M’Cheyne Bible Reading Plan
การฆาตกรรมอิชโบเชท
4 เมื่ออิชโบเชทบุตรของซาอูลทราบว่าอับเนอร์สิ้นชีวิตที่เฮโบรนแล้ว ท่านก็ท้อใจ และอิสราเอลทั้งปวงก็ตกใจ 2 บุตรของซาอูลมีชายสองคนที่เป็นหัวหน้ากลุ่มปล้น คนหนึ่งชื่อบาอานาห์ อีกคนชื่อเรคาบ ทั้งสองเป็นบุตรของริมโมนชาวเบนยามินจากเมืองเบเอโรท (เบเอโรทนับว่าเป็นส่วนหนึ่งของเบนยามิน 3 เพราะว่าชาวเบเอโรทหลบหนีไปยังเมืองกิททาอิม และเป็นคนต่างด้าวอยู่ที่นั่นมาจนถึงทุกวันนี้)
4 โยนาธานบุตรของซาอูลมีบุตรชายคนหนึ่งชื่อเมฟีโบเชท เท้าเป็นง่อยตั้งแต่อายุ 5 ขวบ เนื่องจากพี่เลี้ยงอุ้มเขาหนีไป เพราะทราบข่าวจากเมืองยิสเรเอลว่าซาอูลและโยนาธานสิ้นชีวิต นางรีบร้อนจนทำเขาหล่นจากมือ เขาจึงเป็นง่อยมาตั้งแต่นั้น
5 บุตรทั้งสองของริมโมนชาวเบเอโรท ที่ชื่อเรคาบและบาอานาห์ออกเดินทางไป เมื่อแดดร้อนจัดก็มาถึงบ้านของอิชโบเชท ขณะที่ท่านกำลังพักเที่ยงอยู่ 6 เขาสองคนเข้าไปในบ้าน ทำทีว่าจะมาขนข้าวสาลี และแทงเข้าที่ท้องของอิชโบเชท จากนั้นเรคาบกับบาอานาห์พี่ชายก็รีบหนีไป 7 สองพี่น้องเข้าไปในบ้านขณะที่อิชโบเชทนอนอยู่บนเตียงในห้องนอน เขาแทงท่านจนสิ้นชีวิต และตัดเอาศีรษะท่านไปด้วย ทั้งสองเดินทางผ่านอาราบาห์ตลอดคืนนั้น 8 และได้เอาศีรษะของอิชโบเชทมาให้ดาวิดที่เฮโบรน และพูดกับดาวิดว่า “นี่เป็นศีรษะของอิชโบเชทบุตรของซาอูลศัตรูของท่าน ที่ตามล่าชีวิตท่าน วันนี้พระผู้เป็นเจ้าแก้แค้นซาอูลและผู้สืบเชื้อสายแทนเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์” 9 แต่ดาวิดตอบเรคาบและบาอานาห์พี่ชาย ซึ่งเป็นบุตรทั้งสองของริมโมนชาวเบเอโรทว่า “ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด พระองค์ช่วยชีวิตเราจากความทุกข์ยากทุกประการ 10 เวลามีคนบอกเราว่า ‘ดูเถิด ซาอูลสิ้นชีวิตแล้ว’ โดยที่คิดว่าเขานำข่าวดีมา เราจับตัวเขาและฆ่าเสียที่ศิกลาก นับว่าเป็นรางวัลจากเราที่นำข่าวมาให้ 11 จะยิ่งกว่านั้นเท่าใด เมื่อพวกคนชั่วร้ายฆ่าผู้มีความชอบธรรมในบ้านบนที่นอนของเขาเอง เราไม่ควรให้เจ้ารับผิดชอบกับความตายของเขา และกำจัดเจ้าทั้งสองไปเสียจากแผ่นดินหรอกหรือ” 12 และดาวิดก็ออกคำสั่งพวกชายหนุ่มของท่านให้ฆ่าคนทั้งสอง ตัดศีรษะและเท้า และแขวนไว้ที่ข้างสระน้ำที่เฮโบรน แต่เขาเอาศีรษะของอิชโบเชทไปบรรจุในถ้ำเก็บศพของอับเนอร์ที่เฮโบรน
ดาวิดเป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอล
5 ต่อจากนั้น ทุกเผ่าของอิสราเอลก็มาหาดาวิดที่เฮโบรน และพูดว่า “ดูเถิด พวกเราเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่าน 2 ที่ผ่านมา เมื่อซาอูลเป็นกษัตริย์ปกครองพวกเรา ดาวิดเป็นผู้ที่นำทัพอิสราเอลออกไปและนำกลับเข้ามา และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับท่านว่า ‘เจ้าจะเป็นผู้เลี้ยงดูอิสราเอลชนชาติของเรา และเจ้าจะเป็นผู้นำของอิสราเอล’” 3 เมื่อบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของอิสราเอลมาหากษัตริย์ที่เฮโบรน กษัตริย์ดาวิดทำพันธสัญญากับเขาเหล่านั้นที่เฮโบรน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า และเขาทั้งปวงเจิมดาวิดให้เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล 4 ดาวิดมีอายุ 30 ปีเมื่อเริ่มครองราชย์ และครองราชย์เป็นเวลา 40 ปี 5 ที่เฮโบรนท่านปกครองยูดาห์ 7 ปี 6 เดือน และที่เยรูซาเล็มท่านปกครองทั่วอิสราเอลและยูดาห์ 33 ปี
6 กษัตริย์กับคนของท่านไปยังเยรูซาเล็ม เพื่อโจมตีชาวเยบุสซึ่งเป็นผู้อยู่อาศัยของเขตแดนนั้น ส่วนชาวเยบุสคิดว่า “ดาวิดเข้ามาในนี้ไม่ได้” จึงพูดกับดาวิดว่า “ท่านเข้ามาที่นี่ไม่ได้ แม้คนตาบอดและคนง่อยเปลี้ยก็จะกันท่านไว้ได้” 7 อย่างไรก็ตาม ดาวิดยึดป้อมปราการอันแข็งแกร่งของศิโยนได้ซึ่งเรียกว่า เมืองของดาวิด 8 และดาวิดพูดในวันนั้นว่า “ใครก็ตามที่จะโจมตีชาวเยบุส ก็ให้เขาขึ้นไปทางร่องน้ำในถ้ำ เพื่อโจมตี ‘คนตาบอดและคนง่อยเปลี้ย’ ซึ่งเป็นคำที่ดาวิดเกลียดชัง” ฉะนั้นจึงเป็นที่กล่าวกันว่า “คนตาบอดและคนง่อยเปลี้ยจะเข้ามาในพระตำหนักไม่ได้” 9 และดาวิดอาศัยอยู่ในป้อมปราการอันแข็งแกร่ง และตั้งชื่อว่า เมืองของดาวิด ท่านสร้างเมืองไว้โดยรอบ เริ่มจากมิลโล[a]เข้าไปจนถึงเมืองชั้นใน 10 และดาวิดเข้มแข็งยิ่งๆ ขึ้น เพราะว่าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าจอมโยธาสถิตกับท่าน
11 ฮีรามกษัตริย์แห่งไทระได้ให้บรรดาผู้ส่งข่าวไปหาดาวิด พร้อมกับได้ส่งไม้ซีดาร์ พวกช่างไม้และช่างสลักหินเพื่อจะสร้างวังให้ดาวิด 12 และดาวิดทราบว่าพระผู้เป็นเจ้าได้สถาปนาท่านเป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล และพระองค์ทำให้อาณาจักรรุ่งเรืองเพื่ออิสราเอลชนชาติของพระองค์
13 หลังจากที่ดาวิดกลับจากเฮโบรน ดาวิดมีภรรยาน้อยและภรรยาเพิ่มขึ้นอีกที่เยรูซาเล็ม และมีบุตรชายบุตรหญิงเพิ่มขึ้นเช่นกัน 14 บรรดาบุตรที่เกิดแก่ดาวิดในเยรูซาเล็มชื่อ ชัมมูอา โชบับ นาธาน ซาโลมอน 15 อิบฮาร์ เอลีชูอา เนเฟก ยาเฟีย 16 เอลีชามา เอลียาดา และเอลีเฟเลท
ดาวิดรบชนะชาวฟีลิสเตีย
17 เมื่อชาวฟีลิสเตียได้ยินว่าดาวิดได้รับการเจิมให้เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล ชาวฟีลิสเตียทั้งปวงก็ขึ้นไปค้นหาดาวิด แต่ดาวิดทราบเรื่องจึงลงไปยังที่หลบภัย 18 ชาวฟีลิสเตียก็มาขยายแนวออกไปทั่วหุบเขาเรฟาอิม 19 ดาวิดถามพระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าพเจ้าควรจะขึ้นไปสู้รบกับชาวฟีลิสเตียหรือไม่ พระองค์จะมอบพวกเขาไว้ในมือข้าพเจ้าหรือ” พระผู้เป็นเจ้าตอบดาวิดว่า “ขึ้นไปเถิด เพราะเราจะมอบชาวฟีลิสเตียไว้ในมือของเจ้าอย่างแน่นอน” 20 ดาวิดมาถึงบาอัลเป-ราซิม และฆ่าพวกเขาที่นั่น ดาวิดพูดว่า “พระผู้เป็นเจ้าได้บุกเข้าใส่ศัตรูโดยไม่ได้รั้งรอต่อหน้าต่อตาเราดั่งน้ำเชี่ยวกราก” ดังนั้นเขาจึงเรียกชื่อสถานที่นั้นว่า บาอัลเป-ราซิม 21 ชาวฟีลิสเตียต่างทิ้งรูปเคารพไว้ที่นั่น ดาวิดและพรรคพวกของท่านจึงขนเอาไป
22 และชาวฟีลิสเตียยังขึ้นมาอีก และขยายแนวออกไปทั่วหุบเขาเรฟาอิม 23 เมื่อดาวิดถามพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ตอบว่า “เจ้าอย่าขึ้นไป แต่จงอ้อมไปทางด้านหลังพวกเขา และโจมตีพวกเขาได้จากด้านที่อยู่ตรงข้ามกับดงต้นน้ำมันหอม 24 เมื่อเจ้าได้ยินเสียงเดินทัพดังกระหึ่มที่ยอดต้นน้ำมันหอม เจ้าก็จงพร้อมที่จะบุกทันที เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้ออกไปล่วงหน้าเจ้าแล้ว เพื่อปราบกองทัพของชาวฟีลิสเตีย” 25 ดังนั้นดาวิดจึงกระทำตามคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า และขับไล่ชาวฟีลิสเตียตั้งแต่เก-บาจนถึงเกเซอร์
พระคริสต์ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย
15 บัดนี้ ข้าพเจ้าต้องการเตือนพี่น้องทั้งหลายถึงข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าประกาศแก่ท่าน ซึ่งท่านก็ได้รับและยืนหยัดอยู่ได้ 2 หากว่าท่านยึดมั่นในสิ่งที่ข้าพเจ้าประกาศแก่ท่าน ท่านก็จะมีชีวิตรอดพ้นเพราะข่าวประเสริฐนี้ มิฉะนั้นความเชื่อของท่านจะไร้ประโยชน์
3 สิ่งที่ข้าพเจ้าได้รับนั้น ข้าพเจ้าได้มอบให้แก่ท่าน อันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด คือพระคริสต์ได้สิ้นชีวิตเพื่อบาปของเรา ตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ 4 พระองค์ถูกฝัง ได้ฟื้นคืนชีวิตในวันที่สาม ตามที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ 5 พระองค์ได้ปรากฏกายแก่เคฟาส และต่อจากนั้นก็ได้ปรากฏแก่อัครทูตทั้งสิบสอง 6 หลังจากนั้นพระองค์ปรากฏแก่พี่น้องกว่า 500 คนในคราวเดียวกัน ซึ่งส่วนมากก็ยังมีชีวิตอยู่ แม้จะมีบางคนที่ได้ล่วงลับไปแล้วก็ตาม 7 จากนั้นพระองค์ก็ได้ปรากฏแก่ยากอบและอัครทูตทั้งหมด 8 พระองค์ก็ยังปรากฏแก่ข้าพเจ้าเป็นคนสุดท้ายด้วย ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าเป็นเหมือนคนที่เกิดมาไม่ตรงตามกำหนดเวลา 9 ข้าพเจ้าเป็นคนด้อยที่สุดในหมู่อัครทูต และไม่สมควรที่จะให้ผู้ใดเรียกข้าพเจ้าว่าอัครทูต เพราะข้าพเจ้าได้กดขี่ข่มเหงคริสตจักรของพระเจ้า 10 ข้าพเจ้าเป็นอยู่อย่างที่เป็นนี้ได้ ก็เพราะพระคุณของพระเจ้า และพระคุณนี้ก็มิได้ไร้ผล แต่ในทางตรงกันข้าม คือข้าพเจ้าทำงานหนักกว่าทุกคนที่กล่าวมานี้ แม้จะไม่ใช่ด้วยตัวข้าพเจ้าเอง แต่ด้วยพระคุณของพระเจ้าที่มีต่อข้าพเจ้า 11 ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นข้าพเจ้าหรือเขาเหล่านั้น คือพวกเราประกาศกัน และพวกท่านก็ได้เชื่อแล้ว
การฟื้นคืนชีวิตของคนตาย
12 ในเมื่อเราประกาศว่าพระคริสต์ได้ฟื้นคืนชีวิตจากความตายแล้ว พวกท่านบางคนพูดได้อย่างไรว่า ไม่มีการฟื้นคืนชีวิตของคนตาย 13 ถ้าไม่มีการฟื้นคืนชีวิตของคนตายแล้ว ดังนั้นแม้แต่พระคริสต์ก็ไม่ได้ฟื้นคืนชีวิต 14 และถ้าพระคริสต์ไม่ได้ฟื้นคืนชีวิต การประกาศของเราก็ไร้ประโยชน์ และความเชื่อของท่านก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน 15 ยิ่งกว่านั้นจะกลายเป็นว่า เราเป็นพยานเท็จในเรื่องพระเจ้า เพราะเรายืนยันเกี่ยวกับพระเจ้าว่า พระองค์ได้ให้พระคริสต์ฟื้นคืนชีวิต แต่ถ้าคนตายไม่ได้ฟื้นคืนชีวิตจริงแล้ว พระองค์ก็ไม่ได้ให้พระคริสต์ฟื้นคืนชีวิต 16 เพราะถ้าคนตายทั้งหลายไม่ได้ฟื้นคืนชีวิตแล้ว พระคริสต์ก็ไม่ได้ฟื้นคืนชีวิตด้วย 17 และถ้าพระคริสต์ไม่ได้ฟื้นคืนชีวิต ความเชื่อของท่านก็ไร้ประโยชน์ ท่านก็ยังตกอยู่ในบาป 18 พวกที่ล่วงลับไปขณะที่เชื่อในพระคริสต์ ก็พินาศไปเสียแล้วด้วย 19 ถ้าเราหวังในพระคริสต์แค่ช่วงชีวิตนี้เท่านั้น เราก็เป็นคนที่น่าสงสารที่สุดในบรรดาคนทั้งปวง
20 แต่บัดนี้พระคริสต์ได้ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย พระองค์เป็นผลแรก[a]ของบรรดาผู้ที่ได้ล่วงลับไปแล้ว 21 ในเมื่อความตายได้เกิดขึ้นโดยมนุษย์คนเดียว การฟื้นคืนชีวิตจากความตายก็เกิดขึ้นจากมนุษย์คนเดียวเช่นกัน 22 มนุษย์ทุกคนตายเพราะความเกี่ยวเนื่องกับอาดัมฉันใด ทุกคนจะได้รับชีวิตมาได้ ก็เพราะความเกี่ยวเนื่องกับพระคริสต์ฉันนั้น 23 แต่จะเป็นไปตามลำดับโดยมีพระคริสต์เป็นผลแรก หลังจากนั้นก็คือบรรดาคนของพระคริสต์ เวลาที่พระองค์จะมาอีก 24 แล้วก็ถึงวันสิ้นวาระ เมื่อพระองค์มอบอาณาจักรแด่พระเจ้าผู้เป็นพระบิดา หลังจากที่พระองค์ได้ทำลายพวกที่อยู่ในระดับปกครอง ผู้มีสิทธิอำนาจและอานุภาพทั้งหลาย 25 เพราะว่าพระองค์ต้องครอง จนกระทั่งพระเจ้าปราบศัตรูทั้งหมดให้อยู่ใต้เท้าของพระองค์ 26 ศัตรูท้ายสุดที่ต้องทำลายคือความตาย 27 เพราะว่า “พระเจ้าได้ให้ทุกสิ่งอยู่ใต้เท้าของพระองค์แล้ว”[b] แต่เมื่อพระองค์กล่าวว่า “ทุกสิ่งถูกปราบให้อยู่ภายใต้พระองค์” ก็เป็นที่ชัดแจ้งว่า เป็นการยกเว้นพระเจ้าผู้ปราบทุกสิ่งให้อยู่ภายใต้พระคริสต์ 28 เมื่อทุกสิ่งอยู่ภายใต้พระบุตรแล้ว พระบุตรก็จะอยู่ภายใต้พระเจ้าผู้ปราบทุกสิ่งให้อยู่ภายใต้พระองค์ เพื่อว่าพระเจ้าจะได้เป็นใหญ่เหนือสิ่งทั้งปวง
29 ถ้าไม่มีการฟื้นคืนชีวิต แล้วบรรดาผู้ที่รับบัพติศมาเพื่อคนตาย[c]จะทำอย่างไร ถ้าคนตายไม่ฟื้นคืนชีวิตเลย ทำไมผู้คนจึงรับบัพติศมาเพื่อเขา 30 และทำไมเราจึงเสี่ยงอันตรายตลอดเวลาเล่า 31 พี่น้องทั้งหลาย เป็นความจริงที่ข้าพเจ้าเผชิญกับความตายทุกวัน จริงเท่าๆ กับความภูมิใจที่ข้าพเจ้ามีในท่านทั้งหลายในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา 32 ถ้าข้าพเจ้าต่อสู้กับสัตว์ป่าในเมืองเอเฟซัส เนื่องจากเหตุผลของมนุษย์เท่านั้น แล้วข้าพเจ้าจะได้ประโยชน์อะไร หากว่าคนตายไม่ฟื้นคืนชีวิต “เรามาดื่มกินกันเถิด เพราะว่าพรุ่งนี้เราก็จะตายแล้ว”[d] 33 อย่าหลงผิดเลย “การคบคนชั่วย่อมทำให้นิสัยเสียมากขึ้น” 34 จงครองสติให้ดีเถิดและอย่าทำบาป เพราะว่ามีบางคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้ก็เพราะจะให้ท่านมีความละอายใจ
35 แต่บางคนอาจจะถามว่า “คนตายฟื้นคืนชีวิตได้อย่างไร จะมีร่างกายเป็นอย่างไร” 36 คนเขลาเอ๋ย สิ่งที่ท่านหว่าน ถ้าจะมีชีวิตขึ้นมาได้ก็ต้องตายไปก่อน 37 สิ่งที่ท่านหว่าน ท่านไม่ได้หว่านเป็นต้นพืช แต่หว่านเพียงเมล็ดเช่นข้าวสาลีหรือพืชอื่นๆ 38 แต่พระเจ้ามอบต้นให้ตามที่พระองค์เห็นชอบ และแต่ละเมล็ดก็ได้ต้นตามชนิดของมัน 39 ร่างกายไม่เหมือนกันหมด มนุษย์มีร่างกายอย่างหนึ่ง สัตว์ก็อย่างหนึ่ง นกก็อย่างหนึ่ง ปลาก็อีกอย่างหนึ่ง 40 มีร่างกายสำหรับสวรรค์ และร่างกายสำหรับโลกด้วย แต่สง่าราศีของกายฝ่ายสวรรค์เป็นอย่างหนึ่ง และสง่าราศีของกายฝ่ายโลกก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง 41 ดวงอาทิตย์มีสง่าราศีอย่างหนึ่ง ดวงจันทร์อย่างหนึ่ง ดวงดาวก็อีกอย่างหนึ่ง ดาวแต่ละดวงก็มีสง่าราศีต่างกันไปด้วย
42 การฟื้นคืนชีวิตของคนตายก็เช่นกัน ร่างที่ถูกหว่านนั้นเน่าเปื่อยได้ ร่างที่ฟื้นคืนชีวิตไม่รู้จักเน่าเปื่อย 43 ร่างที่ถูกหว่านนั้นไร้เกียรติ แต่ฟื้นคืนชีวิตด้วยสง่าราศี ร่างที่ถูกหว่านนั้นอ่อนแอ และฟื้นคืนชีวิตด้วยอานุภาพ 44 ร่างที่ถูกหว่านด้วยกายแห่งความเป็นมนุษย์ และฟื้นคืนชีวิตด้วยกายฝ่ายวิญญาณ ถ้ามีกายแห่งความเป็นมนุษย์ ก็มีกายฝ่ายวิญญาณด้วย 45 มีบันทึกไว้ว่า “อาดัมคนแรกได้มาเป็นบุคคลที่มีชีวิต”[e] อาดัมคนสุดท้ายเป็นพระวิญญาณที่ให้ชีวิต 46 กายฝ่ายวิญญาณไม่ได้เกิดขึ้นก่อน แต่เป็นกายแห่งความเป็นมนุษย์ แล้วหลังจากนั้นจึงเป็นฝ่ายวิญญาณ 47 มนุษย์คนแรกมาจากดินแห่งแผ่นดินโลก มนุษย์คนที่สองมาจากสวรรค์ 48 มนุษย์ดินเป็นอย่างไร บรรดามนุษย์ที่มาจากดินก็เป็นอย่างนั้น และมนุษย์ที่มาจากสวรรค์เป็นอย่างไร บรรดามนุษย์ที่จะได้ไปสวรรค์ก็จะเป็นอย่างนั้น 49 และเท่าที่เรามีคุณลักษณะเหมือนมนุษย์ที่มาจากดิน เราก็จะมีคุณลักษณะเหมือนมนุษย์ที่มาจากสวรรค์ด้วย
50 ข้าพเจ้าขอกล่าวกับพี่น้องทั้งหลายว่า เลือดเนื้อจะไม่มีส่วนได้ในอาณาจักรของพระเจ้า สิ่งที่เน่าเปื่อยได้ไม่อาจมีส่วนได้ร่วมกับสิ่งที่ไม่รู้จักเน่าเปื่อยเช่นกัน 51 จงฟังเถิด ข้าพเจ้าจะบอกเรื่องอันลึกลับซับซ้อนให้ท่านรู้ว่า เราจะไม่ล่วงลับเสียทุกคน เพียงแต่เราทั้งหมดจะได้รับการเปลี่ยนแปลง 52 ในชั่วขณะเดียว ในพริบตาเดียว เมื่อแตรเป่าครั้งสุดท้าย เมื่อใดที่แตรจะเปล่งเสียง คนตายจะฟื้นคืนชีวิตและจะไม่มีวันเน่าเปื่อยได้อีก และเราจะได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ 53 เพราะสิ่งที่เน่าเปื่อยต้องสวมด้วยความไม่เน่าเปื่อย และสิ่งที่ตายสวมด้วยสิ่งที่เป็นอมตะ 54 เมื่อสิ่งที่เน่าเปื่อยสวมด้วยสิ่งที่ไม่เน่าเปื่อย และสิ่งที่ตายสวมด้วยสิ่งที่เป็นอมตะ แล้วสิ่งที่บันทึกไว้ก็จะเป็นจริง
“ความตายถูกกลืนด้วยความมีชัย”[f]
55 “ความตายเอ๋ย ชัยชนะของเจ้าอยู่ที่ไหน
ความตายเอ๋ย เหล็กในของเจ้าอยู่ที่ไหน”[g]
56 เหล็กในของความตายคือบาป และอานุภาพของบาปคือกฎบัญญัติ 57 แต่ขอบคุณพระเจ้า พระองค์ให้เรามีชัยชนะโดยทางพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
58 ฉะนั้น พี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้าจงยืนหยัดไว้เถิด อย่ายอมให้สิ่งใดทำให้ท่านสั่นคลอนได้ จงปฏิบัติงานของพระผู้เป็นเจ้าให้เต็มที่อยู่เสมอ เพราะท่านทราบว่าน้ำพักน้ำแรงของท่านในการรับใช้พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ไร้ประโยชน์
ผู้เผยคำกล่าวจอมปลอมถูกกล่าวโทษ
13 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 2 “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงเผยความกล่าวโทษบรรดาผู้เผยคำกล่าวของอิสราเอล พวกเขากำลังเผยความ และเจ้าจงบอกบรรดาผู้ที่เผยความจากความนึกคิดของพวกเขาเอง จงบอกพวกเขาว่า จงฟังคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า 3 พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่า วิบัติจงเกิดแก่บรรดาผู้เผยคำกล่าว ซึ่งกระทำตามจิตวิญญาณของตนเอง และยังไม่ได้เห็นอะไรเลย 4 โอ อิสราเอลเอ๋ย บรรดาผู้เผยคำกล่าวของพวกเจ้าเป็นเหมือนพวกหมาในที่อยู่ท่ามกลางสถานที่ร้าง 5 เจ้าไม่ได้ขึ้นไปที่ช่องกำแพงแตก หรือซ่อมแซมกำแพงให้พงศ์พันธุ์อิสราเอล เพื่อจะได้ยืนหยัดในการสู้รบในวันของพระผู้เป็นเจ้า 6 พวกเขาเห็นภาพนิมิตเท็จ และการทำนายที่ไม่จริง พวกเขาพูดว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าประกาศ’ เมื่อพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ส่งพวกเขาไป และพวกเขายังหวังว่าพระองค์จะทำให้สิ่งที่พวกเขาพูดนั้นเกิดขึ้น 7 พวกเจ้าไม่เคยเห็นภาพนิมิตเท็จและการทำนายที่ไม่จริงหรือ เมื่อใดที่เจ้าพูดว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าประกาศ’ แม้ว่าเราจะไม่ได้กล่าวก็ตาม”
8 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ “เพราะพวกเจ้าได้ทำนายสิ่งที่เท็จ และได้เห็นภาพนิมิตที่ไม่จริง ฉะนั้นดูเถิด เราจะขัดขวางพวกเจ้า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศ 9 มือของเราจะกล่าวโทษบรรดาผู้เผยความที่เห็นภาพนิมิตเท็จและการทำนายที่ไม่จริง พวกเขาจะไม่อยู่ในที่ประชุมของชนชาติของเรา หรืออยู่ในรายชื่อบันทึกของพงศ์พันธุ์อิสราเอล หรือจะเข้าไปในแผ่นดินของอิสราเอล และพวกเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ 10 เพราะพวกเขาได้ชักนำชนชาติของเราให้หลงผิดโดยพูดว่า ‘สันติสุข’ ทั้งๆ ที่ไม่มีสันติสุข และเมื่อประชาชนสร้างกำแพง ผู้เผยคำกล่าวเหล่านั้นก็ฉาบมันด้วยปูนขาว 11 จงบอกบรรดาคนเหล่านั้นที่ฉาบกำแพงด้วยปูนขาวว่า มันจะพังทลาย ฝนจะหลั่งเป็นกระแสน้ำ และเราจะให้พายุลูกเห็บกระหน่ำลง และลมพายุแรงจะพัด 12 และเมื่อกำแพงพังทลาย ประชาชนจะไม่ถามพวกเจ้าหรือว่า ‘ปูนขาวที่พวกท่านฉาบไว้น่ะอยู่ไหนล่ะ’ 13 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า เราจะทำให้ลมพายุแรงพัดมากับการลงโทษของเรา และจะมีฝนหลั่งเป็นกระแสน้ำมากับความโกรธของเรา และพายุลูกเห็บกับการลงโทษเป็นการยุติอย่างเต็มเปี่ยม 14 และเราจะพังกำแพงที่พวกเจ้าฉาบด้วยปูนขาว ทำให้มันพังทลายลงพื้น จนฐานกำแพงไม่มีซากเหลืออยู่เลย เวลามันพังลง พวกเจ้าจะตายอยู่ท่ามกลางกำแพงนั้น และพวกเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า 15 เราจะใช้การลงโทษกระหน่ำอย่างนั้นต่อกำแพงและบรรดาผู้ที่ฉาบกำแพงด้วยปูนขาว และเราจะบอกพวกเจ้าว่า ทั้งกำแพงและคนเหล่านั้นที่ฉาบกำแพงไม่มีอีกต่อไปแล้ว 16 บรรดาผู้เผยคำกล่าวของอิสราเอลที่เผยความเกี่ยวกับเยรูซาเล็ม และเห็นภาพนิมิตแห่งสันติสุขสำหรับเยรูซาเล็ม ทั้งๆ ที่ไม่มีสันติสุข” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น
17 “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงขัดขวางบรรดาบุตรหญิงของประชาชนของเจ้า พวกเขาเผยความจากความนึกคิดของพวกเขาเอง จงเผยความกล่าวโทษพวกเขา 18 และบอกว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า ‘วิบัติจงเกิดแก่บรรดาหญิงที่ทำเครื่องรางสวมที่ข้อมือของพวกเขาทุกคน และทำผ้าคลุมศีรษะที่มีความยาวต่างๆ กันเป็นการล่าชีวิตคน เจ้าจะล่าชีวิตที่เป็นของชนชาติของเรา แล้วรักษาชีวิตของตนไว้ได้หรือ 19 พวกเจ้าดูหมิ่นเราท่ามกลางชนชาติของเราเพื่อข้าวบาร์เลย์สองสามกำมือ และเพื่อขนมปังเพียงไม่กี่ชิ้น สังหารคนที่ไม่สมควรตาย และไว้ชีวิตพวกที่ไม่สมควรจะอยู่ ด้วยการพูดเท็จกับชนชาติของเราซึ่งฟังความเท็จ’”
20 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “เราไม่ยอมรับเครื่องรางของเจ้าซึ่งเจ้าใช้ล่าชีวิตคนอย่างล่านก และเราจะทำให้เครื่องรางขาดออกจากแขนของเจ้า และเราจะปล่อยชีวิตที่เจ้าล่าอย่างล่านกให้เป็นอิสระ 21 เราจะทำให้ผ้าคลุมศีรษะของเจ้าขาด และเราจะช่วยชนชาติของเราให้หลุดจากมือของเจ้า พวกเขาจะไม่อยู่ในมือของเจ้าดั่งเหยื่ออีกต่อไป และพวกเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า 22 เพราะเจ้าพูดเท็จจึงได้ทำให้ผู้มีความชอบธรรมท้อใจ ทั้งๆ ที่เราไม่ได้นำความเศร้าใจมาให้เขา นอกจากนั้น เจ้ายังได้สนับสนุนคนชั่วไม่ให้หันจากวิถีแห่งความชั่วเพื่อเขาจะรักษาชีวิตของตนไว้ 23 ฉะนั้น เจ้าจะไม่เห็นภาพนิมิตเท็จหรือการทำนายอีก เราจะให้ชนชาติของเรารอดจากมือของเจ้า และเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า”
คำตัดสินลงโทษและพระคุณของพระเจ้า
ถึงหัวหน้าวงดนตรี เพลงสดุดีแห่งความฉลาดรอบรู้ของดาวิด เมื่อโดเอกชาวเอโดมไปหาซาอูลและบอกท่านว่า “ดาวิดได้ไปยังบ้านของอาหิเมเลค”[a]
1 ท่านผู้มีอานุภาพ ทำไมท่านจึงโอ้อวดเรื่องสิ่งเลวร้าย
ความรักอันมั่นคงของพระเจ้ามีอยู่ตลอดวันเวลา
2 ท่านวางแผนเพื่อทำลายผู้อื่น
ลิ้นของท่านเป็นเสมือนมีดโกนคมกริบ
ท่านกระทำแต่สิ่งลวงหลอก
3 ท่านรักความชั่วมากกว่าความดี
และพูดเท็จมากกว่าความจริง เซล่าห์
4 ท่านรักคำพูดบาดใจ
โอ ลิ้นที่ลวงหลอก
5 แต่พระเจ้าจะทำลายท่านไปตลอดกาล
พระองค์จะฉุดกระชากตัวท่านออกจากกระโจม
พระองค์จะถอนรากถอนโคนท่านไปเสียจากดินแดนของคนเป็น เซล่าห์
6 ผู้มีความชอบธรรมจะเห็นและเกรงกลัว
และจะหัวเราะเยาะคนกระทำความชั่วโดยพูดว่า
7 “ดูสิว่า เกิดอะไรขึ้นกับคนที่ไม่ให้
พระเจ้าเป็นที่พึ่งพิง
แต่วางใจในความมั่งคั่ง
และโอ่ว่าตนเข้มแข็งด้วยการทำลายผู้อื่น”
8 แต่ข้าพเจ้าเป็นดั่งต้นมะกอกเขียวชอุ่ม
ที่พระตำหนักของพระเจ้า
ข้าพเจ้าวางใจในความรักอันมั่นคงของพระเจ้า
ไปชั่วนิรันดร์กาล
9 ข้าพเจ้าจะขอบคุณพระองค์ชั่วนิรันดร์กาล
เพราะสิ่งที่พระองค์ได้กระทำ
ข้าพเจ้าจะประกาศพระนามของพระองค์ว่าดีเช่นไร
ต่อหน้าบรรดาผู้ภักดีของพระองค์
คนโง่ถูกตัดสินโทษ
ถึงหัวหน้าวงดนตรีตามเสียงปี่ เพลงสดุดีแห่งความฉลาดรอบรู้ของดาวิด
1 คนโง่เขลาคิดอยู่ในใจว่า
“พระเจ้าไม่มีจริง”
พวกเขาไร้ศีลธรรม และทำสิ่งที่น่าขยะแขยง
ไม่มีผู้ใดกระทำความดี
2 พระเจ้ามองลงมาจากสวรรค์
ดูว่า มีใครสักคนในบรรดาบุตรของมนุษย์
ที่เข้าใจและแสวงหาพระเจ้า
3 ทุกคนเอาใจออกห่าง
เขากลายเป็นคนไร้ศีลธรรมกันไปหมด
ไม่มีผู้ใดกระทำความดี
ไม่มีแม้แต่คนเดียว[b]
4 พวกที่ทำความชั่วไม่เข้าใจหรือ
พวกเขากินชนชาติของเราเหมือนกินขนมปัง
และไม่ร้องเรียกถึงพระเจ้า
5 นั่นแหละ พวกเขาหวาดหวั่นยิ่งนัก
หวาดหวั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เพราะพระเจ้าจะเหวี่ยงกระดูกของผู้ที่ไม่ใฝ่ใจในพระองค์ไปคนละทิศละทาง
พวกเขาจะอับอายเพราะพระเจ้าไม่ยอมรับพวกเขาไว้
6 ขอให้ความรอดพ้นของอิสราเอลมาจากศิโยน
เวลาพระเจ้าทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของชนชาติของพระองค์คืนสู่สภาพเดิม
ยาโคบจะชื่นชมยินดี อิสราเอลจะร่าเริงใจ
คำอธิษฐานขอให้พ้นจากศัตรู
ถึงหัวหน้าวงดนตรี ด้วยเครื่องสาย เพลงสดุดีแห่งความฉลาดรอบรู้ของดาวิด เมื่อชาวศิฟไปบอกซาอูลว่า “ดาวิดกำลังซ่อนตัวในหมู่พวกเรา”[c]
1 โอ พระเจ้า ช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้นโดยพระนามของพระองค์
และพิสูจน์ให้เห็นโดยฤทธานุภาพของพระองค์เถิดว่า ข้าพเจ้าไม่ใช่ฝ่ายผิด
2 โอ พระเจ้า โปรดสดับคำอธิษฐานของข้าพเจ้า
เงี่ยหูฟังคำพูดจากปากของข้าพเจ้า
3 พวกคนลำพองต่อต้านข้าพเจ้า
คนโหดเหี้ยมตามล่าเอาชีวิตข้าพเจ้า
คนพวกนี้ไม่คำนึงถึงพระเจ้า เซล่าห์
4 ดูเถิด พระเจ้าเป็นผู้ช่วยเหลือข้าพเจ้า
พระผู้เป็นเจ้าทำให้ชีวิตข้าพเจ้ายืนยงอยู่ได้
5 พระองค์จะเอาคืนจากเหล่าศัตรูของข้าพเจ้าตามความชั่วของพวกเขา
ทำให้พวกเขาพินาศตามความสัตย์จริงของพระองค์เถิด
6 ข้าพเจ้าจะมอบเครื่องสักการะแด่พระองค์ด้วยความสมัครใจ
โอ พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าจะขอบคุณพระนามของพระองค์ เพราะพระนามประเสริฐยิ่งนัก
7 ด้วยว่า พระองค์ช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากความทุกข์ยากทั้งปวง
ดวงตาของข้าพเจ้ามองดูศัตรูด้วยความมีชัย
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation