M’Cheyne Bible Reading Plan
อับซาโลมวางแผนร้าย
15 จากนั้นต่อมา อับซาโลมก็หารถศึกและม้าไว้ใช้ และมีทหารวิ่งนำหน้าเขาไป 50 คน 2 อับซาโลมมักจะตื่นนอนแต่เช้าตรู่ และไปยืนที่ข้างทางประตูเมือง เมื่อผู้ใดมีเรื่องขัดแย้งที่ต้องมาให้กษัตริย์ตัดสิน อับซาโลมจะเรียกถามเขาว่า “เจ้ามาจากเมืองไหน” และเมื่อเขาพูดว่า “ผู้รับใช้ของท่านเป็นคนจากเผ่านั้นเผ่านี้ในอิสราเอล” 3 อับซาโลมจะพูดว่า “ดูสิ ข้อหาของเจ้าก็ดีและถูกต้อง แต่ว่ากษัตริย์ไม่ได้แต่งตั้งใครให้ฟังเรื่องของเจ้า” 4 แล้วอับซาโลมก็พูดว่า “ถ้าหากว่าเราเป็นผู้วินิจฉัยในแผ่นดินแล้ว ทุกคนที่มีเรื่องขัดแย้งหรือข้อหาใดๆ ก็มาหาเราได้ และเราจะให้ความเป็นธรรมแก่เขา” 5 และเมื่อใดที่คนเข้ามาใกล้เขาเพื่อแสดงความเคารพ เขาก็จะยื่นมือออกไปจับตัวคนนั้น และจูบแก้มเขา 6 อับซาโลมกระทำเช่นนั้นกับชาวอิสราเอลทุกคนที่มาหากษัตริย์ เพื่อให้ท่านตัดสินความ อับซาโลมจึงชนะใจชาวอิสราเอล
7 เมื่อเวลาผ่านไป 4 ปีเต็ม อับซาโลมพูดกับกษัตริย์ว่า “ขอได้โปรดให้ข้าพเจ้าไปมอบของถวายที่เฮโบรนตามคำสัญญาของข้าพเจ้า ที่ได้ให้ไว้กับพระผู้เป็นเจ้าเถิด 8 เพราะว่าผู้รับใช้ของท่านได้ให้คำสัญญาขณะอยู่ที่เมืองเกชูร์ในอารัมว่า ‘ถ้าพระผู้เป็นเจ้าจะนำข้าพเจ้ากลับมายังเมืองเยรูซาเล็มอย่างแน่แท้แล้ว ข้าพเจ้าจะนมัสการพระผู้เป็นเจ้า’” 9 กษัตริย์กล่าวว่า “จงไปอย่างสันติสุขเถิด” เขาจึงไปยังเมืองเฮโบรน 10 แต่อับซาโลมได้ให้บรรดาผู้ส่งข่าวไปทั่วทุกเผ่าของอิสราเอลเป็นการลับ ไปบอกว่า “ทันทีที่ท่านทั้งหลายได้ยินเสียงแตรงอน จงพูดว่า ‘อับซาโลมเป็นกษัตริย์ที่เฮโบรน’” 11 เมื่ออับซาโลมออกไปจากเยรูซาเล็ม เขาได้เชิญชายจำนวน 200 คนไปเป็นแขกรับเชิญด้วย เขาเหล่านั้นไปด้วยโดยไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด 12 ในขณะที่อับซาโลมกำลังมอบของถวาย เขาให้คนไปตามอาหิโธเฟลชาวกิโลห์ผู้ปรึกษาของดาวิด ให้มาจากกิโลห์เมืองของเขา และแผนการร้ายที่คบคิดก็แข็งกร้าวยิ่งขึ้น บรรดาคนที่เห็นชอบด้วยกับอับซาโลมก็เพิ่มมากขึ้น
ดาวิดหนีไปจากเยรูซาเล็ม
13 ผู้ส่งข่าวคนหนึ่งมาหาดาวิดและเรียนว่า “ใจของชาวอิสราเอลไปอยู่กับอับซาโลมเสียแล้ว” 14 ดาวิดจึงกล่าวกับบรรดาผู้รับใช้ทั้งปวงที่อยู่กับท่านที่เยรูซาเล็มว่า “ลุกขึ้นเถิด พวกเราหนีไปได้แล้ว มิฉะนั้นพวกเราจะไม่มีทางหนีรอดอับซาโลมไปได้ ให้ออกไปโดยเร็ว กลัวว่าเขาจะจับเราได้อย่างรวดเร็วและทำให้พวกเราพินาศ และฆ่าคนในเมืองจนราบเป็นหน้ากลอง” 15 บรรดาผู้รับใช้ของกษัตริย์เรียนกษัตริย์ว่า “ดูเถิด ผู้รับใช้ของกษัตริย์พร้อมจะปฏิบัติตามที่เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ตัดสินใจทุกประการ” 16 ดังนั้นกษัตริย์จึงออกไป และทั้งครัวเรือนก็ตามท่านไปด้วย กษัตริย์ปล่อยภรรยาน้อย 10 คนไว้ดูแลวัง 17 และกษัตริย์จึงออกไป และคนทั้งปวงก็ตามท่านไป และมาหยุดที่บ้านหลังท้ายสุดที่ชานเมือง
18 บรรดาทหารทั้งปวงเดินผ่านท่านไป ชาวเคเรธและชาวเปเลททั้งปวง และชาวกัททั้ง 600 คนที่ติดตามท่านมาจากเมืองกัท ได้เดินผ่านกษัตริย์ไป 19 และกษัตริย์กล่าวกับอิททัยชาวกัทว่า “ทำไมเจ้าจึงไปกับพวกเรา กลับไปอยู่กับกษัตริย์อับซาโลมเถิด เพราะว่าเจ้าเป็นคนต่างด้าวและถูกเนรเทศมาจากบ้านเมืองของเจ้า 20 เจ้าเพิ่งมาถึงเมื่อวานนี้ แล้วเราจะบังคับเจ้าให้ซัดเซพเนจรไปด้วยกับพวกเราอย่างนั้นหรือ เราจะไปไหนก็ยังไม่รู้เลย เจ้าจงกลับไป และพาพี่น้องเจ้าไปด้วย และขอให้พระผู้เป็นเจ้าแสดงความรักอันมั่นคงและความสัตย์จริงแก่เจ้า” 21 แต่อิททัยตอบกษัตริย์ว่า “ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด และตราบที่เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์มีชีวิตอยู่ฉันใด ไม่ว่าเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์จะอยู่หนใด ไม่ว่ามีชีวิตหรือสิ้นชีวิตก็ตาม ผู้รับใช้ของท่านจะไปที่นั่นด้วย” 22 ดาวิดกล่าวกับอิททัยว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ไปกันเถิด เจ้าจงเดินหน้าต่อไป” ดังนั้นอิททัยชาวกัทก็เดินต่อไปกับทหารของท่าน พร้อมกับคนที่อยู่ในการดูแลของท่านทุกคน 23 คนทั่วทั้งแผ่นดินร้องไห้เสียงดังขณะที่ทุกคนเดินผ่านไป และกษัตริย์ข้ามน้ำขิดโรนในหุบเขา และทุกคนก็เดินต่อไปตามทางที่จะไปยังถิ่นทุรกันดาร
24 ดูเถิด ศาโดกก็อยู่ที่นั่นด้วย และชาวเลวีทั้งปวงที่อยู่กับท่านก็กำลังหามหีบพันธสัญญาของพระเจ้า และเมื่อวางหีบของพระเจ้าลงแล้ว อาบียาธาร์ก็ขึ้นไปถวายเครื่องสักการะ จนกว่าทุกคนเดินออกจากเมืองไปหมดแล้ว 25 แล้วกษัตริย์กล่าวกับศาโดกว่า “จงหามหีบของพระเจ้ากลับเข้าไปในเมือง ถ้าหากว่าเราเป็นที่โปรดปรานในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะนำเรากลับมา และให้เราเห็นหีบนั้นกับที่พำนักของพระองค์ด้วย 26 แต่ถ้าพระองค์กล่าวว่า ‘เราไม่พอใจเจ้า’ ดูเถิด เราอยู่นี่ ให้พระองค์กระทำต่อข้าพเจ้าตามที่พระองค์เห็นสมควร” 27 กษัตริย์กล่าวกับศาโดกปุโรหิตอีกว่า “ท่านเป็นผู้รู้มิใช่หรือ กลับเข้าไปในเมืองโดยสันติกับอาหิมาอัสบุตรของท่านและโยนาธานบุตรของอาบียาธาร์ 28 เราจะรอที่เขตลำน้ำที่ลุยข้ามได้ในถิ่นทุรกันดารจนกว่าท่านจะส่งข่าวให้เราทราบ” 29 ดังนั้นศาโดกและอาบียาธาร์จึงหามหีบของพระเจ้ากลับไปยังเยรูซาเล็ม และพักอยู่ที่นั่น
30 แต่ดาวิดเดินต่อไป ขึ้นเนินที่ภูเขามะกอก ร้องไห้ขณะที่เดินไปด้วยเท้าเปล่าและมีผ้าคลุมศีรษะ และทุกคนที่ติดตามท่านไปก็คลุมศีรษะเช่นกัน ต่างเดินร้องไห้ขึ้นไป 31 มีคนเรียนดาวิดว่า “อาหิโธเฟลเป็นหนึ่งในพวกที่กบฏร่วมกับอับซาโลม” ดาวิดกล่าวว่า “โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดทำให้คำปรึกษาของอาหิโธเฟลกลายเป็นคำที่โง่เขลาเถิด”
32 ขณะที่ดาวิดกำลังเดินถึงยอดเขา ซึ่งเป็นที่นมัสการพระเจ้า ดูเถิด หุชัยชาวอาร์คีมาพบกับท่าน เสื้อที่เขาสวมก็ฉีกขาด เศษดินอยู่บนศีรษะ 33 ดาวิดกล่าวกับเขาว่า “ถ้าท่านไปกับเรา ท่านก็จะเป็นภาระแก่เรา 34 แต่ถ้าท่านกลับเข้าเมืองไปและบอกอับซาโลมว่า ‘โอ กษัตริย์ ข้าพเจ้าจะเป็นข้ารับใช้ของท่าน ดังที่ข้าพเจ้าเป็นข้ารับใช้ของบิดาของท่านในอดีต ฉะนั้นในเวลานี้ ข้าพเจ้าจะเป็นข้ารับใช้ของท่าน’ แล้วท่านจะช่วยทำให้คำปรึกษาของอาหิโธเฟลล้มเหลวเพื่อเรา 35 ศาโดกปุโรหิต และอาบียาธาร์จะอยู่ที่นั่นด้วยกับท่านมิใช่หรือ ดังนั้นไม่ว่าท่านได้ยินสิ่งใดในวังของกษัตริย์ ก็จงบอกให้ศาโดกและอาบียาธาร์ฟัง 36 ดูเถิด บุตรทั้งสองของพวกเขาคือ อาหิมาอัสบุตรของศาโดก และโยนาธานบุตรของอาบียาธาร์ ก็อยู่กับเขาที่นั่นด้วย และเรื่องทุกเรื่องที่ท่านได้ยินมา ก็ส่งคนทั้งสองมาบอกให้เรารู้เถิด” 37 ดังนั้นหุชัยเพื่อนของดาวิดจึงเข้าไปในเมือง ขณะเดียวกับที่อับซาโลมกำลังเข้าไปในเยรูซาเล็ม
ให้ด้วยความเอื้อเฟื้อ
8 พี่น้องทั้งหลาย บัดนี้พวกเราอยากจะให้ท่านทราบถึงพระคุณของพระเจ้า ซึ่งมีต่อบรรดาคริสตจักรในแคว้นมาซิโดเนีย 2 แม้ว่าพวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานมาก แต่ก็ยังมีความยินดียิ่ง และจากความยากไร้อย่างสุดแสนของเขากลับเบ่งบานออกมาเป็นความเอื้อเฟื้ออย่างมหาศาล 3 ข้าพเจ้ายืนยันได้ว่า พวกเขาได้ให้ตามความสามารถ และตั้งใจเผื่อแผ่ให้เกินตัวเสียอีก 4 เขาขอร้องเราครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ให้พวกเขามีส่วนร่วมช่วยเหลือบรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า 5 พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติอย่างที่เราได้คาดไว้ แต่พวกเขากลับอุทิศตนต่อพระผู้เป็นเจ้าก่อน แล้วจึงอุทิศตนให้เราตามความประสงค์ของพระเจ้า 6 เราขอให้ทิตัสไปปฏิบัติงานอันพรั่งพร้อมด้วยพระคุณในหมู่ท่านให้เสร็จบริบูรณ์ เพราะเขาเป็นคนเริ่มไว้ก่อนแล้ว 7 แต่ตามที่ท่านเพียบพร้อมด้วยทุกสิ่ง ทั้งความเชื่อ วาจา และความรู้ ความเอาจริงเอาจัง และความรักของท่านที่มีต่อเรา จงดูด้วยว่าท่านพรั่งพร้อมด้วยพระคุณในการให้เช่นกัน
8 ข้าพเจ้าไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้เป็นการออกคำสั่ง แต่ข้าพเจ้าต้องการจะพิสูจน์ความรักแท้ของท่านเมื่อเทียบกับความเอาจริงเอาจังของผู้อื่น 9 เพราะพวกท่านทราบถึงพระคุณของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราว่า แม้พระองค์จะมั่งคั่ง แต่เพราะเห็นแก่ท่าน พระองค์จึงมาเป็นผู้ยากไร้ เพื่อท่านจะได้มั่งคั่งเพราะความยากไร้ของพระองค์ 10 ข้าพเจ้าให้ความเห็นเรื่องนี้ เพื่อผลประโยชน์ของท่าน ปีที่แล้วท่านไม่เป็นเพียงพวกแรกที่เริ่มกระทำการนี้เท่านั้น แต่ยังปรารถนาที่จะทำด้วย 11 และเวลานี้ท่านจงกระทำให้เสร็จเถิด เพื่อว่าความตั้งใจที่พร้อมอยู่แล้วนั้นจะได้คู่ไปกับการกระทำให้เสร็จบริบูรณ์ ตามความสามารถของท่าน 12 เพราะถ้ามีความตั้งใจพร้อมที่จะให้ พระเจ้าก็รับเท่าที่เขามี มิใช่สิ่งที่เขาไม่มี
ทิตัสและผู้ร่วมงาน
13 เราไม่ได้หมายความว่าให้ผู้อื่นเบาใจ และให้ท่านหนักใจ แต่ควรจะมีความเสมอภาคกัน 14 ในเวลานี้ ท่านมีอย่างบริบูรณ์ซึ่งจะช่วยเหลือเขาตามความจำเป็นได้ เพื่อว่าเวลาเขามีอย่างบริบูรณ์ เขาจะได้ช่วยท่านตามความจำเป็นเช่นกัน จะได้มีความเสมอภาคกัน 15 ตามที่มีบันทึกไว้ว่า “คนที่เก็บสะสมมากไม่ได้มีเหลือเฟือ และคนที่เก็บสะสมเพียงเล็กน้อยก็ไม่ขัดสน”[a]
16 แต่ขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้ทิตัสมีความกระตือรือร้นเหมือนกับที่ข้าพเจ้ามีต่อท่าน 17 เขาไม่เพียงรับคำขอร้องของเรา แต่เขามีความกระตือรือร้นมาก จึงได้ไปหาท่านตามใจปรารถนาของเขาเอง 18 เราจะให้พี่น้องคนหนึ่งผู้มีชื่อเสียงในหมู่คริสตจักรทั้งปวงในด้านการประกาศข่าวประเสริฐไปกับเขา 19 ยิ่งกว่านั้นคริสตจักรต่างๆ ก็ได้เลือกเขาให้เป็นผู้เดินทางไปกับเรา เพื่องานที่พรั่งพร้อมด้วยพระคุณครั้งนี้ ซึ่งเราเป็นฝ่ายจัดการเพื่อเป็นเกียรติแก่พระผู้เป็นเจ้าเอง และเพื่อแสดงความกระตือรือร้นของเราด้วย 20 เราต้องระวังไม่ให้มีใครติเตียนเราได้ ในการจัดการเงินเรี่ยไรจำนวนมากเช่นนี้ 21 เราใส่ใจกับสิ่งอันมีเกียรติ มิใช่เพียงต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แต่ต่อหน้ามนุษย์ด้วย 22 เราได้ให้พี่น้องของเราคนหนึ่งมากับเขาทั้งสองด้วย เราได้ทดสอบคนนี้หลายครั้ง และพบว่าเขาเอาจริงเอาจังกับหลายสิ่ง และเวลานี้เขาเอาจริงเอาจังมากยิ่งขึ้น เพราะเขามีความมั่นใจในตัวท่านมาก 23 สำหรับทิตัสแล้ว เขาเป็นผู้ร่วมงานของข้าพเจ้า เขาทำงานร่วมกับข้าพเจ้าในหมู่ท่าน ส่วนพี่น้อง 2 คนนั้นเป็นตัวแทนของคริสตจักรทั้งหลาย และพระคริสต์เป็นผู้ได้รับเกียรติ 24 ดังนั้นจงพิสูจน์ให้ชายเหล่านี้เห็นความรักของท่าน และความภูมิใจที่เรามีต่อพวกท่าน เพื่อคริสตจักรต่างๆ จะได้เห็น
อิสราเอลหลั่งเลือด
22 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 2 “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าจะตัดสินโทษพวกเขาไหม เจ้าจะตัดสินโทษเมืองที่นองเลือดไหม จงบอกเมืองนั้นเรื่องการกระทำอันน่าชังทั้งสิ้นของพวกเขา 3 เจ้าจงพูดว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า ‘จะถึงเวลาของเมืองที่นำการพิพากษาให้แก่ตนเองเนื่องจากการนองเลือดในท่ามกลางเมือง และทำให้ตนเป็นมลทินจากการทำรูปเคารพ 4 เจ้ามีความผิดเพราะทำให้คนนองเลือดและเป็นมลทินจากรูปเคารพที่เจ้าทำขึ้น และเจ้าได้ทำให้ถึงวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว ถึงเวลาสิ้นสุดแล้ว ฉะนั้น เราได้ทำให้เจ้าเป็นที่ดูหมิ่นของบรรดาประชาชาติ และเป็นที่ล้อเลียนของดินแดนทั้งปวง 5 บรรดาผู้ที่อยู่ใกล้และไกลจากเจ้าจะล้อเลียนเจ้า ชื่อของเจ้าเป็นมลทิน เจ้าเป็นเมืองที่เต็มด้วยความชุลมุนวุ่นวาย
6 ดูเถิด บรรดาผู้ยิ่งใหญ่ของอิสราเอลที่อยู่ในเยรูซาเล็มใช้อำนาจซึ่งทำให้นองเลือด 7 พวกเขาดูหมิ่นบิดามารดา กดขี่ข่มเหงคนต่างด้าวในท่ามกลางเจ้า กระทำผิดต่อเด็กกำพร้าและหญิงม่าย 8 เจ้าดูหมิ่นสิ่งบริสุทธิ์และวันสะบาโตของเรา 9 มีบรรดาผู้นินทาว่าร้ายเพื่อต้องการนองเลือดในเยรูซาเล็ม และมีคนที่รับประทานบนภูเขา พวกเขามักมากในกามในท่ามกลางเจ้า 10 ในเยรูซาเล็มมีบรรดาผู้ละเมิดสิทธิของบิดาของตน[a] พวกเขาข่มขืนบรรดาผู้หญิงที่มีมลทินระหว่างมีรอบเดือน 11 มีคนกระทำสิ่งอันน่ารังเกียจต่อภรรยาของเพื่อนบ้าน บางคนมักมากในกามทำให้บุตรสะใภ้เป็นมลทิน บางคนข่มขืนพี่น้องผู้หญิงของเขาคือบุตรหญิงของบิดาของตน 12 ในเยรูซาเล็มมีคนรับสินบนเพื่อฆ่าคน เจ้าเก็บดอกเบี้ยและกำไร[b] และบีบคั้นเพื่อนร่วมชาติของเจ้าอย่างไม่ยุติธรรม และเจ้าลืมเราเสียแล้ว’” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น
13 “ดูเถิด เราจะใช้มือฟาดสินบนที่เจ้ารับมา และเลือดที่เจ้าทำให้หลั่งในท่ามกลางเจ้า 14 เจ้าจะยังกล้าหาญต่อไปได้อีกหรือ หรือว่ากำลังของเจ้าจะแข็งแกร่งได้ในเวลาที่เราจะกระทำต่อเจ้า เราคือพระผู้เป็นเจ้า เราได้กล่าวดังนี้ และเราจะกระทำตามนั้น 15 เราจะทำให้เจ้ากระจัดกระจายไปในท่ามกลางบรรดาประชาชาติ และจะทำให้เจ้ากระเจิดกระเจิงไปในหลายดินแดน และเราจะทำให้มลทินของเจ้าหมดไปจากเมืองนี้ 16 และเจ้าจะถูกดูหมิ่นในสายตาของบรรดาประชาชาติเพราะการกระทำของเจ้า และเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า”
17 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 18 “บุตรมนุษย์เอ๋ย พงศ์พันธุ์อิสราเอลได้กลายเป็นขี้แร่สำหรับเรา พวกเขาทุกคนเป็นทองสัมฤทธิ์ ดีบุก เหล็กกล้า และสารตะกั่วในเตาผิง พวกเขาเป็นขี้เงิน” 19 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ “เพราะพวกเจ้าทุกคนได้กลายเป็นขี้แร่ ดูเถิด เราจะรวบรวมพวกเจ้าเข้าด้วยกันในท่ามกลางเยรูซาเล็ม 20 ผู้หนึ่งรวบรวมเงิน ทองสัมฤทธิ์ เหล็กกล้า สารตะกั่ว และดีบุกใส่ในเตาผิง เพื่อสุมไฟให้ไหม้และหลอมละลายอย่างไร เราก็จะรวบรวมพวกเจ้าในความโกรธและการลงโทษของเราอย่างนั้น และเราจะสุมพวกเจ้าไว้และทำให้พวกเจ้าละลายไป 21 เราจะรวบรวมพวกเจ้าและพ่นไฟแห่งการลงโทษใส่พวกเจ้า และพวกเจ้าจะถูกหลอมละลายท่ามกลางเมือง 22 อย่างกับเงินที่ถูกหลอมในเตาผิง เจ้าก็จะถูกหลอมในท่ามกลางเมือง และพวกเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า เราได้กระหน่ำการลงโทษของเราลงบนพวกเจ้าแล้ว”
23 และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 24 “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงพูดกับแผ่นดินนั้นว่า ‘เจ้าเป็นแผ่นดินที่ไม่ได้รับการชำระล้างหรือปราศจากฝนในวันแห่งความขัดเคือง’ 25 บรรดาผู้ยิ่งใหญ่ในเมืองมีแผนการร้ายดั่งสิงโตขู่คำรามและฉีกเหยื่อ กัดกินประชาชน พวกเขาริบสมบัติและของมีค่าต่างๆ และทำให้ผู้หญิงในเมืองจำนวนมากเป็นม่าย 26 บรรดาปุโรหิตของเมืองฝ่าฝืนกฎของเราและได้ดูหมิ่นสิ่งบริสุทธิ์ของเรา พวกเขาไม่ชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างสิ่งบริสุทธิ์และสิ่งไม่บริสุทธิ์ และไม่ได้สอนความแตกต่างระหว่างสิ่งสะอาดและสิ่งที่เป็นมลทิน และพวกเขาไม่ได้ให้เกียรติวันสะบาโตของเรา เราจึงเป็นที่ดูหมิ่นในหมู่พวกเขา 27 บรรดาผู้นำที่อยู่ในเมืองเป็นเหมือนสุนัขป่าที่ฉีกเหยื่อ ทำให้นองเลือด ทำลายชีวิตคนเพื่อรับสินบน 28 บรรดาผู้เผยคำกล่าวฉาบปูนขาว เห็นภาพนิมิตเท็จ และโป้ปดในการทำนายให้พวกเขาด้วยการพูดดังนี้ ‘พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่า’ ทั้งๆ ที่พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้กล่าว 29 ประชาชนของแผ่นดินบีบคั้นและจี้ปล้น พวกเขากดขี่ข่มเหงผู้ขัดสนและยากไร้ และได้รีดนาทาเน้นจากคนต่างด้าวอย่างไม่ยุติธรรม 30 และเราเสาะหาคนในหมู่พวกเขาสักคนหนึ่งที่จะสร้างกำแพง และยืน ณ เบื้องหน้าเราที่ช่องกำแพงเพื่อแผ่นดิน เพื่อเราไม่ต้องทำลายเมือง แต่เราหาไม่พบสักคน 31 ฉะนั้น เราได้กระหน่ำการลงโทษของเราลงบนพวกเขา เราได้เผาผลาญพวกเขาด้วยไฟแห่งการลงโทษของเรา เราได้กระทำต่อพวกเขากลับคืน” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น
ร้องขอความช่วยเหลือ
ถึงหัวหน้าวงดนตรี ตามทำนองพลับพลึง เพลงสดุดีของดาวิด
1 โอ พระเจ้า โปรดช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้น
เพราะน้ำท่วมถึงคอข้าพเจ้าแล้ว
2 ข้าพเจ้าจมลงในตมลึก
และมิอาจใช้เท้ายึดเป็นหลักได้เลย
ข้าพเจ้าตกสู่ห้วงน้ำลึก
และคลื่นก็ซัดจนมิดศีรษะ
3 ข้าพเจ้าร้องขอความช่วยเหลือจนอ่อนแรง
ลำคอแห้งผาก
ข้าพเจ้ารอคอยพระเจ้าจนตาพร่า
4 พวกที่เกลียดชังข้าพเจ้าอย่างไร้สาเหตุ[a]
มีมากกว่าจำนวนเส้นผมบนศีรษะของข้าพเจ้า
มีศัตรูจำนวนมากอยากกำจัดข้าพเจ้าโดยไร้สาเหตุ
บังคับข้าพเจ้าให้คืนสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่ได้ขโมย
5 โอ พระเจ้า พระองค์ทราบถึงความโง่เขลาของข้าพเจ้า
ความผิดต่างๆ ที่ข้าพเจ้าทำไปไม่อาจถูกซ่อนไว้จากพระองค์
6 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาผู้ยิ่งใหญ่
อย่าปล่อยให้บรรดาผู้ที่วางใจในพระองค์ต้องอับอายเพราะข้าพเจ้า
อย่าปล่อยให้บรรดาผู้ที่แสวงหาพระองค์ถูกเหยียดหยามเพราะข้าพเจ้า
โอ พระเจ้าของอิสราเอล
7 ข้าพเจ้าทนต่อการสบประมาทก็เพื่อพระองค์
ข้าพเจ้าอับอายเป็นที่สุด
8 ข้าพเจ้าได้กลายเป็นคนแปลกหน้าของพวกพี่น้องข้าพเจ้า
และเหมือนคนต่างชาติของพี่น้องท้องเดียวกับข้าพเจ้า
9 ความปรารถนาอันแรงกล้าในเรื่องพระตำหนักของพระองค์ท่วมท้นใจข้าพเจ้า[b]
และการสบประมาทของพวกที่กระทำต่อพระองค์เป็นการสบประมาทข้าพเจ้า[c]
10 เวลาข้าพเจ้าร้องไห้ ข้าพเจ้าทนทุกข์ด้วยการอดอาหาร
และต้องทนต่อการสบประมาท
11 เวลาข้าพเจ้านุ่งห่มด้วยผ้ากระสอบ
ข้าพเจ้าเป็นที่น่าขบขันสำหรับพวกเขา
12 พวกที่นั่งอยู่ที่ประตูเมืองพูดเรื่องข้าพเจ้า
และเอาเรื่องของข้าพเจ้ามาแต่งเป็นเพลงของพวกขี้เมา
13 แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าอธิษฐานต่อพระองค์ โอ พระผู้เป็นเจ้า
ขึ้นอยู่กับกาลเวลาของพระองค์โดยแท้ โปรดตอบข้าพเจ้า
เพราะความช่วยเหลืออันแท้จริงของพระองค์
ตามความรักอันมั่นคงของพระองค์ที่มีอยู่อย่างเอนกอนันต์
14 โปรดช่วยข้าพเจ้าไม่ให้จมลงในตม
ให้รอดพ้นจากพวกที่เกลียดชังข้าพเจ้า
และจากห้วงน้ำลึก
15 อย่าปล่อยให้คลื่นซัดมิดศีรษะข้าพเจ้า
อย่าให้ห้วงน้ำลึกกลืนข้าพเจ้า
และอย่าให้ปากหลุมปิดและกักข้าพเจ้าไว้
16 โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดตอบข้าพเจ้าด้วย เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์ประเสริฐนัก
และพระองค์มีความเมตตาอย่างยิ่ง โปรดหันมาทางข้าพเจ้าด้วย
17 อย่าซ่อนหน้าไปเสียจากผู้รับใช้ของพระองค์
เพราะข้าพเจ้าตกอยู่ในความทุกข์ โปรดรีบตอบข้าพเจ้า
18 โปรดเข้ามาใกล้ข้าพเจ้าเถิด
ไถ่และช่วยข้าพเจ้าให้เป็นอิสระจากศัตรู
19 พระองค์ทราบว่าข้าพเจ้าถูกสบประมาท
อีกทั้งอับอายและถูกเหยียดหยาม
พระองค์ทราบว่าศัตรูทั้งปวงของข้าพเจ้าคือใคร
20 การถูกสบประมาททำให้ข้าพเจ้าเศร้าใจ
ข้าพเจ้าจึงสิ้นหวัง
ข้าพเจ้าไขว่คว้าหาความเห็นใจแต่ก็ไม่ได้รับ
และหามีใครมาปลอบประโลมไม่
21 และพวกเขาให้ข้าพเจ้ากินของขมเป็นอาหาร
และให้เหล้าองุ่นเปรี้ยวเพื่อดับกระหาย[d]
22 ให้งานเลี้ยงฉลองที่จัดไว้ที่ตรงหน้าพวกเขากลายเป็นบ่วงแร้ว
ให้เป็นการคืนสนองแก่เขาและเป็นกับดัก
23 ให้ตาของเขามืดลงเพื่อจะมองไม่เห็น
และทำให้บั้นเอวสั่นสะท้านอยู่เนืองๆ[e]
24 ขอพระองค์แสดงความขัดเคืองต่อพวกเขา
และให้ความกริ้วอันร้อนแรงของพระองค์ตกอยู่กับพวกเขา
25 ขอให้ค่ายของพวกเขาร้าง
และอย่าได้มีผู้ใดอาศัยอยู่ในกระโจมของเขาเลย[f]
26 พวกเขาข่มเหงผู้ที่พระองค์ได้ลงโทษแล้ว
และผู้ที่พระองค์ทำให้บาดเจ็บ พวกเขายังจะทำให้ต้องรับทุกข์ทรมานมากขึ้นอีก
27 เพิ่มโทษแก่พวกเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก
และอย่าให้พวกเขาได้รับอภัยโทษจากพระองค์เลย
28 ให้ชื่อของพวกเขาถูกลบออกจากหนังสือแห่งชีวิต
อย่าให้พวกเขามีชื่ออยู่ในบันทึกเดียวกันกับบรรดาผู้มีความชอบธรรม
29 แต่ข้าพเจ้ามีทุกข์และเจ็บปวด
โอ พระเจ้า โปรดช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้นและอยู่ในที่ปลอดภัยเถิด
30 ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระนามของพระเจ้าด้วยบทเพลง
และขอบคุณพระองค์โดยให้เห็นว่าพระองค์ยิ่งใหญ่
31 การกระทำเช่นนี้ย่อมเป็นที่พอใจของพระผู้เป็นเจ้า ยิ่งกว่าการถวายโค
หรือโคหนุ่มที่มีเขาและกีบ
32 ให้ผู้ขัดสนได้เห็นและดีใจเถิด
ท่านที่แสวงหาพระเจ้าอย่าท้อใจเลย
33 ด้วยว่า พระผู้เป็นเจ้ารับฟังผู้ยากไร้
และไม่ทอดทิ้งคนของพระองค์ที่ถูกคุมขัง
34 ให้สวรรค์และโลกสรรเสริญพระองค์
รวมทั้งทะเลและทุกสิ่งที่แหวกว่ายในทะเล
35 ด้วยว่า พระเจ้าจะช่วยศิโยนให้รอดพ้น
และสร้างเมืองต่างๆ ของยูดาห์ขึ้นใหม่
และบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์จะได้อาศัยอยู่ที่นั่น
และครอบครองเมืองเหล่านั้น
36 บรรดาบุตรของผู้รับใช้ของพระองค์จะได้รับเป็นมรดก
และบรรดาผู้รักพระนามของพระองค์จะอาศัยอยู่ที่นั่น
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation