Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
2 ซามูเอล 23

ถ้อยคำสุดท้ายของดาวิด

23 ต่อไปนี้เป็นถ้อยคำสุดท้ายของดาวิด

“คำพยากรณ์ของดาวิดบุตรของเจสซี
    คำพยากรณ์ของชายที่ได้รับการเชิดชู
ผู้ได้รับการเจิมของพระเจ้าของยาโคบ
    นักแต่งเพลงสดุดีอันไพเราะของอิสราเอล

พระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้ากล่าวผ่านข้าพเจ้า
    สิ่งที่ข้าพเจ้าพูดเป็นคำกล่าวของพระองค์
พระเจ้าของอิสราเอลได้กล่าว
    ศิลาของอิสราเอลได้กล่าวกับข้าพเจ้าว่า
‘เมื่อผู้หนึ่งปกครองมนุษย์ด้วยความยุติธรรม
    ปกครองด้วยความเกรงกลัวพระเจ้า
พระองค์ทอแสงมายังมนุษย์ประดุจแสงอรุณรุ่ง
    ประดุจดวงอาทิตย์ส่องแสงในยามเช้าที่ปลอดเมฆ
    ประดุจฝนที่ทำให้หญ้างอกจากดิน’

แล้วพระเจ้าจะไม่ให้เป็นเช่นนั้นต่อพงศ์พันธุ์ของข้าพเจ้าหรือ
    เพราะพระองค์ได้ตกลงกับข้าพเจ้าด้วยพันธสัญญาอันเป็นนิรันดร์
    ทุกสิ่งถูกเตรียมไว้และไม่เปลี่ยนแปลง
แล้วพระองค์จะไม่ช่วยเหลือข้าพเจ้า
    และให้ข้าพเจ้าได้รับตามความปรารถนาทุกประการหรือ
ส่วนคนเลวร้ายทั้งปวงเป็นเช่นหนามที่ถูกโยนทิ้งไป
    เพราะจะใช้มือเปล่าหยิบก็ไม่ได้
แต่คนที่จับต้องพวกเขา
    ต้องคุ้มกันตนเองด้วยเหล็กและหอก
    และคนเลวร้ายถูกเผาจนวอดวายในทันทีทันใด”

ทหารกล้าของดาวิด

รายชื่อทหารกล้าของดาวิดคือ โยเชบบะเชเบธชาวทัคโมนีเป็นหัวหน้าของทหารกล้าทั้งสาม เขาพุ่งหอกสู้รบกับ 800 คน และฆ่าได้หมดในศึกเดียว

คนรองจากเขาในกลุ่มทหารกล้าทั้งสามคือ เอเลอาซาร์บุตรของโดโดชาวอาโคค เขาอยู่กับดาวิดเมื่อครั้งที่เขาทั้งหลายท้าทายชาวฟีลิสเตียที่ร่วมกันรบในสงคราม และชาวอิสราเอลก็ถอยทัพ 10 เขาลุกขึ้นสู้ชาวฟีลิสเตียจนมืออ่อนล้าและเกร็งจนติดดาบ และพระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ให้ชัยชนะครั้งใหญ่ในวันนั้น พวกทหารตามเขากลับมา เพื่อริบของจากพวกที่ถูกฆ่าตาย

11 คนรองจากเขาคือ ชัมมาห์บุตรของอาเกชาวฮาราร์ พวกชาวฟีลิสเตียรวมตัวกันที่เลฮี ซึ่งมีผืนดินแห่งหนึ่งมีถั่วเลนเทิ้ลเต็มไปหมด และบรรดาทหารต่างก็หนีชาวฟีลิสเตียไป 12 แต่เขายืนหยัดอยู่บนที่ดินผืนนั้น และป้องกันที่ดินไว้ ฆ่าฟันชาวฟีลิสเตีย และพระผู้เป็นเจ้าช่วยพวกเขาด้วยชัยชนะครั้งใหญ่

13 ในระหว่างฤดูเก็บเกี่ยว 3 คนในบรรดาหัวหน้าทหารกล้า 30 คนลงมาหาดาวิดที่ถ้ำที่อดุลลาม พอดีกับที่ชาวฟีลิสเตียกลุ่มหนึ่งตั้งค่ายอยู่ในหุบเขาเรฟาอิม 14 ขณะนั้นดาวิดอยู่ในที่หลบภัย และทางข้ามที่เนินเขาของชาวฟีลิสเตียก็อยู่ที่เบธเลเฮม 15 ดาวิดกล่าวด้วยความปรารถนายิ่งนักว่า “โอ อยากให้ใครสักคนเอาน้ำจากบ่อที่ข้างประตูที่เบธเลเฮมมาให้เราดื่ม” 16 ทหารกล้าทั้งสามจึงแหกค่ายของชาวฟีลิสเตีย และตักน้ำจากบ่อที่ข้างประตูที่เบธเลเฮม นำมาให้ดาวิด แต่ท่านไม่ยอมดื่มน้ำนั้น ท่านกลับเทถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า 17 และกล่าวว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้า ไม่มีวันที่ข้าพเจ้าจะกระทำเช่นนี้ สมควรหรือที่ข้าพเจ้าจะดื่มโลหิตของพวกทหารที่เสี่ยงชีวิตของเขาไป” ฉะนั้นท่านจึงไม่ยอมดื่มน้ำนั้น นี่แหละเป็นสิ่งที่ทหารกล้าทั้งสามกระทำ

18 ฝ่ายอาบีชัยน้องชายของโยอาบบุตรของนางเศรุยาห์ เป็นหัวหน้าของทหารทั้งสามสิบ เขาพุ่งหอกสู้กับ 300 คน และฆ่าพวกเขาได้ ชื่อของเขาจึงเคียงคู่กับทหารทั้งสาม 19 เขาเป็นที่รู้จักมากที่สุดในหมู่ทหารทั้งสามสิบ และได้เป็นผู้บังคับกองพันทหารของกลุ่ม แต่เขามีชื่อเสียงไม่เท่าระดับของทหารทั้งสาม

20 เบไนยาห์บุตรของเยโฮยาดาเป็นชายผู้กล้าหาญคนหนึ่งของเมืองขับเซเอล และเป็นคนปฏิบัติการอันยิ่งใหญ่ เขาฆ่าบุตรทั้งสองของอารีเอลแห่งโมอับ และเขาลงไปฆ่าสิงโตในหลุมลึกในวันที่หิมะตกด้วย 21 เขาฆ่าชาวอียิปต์คนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนรูปงาม ชาวอียิปต์ถือหอก แต่เบไนยาห์ถือไม้ตะบองลงไปโจมตีเขา และยึดหอกออกจากมือของชาวอียิปต์ได้ และฆ่าเขาด้วยหอกของเขาเอง 22 เบไนยาห์บุตรของเยโฮยาดากระทำสิ่งเหล่านี้ ชื่อของเขาจึงเคียงคู่กับทหารกล้าทั้งสาม 23 เขาเป็นที่รู้จักในหมู่ทหารทั้งสามสิบ แต่เขามีชื่อเสียงไม่เท่าระดับของทหารทั้งสาม และดาวิดแต่งตั้งเขาให้เป็นหัวหน้าองครักษ์

24 อาสาเฮลน้องชายของโยอาบเป็นหนึ่งในบรรดาทหารทั้งสามสิบ นอกจากเขาแล้วก็มี เอลฮานันบุตรของโดโดชาวเบธเลเฮม 25 ชัมมาห์แห่งฮาโรด เอลีคาแห่งฮาโรด 26 เฮเลสชาวปัลที อิราบุตรของอิกเขชแห่งเมืองเทโคอา 27 อาบีเอเซอร์แห่งเมืองอานาโธท เมบุนนัยชาวหุชาห์ 28 ศัลโมนชาวอาโคค มาหะรัยแห่งเนโทฟาห์ 29 เฮเลบบุตรของบาอานาห์แห่งเนโทฟาห์ อิททัยบุตรของรีบัยแห่งกิเบอาห์เชื้อสายของเบนยามิน 30 เบไนยาห์แห่งปิราโธน ฮิดดัยแห่งลำธารกาอัช 31 อาบีอัลโบนชาวอาร์บัท อัสมาเวทชาวบาฮารุม 32 อาลียาบาชาวชาอัลโบน บรรดาบุตรของยาเชน โยนาธาน 33 ชัมมาห์ชาวฮาราร์ อาหิอัมบุตรของชาราร์ชาวฮาราร์ 34 เอลีเฟเลทบุตรของอาหัสบัยแห่งมาอาคาห์ เอลีอัมบุตรอาหิโธเฟลแห่งกิโลห์ 35 เฮสโรชาวคาร์เมล ปารัยชาวอาราบ 36 อิกาลบุตรของนาธานแห่งโศบาห์ บานีชาวกาด 37 เศเลกชาวอัมโมน นาหะรัยแห่งเบเอโรท คนถืออาวุธของโยอาบบุตรของนางเศรุยาห์ 38 อิราชาวอิท กาเรบชาวอิท 39 และอุรียาห์ชาวฮิต[a] รวมทั้งหมด 37 คน

กาลาเทีย 3

กฎบัญญัติหรือความเชื่อ

ท่านชาวกาลาเทียผู้โง่เขลาเอ๋ย ใครเสกคาถาใส่ท่านไปแล้ว ท่านก็เห็นพระเยซูคริสต์ถูกตรึงบนไม้กางเขนอย่างชัดเจนต่อหน้าต่อตา ข้อเดียวที่ข้าพเจ้าอยากทราบจากท่านคือ ท่านรับพระวิญญาณโดยการปฏิบัติตามกฎบัญญัติ หรือโดยการเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ท่านโง่เขลาเช่นนั้นเชียวหรือ ท่านเริ่มต้นโดยพระวิญญาณ แล้วท่านพยายามจะบรรลุถึงเป้าหมายโดยความสามารถของมนุษย์อย่างนั้นหรือ ประสบการณ์ที่ท่านได้รับมาหลายอย่างนั้นไร้ประโยชน์หรือ แน่ละ มันต้องเป็นประโยชน์บ้าง พระองค์มอบพระวิญญาณให้แก่ท่าน รวมทั้งแสดงสิ่งอัศจรรย์ต่างๆ ท่ามกลางพวกท่าน เป็นเพราะท่านปฏิบัติตามกฎบัญญัติ หรือจากการที่ท่านเชื่อในสิ่งที่ท่านได้ยิน เหมือนดังที่ “อับราฮัมเชื่อพระเจ้า และพระองค์จึงนับว่าท่านเป็นผู้มีความชอบธรรม”[a]

ฉะนั้น ท่านจงเข้าใจด้วยว่า ผู้ที่เชื่อเป็นบุตรของอับราฮัม และพระคัมภีร์ระบุกาลล่วงหน้าว่า พระเจ้าจะให้บรรดาคนนอกพ้นผิดได้โดยความเชื่อ และได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่อับราฮัมไว้ล่วงหน้าว่า “ประชาชาติทั้งปวงในโลกจะได้รับพรโดยผ่านเจ้า”[b] ดังนั้นบรรดาผู้มีความเชื่อได้รับพระพรร่วมกับอับราฮัมผู้มีความเชื่อ

10 ด้วยว่าทุกคนที่พึ่งการประพฤติตามกฎบัญญัติก็ถูกแช่งสาป เพราะมีบันทึกไว้ว่า “ทุกคนที่ไม่ทำตามทุกข้อที่เขียนไว้ในหมวดกฎบัญญัติต่อไปเรื่อยๆ ก็ถูกแช่งสาป”[c] 11 เป็นที่เห็นชัดแล้วว่า ต่อหน้าพระเจ้าแล้วไม่มีใครพ้นจากความผิดได้โดยกฎบัญญัติ เพราะว่า “ผู้มีความชอบธรรมจะมีชีวิตได้โดยความเชื่อ”[d] 12 กฎบัญญัติไม่มีรากฐานมาจากความเชื่อ แต่ตรงกันข้ามคือ “คนที่ถือตามก็จะมีชีวิตได้โดยการปฏิบัติตามนั้น”[e] 13 พระคริสต์ไถ่พวกเราจากการแช่งสาปของกฎบัญญัติ โดยการรับเป็นผู้ถูกแช่งสาปแทนเรา เพราะมีบันทึกไว้ว่า “ทุกคนที่ถูกแขวนบนต้นไม้[f]ก็ถูกแช่งสาป”[g] 14 เพื่อว่าพระพรที่ให้แก่อับราฮัมจะได้มาถึงบรรดาคนนอกโดยผ่านพระเยซูคริสต์ เพื่อเราจะได้รับพระวิญญาณตามพระสัญญาโดยความเชื่อ

กฎบัญญัติและพระสัญญา

15 พี่น้องเอ๋ย ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างที่เป็นตามแบบของมนุษย์ แม้ว่าจะเป็นเพียงพันธสัญญาของมนุษย์ แต่เมื่อเป็นที่รับรองกันแล้ว ก็ไม่มีใครยกเลิกหรือเพิ่มเติมขึ้นอีก 16 สัญญาทั้งหลายที่พระเจ้าได้กล่าวไว้กับอับราฮัมและผู้สืบเชื้อสายของท่าน พระคัมภีร์ไม่ได้ระบุว่า “และกับบรรดาผู้สืบเชื้อสาย” เหมือนกับอ้างถึงคนทั้งหลาย แต่เจาะจงถึงคนๆ เดียวคือ “และกับผู้สืบเชื้อสายของเจ้า”[h] ซึ่งผู้นั้นคือพระคริสต์ 17 ข้าพเจ้าหมายถึงว่า กฎบัญญัติที่เกิดขึ้นมาภายหลังถึง 430 ปีไม่ได้ทำให้พันธสัญญาซึ่งพระเจ้าได้รับรองไว้แล้วกลายเป็นโมฆะ เท่ากับว่าเป็นการยกเลิกพระสัญญาไป 18 ด้วยว่าถ้าการรับมรดกขึ้นอยู่กับกฎบัญญัติแล้ว ก็ไม่ขึ้นอยู่กับพระสัญญาอีก แต่พระเจ้าได้ให้แก่อับราฮัมทางพระสัญญา

19 แล้วกฎบัญญัติมีไว้เพื่ออะไร มีเพิ่มขึ้นมาไว้เพื่อให้เห็นว่าการกระทำใดเข้าข่ายการละเมิด จนกว่าผู้สืบเชื้อสายตามพระสัญญาที่อ้างถึงนั้นมาแล้ว บรรดาทูตสวรรค์เป็นผู้ที่ช่วยส่งกฎบัญญัติให้โดยมีคนกลาง 20 อย่างไรก็ตาม การจะใช้คนกลางได้ก็ต้องมีสองฝ่ายกระทำการ แต่พระเจ้าเป็นฝ่ายเดียว

21 ฉะนั้น กฎบัญญัติขัดแย้งกับพระสัญญาของพระเจ้าหรือ ไม่ใช่แน่ เพราะหากว่ากฎบัญญัติที่พระเจ้าให้ไว้นั้นสามารถนำมาซึ่งชีวิตแล้ว ความชอบธรรมก็จะได้มาโดยการปฏิบัติตามกฎบัญญัติอย่างแน่นอน 22 แต่พระคัมภีร์ได้ระบุไว้ว่า คนทั้งโลกถูกกักขังอยู่ภายใต้บาป ดังนั้นพระสัญญามีไว้สำหรับบรรดาคนที่มีความเชื่อในพระเยซูคริสต์

23 ก่อนที่ความเชื่อจะมาถึง เราถูกกักขังอยู่ภายใต้กฎบัญญัติ จนกระทั่งความเชื่อถูกเปิดเผยออกมา 24 ดังนั้นกฎบัญญัติจึงได้คอยควบคุมจนกระทั่งพระคริสต์มา เพื่อว่าเราจะพ้นผิดได้โดยความเชื่อ 25 แต่ขณะนี้ความเชื่อได้มาแล้ว เราจึงไม่ต้องอยู่ภายใต้อำนาจผู้ควบคุมอีกแล้ว

บุตรทั้งหลายของพระเจ้า

26 เพราะท่านทุกคนเป็นบุตรของพระเจ้าได้ โดยการมีความเชื่อในพระเยซูคริสต์ 27 เพราะทุกๆ ท่านที่ได้รับบัพติศมาในพระคริสต์แล้ว ท่านก็มีคุณสมบัติของพระคริสต์อยู่ในตัวท่าน 28 ไม่ว่าชาวยิวหรือชาวกรีก ไม่ว่าเป็นทาสหรืออิสระ ไม่ว่าชายหรือหญิงก็ไม่แตกต่างกันเลย ด้วยว่าทุกๆ ท่านมีความเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์ 29 และถ้าท่านเป็นของพระคริสต์แล้ว ท่านก็เป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากอับราฮัม คือเป็นผู้รับมรดกตามพระสัญญา

เอเสเคียล 30

ร้องคร่ำครวญให้กับอียิปต์

30 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงเผยความว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้

จงร้องไห้ฟูมฟาย วิบัติแก่วันนั้น
    เพราะวันนั้นใกล้จะถึงแล้ว
    วันของพระผู้เป็นเจ้าใกล้จะถึงแล้ว
จะเป็นวันแห่งเมฆหมอก
    เวลาแห่งการพิพากษาบรรดาประชาชาติ
ดาบจะฟาดฟันลงที่อียิปต์
    ความเจ็บปวดรวดร้าวจะเกิดแก่คูช
เมื่อมีการล้มตายในอียิปต์
    และความมั่งคั่งจะถูกยึดไป
    และรากฐานของอียิปต์จะพังทลายลง

คูช พูต ลูด อาระเบีย ลิเบีย และประชาชนของแผ่นดินที่ร่วมพันธสัญญาจะล้มตายด้วยดาบไปกับพวกเขา”

พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า

“บรรดาพันธมิตรของอียิปต์จะล้มลง
    และความยโสในพละกำลังของอียิปต์จะดิ่งลง
ตั้งแต่มิกดลถึงสิเอเน
    พวกเขาจะล้มลงด้วยดาบที่อยู่ในอียิปต์เอง”
พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น
“และอียิปต์จะเป็นที่รกร้างในท่าม
    กลางดินแดนทั้งหลายที่รกร้าง
และเมืองทั้งหลายของพวกเขาจะ
    อยู่ในท่ามกลางเมืองที่พินาศ
แล้วพวกเขาจะรู้ว่า
    เราคือพระผู้เป็นเจ้าเวลาที่เราเผาอียิปต์
    และทุกคนที่เข้ามาช่วยก็พินาศไปด้วย

ในวันนั้น บรรดาผู้ส่งข่าวจากเราจะออกไปกับเรือ พวกเขาจะทำให้ประชาชนของคูชหวาดกลัว และพวกเขาจะเจ็บปวดรวดร้าวในวันแห่งการพิพากษาอียิปต์ ดูเถิด มันจะเกิดขึ้นแน่”

10 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า

“เราจะทำให้ฝูงชนของอียิปต์พินาศลง
    ด้วยมือของเนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์แห่งบาบิโลน
11 ทั้งเขาและชนชาติของเขา ซึ่งโหดร้ายที่สุดในบรรดาประชาชาติ
    จะถูกนำเข้ามาทำลายแผ่นดินให้พินาศ
พวกเขาจะชักดาบต่อสู้อียิปต์
    และทั้งแผ่นดินจะมีคนตายมากมาย
12 เราจะทำให้แม่น้ำไนล์เหือดแห้ง
    และขายแผ่นดินให้แก่คนชั่วร้าย
เราจะทำให้แผ่นดินและทุกสิ่งในที่นั้น
    วิบัติด้วยการกระทำของชนต่างชาติ
เราคือพระผู้เป็นเจ้า เราได้กล่าวแล้ว”

13 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า

“เราจะกำจัดรูปเคารพ
    และทำให้รูปสลักในเมมฟิสหมดสิ้นไป
จะไม่มีผู้ยิ่งใหญ่จากแผ่นดินอียิปต์อีกต่อไป
    และเราจะทำให้ทั่วทั้งอียิปต์หวาดกลัว
14 เราจะทำให้เมืองปัทโรสเป็นที่รกร้าง
    และจะเผาเมืองโศอัน
    และจะลงโทษเธเบส[a]
15 เราจะกระหน่ำการลงโทษของเราลงบนเปลูเซียม[b]
    ซึ่งเป็นป้อมปราการอันแข็งแกร่งของอียิปต์
    และกำจัดประชาชนของเธเบส
16 เราจะเผาอียิปต์
    เมืองเปลูเซียมจะเจ็บปวดแสนสาหัส
เธเบสจะถูกโจมตี
    และเมมฟิส[c]จะเผชิญศัตรูตลอดเวลา
17 บรรดาชายหนุ่มของเมืองโอนและพีเบเสทจะล้มตายเพราะดาบ
    และบรรดาผู้หญิงจะถูกจับไปเป็นเชลย
18 จะเป็นวันแห่งความมืดที่ทาปานเหส
    เมื่อเราหักคานแอกของอียิปต์
ความยโสในพลังของอียิปต์จะสิ้นลง
    และจะถูกครอบคลุมด้วยเมฆหมอก
    บรรดาบุตรหญิงของอียิปต์จะถูกจับไปเป็นเชลย
19 เราจะลงโทษอียิปต์เช่นนั้น
    แล้วพวกเขาจะรู้ว่าเราคือพระผู้เป็นเจ้า

อียิปต์จะตกเป็นของบาบิโลน

20 ในวันที่เจ็ดของเดือนแรก ปีที่สิบเอ็ด[d] พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 21 “บุตรมนุษย์เอ๋ย เราได้หักแขนของฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ และดูเถิด แขนยังไม่ได้รับการรักษาหรือพันด้วยผ้าพันแผล เพื่อให้แข็งแรงดีจนถือดาบได้” 22 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “ดูเถิด เราจะขัดขวางฟาโรห์กษัตริย์ของอียิปต์ และเราจะหักแขนทั้งสองข้างของเขา ทั้งแขนข้างที่แข็งแรงและข้างที่หักแล้ว และเราจะทำให้ดาบหลุดจากมือของเขา 23 เราจะทำให้ชาวอียิปต์กระจัดกระจายไปในท่ามกลางบรรดาประชาชาติ และจะทำให้พวกเขากระเจิดกระเจิงไปในหลายดินแดน 24 และเราจะทำให้แขนของกษัตริย์แห่งบาบิโลนแข็งแกร่ง เราจะยื่นดาบไว้ในมือของเขา และเราจะหักแขนทั้งสองข้างของฟาโรห์ เขาจะโอดครวญต่อหน้ากษัตริย์แห่งบาบิโลนอย่างกับคนที่บาดเจ็บสาหัสเจียนตาย 25 เราจะทำให้แขนของกษัตริย์แห่งบาบิโลนแข็งแกร่ง แต่แขนของฟาโรห์จะหลุด แล้วพวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้าเมื่อเรายื่นดาบของเราไว้ในมือของกษัตริย์แห่งบาบิโลน และเขาก็ยื่นมันออกต่อสู้แผ่นดินอียิปต์ 26 เราจะทำให้ชาวอียิปต์กระจัดกระจายไปในท่ามกลางบรรดาประชาชาติ และจะทำให้พวกเขากระเจิดกระเจิงไปในหลายดินแดน แล้วพวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า

สดุดี 78:38-72

38 แต่พระองค์ยังคงสงสาร
    พระองค์ยกโทษความชั่วทั้งปวง
    และไม่ทำลายพวกเขา
บ่อยครั้งพระองค์ยับยั้งความกริ้วไว้
    และไม่ปล่อยความกริ้วของพระองค์ให้พลุ่งขึ้น
39 พระองค์ได้ระลึกว่าพวกเขาเป็นเพียงเนื้อหนัง
    เป็นลมที่พัดผ่านไป แล้วไม่หวนกลับมาอีก
40 บ่อยครั้งเพียงไรที่พวกเขาดื้อดึงต่อพระองค์ในถิ่นทุรกันดาร
    และทำให้พระองค์เศร้าใจในที่ร้างอันแร้นแค้น
41 พวกเขาลองดีกับพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำอีก
    และยั่วโทสะองค์ผู้บริสุทธิ์ของอิสราเอล
42 เขาไม่ได้จำใส่ใจถึงอานุภาพของพระองค์
    และวันที่พระองค์ช่วยพวกเขาให้รอดพ้นจากศัตรู
43 และวันที่พระองค์สร้างปรากฏการณ์ต่างๆ ในประเทศอียิปต์
    และสิ่งอัศจรรย์ต่างๆ ที่ไร่นาของโศอัน
44 พระองค์เปลี่ยนแม่น้ำของพวกเขาให้เป็นเลือด
    ทำให้น้ำจากลำธารดื่มไม่ได้
45 พระองค์ส่งฝูงแมลงไปกัดกินพวกเขา
    รวมทั้งให้ฝูงกบก่อกวนและสร้างความเสียหาย
46 พระองค์ให้ตัวบุ้งกินพืชผลที่พวกเขาปลูกไว้
    และผลผลิตจากแรงงานก็ให้ฝูงตั๊กแตนกัดกิน
47 พระองค์ให้ลูกเห็บตกทำลายเถาองุ่นของพวกเขา
    และให้น้ำค้างแข็งเกาะต้นมะเดื่อ
48 ฝูงโคล้มตายเพราะลูกเห็บ
    และฝูงแพะแกะตายลงเพราะสายฟ้าแลบ
49 พระองค์ปลดปล่อยความกริ้วอันร้อนแรงของพระองค์ลงบนพวกเขา
    ความโกรธเกรี้ยว ความขัดเคือง และความแค้น
    ซึ่งมาในรูปของกลุ่มทูตสวรรค์แห่งความวิบัติ
50 พระองค์เปิดทางให้แก่ความกริ้วของพระองค์
    และไม่ไว้ชีวิตพวกเขา
    และกำจัดชีวิตพวกเขาด้วยภัยพิบัติ
51 พระองค์กำจัดชีวิตลูกชายหัวปีทั้งหมดในอียิปต์
    ซึ่งเป็นพละกำลังแรกของพวกเขาที่อยู่ในกระโจมของฮาม[a]
52 แล้วพระองค์นำหน้าชนชาติของพระองค์เหมือนนำแกะ
    และนำพวกเขาในถิ่นทุรกันดารเหมือนนำฝูงแกะ
53 พระองค์นำหน้าพวกเขาไปอย่างปลอดภัย พวกเขาจึงไม่หวาดกลัว
    แต่ทะเลกลับท่วมมิดศัตรู
54 ครั้นแล้วพระองค์ก็นำพวกเขาไปยังดินแดนอันบริสุทธิ์ของพระองค์
    ไปยังภูเขาซึ่งมือขวาของพระองค์ได้มาด้วยชัยชนะ
55 พระองค์ขับไล่บรรดาประชาชาติให้ออกไปต่อหน้าพวกเขา
    พระองค์แบ่งเขตที่ดินให้พวกเขามีกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของ
    และให้บรรดาเผ่าของอิสราเอลตั้งรกรากในกระโจมที่พักของพวกเขา

56 แม้กระนั้น พวกเขาก็ยังลองดี
    และดื้อดึงต่อพระเจ้าผู้สูงสุด
    และไม่รักษาคำสั่งของพระองค์
57 แต่หันเหไป และประพฤติตนอย่างคนไร้ความเชื่อ เช่นเดียวกับบรรพบุรุษของพวกเขา
    ซึ่งเชื่อใจไม่ได้เท่าๆ กับคันธนูคด
58 พวกเขายั่วโทสะพระองค์ด้วยเรื่องสถานบูชาบนภูเขาสูง
    และพวกเขาทำให้พระองค์หวงแหนมากด้วยรูปเคารพ
59 เมื่อพระเจ้าได้ยิน พระองค์โกรธเกรี้ยว
    และไม่ยอมรับอิสราเอลเลย
60 พระองค์ทิ้งที่พำนักของพระองค์ให้ร้างไว้ที่ชิโลห์[b]
    ซึ่งเป็นกระโจมที่พระองค์พำนักท่ามกลางมนุษย์
61 และพระองค์มอบพละกำลังของพระองค์ให้แก่การเป็นเชลย
    และพระบารมีของพระองค์ไว้ในมือของศัตรู
62 พระองค์ปล่อยให้ชนชาติของพระองค์ถูกกำจัดด้วยคมดาบ
    และโกรธกริ้วต่อบรรดาผู้สืบมรดกของพระองค์
63 บรรดาชายหนุ่มเสียชีวิตในสงคราม
    และหญิงสาวของพวกเขาไม่มีโอกาสแต่งงาน
64 บรรดาปุโรหิตของพวกเขาล้มตายด้วยคมดาบ
    และหญิงม่ายไม่มีโอกาสแสดงความเศร้าโศกา

65 ครั้นแล้วพระผู้เป็นเจ้าตื่นขึ้นดั่งหนึ่งได้ตื่นจากนอน
    เหมือนกับชายฉกรรจ์ส่งเสียงเอ็ดตะโรเพราะเหล้าองุ่น
66 พระองค์ขับไล่ข้าศึกกลับไป
    และทำให้เขาอับอายไปตลอดกาล
67 พระองค์ปฏิเสธกระโจมที่พักของโยเซฟ
    พระองค์ไม่ได้เลือกเผ่าเอฟราอิม
68 แต่พระองค์เลือกเผ่ายูดาห์
    ภูเขาศิโยนซึ่งพระองค์รัก
69 พระองค์สร้างที่พำนักของพระองค์ไว้อย่างสูงระดับฟ้าสวรรค์
    อย่างแผ่นดินโลกที่พระองค์ตั้งไว้ให้ยืนยงตลอดกาล
70 พระองค์เลือกดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์
    และพาท่านออกไปจากคอกแกะ
71 พระองค์ให้ท่านเลิกดูแลแกะแม่ลูกอ่อน
    และให้มาเป็นผู้เลี้ยงดูฝูงแกะของยาโคบชนชาติของพระองค์
    คือของอิสราเอล ผู้สืบมรดกของพระองค์
72 ท่านดูแลคนเหล่านั้นด้วยความจริงใจ
    และนำเขาไปด้วยความชำนาญ

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation