M’Cheyne Bible Reading Plan
นำหีบเข้ามาในพระตำหนัก
8 จากนั้นซาโลมอนก็เรียกประชุมที่เยรูซาเล็ม เพื่อให้บรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของอิสราเอล หัวหน้าเผ่าทุกคน และบรรดาหัวหน้าตระกูลของชาวอิสราเอล เป็นผู้นำหีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า ขึ้นมาจากเมืองของดาวิด คือศิโยน 2 ชาวอิสราเอลทั้งปวงรวมตัวกันเข้ามาเฝ้ากษัตริย์ซาโลมอนระหว่างงานเทศกาลในเดือนเอธานิม ซึ่งเป็นเดือนที่เจ็ด 3 เมื่อบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของอิสราเอลมาถึง พวกปุโรหิตก็ยกหีบ 4 และพวกเขาได้นำหีบของพระผู้เป็นเจ้า กระโจมที่นัดหมาย และภาชนะอันบริสุทธิ์ทั้งหมดในกระโจมขึ้นมา พวกปุโรหิตและชาวเลวีหามสิ่งเหล่านั้น 5 กษัตริย์ซาโลมอนและชาวอิสราเอลทั้งมวลที่รวมตัวอยู่ด้วยกันกับท่าน ณ เบื้องหน้าหีบ ได้ถวายแกะและโคมากมายจนนับไม่ถ้วน 6 แล้วเหล่าปุโรหิตก็ได้นำหีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้ามายังพระตำหนักชั้นในของพระวิหาร คือในอภิสุทธิสถาน โดยวางไว้ที่ใต้ปีกเครูบทั้งสอง 7 ด้วยว่าเครูบกางปีกขึ้นปกเหนือที่วางหีบ เพื่อโอบหีบและคานหาม 8 คานหามนั้นยาวมากจนมองเห็นปลายทั้งสองข้างได้จากวิสุทธิสถานซึ่งอยู่ด้านหน้าพระตำหนักชั้นใน แต่มองไม่เห็นจากลานด้านนอก และคานหามก็ยังอยู่ที่นั่นมาจนถึงทุกวันนี้ 9 ในหีบไม่มีสิ่งใดนอกจากแผ่นศิลา 2 แผ่นที่โมเสสบรรจุไว้เมื่ออยู่ที่โฮเรบ ที่ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้ทำพันธสัญญากับบรรดาผู้สืบเชื้อสายของอิสราเอล ในช่วงเวลาที่พวกเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ 10 และเมื่อปุโรหิตออกจากวิสุทธิสถาน เมฆก้อนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า 11 ทำให้บรรดาปุโรหิตไม่สามารถยืนปฏิบัติหน้าที่ได้เนื่องจากเมฆก้อนนั้น เพราะพระบารมีของพระผู้เป็นเจ้าได้ปรากฏขึ้นในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า
ซาโลมอนสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า
12 ครั้นแล้วซาโลมอนกล่าวว่า “พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวว่า พระองค์จะพำนักอยู่ในเมฆอันมืดทึบ[a] 13 ข้าพเจ้าได้สร้างพระตำหนักอันงามตระการถวายแด่พระองค์ เพื่อเป็นสถานที่ให้พระองค์พำนักตลอดไป” 14 แล้วกษัตริย์ก็หันมายังที่ประชุมของอิสราเอลซึ่งกำลังยืนอยู่ และให้พรแก่พวกเขา 15 ท่านกล่าวว่า “สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล พระองค์ได้กระทำตามสัญญาด้วยวาจาที่ได้ให้แก่ดาวิดบิดาของเราด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ พระองค์กล่าวว่า 16 ‘นับตั้งแต่วันที่เรานำอิสราเอลชนชาติของเราออกจากแผ่นดินอียิปต์ เราไม่ได้เลือกเมืองใดจากเผ่าต่างๆ ของอิสราเอล เพื่อสร้างตำหนักให้เป็นที่ยกย่องนามของเรา แต่เราเลือกดาวิดมาเป็นผู้ปกครองอิสราเอลชนชาติของเรา’ 17 ดาวิดบิดาของเราตั้งใจจะสร้างพระตำหนักเพื่อยกย่องพระนามของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล 18 แต่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับดาวิดบิดาของเราว่า ‘เพราะว่าเจ้าตั้งใจจะสร้างตำหนักเพื่อยกย่องนามของเรา ความตั้งใจของเจ้านั้นดี 19 อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เจ้าที่จะเป็นผู้สร้างตำหนัก แต่บุตรของเจ้าที่จะเกิดแก่เจ้า จะเป็นผู้สร้างตำหนักเพื่อยกย่องนามของเรา’[b] 20 บัดนี้พระผู้เป็นเจ้าก็ได้กระทำตามสัญญา เพราะว่าเราได้ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งของดาวิดบิดาของเรา และนั่งครองบัลลังก์ของอิสราเอล อย่างที่พระผู้เป็นเจ้าได้สัญญาไว้ และเราได้สร้างพระตำหนักเพื่อยกย่องพระนามของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล 21 และเราได้จัดที่ไว้ในนั้นสำหรับหีบพันธสัญญาซึ่งมีแผ่นพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งพระองค์ทำไว้กับบิดาทั้งหลายของพวกเรา เมื่อครั้งที่พระองค์นำพวกเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์”
ซาโลมอนอธิษฐานในงานถวาย
22 ครั้นแล้วซาโลมอนก็ยืน ณ เบื้องหน้าแท่นบูชาของพระผู้เป็นเจ้า ต่อหน้าที่ประชุมของอิสราเอล และยกมือขึ้นสู่สวรรค์ 23 และกล่าวว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล ไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่เหมือนพระองค์ ทั้งในสวรรค์เบื้องบนหรือในโลกเบื้องล่าง พระองค์รักษาพันธสัญญา และแสดงความรักอันมั่นคงต่อบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ ที่ดำเนินชีวิตในวิถีทางของพระองค์ด้วยใจจริง 24 พระองค์ได้รักษาสัญญากับดาวิดบิดาของข้าพเจ้า ผู้รับใช้ของพระองค์ พระองค์ได้สัญญาด้วยวาจาของพระองค์ และกระทำตามสัญญาด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ในวันนี้ 25 ฉะนั้น บัดนี้ โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของอิสราเอล โปรดรักษาสัญญาที่พระองค์ได้ให้แก่ดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ บิดาของข้าพเจ้า ดังคำของพระองค์ที่ว่า ‘เจ้าจะไม่ขาดคนที่จะนั่งครองบัลลังก์ของอิสราเอล ณ เบื้องหน้าเรา หากบรรดาบุตรของเจ้าใส่ใจในวิถีทางของเขา ให้ดำเนินชีวิต ณ เบื้องหน้าเรา เหมือนกับที่เจ้าได้กระทำมา’ 26 ฉะนั้น โอ พระเจ้าของอิสราเอล ขอพระองค์ยืนยันคำที่พระองค์ได้กล่าวกับดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ ผู้เป็นบิดาของข้าพเจ้าด้วยเถิด
27 แต่พระเจ้าจะพำนักอยู่ในโลกหรือ ดูเถิด สวรรค์เบื้องบนและฟ้าสวรรค์ที่อยู่เกินเอื้อมยังจำกัดพระองค์ไม่ได้ แล้วพระตำหนักที่ข้าพเจ้าสร้างขึ้นมาหลังนี้จะเล็กน้อยกว่านั้นเพียงไร 28 แต่กระนั้นพระองค์ยังสนใจคำอธิษฐานและคำวิงวอนของผู้รับใช้ของพระองค์ โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า ขอโปรดฟังเสียงร้องและคำอธิษฐานที่ผู้รับใช้ของพระองค์อธิษฐาน ณ เบื้องหน้าพระองค์ในวันนี้ 29 ขอพระองค์เฝ้าดูพระตำหนักหลังนี้ตลอดทั้งวันและคืนเถิด นี่เป็นสถานที่ซึ่งพระองค์กล่าวถึงว่า ‘นามของเราจะเป็นที่ยกย่องที่นั่น’ ขอพระองค์ฟังคำอธิษฐานของผู้รับใช้ของพระองค์ เวลาที่เราหันหน้าอธิษฐานมาทางสถานที่แห่งนี้ 30 และขอพระองค์ฟังคำขอร้องของผู้รับใช้ของพระองค์ และของอิสราเอลชนชาติของพระองค์เมื่อเขาหันหน้าอธิษฐานมาทางสถานที่แห่งนี้ และเมื่อพระองค์ได้ยินในสวรรค์ซึ่งเป็นที่พระองค์พำนัก ก็โปรดให้อภัยด้วยเถิด
31 ถ้าหากว่าผู้ใดกระทำบาปต่อเพื่อนบ้านของตน และต้องให้คำสาบาน เวลาที่เขามาและสาบาน ณ เบื้องหน้าแท่นบูชาในพระตำหนักนี้ 32 ก็ขอพระองค์ได้ยินในสวรรค์ ขอโปรดตอบและพิพากษาบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ ลงโทษผู้ที่ทำผิดตามความผิดของเขา และโปรดช่วยให้ผู้บริสุทธิ์พิสูจน์ได้ว่าเขาไม่มีความผิด และพ้นข้อหาตามความบริสุทธิ์ของเขา
33 เวลาที่อิสราเอลชนชาติของพระองค์พ่ายแพ้ศัตรู เพราะพวกเขากระทำบาปต่อพระองค์ และหันกลับมาหาพระองค์ และยอมรับพระนามของพระองค์ เขาจะอธิษฐานและวิงวอนต่อพระองค์ในพระตำหนักนี้ 34 ก็ขอพระองค์โปรดฟังจากสวรรค์ และให้อภัยบาปของอิสราเอลชนชาติของพระองค์ และนำพวกเขามายังแผ่นดินซึ่งพระองค์ได้มอบให้แก่บรรพบุรุษของพวกเขาอีก
35 เมื่อฟ้าสวรรค์ปิดและไม่เอื้อฝนเนื่องจากพวกเขาได้กระทำบาปต่อพระองค์ ถ้าหากว่าพวกเขาอธิษฐานโดยหันมาทางสถานที่นี้ และยอมรับพระนามของพระองค์ และหยุดกระทำบาป หลังจากที่พระองค์ให้พวกเขารับทุกข์ทรมาน 36 ก็ขอพระองค์โปรดฟังจากสวรรค์ และให้อภัยบาปของบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ คืออิสราเอลชนชาติของพระองค์ เมื่อพระองค์สอนในวิถีทางที่ดีซึ่งพวกเขาควรดำเนิน แล้วพระองค์โปรดให้ฝนโปรยลงบนแผ่นดินซึ่งพระองค์ได้มอบให้แก่ชนชาติของพระองค์เป็นมรดก
37 ถ้าหากว่าเกิดทุพภิกขภัยในแผ่นดิน หรือเกิดภัยพิบัติ ลมร้อนแห้ง หรือเชื้อรา ตั๊กแตน หรือตัวบุ้ง ถ้าหากว่าศัตรูใช้กำลังล้อมพวกเขาในแผ่นดิน ที่ตามประตูเมือง ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติหรือการเจ็บไข้ได้ป่วยใดๆ ก็ตาม 38 ถ้าหากว่าผู้ใดหรืออิสราเอลชนชาติของพระองค์อธิษฐานหรือวิงวอนในเรื่องใดก็ตาม เมื่อแต่ละคนทราบความทุกข์ใจของตน และเขาเหยียดมือออกมาทางพระตำหนักนี้ 39 ก็ขอพระองค์ฟังจากสวรรค์ซึ่งเป็นที่พำนักของพระองค์ และโปรดให้อภัย และตอบสนอง และกระทำต่อพวกเขาตามความประพฤติของแต่ละคน (เพราะว่าพระองค์ผู้เดียว พระองค์ทราบถึงจิตใจของมนุษย์ทั้งปวง) 40 เพื่อพวกเขาจะเกรงกลัวพระองค์ ตลอดเวลาที่พวกเขาอาศัยอยู่ในแผ่นดินซึ่งพระองค์มอบให้แก่บรรพบุรุษของพวกเรา
41 ในทำนองเดียวกัน เมื่อชาวต่างแดนซึ่งไม่ใช่อิสราเอลชนชาติของพระองค์มาจากดินแดนแสนไกล เพราะพระนามของพระองค์ 42 (เพราะเขาจะได้ยินถึงพระนามอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ อานุภาพและพลานุภาพของพระองค์ และสิ่งที่พระองค์กระทำ) เมื่อเขามาและอธิษฐานมาทางพระตำหนักนี้ 43 ขอพระองค์ฟังจากสวรรค์ซึ่งเป็นที่พำนักของพระองค์ และโปรดทำตามที่ชาวต่างแดนทั้งปวงร้องขอต่อพระองค์ เพื่อชนชาติทั้งปวงบนโลกจะได้รู้จักพระนามของพระองค์ และเกรงกลัวพระองค์ อย่างที่อิสราเอลชนชาติของพระองค์รู้จัก และพวกเขาจะทราบว่าพระตำหนักที่ข้าพเจ้าสร้างหลังนี้ได้รับเรียกว่าเป็นของพระองค์
44 ถ้าหากว่าชนชาติของพระองค์ออกศึกสู้กับศัตรู ไม่ว่าที่ใดก็ตาม และพวกเขาอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า โดยหันมาทางเมืองที่พระองค์ได้เลือก และพระตำหนักที่ข้าพเจ้าได้สร้างเพื่อพระนามของพระองค์ 45 ก็ขอพระองค์ฟังคำอธิษฐานและคำวิงวอนของพวกเขาในสวรรค์ และช่วยเหลือพวกเขา
46 ถ้าหากว่าพวกเขาทำบาปต่อพระองค์ เนื่องจากว่าไม่มีผู้ใดที่ไม่ทำบาป[c] พระองค์จะโกรธกริ้วพวกเขา และให้ศัตรูจับตัวพวกเขาไปเป็นเชลยในดินแดนของศัตรูที่อยู่ไกลหรือใกล้ 47 แต่ถ้าพวกเขามีใจสำนึกได้เมื่ออยู่ในดินแดนที่ตนถูกจับไปเป็นเชลย โดยการกลับใจและขอร้องพระองค์จากดินแดนนั้น กล่าวว่า ‘พวกเราได้กระทำบาป ประพฤติผิด และกระทำตัวเลวทราม’ 48 ถ้าหากว่าพวกเขากลับใจอย่างสุดดวงใจและสุดดวงจิต ในดินแดนของศัตรูที่จับพวกเขาไปเป็นเชลย และอธิษฐานต่อพระองค์โดยหันมาทางแผ่นดินของพวกเขา ซึ่งพระองค์มอบให้แก่บรรพบุรุษ เมืองที่พระองค์ได้เลือก และพระตำหนักที่ข้าพเจ้าสร้างไว้เพื่อพระนามของพระองค์ 49 ก็ขอพระองค์โปรดฟังคำอธิษฐานและคำวิงวอนในสวรรค์ซึ่งเป็นที่พำนักของพระองค์ และช่วยเหลือพวกเขา 50 และให้อภัยชนชาติของพระองค์ ที่ได้ทำบาปต่อพระองค์ และละเมิดกฎในทุกข้อซึ่งขัดต่อพระองค์ โปรดเมตตาพวกเขาต่อหน้าศัตรูที่จับไปเป็นเชลย เพื่อศัตรูจะได้เมตตาพวกเขาด้วย 51 (เพราะว่าพวกเขาเป็นชนชาติของพระองค์ และเป็นบรรดาผู้สืบมรดกของพระองค์ ที่พระองค์นำออกจากประเทศอียิปต์ จากท่ามกลางเตาผิงเหล็ก) 52 ขอพระองค์เฝ้าดูคำวิงวอนของผู้รับใช้ของพระองค์ และคำวิงวอนของอิสราเอลชนชาติของพระองค์ เมื่อใดที่พวกเขาร้องขอพระองค์ ก็โปรดฟังพวกเขาเถิด 53 เพราะว่าพระองค์แยกพวกเขาออกจากชนชาติทั้งหลายในโลก เพื่อเป็นผู้สืบมรดกของพระองค์ ตามที่พระองค์ประกาศผ่านโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์[d] ในคราวที่พระองค์นำบรรพบุรุษของเราออกจากอียิปต์ โอ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่”
ซาโลมอนอธิษฐานขอพร
54 ครั้นซาโลมอนอธิษฐานวิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าเสร็จสิ้นแล้ว ท่านจึงลุกขึ้นจากบริเวณแท่นบูชาของพระผู้เป็นเจ้า ที่ที่ท่านได้คุกเข่าพร้อมกับเหยียดแขนขึ้นสู่สวรรค์ 55 และท่านยืนให้พรที่ประชุมทั้งหมดของอิสราเอลด้วยเสียงอันดังว่า 56 “สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า ผู้ให้อิสราเอลชนชาติของพระองค์ได้รับความสงบสุข ตามคำสัญญาที่พระองค์ให้ไว้ทุกประการ พระองค์มิได้ผิดคำพูดไปจากสิ่งดีทุกสิ่งในสัญญาของพระองค์ ที่กล่าวผ่านโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์ 57 ขอพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเรา สถิตกับพวกเราเหมือนที่พระองค์ได้สถิตกับบรรพบุรุษของเราเถิด ขอพระองค์อย่าจากเราไปหรือทอดทิ้งพวกเราไปเลย 58 พระองค์จะได้โน้มจิตใจของเราเข้าหาพระองค์ เพื่อดำเนินตามวิถีทางของพระองค์ และรักษาพระบัญญัติ กฎเกณฑ์ และคำบัญชา ดังที่พระองค์บัญชาแก่บรรพบุรุษของพวกเรา 59 ขอให้คำอธิษฐานของเราที่ได้วิงวอนขอต่อพระผู้เป็นเจ้า จงอยู่กับพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราตลอดวันและคืน และขอให้พระองค์ช่วยเหลือผู้รับใช้ของพระองค์ และช่วยเหลืออิสราเอลชนชาติของพระองค์ ตามความจำเป็นของแต่ละวัน 60 เพื่อว่าชนชาติทั้งปวงในโลกจะได้ทราบว่าพระผู้เป็นเจ้าเป็นพระเจ้า และไม่มีพระเจ้าอื่นใดทั้งสิ้น 61 ฉะนั้น ขอให้ใจของพวกท่านภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเรา ดำเนินตามกฎเกณฑ์ และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ เหมือนที่กำลังปฏิบัติอยู่ในวันนี้”
ซาโลมอนถวายเครื่องสักการะ
62 จากนั้นกษัตริย์และชาวอิสราเอลทั้งปวงก็ได้พร้อมกันถวายเครื่องสักการะ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า 63 ซาโลมอนถวายโค 22,000 ตัว แกะ 120,000 ตัวแด่พระผู้เป็นเจ้า เพื่อเป็นของถวายเพื่อสามัคคีธรรม เท่ากับว่ากษัตริย์และชาวอิสราเอลได้ถวายพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าแล้ว 64 ในวันเดียวกันนั้น กษัตริย์ก็ได้ทำพิธีชำระให้ส่วนกลางของลานที่อยู่หน้าพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าบริสุทธิ์ เพราะท่านได้มอบสัตว์ที่เผาเป็นของถวาย เครื่องธัญญบูชา และไขมันจากของถวายเพื่อสามัคคีธรรมที่นั่น เนื่องจากแท่นบูชาทองสัมฤทธิ์ที่อยู่ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้านั้นเล็กเกินไปสำหรับสัตว์ที่เผาเป็นของถวาย เครื่องธัญญบูชา และไขมันจากของถวายเพื่อสามัคคีธรรม
65 ในเวลานั้นซาโลมอนฉลองเทศกาลนานถึง 7 วันกับอีก 7 วัน รวมเป็น 14 วันร่วมกับอิสราเอลทั้งปวง ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเรา มีผู้ร่วมงานด้วยเป็นจำนวนมากจากบริเวณใกล้เลโบฮามัทไปจนถึงธารน้ำของอียิปต์ 66 ในวันที่แปด ท่านให้ประชาชนกลับบ้านไป เขาเหล่านั้นก็อวยพรกษัตริย์ และกลับบ้านของตนด้วยความยินดีและใจเปรมปรีดิ์ที่พระผู้เป็นเจ้าได้กระทำสิ่งดีๆ ทั้งปวงแก่ดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์และแก่อิสราเอลชนชาติของพระองค์
5 ฉะนั้น จงทำตามอย่างพระเจ้า ให้สมกับที่เป็นบุตรที่รักของพระองค์ 2 และทำทุกสิ่งในชีวิตด้วยความรัก เหมือนกับที่พระคริสต์ได้รักเราและสละชีวิตของพระองค์เพื่อเรา ดั่งเครื่องถวายและเครื่องสักการะที่หอมกรุ่นซึ่งเป็นที่พอใจของพระเจ้า
3 แต่อย่าให้มีการประพฤติผิดทางเพศ หรือเกี่ยวข้องกับมลทินทุกชนิด หรือมีความโลภในหมู่ท่านแม้แต่น้อย เพราะไม่เหมาะแก่ผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า 4 ไม่ควรพูดหยาบโลนและไร้สาระ หรือไม่ควรกล่าวคำล้อเล่นหยาบโลน แต่ควรกล่าวคำขอบคุณพระเจ้ามากกว่า 5 ท่านมั่นใจอย่างแน่นอนได้ว่า คนที่ประพฤติผิดทางเพศหรือยุ่งกับความสกปรกโสมมหรือความโลภ (คนโลภนับว่าเป็นคนประเภทบูชารูปเคารพ) ไม่มีส่วนร่วมในอาณาจักรของพระคริสต์และพระเจ้า 6 อย่าให้ใครหลอกลวงท่านด้วยคำพูดเหลวไหล เพราะด้วยเหตุเหล่านี้ การลงโทษของพระเจ้าจึงตกอยู่กับคนที่ไม่เชื่อฟัง 7 ฉะนั้นอย่าข้องเกี่ยวกับคนเหล่านั้น 8 ด้วยว่าแต่ก่อนท่านเคยอยู่ในความมืด แต่เดี๋ยวนี้ท่านอยู่ในความสว่างในพระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตเหมือนบรรดาบุตรแห่งความสว่างเถิด 9 ด้วยว่าผลแห่งความสว่างคือความดีทุกประการ ความชอบธรรม และความจริง 10 จงพยายามเรียนให้รู้ว่าสิ่งใดเป็นที่พอใจของพระผู้เป็นเจ้า 11 อย่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำของความมืดอันไร้ประโยชน์ แต่จงเปิดโปงให้คนรู้ 12 ด้วยว่า เป็นที่น่าละอายแม้จะมีผู้ใดกล่าวถึงพวกที่ไม่เชื่อฟังว่าเขากระทำอะไรบ้างในที่ลับ 13 แต่เมื่อสิ่งใดถูกเปิดโปงออกโดยความสว่าง สิ่งนั้นก็จะเป็นที่รู้แจ้งเห็นจริง 14 ด้วยว่าความสว่างทำให้เห็นทุกสิ่ง จึงมีคำกล่าวว่า
“ผู้หลับใหลเอ๋ย จงตื่นเถิด
จงฟื้นขึ้นจากความตาย
และพระคริสต์จะส่องความสว่างให้แก่ท่าน”
15 ฉะนั้น จงระวังให้ดีว่าท่านใช้ชีวิตอย่างไร อย่าเป็นเหมือนคนไร้ปัญญาแต่เป็นเช่นคนมีปัญญา 16 จงทำดีที่สุดในทุกโอกาสเพราะยามนี้เป็นเวลาแห่งความชั่ว 17 ดังนั้น อย่าโง่เขลา แต่จงเข้าใจว่าพระผู้เป็นเจ้ามีความประสงค์อย่างไร 18 อย่าเมาเหล้าองุ่นซึ่งนำไปสู่ราคะตัณหา แต่จงเปี่ยมล้นด้วยพระวิญญาณ 19 จงสนทนากันด้วยการใช้คำจากสดุดี เพลงนมัสการ และเพลงฝ่ายวิญญาณ จงร้องเพลงและร้องสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าจากใจท่าน 20 จงขอบคุณพระเจ้า ผู้เป็นพระบิดาสำหรับทุกสิ่งในพระนามของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา 21 จงยอมเชื่อฟังกันและกันเพราะความยำเกรงในพระคริสต์
สามีและภรรยา
22 ภรรยาจงยอมเชื่อฟังสามีของตนเหมือนเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า 23 ด้วยว่าสามีเป็นเสมือนศีรษะของภรรยา เช่นเดียวกับพระคริสต์ผู้เป็นเสมือนศีรษะของคริสตจักรซึ่งเปรียบเสมือนกายของพระองค์ และพระองค์เป็นผู้ช่วยให้รอดพ้นของคริสตจักร 24 คริสตจักรยอมเชื่อฟังพระคริสต์เช่นไร ภรรยาควรยอมเชื่อฟังสามีในทุกสิ่งก็เช่นนั้น
25 สามีจงรักภรรยาเช่นเดียวกับที่พระคริสต์รักคริสตจักร และสละชีวิตของพระองค์เองให้แก่คริสตจักร 26 เพื่อให้คริสตจักรบริสุทธิ์ด้วยน้ำที่ชำระด้วยคำกล่าวของพระเจ้า 27 เพื่อว่าพระองค์จะได้รับคริสตจักรที่งดงามตระการมาเป็นของพระองค์ ไม่มีด่างพร้อยรอยตำหนิ หรือสิ่งมลทินทำนองนั้น แต่จะเป็นคริสตจักรที่บริสุทธิ์ปราศจากข้อตำหนิ 28 ดังนั้น สามีควรรักภรรยาของตนเหมือนรักร่างกายของตนเอง ผู้ที่รักภรรยาของตนย่อมรักตนเอง 29 ด้วยว่าไม่มีใครที่เกลียดชังตนเอง แต่เลี้ยงดูและทะนุถนอมไว้ เหมือนกับที่พระคริสต์กระทำต่อคริสตจักร 30 เพราะเราเป็นเสมือนส่วนต่างๆ ของกายของพระองค์ 31 “ด้วยเหตุนี้ ชายจึงจากบิดามารดาไปผูกพันอยู่กับภรรยาของตน และทั้งสองจะเป็นหนึ่งเดียวกัน”[a] 32 นี่เป็นข้อลึกลับซับซ้อน แต่ข้าพเจ้ากำลังพูดถึงพระคริสต์และคริสตจักร 33 อย่างไรก็ตาม ท่านทุกคนจงรักภรรยาของตนให้เหมือนกับรักตนเอง และภรรยาจงเคารพสามีของตน
เผยความกล่าวโทษโกก
38 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 2 “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงหันหน้าสู่โกกในแผ่นดินมาโกก หัวหน้าผู้ยิ่งใหญ่ของเมเชคและทูบัล และเผยความกล่าวโทษเขา 3 และจงพูดว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า ‘ดูเถิด โกกเอ๋ย เราต่อต้านเจ้า เจ้าเป็นหัวหน้าผู้ยิ่งใหญ่ของเมเชคและทูบัล 4 เราจะทำให้เจ้าหันกลับไปและใช้เบ็ดเกี่ยวขากรรไกรของเจ้า และเราจะลากเจ้าออกมา พร้อมด้วยกองทัพของเจ้าทั้งหมด ม้าและทหารม้าพร้อมอาวุธ ประชาชนจำนวนมากต่างถือโล่ ดั้ง และใช้ดาบ 5 เปอร์เซีย คูช และพูตจะอยู่ด้วยกับพวกเขา ทุกคนมีโล่และหมวกเหล็ก 6 โกเมอร์และกองทหารของเขาทั้งหมด และเบธโทการ์มาห์จากเหนือสุดพร้อมด้วยกองทหารทั้งหมด ชนชาติจำนวนมากอยู่กับเจ้า
7 จงเตรียมพร้อม จงพร้อมอยู่เสมอ เจ้าและประชาชนของเจ้าทั้งหมดที่มารวมกันอยู่รอบข้างเจ้า จงเฝ้าระวังเพื่อพวกเขา 8 ระยะหนึ่งหลังจากนั้นเจ้าจะถูกเรียกตัว หลายปีต่อมาเจ้าจะบุกแผ่นดินแห่งหนึ่งซึ่งได้รับการฟื้นฟูจากสงคราม ประชาชนในแผ่นดินนั้นถูกรวบรวมมาจากหลายชนชาติและนำกลับมาสู่ภูเขาของอิสราเอล ซึ่งถูกทิ้งให้ร้างเป็นเวลานาน พวกเขาถูกนำมาจากบรรดาชนชาติ และบัดนี้ทุกคนก็อาศัยอยู่อย่างปลอดภัย 9 เจ้าจะรุกไปข้างหน้าอย่างพายุ เจ้าจะเป็นดั่งก้อนเมฆที่เคลือบคลุมแผ่นดิน เจ้าและกองทหารของเจ้าทั้งหมด ชนชาติจำนวนมากอยู่กับเจ้า’”
10 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “ในวันนั้นจะมีความคิดผุดขึ้นในใจของเจ้าและเจ้าจะวางแผนการชั่วร้าย 11 และเจ้าจะพูดว่า ‘เราจะขึ้นไปต่อสู้กับแผ่นดินที่หมู่บ้านต่างๆ ที่ไม่มีกำแพงขวางกั้น เราจะโจมตีประชาชนที่มีสันติซึ่งอาศัยอยู่อย่างปลอดภัย พวกเขาทุกคนอาศัยอยู่โดยไม่ต้องมีกำแพง ไม่มีประตูและดาล 12 เราจะปล้นและริบของไป และจะโจมตีที่อยู่อาศัยของผู้คนซึ่งเมื่อก่อนเคยเป็นที่ร้าง โจมตีชนชาติที่ถูกรวบรวมมาจากบรรดาประชาชาติ และบัดนี้พวกเขามีฝูงสัตว์และสินค้า และอยู่อาศัยในแหล่งซึ่งเป็นศูนย์กลางของแผ่นดินโลก’ 13 เช-บา เดดาน บรรดาพ่อค้าแห่งทาร์ชิช และบรรดาผู้นำทั้งปวงจะพูดกับเจ้าว่า ‘ท่านมาเพื่อปล้นของหรือ ท่านได้ให้ผู้คนของท่านเตรียมริบของไป ขนเงินและทอง และต้อนฝูงสัตว์และขนสินค้า เป็นการยึดของที่ปล้นมาอย่างนั้นหรือ’”
14 ฉะนั้น บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงเผยความและบอกโกกว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ “ในวันนั้น เมื่ออิสราเอลชนชาติของเราอยู่อาศัยอย่างปลอดภัย เจ้าจะไม่รู้หรือ 15 เจ้าจะมาจากที่ของเจ้า ซึ่งอยู่ไกลสุดทางทิศเหนือ เจ้าจะมากับบรรดาชนชาติจำนวนมาก ทุกคนขี่ม้ามา ประชาชนกลุ่มใหญ่ กองทัพซึ่งเก่งกล้า 16 เจ้าจะมาโจมตีอิสราเอลชนชาติของเรา ดั่งก้อนเมฆที่เคลือบคลุมแผ่นดิน ในวาระที่จะถึง เราจะนำเจ้ามาโจมตีแผ่นดินของเรา โอ โกกเอ๋ย บรรดาประชาชาติจะรู้จักเรา เมื่อเราแสดงให้พวกเขาเห็นว่าเราบริสุทธิ์ต่อหน้าพวกเขาโดยผ่านตัวเจ้า”
17 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “เจ้ามิใช่หรือที่เราพูดถึงในสมัยก่อนโดยผ่านผู้รับใช้ของเรา คือบรรดาผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าที่อยู่ในอิสราเอลในเวลานั้นได้เผยความเป็นเวลาหลายปีว่า เราจะนำเจ้ามาโจมตีพวกเขา 18 แต่ในวันนั้น วันที่โกกจะมาโจมตีแผ่นดินอิสราเอล” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนี้ว่า “การลงโทษของเราพลุ่งขึ้นในความโกรธของเรา 19 เพราะความหวงแหนของเราและความกริ้วที่ลุกเป็นไฟของเรา เราประกาศว่า ในวันนั้นจะมีแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในแผ่นดินของอิสราเอล 20 หมู่ปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศ สัตว์ในทุ่งนา สัตว์เลื้อยคลานทุกชนิดบนพื้นดิน และทุกคนบนแผ่นดินโลกจะครั่นคร้าม ณ เบื้องหน้าเรา ภูเขาจะถล่มลง หน้าผาจะพังลง และกำแพงทุกแห่งจะพังทลายบนพื้นดิน 21 เราจะให้มีการปะทะกับโกกบนภูเขาของเราทุกลูก ดาบของผู้ชายทุกคนจะต่อสู้ฆ่าฟันกันและกัน” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น 22 “เราจะลงโทษเขาด้วยโรคระบาดและการหลั่งเลือด เราจะหลั่งฝนให้เกิดกระแสน้ำ พายุลูกเห็บ กำมะถันและไฟลงบนตัวเขาและกองทหารของเขา และบนบรรดาชนชาติจำนวนมากที่อยู่กับเขา 23 ดังนั้น เราจะแสดงความยิ่งใหญ่และความบริสุทธิ์ของเรา และให้เป็นที่รู้จักในสายตาของประชาชาติจำนวนมาก แล้วพวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า
ความรักอันมั่นคงของพระเจ้า
เพลงสดุดีแห่งความฉลาดรอบรู้ของเอธาน ชาวเอศราค
1 ข้าพเจ้าจะร้องเพลงถึงความรักอันมั่นคงของพระผู้เป็นเจ้าไปตลอดกาล
ข้าพเจ้าจะทำให้ความสัตย์จริงของพระองค์เป็นที่รู้จักไปทุกกาลสมัยด้วยปากของข้าพเจ้า
2 เพราะข้าพเจ้าได้ประกาศแล้วว่า ความรักอันมั่นคงของพระองค์จะยืนยงตลอดกาล
พระองค์สร้างความสัตย์จริงอย่างมั่นคงในฟ้าสวรรค์
3 พระองค์กล่าวว่า “เราได้ทำพันธสัญญากับผู้ที่ได้รับเลือกไว้
เราได้ปฏิญาณกับดาวิด ผู้รับใช้ของเรา
4 ‘เราจะทำให้เชื้อสายของเจ้าสืบต่อกันไปจนชั่วนิรันดร์กาล
ทำให้บัลลังก์ของเจ้ามั่นคงทุกชั่วอายุคน’” เซล่าห์
5 โอ พระผู้เป็นเจ้า สวรรค์ได้สรรเสริญการกระทำอัศจรรย์ของพระองค์
และความสัตย์จริงของพระองค์ในที่ประชุมของผู้บริสุทธิ์ทั้งหลาย
6 ด้วยว่า จะหาใครในสวรรค์ที่เท่าเทียมกับพระผู้เป็นเจ้าได้
ใครบ้างในหมู่ชาวสวรรค์ที่เป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้า
7 พระเจ้าเป็นที่น่าเกรงขามอย่างยิ่งในสภาของผู้บริสุทธิ์ทั้งปวง
ยิ่งใหญ่และเยี่ยมยอดเหนือกว่าใครๆ ที่อยู่รอบข้างพระองค์
8 พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าจอมโยธา
ใครบ้างเป็นเหมือนพระองค์ พระองค์มีมหิทธานุภาพ โอ พระผู้เป็นเจ้า
และความสัตย์จริงของพระองค์อยู่โดยรอบพระองค์
9 คลื่นทะเลอยู่ภายใต้การควบคุมของพระองค์
เวลาคลื่นสูงขึ้น พระองค์ก็ทำให้สงบลง
10 พระองค์ปราบราหับ[a]จนราบคาบอย่างซากศพ
พระองค์ทำให้พวกศัตรูกระเจิดกระเจิงด้วยอานุภาพของพระองค์
11 ฟ้าสวรรค์เป็นของพระองค์ แผ่นดินโลกก็เช่นกัน
พระองค์ก่อตั้งโลกและทุกสิ่งที่อยู่ในโลกขึ้นมา
12 พระองค์สร้างทิศเหนือและทิศใต้
ภูเขาทาโบร์และเฮอร์โมนสรรเสริญพระนามของพระองค์ด้วยความยินดี
13 แขนของพระองค์กอปรด้วยฤทธานุภาพ
มือพระองค์มีพละกำลัง และมือขวายกขึ้นสูง
14 ความชอบธรรมและความเป็นธรรมคือรากฐานแห่งบัลลังก์ของพระองค์
ความรักอันมั่นคงและความสัตย์จริงตั้งอยู่ ณ เบื้องหน้าพระองค์
15 ชนชาติที่รู้จักร้องเพลงสรรเสริญก็เป็นสุข
โอ พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาจะดำเนินชีวิตในความสว่างของพระองค์
16 เขาจะรื่นเริงใจในพระนามของพระองค์ตลอดวันเวลา
และจะโห่ร้องในความชอบธรรมของพระองค์
17 เพราะพระองค์เป็นพระบารมีแห่งพละกำลังของพวกเขา
พระองค์โปรดปรานที่จะชูพละกำลังของพวกเรา
18 โล่ป้องกันเราเป็นของพระผู้เป็นเจ้า
กษัตริย์เราเป็นขององค์ผู้บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล
19 นานมาแล้ว พระองค์กล่าวกับผู้ภักดีของพระองค์ในภาพนิมิตว่า
“เราให้ความช่วยเหลือแก่ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่ง
เรายกคนหนึ่งที่ได้เลือกไว้ขึ้นจากชนชาติ
20 เราได้พบดาวิดผู้รับใช้ของเรา
เราเจิมเขาด้วยน้ำมันอันบริสุทธิ์
21 มือของเราจะค้ำจุนเขาอย่างมั่นคง
และแขนของเราจะทำให้เขาเก่งกาจ
22 ไม่มีศัตรูใดๆ จะเอาชนะเขาได้
ไม่มีคนชั่วคนไหนที่จะลบหลู่เขาได้
23 เราจะขยี้พวกข้าศึกต่อหน้าเขา
และฆ่าคนที่เกลียดชังเขา
24 ความสัตย์จริงและความรักอันมั่นคงของเราจะอยู่กับเขา
พละกำลังของเขาจะถูกเชิดชูโดยนามของเรา
25 เราจะวางมือข้างหนึ่งของเขาที่ทะเล
และมือขวาของเขาวางที่แม่น้ำ
26 เขาจะส่งเสียงร้องถึงเราว่า ‘พระองค์เป็นบิดาของข้าพเจ้า
พระเจ้าของข้าพเจ้า และศิลาแห่งความรอดพ้นของข้าพเจ้า’
27 เราจะให้เขาเป็นบุตรหัวปีของเรา
ผู้อยู่เหนือบรรดากษัตริย์ของแผ่นดินโลก
28 เราจะรักษาความรักอันมั่นคงของเราเพื่อเขาไปตลอดกาล
พันธสัญญาของเราที่มีต่อเขาจะมั่นคง
29 เราจะสถาปนาเชื้อสายของเขาให้สืบต่อกันไปตลอดกาล
บัลลังก์ของเขาจะยืนยงตราบที่ท้องฟ้าจะคงอยู่
30 หากว่าผู้สืบเชื้อสายของเขาละเลยกฎบัญญัติของเรา
และไม่ดำเนินตามคำสั่งของเรา
31 ถ้าพวกเขาฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ของเรา
และไม่รักษาบัญญัติของเรา
32 เราจะลงโทษบาปของพวกเขาด้วยไม้เรียว
และความชั่วด้วยการเฆี่ยน
33 แต่เราจะไม่พรากความรักอันมั่นคงของเราไปจากดาวิด
และไม่คืนความสัตย์จริงที่เรามีต่อเขา
34 เราจะไม่ฝ่าฝืนพันธสัญญาของเรา
หรือเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เราได้สัญญาไว้
35 เราได้ปฏิญาณในความบริสุทธิ์ของเราไว้ครั้งเดียวเป็นพอ
เราไม่หลอกลวงดาวิด
36 เชื้อสายของเขาจะคงอยู่ไปตลอดกาล
และบัลลังก์ของเขาเป็นเหมือนดวงอาทิตย์ส่อง ณ เบื้องหน้าเรา
37 และจะได้รับการสถาปนาตลอดกาลอย่างดวงจันทร์
ที่เป็นพยานอันมั่นคง[b]บนท้องฟ้า” เซล่าห์
38 แต่พระองค์ปฏิเสธและไม่ใยดี
พระองค์กริ้วผู้ที่พระองค์เจิม
39 พระองค์ยกเลิกพันธสัญญากับผู้รับใช้ของพระองค์
และทำให้มงกุฎของท่านเป็นมลทิน ตกอยู่ในกองธุลี
40 พระองค์ทลายกำแพงเมืองของท่านลงทุกด้าน
และทิ้งให้หลักอันแข็งแกร่งต้องพังทลายลง
41 ทุกคนที่ผ่านมาก็ริบทุกสิ่งไปจากท่าน
ท่านกลายเป็นที่ถูกดูหมิ่นของบรรดาเพื่อนบ้าน
42 พระองค์ได้ยกชูมือขวาของข้าศึกของท่าน
พระองค์ทำให้ศัตรูทั้งปวงของท่านยินดี
43 พระองค์หันคมดาบของท่าน
และไม่ช่วยท่านในการสงคราม
44 พระองค์ยุติความยิ่งใหญ่ของท่านลง
และล้มบัลลังก์ของท่านลงสู่พื้นดิน
45 พระองค์ทำให้วันเวลาในวัยหนุ่มของท่านสั้นลง
พระองค์ให้ท่านสวมใส่ความอับอาย เซล่าห์
46 โอ พระผู้เป็นเจ้า นานเพียงไร พระองค์จะซ่อนไปตลอดกาลหรือ
ความกริ้วของพระองค์จะลุกเป็นไฟนานเพียงไร
47 ขอพระองค์ระลึกเถิดว่า ชีวิตคนอยู่ได้นานเพียงไร
พระองค์ได้สร้างบรรดามนุษยชาติโดยเปล่าประโยชน์เพียงไร
48 มนุษย์คนไหนมีชีวิตอยู่โดยไม่เห็นความตาย
หรือช่วยชีวิตของตนให้พ้นจากเงื้อมมือของแดนคนตาย เซล่าห์
49 โอ พระผู้เป็นเจ้า ความรักอันมั่นคงของพระองค์ที่เคยสำแดงเป็นคำปฏิญาณ
ที่พระองค์ได้ทำไว้กับดาวิดอยู่ที่ไหนแล้ว
50 พระผู้เป็นเจ้า ขอระลึกถึงผู้รับใช้ที่ถูกเย้ยหยัน
และความรู้สึกในใจที่ข้าพเจ้าต้องรับแบกเพราะการดูหมิ่นของชนชาติจำนวนมาก
51 โอ พระผู้เป็นเจ้า เป็นพวกศัตรูของพระองค์ที่เย้ยหยัน
เขาเย้ยหยันผู้ได้รับการเจิมของพระองค์ทุกฝีก้าว
52 สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าตลอดไปเป็นนิตย์
อาเมน และอาเมน
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation