Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
2 ซามูเอล 19

โยอาบห้ามดาวิด

19 มีคนบอกโยอาบว่า “ดูเถิด กษัตริย์กำลังร้องไห้และร้องคร่ำครวญถึงอับซาโลม” ดังนั้นชัยชนะของวันนั้นกลายเป็นการร้องคร่ำครวญของทหารทั้งปวง เพราะเขาได้ยินในวันนั้นว่า “กษัตริย์กำลังเศร้าโศกถึงบุตรของท่าน” พวกทหารจึงแอบกลับเข้าไปในเมืองอย่างเงียบๆ ราวกับคนที่อับอายเมื่อหนีศึกและแอบกลับมา กษัตริย์ปิดหน้าและร้องส่งเสียงดังว่า “โอ อับซาโลมบุตรของเรา บุตรของเรา อับซาโลมเอ๋ย บุตรของเรา” โยอาบเข้าไปในที่พักของกษัตริย์ และพูดว่า “วันนี้ท่านทำให้ข้ารับใช้ของท่านทุกคนได้รับความอับอาย วันนี้พวกเขาช่วยชีวิตท่าน ชีวิตบุตรชายและบุตรหญิง ชีวิตภรรยาและภรรยาน้อยของท่าน เพราะว่าท่านรักผู้ที่เกลียดชังท่าน และเกลียดชังผู้ที่รักท่าน เพราะว่าวันนี้ท่านทำให้เห็นชัดแล้วว่า เหล่าผู้บังคับบัญชาและทหารรับใช้ไม่มีความหมายสำหรับท่าน เพราะในวันนี้ข้าพเจ้าทราบว่า ถ้าอับซาโลมยังมีชีวิตอยู่ และพวกเราทุกคนตายไปในวันนี้ ท่านก็จะพอใจ ฉะนั้นบัดนี้ โปรดลุกขึ้น ออกไปกล่าวให้กำลังใจพวกทหารรับใช้ของท่าน เพราะข้าพเจ้าสาบานในพระนามของพระผู้เป็นเจ้าว่า ถ้าท่านไม่ไป จะไม่มีชายสักคนเดียวที่จะอยู่กับท่านในคืนนี้ และเรื่องนี้จะทำให้ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากยิ่งกว่าความวิบัติที่ท่านเคยพบ นับจากเวลาที่ท่านเป็นหนุ่มจนถึงบัดนี้” แล้วกษัตริย์ก็ลุกขึ้น และไปนั่งที่ประตูเมือง และบรรดาทหารทั้งปวงได้ยินว่า “ดูเถิด กษัตริย์กำลังนั่งอยู่ที่ประตูเมือง” พวกเขาจึงมาเข้าเฝ้ากษัตริย์

ดาวิดกลับไปยังเยรูซาเล็ม

ในขณะเดียวกันชายชาวอิสราเอลทุกคนก็หนีไปยังบ้านของตน ประชาชนต่างก็ถกเถียงกันว่า “กษัตริย์ดาวิดช่วยพวกเราให้พ้นจากมือของศัตรู และช่วยพวกเราให้พ้นจากมือของชาวฟีลิสเตีย และบัดนี้ท่านได้หนีอับซาโลม และออกไปจากแผ่นดิน 10 แต่อับซาโลมผู้ที่เราเจิมให้เป็นผู้นำพวกเรา ก็สิ้นชีวิตในสงคราม แล้วทำไมเวลานี้ พวกท่านจึงไม่พูดถึงเรื่องที่จะนำกษัตริย์กลับมาบ้างเลย”

11 กษัตริย์ดาวิดให้คนไปบอกศาโดกและอาบียาธาร์ปุโรหิตว่า “จงถามบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของยูดาห์ว่า ‘ทำไมท่านจึงเป็นคนสุดท้ายที่จะเชิญกษัตริย์กลับวังของท่าน เมื่อคำพูดของชาวอิสราเอลทั้งปวงได้มาถึงกษัตริย์แล้ว 12 ท่านเป็นพี่น้องร่วมชาติของเรา เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกับเรา แล้วทำไมท่านจึงเป็นคนสุดท้ายที่จะเชิญกษัตริย์กลับมา’ 13 และจงบอกอามาสาว่า ‘ท่านไม่ได้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเราหรือ ขอให้พระเจ้ากระทำต่อเราเช่นนั้น หรือมากกว่านั้น ถ้าหากว่าท่านไม่ได้เป็นผู้บังคับกองพันทหารของเราแทนโยอาบตั้งแต่นี้ไป’” 14 และท่านได้ชนะใจชาวยูดาห์อย่างพร้อมเพรียง พวกเขาจึงไปเรียนกษัตริย์ว่า “ขอเชิญท่านและทหารรับใช้ทั้งปวงของท่านกลับมา” 15 ดังนั้นกษัตริย์จึงกลับมายังแม่น้ำจอร์แดน และชาวยูดาห์ก็ได้มาที่เมืองกิลกาลเพื่อต้อนรับกษัตริย์และเชิญท่านข้ามแม่น้ำจอร์แดน

ดาวิดให้อภัยศัตรู

16 ฝ่ายชิเมอีบุตรของเก-ราชาวเบนยามินจากบาฮูริม ก็รีบลงมากับพวกผู้ชายชาวยูดาห์ เพื่อพบกับกษัตริย์ดาวิด 17 พวกที่มาด้วยก็มีชายชาวเบนยามิน 1,000 คน และศิบาผู้รับใช้จากพงศ์พันธุ์ของซาอูลก็มาพร้อมกับบุตรชาย 15 คน และผู้รับใช้ 20 คน ต่างก็รีบลงมายังแม่น้ำจอร์แดนเพื่อมาหากษัตริย์ 18 พวกเขาได้ข้ามเขตลำน้ำที่ลุยข้ามได้ และพาทั้งครัวเรือนของกษัตริย์ข้ามมาเพื่อเป็นที่พอใจของท่าน และชิเมอีบุตรของเก-ราก้มตัวลง ณ เบื้องหน้ากษัตริย์ ขณะที่ท่านกำลังจะข้ามแม่น้ำจอร์แดน 19 และพูดกับกษัตริย์ว่า “ขอเจ้านายของข้าพเจ้าอย่าถือโทษข้าพเจ้า หรือจดจำสิ่งที่ข้ารับใช้กระทำผิดในวันที่เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ต้องจากเยรูซาเล็มไป ขอกษัตริย์อย่านึกถึงเรื่องนั้นอีก[a] 20 เพราะว่าข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านทราบว่า ข้าพเจ้าได้กระทำบาปแล้ว ฉะนั้น ดูเถิด ในวันนี้ข้าพเจ้าเป็นคนแรกของพงศ์พันธุ์โยเซฟที่ลงมาพบเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์” 21 อาบีชัยบุตรของนางเศรุยาห์ตอบว่า “สมควรมิใช่หรือที่ชิเมอีจะถูกสังหารที่กระทำเช่นนี้ เพราะว่าเขาสาปแช่งผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าเจิม” 22 แต่ดาวิดตอบว่า “ไม่ใช่เรื่องของพวกท่านทั้งสอง บุตรของเศรุยาห์เอ๋ย ที่ท่านควรจะเป็นปฏิปักษ์กับเราในวันนี้ มีใครที่ควรจะถูกสังหารในอิสราเอลวันนี้หรือ เราไม่รู้หรือว่าวันนี้เราเป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล” 23 และกษัตริย์กล่าวกับชิเมอีว่า “เจ้าจะไม่ตาย” กษัตริย์ได้ให้คำสัญญาแก่เขา

24 เมฟีโบเชทบุตรของซาอูลก็ลงมาพบกษัตริย์ ท่านไม่ได้ดูแลรักษาเท้า หรือขลิบเครา หรือซักเสื้อผ้า นับตั้งแต่กษัตริย์จากไปจนถึงวันที่ท่านกลับมาด้วยความปลอดภัย 25 เมื่อเมฟีโบเชทมายังเยรูซาเล็มเพื่อต้อนรับกษัตริย์ กษัตริย์ถามว่า “เมฟีโบเชท ทำไมท่านจึงไม่ได้ไปกับเรา” 26 ท่านตอบว่า “โอ เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ ในเมื่อข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านเป็นง่อย ข้าพเจ้าสั่งว่า ‘เราจะให้จัดการผูกอานลา เพื่อจะขี่ไปกับกษัตริย์’ แต่ศิบาผู้รับใช้ของข้าพเจ้ากลับทรยศข้าพเจ้า 27 เขาได้ว่าร้ายข้าพเจ้าต่อเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ แต่ว่าเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์เป็นดั่งทูตสวรรค์ของพระเจ้า ฉะนั้นขอให้ท่านกระทำตามที่เห็นสมควรเถิด 28 เพราะว่าพงศ์พันธุ์ของบิดาข้าพเจ้ามีแต่คนที่สมควรจะตาย ณ เบื้องหน้าเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ แต่ท่านให้ข้าพเจ้าข้ารับใช้ของท่านนั่งร่วมโต๊ะรับประทานกับท่านด้วย ข้าพเจ้าจะมีสิทธิ์เรียกร้องสิ่งใดจากกษัตริย์เกินกว่านี้ได้เล่า” 29 กษัตริย์กล่าวว่า “พูดถึงเรื่องของท่านอีกทำไม เราได้ตัดสินใจแล้วว่า ท่านและศิบาจะแบ่งที่ดินกัน”[b] 30 เมฟีโบเชทพูดกับกษัตริย์ว่า “โอ ให้เขารับไปหมดเถิด ในเมื่อเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ได้กลับมาบ้านด้วยความปลอดภัยแล้ว”

31 ฝ่ายบาร์ซิลลัยชาวกิเลอาดได้ลงมาจากโรเกลิม และได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปกับกษัตริย์ เพื่อส่งท่านให้เดินทางต่อไปจากที่นั่น 32 บาร์ซิลลัยเป็นคนชรา มีอายุ 80 ปี ท่านจัดหาอาหารให้กษัตริย์ขณะที่ท่านพักอยู่ที่มาหะนาอิม เพราะเป็นคนมั่งมีมาก 33 กษัตริย์กล่าวกับบาร์ซิลลัยว่า “มากับเราเถิด แล้วเราจะดูแลท่านในเยรูซาเล็ม” 34 แต่บาร์ซิลลัยเรียนกษัตริย์ว่า “ข้าพเจ้ายังจะมีชีวิตอยู่อีกกี่ปี ที่ข้าพเจ้าควรขึ้นไปยังเยรูซาเล็มกับกษัตริย์ 35 เวลานี้ข้าพเจ้ามีอายุ 80 ปี ข้าพเจ้าจะทราบได้หรือว่าอะไรคือความสำราญ และอะไรไม่ใช่ ข้าพเจ้าจะลิ้มรสสิ่งที่รับประทานและดื่มได้หรือ ข้าพเจ้ายังจะฟังเสียงร้องเพลงของชายและหญิงได้หรือ แล้วทำไมข้าพเจ้าควรจะเป็นภาระเพิ่มแก่เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ 36 ข้าพเจ้าจะข้ามแม่น้ำไปกับกษัตริย์เพียงระยะสั้นๆ ไฉนกษัตริย์จึงทดแทนข้าพเจ้าด้วยรางวัลเช่นนี้ 37 โปรดให้ข้าพเจ้ากลับไปเถิด ให้ข้าพเจ้าตายในเมืองข้าพเจ้าเอง ใกล้ๆ กับที่ฝังศพบิดาและมารดาข้าพเจ้า นี่ก็คิมฮามให้เป็นผู้รับใช้ของท่าน ให้เขาข้ามไปกับเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์เถิด และท่านจะให้เขารับใช้สิ่งใดก็ตามที่ท่านเห็นสมควร” 38 กษัตริย์ตอบว่า “คิมฮามจะข้ามไปกับเรา และเราจะให้เขารับใช้ตามที่ท่านเห็นสมควร และทุกสิ่งที่ท่านต้องการ เราก็จะกระทำเพื่อท่าน” 39 ครั้นแล้วพรรคพวกของดาวิดก็ข้ามแม่น้ำจอร์แดน และกษัตริย์ข้ามไป ท่านจูบแก้มบาร์ซิลลัยและให้พร และบาร์ซิลลัยจึงกลับไปบ้านของท่าน 40 กษัตริย์เดินทางต่อไปยังกิลกาล คิมฮามก็ตามท่านไปด้วย ทหารของยูดาห์ทั้งหมดและทหารจำนวนครึ่งหนึ่งของอิสราเอลด้วยที่นำกษัตริย์เดินทางต่อไป

41 และทหารอิสราเอลทุกคนก็มาหากษัตริย์และพูดกับท่านว่า “เหตุใดพี่น้องร่วมชาติของพวกเราจากยูดาห์ได้ลักพากษัตริย์ไป และนำท่านกับครัวเรือนของท่านข้ามแม่น้ำจอร์แดน และพรรคพวกของท่านก็มาด้วย” 42 ชาวยูดาห์ตอบชาวอิสราเอลว่า “เพราะว่ากษัตริย์เป็นญาติสนิทของพวกเรา ทำไมท่านจึงโกรธเรื่องนี้ด้วย พวกเราให้กษัตริย์เสียค่าใช้จ่ายเรื่องอาหารการกินหรือ และกษัตริย์ท่านประทานสิ่งใดให้พวกเราหรือ” 43 ชาวอิสราเอลตอบชาวยูดาห์ว่า “พวกเรามีสิทธิ์ในกษัตริย์มากกว่าพวกท่านถึง 10 เท่า และในดาวิดมากยิ่งกว่าพวกท่านด้วย แล้วทำไมท่านจึงดูหมิ่นเรา เราเป็นพวกแรกที่พูดถึงการนำกษัตริย์ของเรากลับมามิใช่หรือ” แต่คำพูดของชาวยูดาห์รุนแรงยิ่งกว่าคำพูดของชาวอิสราเอล

2 โครินธ์ 12

ภาพนิมิตและหนามในกายของเปาโล

12 การโอ้อวดเป็นสิ่งจำเป็น แม้จะไม่เกิดประโยชน์ก็ตาม แต่ข้าพเจ้าจะพูดต่อไปในเรื่องภาพนิมิตต่างๆ ที่ได้เห็นและการเผยความซึ่งมาจากพระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้ารู้จักชายผู้หนึ่งที่อยู่ในพระคริสต์ เมื่อ 14 ปีมาแล้ว มีผู้มารับตัวเขาขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นสาม ไปทั้งร่างกายหรือไม่นั้นข้าพเจ้าไม่ทราบ แต่พระเจ้าทราบ และข้าพเจ้าทราบว่ามีผู้มารับชายคนนี้ขึ้นสู่สวนสวรรค์ ไม่ว่าไปทั้งร่างกายหรือไม่นั้นข้าพเจ้าไม่ทราบ แต่พระเจ้าทราบ เขาได้ยินสิ่งซึ่งบรรยายไม่ถูกและบอกต่อไม่ได้ ข้าพเจ้าจะโอ้อวดเรื่องของชายเช่นนี้ แต่ข้าพเจ้าจะไม่โอ้อวดถึงตัวข้าพเจ้าเอง เว้นแต่อวดถึงความอ่อนแอของข้าพเจ้า ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าอยากจะโอ้อวด ข้าพเจ้าก็จะไม่ใช่คนเขลา เพราะข้าพเจ้าจะพูดถึงความจริง แต่ข้าพเจ้าจะไม่โอ้อวด เพื่อว่าจะไม่มีใครคิดยกย่องข้าพเจ้าเกินกว่าที่เขาเห็นข้าพเจ้ากระทำ หรือได้ยินข้าพเจ้าพูด และเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้าฮึกเหิม เนื่องจากพระเจ้าได้เปิดเผยหลายสิ่งที่ยิ่งใหญ่แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงรับทุกข์ทางกายเหมือนมีหนามยอก มันเป็นดั่งทูตสื่อสารจากซาตานเพื่อรังควานข้าพเจ้า จนทำให้ไม่อาจฮึกเหิมได้ ข้าพเจ้าอ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้าถึง 3 ครั้งเพื่อให้หนามหลุดไป แต่พระองค์กล่าวกับข้าพเจ้าว่า “ความรักยิ่งที่เรามีต่อเจ้านั้นก็เพียงพอแล้ว เพราะอานุภาพของเราจะบริบูรณ์เพียบพร้อมได้ก็ในความอ่อนแอ” ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงยินดีโอ้อวดความอ่อนแอของตัวเองมากยิ่งขึ้น เพื่อว่าอานุภาพของพระคริสต์จะได้อยู่กับข้าพเจ้า 10 ฉะนั้นข้าพเจ้ายินดีกับความอ่อนแอ การถูกดูหมิ่น ความทุกข์ยาก การกดขี่ข่มเหงและความลำบากเพื่อพระคริสต์ เพราะเวลาข้าพเจ้าอ่อนแอ ข้าพเจ้าก็แข็งแกร่งขึ้น

เปาโลห่วงใยชาวโครินธ์

11 ข้าพเจ้ากลายเป็นคนโง่เขลา แต่ที่เป็นไปดังนั้นก็เพราะท่าน พวกท่านต่างหากที่ควรยกย่องข้าพเจ้าเอง เพราะข้าพเจ้าก็ไม่ใช่คนที่ด้อยกว่า “อัครทูตชั้นเยี่ยม” เหล่านั้น แม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่ใช่คนวิเศษอะไรเลย 12 ปรากฏการณ์อัศจรรย์ สิ่งมหัศจรรย์ และฤทธานุภาพต่างๆ เป็นที่ประจักษ์ในหมู่พวกท่านแล้ว ก็เนื่องมาจากความบากบั่นสูงสุดของข้าพเจ้า และสิ่งเหล่านั้นพิสูจน์ได้ถึงความเป็นอัครทูตแท้ 13 ข้าพเจ้าปฏิบัติต่อพวกท่านไม่ดีเท่าคริสตจักรอื่นๆ อย่างไรบ้างหรือ มีสิ่งเดียวคือข้าพเจ้าไม่ได้เป็นภาระให้กับพวกท่าน ข้าพเจ้าก็ขออภัยด้วย

14 เวลานี้ข้าพเจ้าพร้อมจะมาเยี่ยมพวกท่านเป็นครั้งที่สาม และจะไม่เป็นภาระให้กับท่าน เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการนั้นไม่ใช่สรรพสิ่งที่เป็นของท่าน แต่เป็นตัวท่านเอง เพราะลูกๆ ไม่ต้องรับผิดชอบจัดหาให้บิดามารดา แต่บิดามารดาต่างหากที่ต้องจัดหาให้ลูกๆ 15 ข้าพเจ้ายินดียิ่งที่จะสละทุกสิ่งที่ข้าพเจ้ามี และทุ่มเทตนเองเช่นกันเพื่อช่วยเหลือท่าน ถ้าหากข้าพเจ้ารักท่านยิ่งขึ้น แล้วท่านจะรักข้าพเจ้าน้อยลงหรือ 16 ท่านจะเห็นด้วยว่าข้าพเจ้าไม่ได้เป็นภาระให้กับท่าน แต่ก็มีคนพูดว่าข้าพเจ้ามีเล่ห์อุบายและล่อลวงท่าน 17 ข้าพเจ้าเอาเปรียบท่านผ่านคนที่ข้าพเจ้าส่งมาหาท่านหรือ 18 ข้าพเจ้าขอให้ทิตัสไปพร้อมทั้งส่งพี่น้องผู้หนึ่งไปด้วย ทิตัสเอาเปรียบท่านหรือ พวกเราไม่ได้ปฏิบัติด้วยจิตมุ่งหวังเดียวกันและวิธีการเดียวกันหรือ

19 ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้พวกท่านคิดว่าเราแก้ตัวกัน แต่ความจริงแล้ว พวกเราพูดต่อหน้าพระเจ้าเช่นผู้รับใช้ของพระคริสต์ เพื่อประโยชน์แก่ท่านที่รักทั้งหลาย 20 ข้าพเจ้าเกรงว่าเมื่อข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าอาจจะไม่เห็นว่าท่านเป็นเหมือนที่ข้าพเจ้าปรารถนา และท่านก็อาจจะไม่เห็นว่าข้าพเจ้าเป็นเหมือนที่ท่านปรารถนา คืออาจจะมีการทะเลาะวิวาท อิจฉา ฉุนเฉียว ก้าวร้าว ว่าร้าย ครหานินทา หยิ่งยโส และความไร้ระเบียบ 21 ข้าพเจ้าเกรงว่าเมื่อข้าพเจ้ามาอีก พระเจ้าของข้าพเจ้าอาจจะทำให้ข้าพเจ้าต้องอับอายต่อหน้าท่าน และอาจเศร้าใจที่หลายคนได้กระทำบาปก่อนหน้านี้ และไม่ได้สำนึกผิดในเรื่องมลทิน เรื่องการประพฤติผิดทางเพศและความมักมากในกามซึ่งพวกเขาได้ปฏิบัติกัน

เอเสเคียล 26

การเผยความกล่าวโทษเมืองไทระ

26 ในปีที่สิบเอ็ด[a] วันแรกของเดือน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย เพราะเมืองไทระพูดเกี่ยวกับเยรูซาเล็มว่า ‘นั่นแน่ะ ประตูเมืองของบรรดาชนชาติถูกพังลง ประตูถูกผลักเปิดให้เรา เมืองพังพินาศ คราวนี้เราก็จะมั่งมี’” ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “ดูเถิด โอ ไทระเอ๋ย เราเป็นฝ่ายกล่าวโทษเจ้า และจะให้ประชาชาติจำนวนมากมาโจมตีเจ้า อย่างกับทะเลที่ซัดคลื่นขึ้น ประชาชาติเหล่านั้นจะทลายกำแพงของไทระและโค่นหอคอย และเราจะกวาดเศษซากของเมืองทิ้งจนเกลี้ยง จะเหลืออยู่ก็เพียงหินเปล่าๆ ไทระจะอยู่ท่ามกลางทะเล จะเป็นที่สำหรับเหวี่ยงแหดักปลา เราได้พูดแล้ว” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น “และไทระจะกลายเป็นเหยื่อของบรรดาประชาชาติ ผู้คนของหมู่บ้านต่างๆ บนแผ่นดินใหญ่จะถูกดาบฆ่าฟัน แล้วพวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า

เพราะพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “ดูเถิด เราจะให้กษัตริย์จากทิศเหนือคือเนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน ซึ่งเป็นกษัตริย์ของกษัตริย์ทั้งหลายมาโจมตีเมืองไทระ เขาจะมาพร้อมกับม้าและรถศึก ทหารม้าและกองทัพใหญ่ เขาจะใช้ดาบฆ่าประชาชนในหมู่บ้านของแผ่นดินใหญ่ของเจ้า เขาจะก่อเชิงเทินประชิดตัวเมืองต่อสู้เจ้า สร้างกำแพงสูงล้อมเมือง และยกโล่ขึ้นปะทะกับเจ้า เขาจะกระทุ้งกำแพงของเจ้าด้วยไม้ซุง และจะใช้ขวานสับหอคอยของเจ้าให้พังลง 10 เขามีม้าฝูงใหญ่ที่ทำให้ฝุ่นตลบกลบตัวเจ้าได้ กำแพงของเจ้าจะสะเทือนจากเสียงของทหารม้า รถพ่วง และรถศึก เมื่อเขาเข้าทางประตูเมืองของเจ้าขณะที่บรรดาทหารบุกเข้ามาเมื่อกำแพงเมืองทลายลงแล้ว 11 กีบม้าของเขาจะเหยียบย่ำถนนทุกสาย เขาจะใช้ดาบฆ่าประชาชนของเจ้า และเสาหินที่แข็งแกร่งจะล้มกระทบพื้น 12 พวกเขาจะริบความมั่งมีและยึดสินค้าของเจ้าไป พวกเขาจะพังกำแพงและรื้อบ้านที่สวยหรูของเจ้า หิน ไม้แปรรูป และดินจะถูกเหวี่ยงลงน้ำ 13 และเราจะทำให้เสียงเพลงของเจ้ายุติลง จะไม่ได้ยินเสียงของพิณสิบสายอีก 14 เราจะทำให้เจ้าเป็นหินเปล่าๆ เจ้าจะเป็นที่สำหรับทอดแห เจ้าไม่มีวันที่จะถูกสถาปนาขึ้นใหม่ เพราะเราคือพระผู้เป็นเจ้า เราได้พูดแล้ว” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น

15 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวกับเมืองไทระดังนี้ว่า “แถบชายฝั่งทะเลจะสั่นสะเทือนเพราะเสียงที่เจ้าถล่มลงเมื่อผู้บาดเจ็บโอดครวญและเมื่อผู้สังหารปรากฏในท่ามกลางเจ้าไม่ใช่หรือ 16 แล้วผู้ยิ่งใหญ่ทั้งปวงของชาติที่ชายฝั่งทะเลจะก้าวลงจากบัลลังก์ ถอดเสื้อคลุมและปลดเครื่องนุ่งห่มที่ปักลวดลายออก พวกเขาจะสวมความหวาดกลัว พวกเขาจะนั่งลงบนพื้นและตัวสั่นเทาทุกขณะ และตื่นตระหนกที่เห็นสิ่งที่เกิดกับเจ้า 17 พวกเขาจะร้องคร่ำครวญเรื่องเจ้า และพูดกับเจ้าว่า

‘เจ้าถูกทำให้พินาศอะไรเช่นนี้
    เจ้าเคยมีผู้คนจากชายฝั่งทะเลมาอาศัยอยู่
เจ้าเคยเป็นที่เลื่องลือ
    มีอำนาจทางท้องทะเล
ทั้งตัวเจ้าและผู้ที่อาศัยอยู่
    เคยเป็นที่น่าเกรงกลัวของผู้อื่น
18 มาบัดนี้ หมู่เกาะสั่นสะเทือน
    ในวันที่เจ้าถล่มลง
และหมู่เกาะ ต่างๆ ในท้องทะเลตื่นตระหนก
    เมื่อเจ้าหมอบนิ่ง’”

19 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “เมื่อเราทำให้เจ้าเป็นเมืองร้าง อย่างกับเมืองที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ เมื่อเราทำให้ห้วงน้ำลึกท่วมเจ้า และมวลน้ำจำนวนมหาศาลท่วมทับเจ้า 20 และเราจะทำให้เจ้าดิ่งลงไปกับบรรดาผู้ที่ลงในหลุมลึกแห่งแดนคนตาย ไปยังที่ของคนในสมัยโบราณ และเราจะทำให้เจ้าอยู่ในโลกเบื้องล่าง ในที่ปรักหักพังโบราณ ไปอยู่กับบรรดาผู้ที่ลงในหลุมลึกแห่งแดนคนตาย และเจ้าจะไม่กลับไปยังที่ของเจ้าในดินแดนของคนเป็น 21 เราจะนำเจ้าไปยังจุดจบอันน่าหวาดกลัว และจะไม่มีเจ้าอีกต่อไป แม้ว่าเจ้าจะถูกตามหา แต่ไม่มีวันที่ใครจะหาเจ้าพบอีก” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น

สดุดี 74

อธิษฐานให้ชนชาติของพระองค์รอดพ้นจากศัตรู

เพลงสดุดีแห่งความฉลาดรอบรู้ของอาสาฟ

โอ พระเจ้า ทำไมพระองค์จึงทอดทิ้งพวกเราไปตลอดกาล
    ทำไมความกริ้วของพระองค์จึงปะทุขึ้นต่อฝูงแกะในทุ่งหญ้าของพระองค์
โปรดระลึกถึงคนของพระองค์ที่ได้เลือกไว้แต่เก่าก่อน
    ที่พระองค์ได้ไถ่ให้เป็นเผ่าพันธุ์ของผู้สืบมรดกของพระองค์
    โปรดระลึกถึงภูเขาศิโยน อันเป็นที่ซึ่งพระองค์เคยพำนัก
โปรดก้าวเท้าไปสำรวจสิ่งที่ปรักหักพังเป็นนิตย์
    พวกศัตรูได้ทำลายทุกสิ่งในสถานที่บริสุทธิ์

พวกข้าศึกได้ตะโกนร้องด้วยชัยชนะท่ามกลางที่ประชุมของพระองค์
    พวกเขาตั้งธงชัยขึ้นเป็นสัญลักษณ์ของเขาเอง
ดูเหมือนว่าพวกเขายกขวานขึ้น
    จามไม้ในป่าทึบ
ในทันใดนั้นเขาก็ทำลายส่วนที่เป็นไม้สลักทั้งหมดลง
    ด้วยขวานและค้อน
พวกเขาเอาไฟเผาที่พำนักของพระองค์
    เขาทำให้สถานที่อันเป็นที่ซึ่งพระองค์ได้รับการนมัสการเป็นมลทินไปทุกกระเบียดนิ้ว
พวกเขาคิดอยู่ในใจว่า “เรามาทำให้พวกเขาพินาศย่อยยับกันเถิด”
    แล้วเขาก็เผาสถานที่ประชุมของพระเจ้าทุกแห่งในแผ่นดิน

พวกเราไม่เห็นสัญลักษณ์สำหรับพวกเราเลย
    ไม่มีผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าอีกแล้ว
    และไม่มีผู้ใดในหมู่พวกเราทราบว่าจะเป็นเวลานานแค่ไหน
10 โอ พระเจ้า นานเพียงไรที่ศัตรูจะเยาะเย้ยพระองค์
    พวกเขาจะดูถูกพระนามของพระองค์ไปตลอดกาลหรือ
11 ทำไมพระองค์จึงยั้งมือขวาของพระองค์ไว้
    ยื่นมือออกจากทรวงอกของพระองค์เถิด ทำลายให้จบสิ้นไป

12 โอ พระเจ้า กษัตริย์ของข้าพเจ้าแต่ก่อนเก่า
    พระองค์นำความรอดพ้นมายังแผ่นดินโลก
13 พระองค์แยกน้ำทะเลออกด้วยอานุภาพของพระองค์
    พระองค์หักหัวฝูงมังกรในน้ำ
14 พระองค์ขยี้หัวตัวเหรา[a]
    พระองค์ให้มันเป็นอาหารสำหรับสัตว์ในทะเลทราย
15 พระองค์ทำให้น้ำพุและลำธารมีน้ำไหลพุ่ง
    พระองค์ทำให้แม่น้ำที่ไหลอยู่เหือดแห้ง
16 กลางวันเป็นของพระองค์ และกลางคืนก็ยังคงเป็นของพระองค์เช่นกัน
    พระองค์สร้างดวงจันทร์และดวงอาทิตย์
17 พระองค์กำหนดเขตแดนของทุกสิ่งบนโลก
    ให้มีฤดูร้อนและฤดูหนาว

18 โอ พระผู้เป็นเจ้า ขอพระองค์ตระหนักด้วยว่า พวกศัตรูหัวเราะเยาะพระองค์
    และคนโง่พากันเย้ยหยันพระนามของพระองค์
19 อย่ายกชีวิตนกพิราบของพระองค์ให้พวกสัตว์ป่า
    อย่าลืมชีวิตของคนยากจนของพระองค์โดยสิ้นเชิง
20 โปรดคำนึงถึงพันธสัญญาของพระองค์
    เพราะทุกมุมมืดเต็มด้วยการกระทำอันรุนแรง
21 อย่าปล่อยให้คนที่ถูกบีบบังคับต้องถูกเหยียดหยาม
    ให้ผู้ขัดสนและผู้ยากไร้สรรเสริญพระนามของพระองค์
22 โอ พระเจ้า พระองค์โปรดลุกขึ้นสู้ความ
    ตระหนักเถิดว่าคนเขลาหัวเราะเยาะพระองค์ตลอดวันเวลา
23 อย่าลืมเสียงร้องของศัตรูของพระองค์
    มันคือเสียงก่อกวนของฝ่ายตรงข้ามที่เกิดขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation