าน โดยมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งอยู่ในตัวเราเป็นผู้ช่วย

15 ท่านทราบว่าทุกคนในแคว้นเอเชียได้ละทิ้งข้าพเจ้าไป รวมทั้งฟีเจลัสและเฮอร์โมเกเนสด้วย 16 ขอพระผู้เป็นเจ้าแสดงความเมตตาต่อครอบครัวของโอเนสิโฟรัส เพราะเขาทำให้ข้าพเจ้าเบิกบานใจบ่อยๆ และไม่ละอายที่ข้าพเจ้าถูกล่ามโซ่ 17 แต่ตรงกันข้ามคือเวลาที่เขามาถึงเมืองโรม เขาอุตส่าห์สืบหาข้าพเจ้าจนพบ 18 ขอพระผู้เป็นเจ้าให้ความเมตตาแก่เขาในวันนั้นด้วยเถิด ท่านก็ทราบดีแล้วว่า เขาได้ช่วยเหลือข้าพเจ้ามากเพียงไรที่เมืองเอเฟซัส

โฮเชยา 2

อิสราเอลถูกลงโทษเพราะความไม่ภักดี

จงพูดกับบรรดาพี่น้องผู้ชายดังนี้ว่า ‘พวกท่านเป็นชนชาติของเรา’ และพูดกับบรรดาพี่น้องผู้หญิงว่า ‘พวกท่านได้รับความเมตตา’

จงห้ามแม่ของพวกเจ้า จงห้ามนาง
    เพราะนางไม่ใช่ภรรยาของเรา
    และเราไม่ใช่สามีของนาง
ให้นางกำจัดสีหน้าซึ่งเป็นเยี่ยงหญิงแพศยา
    และกำจัดความไม่ซื่อจากหว่างอกของนางไป
มิฉะนั้น เราจะเปลื้องนางให้เปลือยเปล่า
    และทำให้นางเหลือตัวเปล่าอย่างวันที่นางเกิดมา
และทำให้นางเป็นอย่างถิ่นทุรกันดาร
    และทำให้นางเป็นอย่างแผ่นดินอันแห้งระแหง
    และปล่อยให้นางกระหายน้ำจนสิ้นชีวิต
เราจะไม่มีเมตตาต่อลูกๆ ของนาง
    เพราะพวกเขาเป็นลูกๆ ของความแพศยา
เพราะแม่ของพวกเขาแพศยา
    นางมีครรภ์อันเกิดจากการกระทำอันน่าอับอาย
เพราะนางพูดดังนี้ว่า ‘ฉันจะไล่ตามบรรดาคนรักของฉัน
    ซึ่งให้อาหารและน้ำดื่มแก่ฉัน
    ให้ผ้าขนสัตว์และผ้าป่าน
    ให้น้ำมันและเครื่องดื่มแก่ฉัน’
ฉะนั้น เราจะขวางกั้นทางของนางด้วยขวากหนาม
    และเราจะก่อกำแพงปิดกั้นนาง
    เพื่อนางจะหาทางไม่พบ
นางจะวิ่งตามบรรดาคนรักของนางไป
    แต่จะจับพวกเขาไม่อยู่
และนางจะตามหาพวกเขา
    แต่จะหาไม่พบ
ครั้นแล้ว นางจะพูดว่า
    ‘ฉันจะกลับไปหาสามีคนแรกของฉัน
    เพราะตอนนั้นฉันสบายยิ่งกว่าเวลานี้’
แต่นางไม่รู้เลยว่า เราเป็นผู้ที่ให้
    ธัญพืช เหล้าองุ่น และน้ำมันแก่นาง
และเราเป็นผู้ที่ให้เงินและทองแก่นางอย่างเหลือล้น
    ซึ่งพวกเขาเอาไปใช้สักการะเทวรูปบาอัล[a]
ฉะนั้น เราจะเอาธัญพืชกลับคืน
    เมื่อได้เวลาของมัน
    และเหล้าองุ่นตามฤดูกาลของมัน
และเราจะเอาขนสัตว์และผ้าป่านของเรา
    ซึ่งใช้ปกปิดกายที่เปลือยเปล่าของนางคืนมา
10 บัดนี้ เราจะเปิดเผยความมักมากในกามของนาง
    ต่อหน้าบรรดาคนรักของนาง
    และจะไม่มีใครที่จะช่วยนางให้รอดไปจากมือของเรา
11 และเราจะยุติการเฉลิมฉลองของนางทั้งสิ้น
    งานฉลองเทศกาล วันข้างขึ้น วันสะบาโต
    และเทศกาลที่กำหนดไว้ทั้งสิ้น
12 และเราจะทำลายเถาองุ่นและต้นมะเดื่อของนางจนหมดสิ้น
    อันเป็นสิ่งที่นางพูดว่า
‘สิ่งเหล่านี้เป็นค่าแรง
    ซึ่งบรรดาคนรักของฉันได้ให้แก่ฉัน’
เราจะทำให้ที่เหล่านั้นเป็นป่า
    และสัตว์ในไร่นาจะขย้ำกิน
13 และเราจะลงโทษนางในวันที่นาง
    จุดเครื่องหอมให้แก่บาอัล
เวลาที่นางประดับตัวด้วยแหวนและเพชรพลอย
    และไล่ตามบรรดาคนรักของนางไป แล้วก็ลืมเรา”
    พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น

พระผู้เป็นเจ้ามีเมตตาต่ออิสราเอล

14 “ฉะนั้น ดูเถิด เราจะชวนนาง
    และนำนางเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร
    และพูดกับนางอย่างนุ่มนวล
15 และเราจะมอบสวนองุ่นของนางคืนให้แก่นางที่นั่น
    และจะทำให้หุบเขาอาโคร์[b]เป็นประตูแห่งความหวัง
และนางจะตอบรับเหมือนกับเวลาที่นางอยู่ในวัยรุ่น
    เหมือนกับเวลาที่นางออกจากแผ่นดินอียิปต์”

16 และพระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้ “ในเวลานั้น เจ้าจะเรียกเราว่า ‘สามีของฉัน’ และเจ้าจะไม่เรียกเราว่า ‘บาอัลของฉัน’ อีกต่อไป 17 เพราะเราจะกำจัดชื่อของบาอัลไปจากปากของนาง และชื่อบาอัลจะไม่เป็นที่ระลึกถึงอีกต่อไป 18 ในวันนั้น เราจะทำพันธสัญญากับบรรดาสัตว์ในไร่นา นกในอากาศ และสิ่งที่เลื้อยคลานบนพื้นดิน และเราจะยกเลิกใช้คันธนู ดาบ และสงครามในแผ่นดินเพื่อพวกเขา และเราจะให้พวกเขาได้นอนลงอย่างปลอดภัย 19 และเราจะหมั้นเจ้าไว้กับเราชั่วนิรันดร์กาล เราจะให้หมั้นเจ้าไว้กับเราในความชอบธรรมและความเป็นธรรม ในความรักอันมั่นคงและความเมตตา 20 เราจะหมั้นเจ้าไว้กับเราในความภักดี และเจ้าจะยอมรับรู้พระผู้เป็นเจ้า

21 พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนี้
    “เราจะตอบรับ
และในวันนั้นเราจะตอบรับฟ้าสวรรค์
    และฟ้าสวรรค์จะตอบรับแผ่นดินโลก
22 และแผ่นดินโลกจะตอบรับธัญพืช
    เหล้าองุ่น และน้ำมัน
    และสิ่งเหล่านั้นจะตอบรับยิสเรเอล
23 และเราจะหว่านนางสำหรับเราเองในแผ่นดิน
    และเราจะมีเมตตาต่อผู้ที่ไม่มีความเมตตา[c]
และเราจะพูดกับผู้ที่ไม่ใช่ชนชาติของเราว่า ‘เจ้าเป็นชนชาติของเรา’[d]
    และเขาจะพูดว่า ‘พระองค์เป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า’”

สดุดี 119:97-120

מ เมม

97 ข้าพเจ้ารักกฎบัญญัติของพระองค์ยิ่งนัก
    และเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าใคร่ครวญถึงตลอดวันเวลา
98 พระบัญญัติของพระองค์ทำให้ข้าพเจ้ามีสติปัญญาเกินกว่าพวกศัตรูของข้าพเจ้า
    เพราะพระบัญญัตินั้นอยู่กับข้าพเจ้าเป็นนิตย์
99 ข้าพเจ้ามีความเข้าใจมากกว่าครูทุกคนของข้าพเจ้า
    เพราะข้าพเจ้าใคร่ครวญถึงคำสั่งของพระองค์
100 ข้าพเจ้าหยั่งรู้มากกว่าบรรดาผู้สูงอายุ
    เพราะข้าพเจ้าปฏิบัติตามข้อบังคับของพระองค์
101 ข้าพเจ้ายั้งเท้าไม่ให้ย่างไปในวิถีทางอันชั่วร้ายทั้งปวง
    เพื่อปฏิบัติตามคำกล่าวของพระองค์
102 ข้าพเจ้าไม่ละเลยต่อคำสั่งของพระองค์
    เพราะพระองค์เป็นผู้สอนข้าพเจ้า
103 ถ้อยคำของพระองค์หวานชื่นใจ
    ยิ่งกว่ารสน้ำผึ้งในปากข้าพเจ้า
104 ข้าพเจ้าหยั่งรู้ได้โดยข้อบังคับของพระองค์
    ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงเกลียดชังวิถีทางอันลวงหลอกทั้งปวง

נ นูน

105 คำกล่าวของพระองค์เป็นเสมือนตะเกียงสำหรับเท้าของข้าพเจ้า
    และเป็นแสงส่องทางของข้าพเจ้า
106 ข้าพเจ้าได้ให้คำสาบานและยืนยันแล้วว่า
    จะรักษาคำสั่งอันชอบธรรมของพระองค์
107 ข้าพเจ้าทุกข์ยากแสนสาหัส
    โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดให้ข้าพเจ้ามีชีวิตตามคำกล่าวของพระองค์เถิด
108 โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดรับเครื่องสักการะแห่งการสรรเสริญจากปากของข้าพเจ้า
    และสอนคำสั่งของพระองค์แก่ข้าพเจ้า
109 ข้าพเจ้าบงการชีวิตของข้าพเจ้าเองเสมอ
    แต่ข้าพเจ้าไม่ลืมกฎบัญญัติของพระองค์
110 พวกคนชั่ววางกับดักไว้ลวงข้าพเจ้า
    แต่ข้าพเจ้าไม่ได้หลงผิดไปจากข้อบังคับของพระองค์
111 คำสั่งของพระองค์เป็นสมบัติอันล้ำค่าสำหรับข้าพเจ้าเป็นนิตย์
    อันเป็นความยินดีในใจของข้าพเจ้า
112 ข้าพเจ้าตั้งใจจะกระทำตามกฎเกณฑ์ของพระองค์ไปตลอดกาล
    จนกว่าจะถึงวาระสุดท้าย

ס ซาเมค

113 ข้าพเจ้าเกลียดพวกคนสองจิตสองใจ
    แต่ข้าพเจ้ารักกฎบัญญัติของพระองค์
114 พระองค์เป็นที่หลบภัยและโล่ป้องกันของข้าพเจ้า
    ข้าพเจ้ามีความหวังในคำกล่าวของพระองค์
115 เจ้าพวกทำความชั่ว เจ้าจงไปให้พ้น
    เราตั้งใจทำตามพระบัญญัติของพระเจ้าของเรา
116 โปรดพยุงข้าพเจ้าไว้ตามคำสัญญาของพระองค์ เพื่อข้าพเจ้าจะได้มีชีวิต
    และไม่ผิดไปจากสิ่งที่ข้าพเจ้าหวังไว้
117 โปรดประคองข้าพเจ้าให้ปลอดภัย
    ข้าพเจ้าจะใส่ใจในกฎเกณฑ์ของพระองค์เสมอไป
118 พระองค์ปฏิเสธทุกคนที่ละเลยและห่างหายไปจากกฎเกณฑ์ของพระองค์
    ฉะนั้นการหลอกลวงของพวกเขาจึงไร้ประโยชน์
119 พระองค์กำจัดคนชั่วทั้งปวงในแผ่นดินโลกออกไป เหมือนกำจัดขี้แร่
    ฉะนั้น ข้าพเจ้ารักคำสั่งของพระองค์
120 เนื้อตัวข้าพเจ้าสั่นเทาเพราะหวั่นกลัวในพระองค์
    และข้าพเจ้าเกรงกลัวการตัดสินของพระองค์

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation