M’Cheyne Bible Reading Plan
ซาโลมอนสร้างวังของท่าน
7 การสร้างวังของซาโลมอนใช้เวลา 13 ปีจึงเสร็จบริบูรณ์
2 ท่านสร้างตำหนักวนาลัยแห่งเลบานอน ยาว 100 ศอก กว้าง 50 ศอก และสูง 30 ศอก วังนี้ใช้เสาหลักไม้ซีดาร์ 4 แถว มีคานไม้ซีดาร์ที่ยอดเสา 3 และมีไม้กระดานซีดาร์วางทับคานไม้ที่อยู่บน 45 เสา คือแถวละ 15 เสา 4 สองกำแพงที่ขนานกันมีช่องหน้าต่างทั้งสามระดับ 5 ประตูและหน้าต่างทุกบานมีขอบตั้งฉาก หน้าต่างแต่ละบานอยู่ในระดับที่ตรงกันทั้งสามชั้น
6 ท่านให้สร้างเฉลียงอันสูงตระหง่าน ซึ่งมีความยาว 50 ศอก กว้าง 30 ศอก ส่วนหนึ่งของเฉลียงเป็นมุขที่ต่อยาวไปถึงด้านหน้า และมีผ้าระบายลงมาจากเสาหลัก
7 และท่านให้สร้างห้องโถงพระที่นั่ง ห้องโถงพิพากษา เพื่อเป็นที่พิพากษาความ ให้กรุไม้ซีดาร์ตั้งแต่พื้นห้องไปจนถึงเพดาน
8 ตำหนักที่ท่านอาศัยอยู่เป็นประจำนั้น สร้างไว้หลังห้องโถงพระที่นั่ง ให้ช่างมีฝีมือสร้างคุณภาพทัดเทียมกัน ซาโลมอนได้สร้างตำหนักอีกแห่งหนึ่งเหมือนกับห้องโถงนี้ สำหรับธิดาของฟาโรห์ ซึ่งท่านได้รับมาเป็นภรรยา
9 สิ่งก่อสร้างเหล่านี้สร้างด้วยหินคุณภาพสูง สกัดตามขนาดที่ต้องการ ใช้เลื่อยตัดให้เรียบทุกด้าน ตั้งแต่ส่วนบนสุดจรดฐานรากของตำหนัก และจากลานตำหนักจรดลานใหญ่ 10 ฐานรากทำด้วยหินคุณภาพสูงก้อนใหญ่มหึมาขนาด 8 และ 10 ศอก 11 เหนือจากฐานรากก็เป็นหินคุณภาพสูงที่ถูกสกัดตามขนาด ประกอบกับไม้ซีดาร์ 12 กำแพงที่ลานรอบนอกลานใหญ่สร้างด้วยหินที่แต่งแล้วก่อขึ้น 3 ขั้นกับคานไม้ซีดาร์ 1 ขั้น เหมือนอย่างลานในที่พระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า และมุขพระตำหนัก
เครื่องใช้ในพระตำหนัก
13 กษัตริย์ซาโลมอนใช้คนไปขอให้ฮีรามจากเมืองไทระมาเข้าเฝ้า 14 เขาเป็นบุตรของหญิงม่ายจากเผ่านัฟทาลี บิดาเป็นชายชาวเมืองไทระ ซึ่งเป็นช่างฝีมือทองสัมฤทธิ์ ฮีรามเป็นผู้มีสติปัญญา ความเข้าใจ และความชำนาญในงานทองสัมฤทธิ์ เขามาเฝ้ากษัตริย์ซาโลมอน และได้ทำงานของท่านทั้งหมด
15 เขาหล่อเสาหลักด้วยทองสัมฤทธิ์ 2 เสา แต่ละเสาสูง 18 ศอก มีเส้นรอบวง 12 ศอก เป็นเสากลวง หนาเท่าความกว้างของฝ่ามือ 16 เขาหล่อบัว 2 อันด้วยทองสัมฤทธิ์ บัวแต่ละอันสูง 5 ศอกสำหรับตั้งบนยอดเสาทั้งสอง 17 และเขาประดับบัวด้วยโซ่ถักเป็นตาข่ายคลุมยอดเสาทั้งสอง แต่ละเสาใช้โซ่ 7 เส้น 18 และเขาห้อยลูกทับทิม 2 แถวที่รอบตาข่าย เพื่อคลุมบัวที่ยอดเสา โดยทำให้เหมือนกันทั้ง 2 เสา 19 บัวที่ยอดเสาที่อยู่ในมุขเป็นรูปดอกพลับพลึง[a] สูง 4 ศอก 20 นอกจากงานตาข่ายที่คลุมบัวยอดเสาแล้ว ก็ยังมีลูกทับทิม 200 ลูกห้อยเรียงกันที่รอบเสาเหนือส่วนที่นูนออก ทั้ง 2 เสา 21 เขาตั้งเสาหลักที่มุขพระวิหาร เสาหนึ่งตั้งไว้ทางทิศใต้เรียกชื่อว่า ยาคีน[b] อีกเสาตั้งไว้ทางทิศเหนือเรียกชื่อว่า โบอาส[c] 22 บัวยอดเสาหลักเป็นรูปดอกพลับพลึง ดังนั้นงานเสาหลักก็เสร็จสิ้น
23 และเขาหล่อถังเก็บน้ำรูปทรงกลม เส้นศูนย์กลาง 10 ศอก สูง 5 ศอก เส้นรอบวง 30 ศอก 24 ใต้ขอบมีรูปน้ำเต้าเรียงที่รอบถัง 2 รอบๆ ละ 150 ลูก หล่อเป็นเนื้อเดียวกับตัวถัง 25 ถังนี้ตั้งบนหลังโค 12 ตัว ซึ่ง 3 ตัวหันไปทิศเหนือ 3 ตัวหันไปทิศตะวันตก 3 ตัวหันไปทิศใต้ และอีก 3 ตัวหันไปทิศตะวันออก โคทุกตัวหันหางไปทางศูนย์กลาง 26 ถังหนา 1 ฝ่ามือ ขอบถังทำเหมือนขอบถ้วย เหมือนดอกพลับพลึง ถังนี้จุน้ำ 2,000 บัท[d]
27 เขาสร้างแท่นทองสัมฤทธิ์ 10 แท่น แต่ละแท่นยาว 4 ศอก กว้าง 4 ศอก สูง 3 ศอก 28 เขาสร้างแท่นตามนี้คือ เป็นแผ่นกระดานสี่ด้านตั้งอยู่ในกรอบ 29 แผ่นเหล่านี้มีรูปสิงโต โค และเครูบ บนกรอบนี้ทั้งด้านบนและล่างของตัวสิงโตและโค มีรูปมาลัยสลักด้วยค้อน 30 นอกจากนี้ แต่ละแท่นก็ยังมีล้อทองสัมฤทธิ์ 4 ล้อ กับแกนทองสัมฤทธิ์ และที่มุมทั้งสี่มีฐานรองรับอ่าง ซึ่งแต่ละข้างมีรูปมาลัยหล่อติดอยู่ 31 ช่องเปิดตอนบนเป็นรูปทรงกลม สูงจากกรอบ 1 ศอก และลึกลงจากกรอบศอกครึ่ง แผ่นรองรับอ่างที่ช่องเปิดเป็นทรงสี่เหลี่ยม ไม่ใช่ทรงกลม และมีรูปแกะสลัก 32 ล้อทั้งสี่อยู่ใต้แผ่นกระดานข้างต้น แกนล้อเป็นชิ้นเดียวกับแท่น ล้อสูงศอกครึ่ง 33 ล้อทำเหมือนกับล้อรถศึก ทั้งแกน รอบนอกกงล้อ ซี่ล้อ ดุมล้อ ล้วนหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ทั้งสิ้น 34 แท่นทุกแท่นมีฐานรองรับอยู่ที่มุมทั้งสี่ และฐานรองรับนี้ทำเป็นชิ้นเดียวกับแท่น 35 ตอนบนสุดของแท่นมีแถบทรงกลมสูงครึ่งศอก ฐานรองรับและแผ่นกระดานเป็นชิ้นเดียวกับแท่น 36 ฐานรองรับบางส่วนที่มองเห็นและแผ่นกระดาน ก็สลักเป็นตัวเครูบ สิงโต และต้นอินทผลัม ตามแต่จะมีที่ว่าง และมีมาลัยอยู่โดยรอบ 37 เขาหล่อแท่นตามรายละเอียดดังกล่าว 10 แท่นให้เหมือนกันหมด ทั้งรูปร่างและขนาด
38 เขาหล่ออ่างทองสัมฤทธิ์สำหรับชำระล้าง 10 ใบสำหรับแท่น 10 แท่น แต่ละอ่างบรรจุได้ 40 บัท วัดเส้นศูนย์กลางได้ 4 ศอก 39 เขาวางแท่น 5 แท่นไว้ที่ด้านใต้ของพระตำหนัก และ 5 แท่นไว้ที่ด้านเหนือของพระตำหนัก และเขาให้ตั้งถังเก็บน้ำไว้ที่มุมด้านตะวันออกเฉียงใต้ของพระตำหนัก
40 ฮีรามหล่อหม้อ ทัพพี และอ่างน้ำ ดังนั้นงานทั้งหมดที่ฮีรามหล่อขึ้นสำหรับพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าให้กษัตริย์ซาโลมอนก็เสร็จสิ้น 41 เสาหลักทั้งสองต้น และบัวรูปทรงกลมที่ปิดยอดเสา และโซ่ถักเป็นตาข่ายคลุมบัวทรงกลมที่ยอดเสา 42 และผลทับทิม 400 ผลที่รอบตาข่ายทั้งสอง ตาข่ายแต่ละผืนมีผลทับทิม 2 แถวสำหรับคลุมบัวรูปทรงกลมทั้งสองที่ยอดเสา 43 แท่น 10 แท่น และอ่างน้ำ 10 ใบบนแท่น 44 ถังเก็บน้ำ 1 ใบ มีรูปโค 12 ตัวอยู่ใต้ถัง
45 ภาชนะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น หม้อ ทัพพี และอ่างน้ำ ที่อยู่ในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งฮีรามหล่อให้กษัตริย์ซาโลมอน ล้วนแล้วแต่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์อันมันปลาบ 46 กษัตริย์ได้หล่อภาชนะเหล่านี้ในเบ้าดินที่อยู่ระหว่างเมืองสุคคทและศาเรธาน ในที่ราบของแม่น้ำจอร์แดน 47 ซาโลมอนไม่ได้ชั่งน้ำหนักภาชนะเหล่านี้ เพราะว่ามีจำนวนมากมายมหาศาล จึงไม่ได้ชั่งว่าทองสัมฤทธิ์ที่ใช้นั้นมากเพียงไร
48 ซาโลมอนได้สร้างและหล่อภาชนะทุกชิ้นในพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า คือแท่นบูชาทองคำ โต๊ะทองคำสำหรับวางขนมปังอันบริสุทธิ์ 49 คันประทีปทองคำบริสุทธิ์ 5 คันที่ด้านใต้ และ 5 คันที่ด้านเหนือ ซึ่งอยู่ด้านหน้าพระตำหนักชั้นใน ดอกไม้ ดวงประทีปและคีม ล้วนเป็นทองคำ 50 และถ้วย กรรไกรตัดไส้ดวงประทีป อ่าง ภาชนะเครื่องหอม และถาดที่ใช้เก็บถ่านร้อน ซึ่งเป็นทองคำบริสุทธิ์ บานพับทองคำสำหรับประตูชั้นในสุดของพระตำหนัก คืออภิสุทธิสถาน และสำหรับประตูพระตำหนักชั้นนอกของพระวิหาร
51 เมื่องานทั้งสิ้นที่กษัตริย์ซาโลมอนทำสำหรับพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้าเสร็จสิ้นลงแล้ว ซาโลมอนก็ได้นำสิ่งที่ดาวิดบิดาของท่านได้ถวาย คือเครื่องเงิน ทองคำ และภาชนะต่างๆ มาเก็บไว้ในคลังพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า
ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
4 ฉะนั้น ข้าพเจ้าผู้เป็นนักโทษเนื่องจากการรับใช้พระผู้เป็นเจ้า ขอร้องให้ท่านดำเนินชีวิตให้สมกับที่พระองค์เรียกท่าน 2 จงถ่อมตัว มีความอ่อนโยน และอดทนเสมอ อดกลั้นต่อกันและกันด้วยความรัก 3 เพียรพยายามรักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันซึ่งพระวิญญาณมอบให้ โดยสันติสุขที่เชื่อมโยงพวกท่านไว้ 4 มีเพียงกายเดียวและพระวิญญาณเดียว เหมือนเวลาที่พระองค์เรียกท่านให้มีความหวังเดียว 5 พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่อเดียว บัพติศมาเดียว 6 พระเจ้าองค์เดียวผู้เป็นพระบิดาของเราทุกคน เป็นเจ้านายเหนือเราทุกคน ดำเนินงานผ่านเราทุกคนและดำรงอยู่ในเราทุกคน
7 ทว่าพระคุณที่เราแต่ละคนได้รับนั้นมากน้อยตามแต่ของประทานที่พระคริสต์มอบให้ 8 จึงมีบันทึกไว้ว่า
“เมื่อพระองค์ได้ขึ้นไปสู่ที่สูง
พระองค์นำพวกเชลยไป
และมนุษย์ได้รับสิ่งที่พระองค์มอบให้”[a]
9 (ที่กล่าวว่า “พระองค์ขึ้นไป” หมายความว่าอย่างไรบ้าง นอกจากจะหมายถึงว่าพระองค์ได้ลงไปสู่เบื้องต่ำกว่าในแผ่นดินโลกด้วย 10 องค์ที่ลงไปสู่เบื้องล่าง คือองค์ที่ได้ขึ้นไปสู่ที่สูงเหนือฟ้าสวรรค์ เพื่อพระองค์จะได้โปรดให้ทุกสิ่งเต็มเปี่ยม) 11 และพระองค์โปรดให้บางคนเป็นอัครทูต บ้างก็เป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า เป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาล[b] หรือครูอาจารย์ 12 เพื่อเตรียมบรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าให้พรักพร้อมในการรับใช้ เพื่อเสริมสร้างกายของพระคริสต์ 13 จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันในความเชื่อและความรู้ในเรื่องพระบุตรของพระเจ้า คือเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในความเชื่อ เจริญเต็มที่ด้วยความบริบูรณ์ของพระคริสต์
14 แล้วเราจะได้ไม่เป็นเด็กทารกที่ถูกซัดไปมาเหมือนคลื่น และถูกพัดให้ไหวปลิวไปมาด้วยลมแห่งลัทธิทั้งปวง ด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ ด้วยอุบายหลอกลวงของพวกเขาอีกต่อไป 15 แต่พูดความจริงด้วยความรัก เราควรอย่างยิ่งที่จะมีความผูกพันในพระคริสต์ให้มากขึ้นในทุกสิ่ง เนื่องจากพระองค์เป็นเสมือนศีรษะแห่งกายของคริสตจักร 16 ทุกๆ ส่วนของกายเชื่อมต่อประสานกันได้ด้วยข้อต่อทุกข้อที่พระองค์มอบให้ เมื่อแต่ละส่วนได้ปฏิบัติงานตามความเหมาะสม จึงเติบโตและสร้างกายขึ้นได้ในความรัก
ดำเนินชีวิตในฐานะบุตรแห่งความสว่าง
17 ฉะนั้น ข้าพเจ้าบอกท่านถึงเรื่องนี้ และยืนกรานในพระนามของพระผู้เป็นเจ้าว่า ท่านไม่ควรใช้ชีวิตตามอย่างบรรดาคนนอกอีกต่อไป เพราะความคิดของเขาไร้ค่า 18 ความนึกคิดของเขามืดมนและแยกออกจากชีวิตที่มาจากพระเจ้า เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของพวกเขา เนื่องจากใจของเขาแข็งกระด้าง 19 พวกเขาไม่มีความละอายหลงเหลืออยู่ เขาได้ปล่อยตัวไปตามแรงกามราคะ และเร่าร้อนอยากทำสิ่งสกปรกโสมมทุกอย่าง 20 แต่พวกท่านไม่ได้เรียนรู้ถึงพระคริสต์แบบนั้น 21 ถ้าท่านได้ยินเรื่องของพระองค์อย่างแท้จริง และได้รับการสอนตามความจริงซึ่งมีในพระเยซู 22 ท่านก็จงเลิกจากการดำเนินชีวิตเก่า ซึ่งท่านเคยประพฤติตามแรงดึงดูดของกิเลสซึ่งกำลังทำลายตัวท่านอยู่ 23 และจงปรับเปลี่ยนความคิดของท่านเสียใหม่ 24 จงรับชีวิตใหม่ซึ่งถูกสร้างให้เป็นเหมือนของพระเจ้าในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ที่แท้จริง
25 ฉะนั้น ทุกท่านควรละจากความเท็จ และจงพูดความจริงกับเพื่อนบ้านของตน เพราะเราเป็นส่วนของกายเดียวกัน 26 “จะโกรธก็โกรธได้ แต่อย่ากระทำบาป”[c] พอสิ้นแสงตะวันแล้วก็อย่าได้เก็บความโกรธไว้เลย 27 อย่าปล่อยโอกาสให้แก่พญามาร 28 ใครที่เป็นขโมยก็อย่าขโมยอีกต่อไป ต้องทำงาน ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ด้วยมือของเขาเอง เพื่อจะได้มีพอที่จะแบ่งปันให้แก่คนที่ขัดสนได้ 29 อย่าให้วาจาหยาบคายหลุดออกจากปากท่าน แต่จงกล่าวคำที่ดีเท่านั้นเพื่อเป็นการเสริมสร้างอย่างที่ควรจะเป็น เพื่อเป็นคุณประโยชน์แก่ผู้ได้ยิน 30 อย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเศร้าใจ ท่านได้รับตราประทับแล้วโดยพระวิญญาณเพื่อวันแห่งการไถ่ 31 จงเลิกให้ได้จากความขมขื่น ความเกรี้ยวกราด ความโกรธ การเอ็ดตะโรตะโกนใส่กัน การใส่ร้าย และการปองร้ายในทุกประการ 32 และจงมีใจกรุณาต่อกัน มีใจสงสาร ยกโทษให้กันและกัน เหมือนกับที่พระเจ้าได้ยกโทษให้แก่ท่านโดยผ่านพระคริสต์
หุบเขาแห่งกระดูกแห้ง
37 มือของพระผู้เป็นเจ้าสถิตกับข้าพเจ้า และพระองค์นำข้าพเจ้าออกมาด้วยพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า และให้ข้าพเจ้ามาอยู่กลางหุบเขา ซึ่งเต็มไปด้วยกระดูกคนตาย 2 พระองค์นำข้าพเจ้าไปวนเวียนที่กองกระดูก ดูเถิด มีกระดูกมากมายบนหุบเขา กระดูกพวกนี้แห้งมาก 3 พระองค์กล่าวกับข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย กระดูกเหล่านี้มีชีวิตหรือไม่” และข้าพเจ้าตอบว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์เท่านั้นที่ทราบ” 4 แล้วพระองค์กล่าวกับข้าพเจ้าว่า “จงเผยความให้แก่กระดูกเหล่านี้ บอกพวกเขาว่า โอ กระดูกแห้งเอ๋ย จงฟังคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า 5 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวกับกระดูกเหล่านี้ว่า ดูเถิด เราจะทำให้ลมหายใจเข้าไปในตัวพวกเจ้า เพื่อพวกเจ้าจะได้มีชีวิต 6 และเราจะโยงเส้นเอ็นในตัวเจ้า และจะทำให้บังเกิดเลือดเนื้อบนตัวเจ้า และหุ้มเจ้าด้วยหนัง และใส่ลมหายใจในตัวพวกเจ้า เพื่อให้พวกเจ้ามีชีวิตขึ้นมา และพวกเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า”
7 ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงเผยความตามที่ได้รับคำบัญชา และขณะที่ข้าพเจ้าเผยความ ก็เกิดมีเสียง ดูเถิด เป็นเสียงเขย่า และกระดูกก็ประกอบเข้าด้วยกัน กระดูกปะติดปะต่อกัน 8 และดูเถิด ข้าพเจ้ามองดู เห็นเส้นเอ็นบนกระดูก และกระดูกมีเลือดเนื้อที่หุ้มด้วยหนัง แต่ว่ากระดูกเหล่านั้นไม่มีลมหายใจ 9 แล้วพระองค์กล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “จงเผยความกับลมหายใจ บุตรมนุษย์เอ๋ย จงเผยความและพูดกับลมหายใจ พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่า โอ ลมหายใจเอ๋ย จงมาจากลมทั้งสี่ และระบายลมหายใจบนคนตายเหล่านี้ เพื่อให้พวกเขามีชีวิต” 10 ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงเผยความตามที่พระองค์บัญชาข้าพเจ้า และลมหายใจก็เข้าไปในตัวพวกเขา พวกเขาก็มีชีวิตและลุกขึ้นยืน เป็นกองทัพที่ใหญ่มาก
11 แล้วพระองค์กล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย กระดูกเหล่านี้คือพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งหมด ดูเถิด พวกเขาพูดว่า ‘กระดูกของพวกเราแห้งหมด และเราสิ้นหวังหมดแล้ว พวกเราถูกตัดขาดจริงทีเดียว’ 12 ฉะนั้น จงเผยความและบอกพวกเขาว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะเปิดหลุมศพของพวกเจ้า และทำให้พวกเจ้าฟื้นขึ้นมาจากหลุม โอ ชนชาติของเราเอ๋ย เราจะนำพวกเจ้าเข้าไปยังแผ่นดินของอิสราเอล 13 และพวกเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้าเมื่อเราเปิดหลุมศพของพวกเจ้า และทำให้พวกเจ้าฟื้นขึ้นมาจากหลุม โอ ชนชาติของเราเอ๋ย 14 และเราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในพวกเจ้า และพวกเจ้าจะมีชีวิต และเราจะให้พวกเจ้าไปอยู่ในแผ่นดินของตนเอง แล้วพวกเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า เราได้พูดและเราจะกระทำตามนั้น” พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
เราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา พวกเขาจะเป็นชนชาติของเรา
15 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 16 “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงเอาไม้มาอันหนึ่งและเขียนบนไม้ดังนี้ ‘เป็นของยูดาห์และทุกคนที่ชาวอิสราเอลมีสัมพันธไมตรีด้วย’ และเอาไม้อีกอันหนึ่งมาและเขียนบนไม้ว่า ‘ไม้ของเอฟราอิม ซึ่งเป็นของโยเซฟและพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งปวงที่มีสัมพันธไมตรีด้วย’ 17 และรวมไม้ทั้งสองเข้าด้วยกันให้เป็นอันเดียว เพื่อให้ไม้ทั้งสองเป็นหนึ่งเดียวกันในมือของเจ้า 18 และเมื่อชนร่วมชาติของเจ้าพูดกับเจ้าว่า ‘ท่านจะไม่บอกให้เราทราบหรือว่า ท่านหมายถึงอะไร’ 19 เจ้าจงบอกพวกเขาว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า ดูเถิด เรากำลังจะเอาไม้ของโยเซฟ (ซึ่งอยู่ในมือของเอฟราอิม) และของบรรดาเผ่าพันธุ์อิสราเอลที่มีสัมพันธไมตรีด้วย และเราจะรวมไม้ของยูดาห์เข้าด้วยกัน เพื่อทำให้เป็นไม้อันเดียว เพื่อพวกเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันในมือของเรา 20 เมื่อพวกเขาเห็นไม้ทั้งสองที่เจ้าเขียนอยู่ในมือของเจ้า 21 จงพูดกับพวกเขาว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า ดูเถิด เราจะนำชาวอิสราเอลออกมาจากบรรดาประชาชาติที่พวกเขาไปอยู่ด้วย และเราจะรวบรวมพวกเข้ามาจากทุกแห่งหน เพื่อนำให้ไปอยู่ในแผ่นดินของพวกเขาเอง 22 และเราจะทำให้พวกเขาเป็นประชาชาติเดียวในแผ่นดิน บนภูเขาของอิสราเอล และกษัตริย์ผู้เดียวเท่านั้นที่จะเป็นกษัตริย์ปกครองทุกคน และพวกเขาจะไม่เป็นสองประชาชาติอีกต่อไป และจะไม่ถูกแบ่งออกเป็นสองอาณาจักรอีกต่อไป 23 พวกเขาจะไม่ทำตนให้เป็นมลทินเพราะรูปเคารพและสิ่งอันน่าชัง หรือเพราะการล่วงละเมิดอีก แต่เราจะช่วยพวกเขาให้หลุดพ้นจากบาปซึ่งเป็นเหตุให้สิ้นความเชื่อ เราจะชำระล้างพวกเขา และพวกเขาจะเป็นชนชาติของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา
24 ดาวิดผู้รับใช้ของเราจะเป็นกษัตริย์ปกครองพวกเขา และทุกคนจะมีผู้เลี้ยงดูฝูงแกะคนเดียว พวกเขาจะดำเนินชีวิตตามคำบัญชาของเรา และระมัดระวังที่จะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของเรา 25 พวกเขาจะอาศัยอยู่ในแผ่นดินที่เรามอบให้ยาโคบผู้รับใช้ของเรา ซึ่งบรรพบุรุษของพวกเจ้าอาศัยอยู่ ทั้งพวกเขาและบุตรหลานต่อๆ กันไปจะอาศัยอยู่ที่นั่นไปตลอดกาล และดาวิดผู้รับใช้ของเราจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเขาไปตลอดกาล[a] 26 เราจะทำพันธสัญญาแห่งสันติกับพวกเขา ซึ่งจะเป็นพันธสัญญาอันเป็นนิรันดร์กับพวกเขา และเราจะให้พวกเขามีความมั่นคงอยู่ในแผ่นดินและทวีจำนวนคนขึ้น และเราจะให้ที่พำนักของเราอยู่ท่ามกลางพวกเขาตลอดไป 27 กระโจมที่พำนักของเราอยู่กับพวกเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขาจะเป็นชนชาติของเรา[b] 28 แล้วบรรดาประชาชาติจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า ผู้ชำระอิสราเอลให้บริสุทธิ์ เมื่อที่พำนักของเราอยู่ท่ามกลางพวกเขาตลอดกาล”
ศิโยน แหล่งกำเนิดของประชาชาติ
ของตระกูลโคราห์ เพลงสดุดี บทเพลง
1 พระองค์ตั้งฐานรากไว้บนเทือกเขาอันบริสุทธิ์
2 พระผู้เป็นเจ้ารักประตูของศิโยน
มากกว่าที่อาศัยทุกแห่งของยาโคบ
3 โอ เมืองของพระเจ้าเอ๋ย
เจ้าเป็นที่กล่าวขวัญอย่างน่าสรรเสริญ เซล่าห์
4 “เราจะประกาศว่า ราหับ[a]และบาบิโลนอยู่ในกลุ่มผู้ที่รู้จักเรา
แม้แต่ฟีลิสเตีย ไทระ และคูชด้วย
แล้วจะพูดว่า ‘คนนี้เกิดที่นั่น’”
5 และจะพูดถึงศิโยนว่า
“ทุกคนเกิดที่นั่น”
เพราะองค์ผู้สูงสุดจะเป็นผู้สร้างเมืองนั้น
6 พระผู้เป็นเจ้าบันทึกในทะเบียนของบรรดาชนชาติว่า
“คนนี้เกิดที่นั่น” เซล่าห์
7 บรรดานักร้องและนักร่ายรำต่างพูดกันว่า
“น้ำพุทั้งหมดของเราอยู่ในศิโยน”
ร้องขอความช่วยเหลือในนาทีวิกฤตของชีวิต
บทเพลง เพลงสดุดีของตระกูลโคราห์ ถึงหัวหน้าวงดนตรีตามเสียงปี่เศร้าโศกา เพลงสดุดีแห่งความฉลาดรอบรู้ของเฮมาน ชาวเอศราค
1 โอ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งความรอดพ้นของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าร้องขอความช่วยเหลือทุกวี่วัน และปรากฏตัวต่อหน้าพระองค์ทุกค่ำคืน
2 ให้คำอธิษฐานของข้าพเจ้ามาอยู่ ณ เบื้องหน้าพระองค์
โปรดเงี่ยหูฟังเสียงร้องของข้าพเจ้า
3 เพราะจิตวิญญาณของข้าพเจ้าท่วมท้นด้วยความทุกข์
และชีวิตข้าพเจ้าอยู่ใกล้แดนคนตาย
4 ข้าพเจ้าถูกนับอยู่ในพวกที่ลงไปในหลุมลึก
เป็นเหมือนชายที่ไร้กำลัง
5 เหมือนคนที่ถูกทอดทิ้งไว้กับพวกที่ลงไปยังหลุมลึกแห่งแดนคนตาย
เหมือนคนถูกแทงที่กำลังนอนอยู่ในหลุมศพ
ซึ่งพระองค์ไม่ระลึกถึงอีกแล้ว
และถูกตัดขาดจากการดูแลของพระองค์
6 พระองค์ให้ข้าพเจ้าไปอยู่ที่ก้นหลุมลึก
ในที่อันมืดมิด ในห้วงน้ำลึก
7 ข้าพเจ้ารู้สึกว่าพระองค์โกรธเกรี้ยวข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าตั้งตัวไม่ติดเนื่องจากความโกรธของพระองค์ที่เป็นดั่งคลื่นหลายลูก เซล่าห์
8 พระองค์ทำให้บรรดาเพื่อนสนิทห่างเหินไปจากข้าพเจ้า
พระองค์ทำให้ข้าพเจ้าเป็นที่น่าขยะแขยงต่อพวกเขา
ข้าพเจ้าถูกกักขังและไม่อาจหลบหนีไปได้
9 นัยน์ตาข้าพเจ้าพร่าไปด้วยความเศร้า
โอ พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าร้องเรียกถึงพระองค์ทุกวี่ทุกวัน
ข้าพเจ้าชูมือขึ้นถึงพระองค์
10 พระองค์แสดงสิ่งอัศจรรย์เพื่อคนตายหรือ
แล้วพวกเขาลุกขึ้นสรรเสริญพระองค์ได้หรือ เซล่าห์
11 ความรักอันมั่นคงของพระองค์ถูกประกาศไว้ในหลุมศพหรือ
และความสัตย์จริงของพระองค์ในความวิบัติหรือ
12 สิ่งอัศจรรย์ของพระองค์เป็นที่รู้จักในความมืดมิดหรือ
และความชอบธรรมของพระองค์ในดินแดนที่ถูกลืมหรือ
13 โอ พระผู้เป็นเจ้า สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าร้องขอความช่วยเหลือจากพระองค์
ในยามเช้า คำอธิษฐานของข้าพเจ้าอยู่ ณ เบื้องหน้าพระองค์
14 โอ พระผู้เป็นเจ้า ทำไมพระองค์จึงทอดทิ้งข้าพเจ้า
ทำไมพระองค์จึงซ่อนหน้าไปเสียจากข้าพเจ้า
15 นับแต่ครั้งยังเยาว์ ข้าพเจ้าเป็นทุกข์เจียนตาย
ข้าพเจ้ารับโทษอันน่ากลัวจากพระองค์จนสิ้นหวัง
16 ความโกรธเกรี้ยวอันร้อนแรงของพระองค์โถมเข้าใส่ข้าพเจ้า
การกระทำอันน่าสะพรึงกลัวของพระองค์ได้ทำลายข้าพเจ้า
17 ดั่งมีน้ำอยู่ล้อมรอบตัวข้าพเจ้าตลอดวันเวลา
มันท่วมเสียจนมิดหัวข้าพเจ้า
18 พระองค์ทำให้มิตรสหายและคนรักห่างเหินไปจากข้าพเจ้า
เพื่อนสนิทข้าพเจ้าคือความมืด
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation