Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
2 ซามูเอล 3

บุตรชายของดาวิด

พงศ์พันธุ์ของซาอูลทำสงครามกับพงศ์พันธุ์ของดาวิดเป็นเวลานาน กองทัพของดาวิดเข้มแข็งยิ่งขึ้น ในขณะที่พงศ์พันธุ์ของซาอูลอ่อนกำลังลง

ดาวิดมีบุตรชายที่เกิดในเมืองเฮโบรนคือ อัมโนนบุตรชายหัวปีเกิดจากนางอาหิโนอัมชาวยิสเรเอล คนที่สองคือคิเลอาบเกิดจากนางอาบีกายิลแม่ม่ายของนาบาลชาวคาร์เมล คนที่สามคืออับซาโลมเกิดจากนางมาอาคาห์บุตรหญิงของทัลมัยกษัตริย์แห่งเกชูร์ คนที่สี่คืออาโดนียาห์บุตรของนางฮักกีท คนที่ห้าคือเชฟาทิยาห์ เกิดจากนางอาบีทัล คนที่หกคืออิทเรอัมเกิดจากนางเอกลาห์ภรรยาของดาวิด บุตรเหล่านี้เกิดแก่ดาวิดที่เฮโบรน

ในขณะที่สงครามระหว่างพงศ์พันธุ์ของซาอูลกับพงศ์พันธุ์ของดาวิดดำเนินต่อไป อับเนอร์ก็ก่อกำลังให้เข้มแข็งขึ้นในพงศ์พันธุ์ของซาอูล อิชโบเชทพูดกับอับเนอร์เรื่องภรรยาน้อยคนหนึ่งของซาอูลชื่อ ริสปาห์ บุตรหญิงของอัยยาห์ว่า “ทำไมท่านจึงเข้าไปหาภรรยาน้อยของบิดาของเรา” อับเนอร์ก็โกรธอิชโบเชทมากที่พูดเช่นนั้น จึงพูดว่า “ข้าพเจ้าเป็นหัวสุนัขของยูดาห์หรือ ข้าพเจ้าแสดงความรักอันมั่นคงต่อพงศ์พันธุ์ของซาอูลบิดาของท่าน พี่น้องและเพื่อนๆ ของบิดาท่านเสมอมาจนถึงทุกวันนี้ และไม่ได้มอบท่านไว้ในมือของดาวิด และท่านยังเห็นว่าข้าพเจ้าผิดในเรื่องผู้หญิง ขอให้พระเจ้ากระทำต่ออับเนอร์เช่นนั้น หรือมากกว่านั้นถ้าหากว่าข้าพเจ้าไม่ช่วยดาวิดให้ได้ผลสำเร็จในสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าได้ปฏิญาณไว้กับดาวิด 10 คือย้ายอาณาจักรจากพงศ์พันธุ์ซาอูล และแต่งตั้งบัลลังก์ของดาวิดให้ครองอิสราเอลและยูดาห์ ตั้งแต่ดานถึงเบเออร์เช-บา” 11 อิชโบเชทจึงตอบอับเนอร์ไม่ได้แม้แต่คำเดียว เพราะกลัวเขา

12 อับเนอร์ให้บรรดาผู้ส่งข่าวไปหาดาวิดแทนตน และบอกว่า “แผ่นดินเป็นของใคร ขอให้ท่านทำพันธสัญญากับข้าพเจ้าเถิด ดูเถิด ข้าพเจ้าจะร่วมมือกับท่านเพื่อนำอิสราเอลทั้งหมดมามอบแก่ท่าน” 13 ดาวิดกล่าวว่า “ดีแล้ว เราจะทำพันธสัญญากับท่าน แต่เราขอให้ท่านทำสิ่งหนึ่ง คือท่านไม่ต้องมาพบหน้าเรา จนกว่าท่านจะพามีคาลบุตรหญิงของซาอูลมาหาเรา แล้วท่านจึงมาพบหน้าเราได้” 14 ครั้นแล้วดาวิดจึงให้บรรดาผู้ส่งข่าวไปหาอิชโบเชทบุตรของซาอูล และกล่าวว่า “ขอให้ท่านคืนมีคาลภรรยาของเรากลับมา เพราะว่าเราได้แลกนางกับหนังปลายองคชาตของชาวฟีลิสเตียนับร้อย”[a] 15 อิชโบเชทจึงให้คนไปพานางมาจากปัลทีเอลสามีของนาง ผู้เป็นบุตรของลาอิช 16 แต่สามีนางไปกับนาง ร้องไห้ตามนางไปตลอดทางถึงเมืองบาฮูริม และอับเนอร์พูดกับเขาว่า “เจ้ากลับไปเถอะ ไป” เขาก็กลับไป

17 อับเนอร์ปรึกษาหารือกับบรรดาหัวหน้าชั้นผู้ใหญ่ของอิสราเอลว่า “ท่านอยากให้ดาวิดเป็นกษัตริย์ปกครองพวกท่านมานานนักหนาแล้ว 18 บัดนี้ถึงเวลาที่จะให้เป็นไปตามนั้น เพราะพระผู้เป็นเจ้าสัญญากับดาวิดว่า ‘ด้วยมือของดาวิดผู้รับใช้ของเรา เราจะช่วยอิสราเอลชนชาติของเราให้พ้นจากมือของชาวฟีลิสเตีย และพ้นจากมือของศัตรูทั้งปวงของพวกเขา’” 19 อับเนอร์พูดกับผู้คนในเผ่าเบนยามินอย่างนั้นด้วย แล้วอับเนอร์ก็ไปบอกดาวิดที่เฮโบรนถึงทุกสิ่งที่อิสราเอล โดยเฉพาะเผ่าเบนยามิน ได้ตัดสินใจที่จะกระทำ

20 เมื่ออับเนอร์กับพวกผู้ชาย 20 คนไปหาดาวิดที่เฮโบรน ดาวิดจึงจัดงานเลี้ยงให้อับเนอร์และผู้ชายที่มาด้วย 21 อับเนอร์พูดกับดาวิดว่า “ข้าพเจ้าจะออกเดินทางไปรวบรวมอิสราเอลทั้งหมดมายังเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ เพื่อพวกเขาจะทำพันธสัญญากับท่าน และท่านจะปกครองทุกสิ่งตามใจปรารถนาของท่าน” ดาวิดจึงให้อับเนอร์กลับไป และเขาก็ไปโดยปลอดภัย

22 หลังจากนั้น โยอาบและบรรดาทหารรับใช้ของดาวิดก็กลับมาจากการปล้น นำของที่ริบมาได้มากมาย และอับเนอร์ก็ไม่ได้อยู่กับดาวิดที่เฮโบรน เพราะดาวิดให้เขากลับไป และเขาก็ไปโดยปลอดภัย 23 ครั้นโยอาบและกองทัพที่ไปกับเขากลับมา มีคนบอกโยอาบว่า “อับเนอร์บุตรของเนอร์มาหากษัตริย์ และถูกปล่อยตัวให้กลับไป และเขาก็ไปโดยปลอดภัย” 24 โยอาบจึงไปหากษัตริย์ และพูดว่า “ท่านกระทำอะไรเช่นนั้น ดูเถิด อับเนอร์มาหาท่าน ไม่ทราบทำไมท่านจึงปล่อยให้เขาไป และเขาก็ไปแล้ว 25 ท่านทราบว่าอับเนอร์บุตรของเนอร์มาก็เพื่อหลอกลวงท่าน และเพื่อดูว่าท่านเข้านอกออกในอย่างไร และดูทุกสิ่งที่ท่านกำลังกระทำ”

โยอาบฆ่าอับเนอร์

26 หลังจากโยอาบพบกับดาวิดแล้วก็จากไป เขาให้บรรดาผู้ส่งข่าวตามอับเนอร์ และนำตัวเขากลับมาจากที่ขังน้ำชื่อสีราห์ แต่ดาวิดไม่ทราบเรื่องนี้ 27 เมื่ออับเนอร์กลับไปที่เฮโบรนแล้ว โยอาบก็จับตัวอับเนอร์หลบเข้าไปในบริเวณประตูเมือง เพื่อพูดด้วยอย่างลับๆ และแทงเขาที่ท้องจนสิ้นชีวิต เป็นการแก้แค้นให้อาสาเฮลน้องชายของตน 28 หลังจากนั้น เมื่อดาวิดทราบเรื่อง ท่านพูดว่า “ทั้งตัวเราและประชาชนของเราไม่มีความผิด ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้าอย่างแน่นอน เรื่องโลหิตของอับเนอร์บุตรของเนอร์ 29 ขอให้ความผิดตกอยู่ที่โยอาบและทุกคนในพงศ์พันธุ์ของเขา และขอให้พงศ์พันธุ์ของโยอาบไม่มีวันขาดผู้ชายที่มีน้ำหนองไหล หรือเป็นโรคเรื้อน หรือเป็นชายที่เหมาะสมกับการทำงานของผู้หญิงเท่านั้น หรือถูกดาบฟันตาย หรือขาดอาหารเถิด” 30 โยอาบและอาบีชัยน้องชายฆ่าอับเนอร์ เพราะอับเนอร์ฆ่าอาสาเฮลตายในสงครามที่กิเบโอน

อับเนอร์ถูกฝัง

31 แล้วดาวิดกล่าวกับโยอาบและทุกคนที่อยู่กับเขาว่า “จงฉีกเสื้อผ้าของท่าน สวมผ้ากระสอบ และเดินร้องคร่ำครวญถึงอับเนอร์” และกษัตริย์ดาวิดเดินตามศพไป 32 ศพอับเนอร์ถูกฝังที่เฮโบรน และกษัตริย์ส่งเสียงร้องไห้อยู่ที่ฝังศพของอับเนอร์ และทุกคนก็ร้องไห้ 33 และกษัตริย์ร้องรำพันถึงอับเนอร์ว่า

“เหตุใดอับเนอร์จึงตายอย่างคนโง่
34     มือของท่านก็ไม่ได้ถูกมัด
    เท้าของท่านก็ไม่ได้ถูกล่าม
ท่านล้มตายอย่างคนที่ล้มลงต่อหน้าคนชั่วร้าย”

และทุกคนก็ร้องไห้ถึงเขาอีก

35 ครั้นแล้วทุกคนก็มาชักชวนดาวิดให้รับประทานขนมปังขณะที่ยังวันอยู่ แต่ดาวิดสาบานว่า “ขอให้พระเจ้ากระทำต่อเราเช่นนั้นหรือมากกว่านั้น ถ้าหากว่าเราลิ้มรสขนมปังหรือสิ่งอื่นใดก่อนดวงอาทิตย์จะตก” 36 ทุกคนสังเกตเห็นเช่นนั้นก็พอใจ ซึ่งจริงๆ แล้ว ทุกสิ่งที่กษัตริย์กระทำเป็นที่พอใจของทุกคน 37 ดังนั้นทุกคนและอิสราเอลทั้งปวงเข้าใจในวันนั้นว่า กษัตริย์ไม่ประสงค์ให้อับเนอร์บุตรของเนอร์เสียชีวิต 38 และกษัตริย์กล่าวกับบรรดาทหารรับใช้ของท่านว่า “ท่านไม่ทราบหรือว่า ผู้นำซึ่งใหญ่ยิ่งคนหนึ่งสิ้นชีวิตในวันนี้แล้วในอิสราเอล 39 แม้ว่าเราจะได้รับการเจิมให้เป็นกษัตริย์ วันนี้เรารู้สึกอ่อนไหว พวกบุตรของนางเศรุยาห์กระทำรุนแรงยิ่งกว่าเรา พระผู้เป็นเจ้าสนองตอบคนชั่วร้ายที่กระทำตามความเลวของเขา”

1 โครินธ์ 14

การเผยคำกล่าวของพระเจ้า และการพูดภาษาที่ตนไม่รู้จัก

14 จงมุ่งหาความรัก และมุ่งมั่นในของประทานจากพระวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผยคำกล่าวของพระเจ้า ถ้าผู้ใดพูดภาษาที่ตนไม่รู้จัก ผู้นั้นไม่ได้พูดต่อมนุษย์แต่พูดต่อพระเจ้าเพราะว่าไม่มีคนเข้าใจ เขาพูดถึงสิ่งลึกลับซับซ้อนในฝ่ายวิญญาณ แต่ทุกคนที่เผยคำกล่าวของพระเจ้าพูดต่อมนุษย์เพื่อการเสริมสร้าง การให้กำลังใจ และการปลอบโยน คนที่พูดภาษาที่ตนไม่รู้จักก็เสริมสร้างตนเอง แต่คนที่เผยคำกล่าวของพระเจ้าก็เสริมสร้างคริสตจักร ข้าพเจ้าอยากให้ทุกท่านพูดภาษาที่ตนไม่รู้จัก แต่ข้าพเจ้าก็อยากให้ท่านเผยคำกล่าวของพระเจ้ามากกว่า คนที่เผยคำกล่าวของพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าคนที่พูดภาษาที่ตนไม่รู้จัก นอกจากว่าเขาจะแปลได้ด้วย เพื่อจะได้เสริมสร้างคริสตจักร

พี่น้องทั้งหลาย ถ้าข้าพเจ้ามาหาท่านโดยพูดภาษาที่ไม่รู้จัก แล้วจะเป็นผลดีอย่างไรกับท่านเล่า นอกจากว่าข้าพเจ้าจะนำความจากพระเจ้ามาเผยแก่ท่าน นำความรู้ คำพยากรณ์หรือคำสั่งสอนมายังท่าน แม้ในกรณีของเครื่องประกอบเสียงที่ไม่มีชีวิต เช่นขลุ่ยหรือพิณ จะมีใครทราบได้อย่างไรว่าเล่นทำนองอะไร ถ้าเสียงสูงต่ำของเครื่องดนตรีออกมาไม่ชัดเจน ถ้าเสียงของแตรเดี่ยวไม่ชัด ใครจะเตรียมตัวให้พร้อมศึกได้ ท่านทั้งหลายก็เช่นกัน ถ้าท่านไม่ใช้คำพูดเป็นภาษาที่ชัดเจน แล้วใครจะทราบได้อย่างไรว่าท่านพูดอะไร ด้วยว่าเสียงที่ท่านพูดจะลอยหายไปกับลม 10 ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแม้มีภาษาที่หลากหลายในโลกนี้ แต่ไม่มีภาษาใดที่ปราศจากความหมาย 11 ถ้าข้าพเจ้าไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่คนพูด ข้าพเจ้าและเขาก็เป็นคนต่างชาติต่างภาษาต่อกัน 12 ท่านทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น ในเมื่อท่านปรารถนาที่จะได้ของประทานจากพระวิญญาณ ก็จงมุ่งมั่นที่จะได้ของประทานที่เสริมสร้างคริสตจักรมากขึ้น

13 ด้วยเหตุนี้ผู้พูดภาษาที่ตนไม่รู้จัก ควรอธิษฐานขอให้แปลได้ด้วย 14 ถ้าข้าพเจ้าอธิษฐานด้วยภาษาที่ไม่รู้จัก วิญญาณของข้าพเจ้าก็อธิษฐาน แต่ไม่มีผลต่อความคิดเลย 15 แล้วข้าพเจ้าควรจะทำอย่างไร ข้าพเจ้าจะอธิษฐานทางฝ่ายวิญญาณและทางความคิดด้วย ข้าพเจ้าจะร้องเพลงฝ่ายวิญญาณและจะร้องเพลงทางความคิดด้วย 16 ถ้าท่านสรรเสริญพระเจ้าฝ่ายวิญญาณโดยกล่าวขอบคุณพระเจ้า แล้วคนที่ตกในที่นั่งของผู้ไม่มีของประทานจะพูดว่า “อาเมน” ได้อย่างไร ในเมื่อเขาไม่ทราบว่าท่านพูดอะไรไป 17 ท่านอาจจะกล่าวขอบคุณพระเจ้าได้ดีพอ แต่อีกคนไม่ได้รับการเสริมสร้าง 18 ข้าพเจ้าขอบคุณพระเจ้าที่ข้าพเจ้าพูดภาษาที่ไม่รู้จักมากกว่าท่านทั้งหลาย 19 แต่เวลาอยู่ในคริสตจักร ข้าพเจ้าอยากจะกล่าวผ่านทางความคิดเพียง 5 คำ เพื่อสั่งสอนคนมากกว่าพูดภาษาที่ไม่รู้จักนับหมื่นคำ

20 พี่น้องทั้งหลาย อย่าคิดแบบเด็ก แต่จงไม่ประสีประสาในความชั่วร้าย และคิดแบบผู้ใหญ่เถิด 21 ในกฎบัญญัติบันทึกไว้ตามที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า “เราจะพูดกับชนชาตินี้ โดยใช้คนที่พูดภาษาต่างแดนและโดยริมฝีปากของชนต่างชาติ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็จะไม่ฟังเรา”[a] 22 ฉะนั้นภาษาที่ตนไม่รู้จักจะเป็นปรากฏการณ์สำคัญสำหรับผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้า มิใช่สำหรับผู้ที่เชื่อ และการเผยคำกล่าวของพระเจ้านั้นก็สำหรับผู้ที่เชื่อ มิใช่สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อ อย่างนั้นหรือ 23 ถ้าเป็นเช่นนั้น หากว่าทั้งคริสตจักรมาประชุมกัน และทุกคนต่างก็พูดภาษาที่ตนไม่รู้จัก บางคนที่ไม่เข้าใจ หรือผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าซึ่งเข้ามาในคริสตจักรจะไม่พูดว่า ท่านเสียสติไปแล้วหรือ 24 แล้วถ้าคนที่ไม่เชื่อ หรือบางคนที่ไม่เข้าใจเข้ามาในคริสตจักร ขณะที่ทุกคนกำลังเผยคำกล่าวของพระเจ้าอยู่ ทุกสิ่งที่เขาได้ยินก็จะทำให้รู้สำนึกว่าเขาเป็นคนบาป และทุกสิ่งก็ตำหนิเขา 25 ความลับในใจของเขาจะเปิดออก แล้วเขาจะก้มลงกราบนมัสการพระเจ้าและแจ้งว่า “พระเจ้าสถิตท่ามกลางท่านทั้งหลายจริง”

ระเบียบในคริสตจักร

26 พี่น้องทั้งหลาย เราจะว่าอย่างไรดีเวลาที่ท่านมาประชุมกัน บางคนมีเพลงสดุดี หรือคำสั่งสอน บางคนนำความจากพระเจ้ามาเผย บางคนพูดภาษาที่ตนไม่รู้จัก หรือแปลภาษาที่ตนไม่รู้จัก จงให้ทุกสิ่งเป็นไปเพื่อเสริมสร้างคริสตจักรเถิด 27 ถ้ามีคนพูดภาษาที่ตนไม่รู้จัก ควรมีเพียง 2 คน หรือไม่ก็ 3 คนเป็นอย่างมาก และให้พูดทีละคนโดยต้องมีคนแปล 28 ถ้าไม่มีคนแปล คนที่พูดได้ควรเงียบไว้ในคริสตจักร แล้วพูดกับตนเองและต่อพระเจ้า 29 ให้ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า 2 หรือ 3 คนพูด และให้คนอื่นพิจารณาอย่างระมัดระวัง 30 ถ้าผู้ที่นั่งอยู่มีการเผยความซึ่งมาจากพระเจ้า คนกำลังพูดอยู่จึงต้องเงียบก่อน 31 เพราะท่านทุกคนเผยความจากพระเจ้าได้ทีละคน เพื่อว่าทุกคนจะได้เรียนรู้และได้รับกำลังใจ 32 วิญญาณของผู้เผยคำกล่าวอยู่ในการควบคุมของผู้เผยคำกล่าวเอง 33 ด้วยเหตุว่าพระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าแห่งความยุ่งเหยิง แต่เป็นพระเจ้าแห่งสันติสุข

ตามที่เป็นไปในทุกคริสตจักรของบรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า 34 ผู้หญิงควรนิ่งเงียบในคริสตจักร ด้วยว่าพวกนางไม่ได้รับอนุญาตให้พูด แต่ควรยอมเชื่อฟังตามที่กฎบัญญัติกล่าวไว้ 35 ถ้าผู้หญิงต้องการจะถามสิ่งใดก็ควรถามสามีที่บ้าน เพราะเป็นสิ่งที่น่าละอายที่ผู้หญิงจะพูดในคริสตจักร

36 คำกล่าวของพระเจ้าเริ่มมาจากพวกท่านหรือ หรือว่าพวกท่านเป็นผู้เดียวที่ได้รับคำกล่าว 37 ถ้าผู้ใดคิดว่าตนเป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า หรือมีความสามารถพิเศษจากพระวิญญาณ ก็จงยอมรับด้วยว่า สิ่งที่ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านเป็นพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า 38 ถ้าผู้ใดเพิกเฉยเรื่องนี้ เขาเองก็จะถูกเมิน 39 ฉะนั้นพี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้า ท่านจงปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเผยคำกล่าวของพระเจ้าเถิด และถ้ามีคนพูดภาษาที่ตนไม่รู้จักก็อย่าห้ามเขา 40 แต่ทุกสิ่งควรกระทำให้เหมาะสมและด้วยความเป็นระเบียบ

เอเสเคียล 12

การลี้ภัยเป็นสัญลักษณ์

12 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าอาศัยอยู่ท่ามกลางพงศ์พันธุ์ที่ขัดขืน ซึ่งมีตาเพื่อมองเห็น แต่ก็ไม่เห็น มีหูเพื่อได้ยิน แต่ก็ไม่ได้ยิน เพราะพวกเขาเป็นพงศ์พันธุ์ที่ขัดขืน แต่สำหรับเจ้าแล้ว บุตรมนุษย์เอ๋ย จงเตรียมข้าวของติดตัว และลี้ภัยไปในเวลากลางวันต่อหน้าพวกเขา เจ้าจงไปอย่างผู้ลี้ภัยจากที่เจ้าอยู่ไปยังที่อื่น พวกเขาอาจจะเข้าใจ แม้ว่าพวกเขาเป็นพงศ์พันธุ์ที่ขัดขืนก็ตาม เจ้าจงเอาข้าวของของเจ้าออกมาในตอนกลางวันอย่างผู้ลี้ภัยต่อหน้าพวกเขา และเจ้าจงออกไปในตอนเย็นอย่างผู้ลี้ภัยต่อหน้าพวกเขา จงทะลวงกำแพงต่อหน้าพวกเขา และเอาข้าวของของเจ้าออกไปทางช่องกำแพงต่อหน้าพวกเขา จงยกข้าวของขึ้นบ่าแบกไปต่อหน้าพวกเขาในยามพลบค่ำ จงปิดหน้าและเจ้าจะมองไม่เห็นแผ่นดิน เพราะเราได้ทำให้เจ้าเป็นเครื่องพิสูจน์แก่พงศ์พันธุ์อิสราเอล”

และข้าพเจ้าก็ทำตามที่ได้รับคำบัญชา ข้าพเจ้านำข้าวของออกมาในตอนกลางวันอย่างคนลี้ภัย และในยามเย็นข้าพเจ้าทะลวงกำแพงด้วยมือข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้านำข้าวของออกมาในยามพลบค่ำ แบกขึ้นบ่าต่อหน้าพวกเขา

ในยามเช้า พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย พงศ์พันธุ์อิสราเอลที่ขัดขืนไม่ได้พูดกับเจ้าหรือว่า ‘ท่านกำลังทำอะไร’ 10 จงบอกพวกเขาดังนี้ ‘พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่า คำพยากรณ์ถึงผู้ยิ่งใหญ่ในเยรูซาเล็มและพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งปวงที่อยู่ในนั้น’ 11 จงบอกพวกเขาว่า ‘ข้าพเจ้าเป็นเครื่องพิสูจน์แก่พวกท่าน’ เราจะกระทำต่อพวกเขาอย่างที่เราได้กระทำแล้ว พวกเขาจะลี้ภัยไปอย่างเชลยศึก 12 ผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นในหมู่พวกเขาจะยกข้าวของแบกขึ้นบ่าออกไปในเวลาพลบค่ำ พวกเขาจะทะลวงกำแพงให้เขาออกไป เขาจะปิดหน้า และตาของเขาจะมองไม่เห็นแผ่นดิน 13 และเราจะเหวี่ยงตาข่ายคลุมตัวเขา และเขาจะตกในกับดักของเรา เราจะนำเขาไปยังบาบิโลน แผ่นดินของชาวเคลเดีย แต่เขาจะมองไม่เห็นสิ่งใด และสิ้นชีวิตที่นั่น 14 เราจะทำให้คนทั้งปวงที่อยู่รอบข้างเขา คือทั้งบริพารและทหารทุกคนกระจัดกระจายไปทุกทิศทุกทาง แล้วเราจะชักดาบไล่ล่าพวกเขาไป 15 และพวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้าเมื่อเราทำให้พวกเขากระเจิดกระเจิงไปในท่ามกลางบรรดาประชาชาติ และกระจัดกระจายไปในหลายดินแดน 16 แต่เราจะปล่อยให้บางคนในหมู่พวกเขาหนีรอดจากดาบ การอดอยาก และโรคระบาด เพื่อให้เป็นที่ทราบในบรรดาประชาชาติที่พวกเขาไปอยู่ด้วย ถึงการกระทำอันน่าชังทั้งสิ้นของพวกเขา”

17 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 18 “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงสั่นเทาเวลาเจ้ารับประทานอาหาร และหวั่นไหวด้วยความกลัวเวลาเจ้าดื่มน้ำ 19 จงบอกประชาชนของแผ่นดินว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวถึงบรรดาผู้อยู่อาศัยของเยรูซาเล็ม และในแผ่นดินอิสราเอลดังนี้ว่า ‘พวกเขาจะรับประทานอาหารด้วยความกังวล และดื่มน้ำด้วยความสิ้นหวัง ทุกสิ่งในแผ่นดินของพวกเขาจะถูกยึดจนหมดสิ้น เพราะการกระทำอันรุนแรงของทุกคนที่อาศัยอยู่ที่นั่น 20 เมืองที่มีผู้คนอาศัยอยู่ก็จะเป็นเมืองร้าง และแผ่นดินจะกลายเป็นที่รกร้าง และเจ้าจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า’”

21 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 22 “บุตรมนุษย์เอ๋ย สุภาษิตนี้ซึ่งพวกเจ้าพูดถึงในแผ่นดินอิสราเอลว่า ‘วันเวลาผ่านไป และไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปตามภาพนิมิตเลย’ มันหมายถึงอะไร 23 ฉะนั้น จงบอกพวกเขาว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ ‘เราจะทำให้ไม่มีการพูดถึงสุภาษิตนี้อีก และพวกเขาจะไม่อ้างถึงสุภาษิตนี้ในอิสราเอลอีกต่อไป’ แต่เจ้าจงบอกพวกเขาว่า ‘วันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว ที่ทุกสิ่งจะเป็นไปตามภาพนิมิต’ 24 เพราะจะไม่มีภาพนิมิตเท็จอีกต่อไป หรือการทำนายที่ยกยอในหมู่พงศ์พันธุ์อิสราเอล 25 แต่เราคือพระผู้เป็นเจ้า เราจะพูดสิ่งที่เราต้องการจะพูด และสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นโดยไม่ล่าช้า แต่จะเกิดขึ้นในช่วงชีวิตของพวกเจ้า โอ พงศ์พันธุ์ที่ขัดขืนเอ๋ย เราจะพูดและจะทำให้เกิดขึ้น” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น

26 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า 27 “บุตรมนุษย์เอ๋ย ดูเถิด พงศ์พันธุ์อิสราเอลพูดกันว่า ‘ภาพนิมิตที่เขาเห็นนั้น ยังอีกนานหลายปีนับจากเวลานี้ และเขาเผยความเรื่องอนาคตอันไกล’” 28 ฉะนั้น เจ้าจงบอกพวกเขาว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ “คำพูดของเราจะไม่ล่าช้าอีกต่อไป แต่สิ่งที่เราพูดจะเกิดขึ้น” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น

สดุดี 51

คำอธิษฐานขออภัย

ถึงหัวหน้าวงดนตรี เพลงสดุดีของดาวิด เมื่อนาธานผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้ามาหาท่าน หลังจากที่ท่านเข้าไปหานางบัทเช-บาแล้ว[a]

โอ พระเจ้า โปรดเมตตาข้าพเจ้า
    เพราะความรักอันมั่นคงของพระองค์
เพราะพระองค์มีเมตตาเป็นล้นพ้น
    โปรดลบล้างการล่วงละเมิดของข้าพเจ้า
ชำระล้างความชั่วทั้งปวงของข้าพเจ้าให้หมดสิ้น
    และทำให้ข้าพเจ้าบริสุทธิ์จากบาป

เพราะข้าพเจ้าทราบว่าข้าพเจ้าล่วงละเมิด
    และตระหนักในบาปของข้าพเจ้าแล้ว
ข้าพเจ้าทำบาปต่อพระองค์ ต่อพระองค์เพียงผู้เดียว
    และได้กระทำสิ่งที่ชั่วในสายตาของพระองค์
เพื่อพระองค์เป็นที่เห็นว่าถูกต้องเวลาพระองค์กล่าว
    และไร้ความผิดเวลาพระองค์ตัดสินโทษ
จริงทีเดียวที่ข้าพเจ้าเป็นคนบาปตั้งแต่แรกเกิด
    เป็นคนบาปตั้งแต่เริ่มชีวิตในครรภ์มารดา
ดูเถิด พระองค์ต้องการความภักดีที่มาจากใจ
    ฉะนั้นขอพระองค์สั่งสอนสติปัญญาให้กับส่วนลึกๆ ในใจของข้าพเจ้า

โปรดลบล้างบาปข้าพเจ้าด้วยก้านหุสบ ข้าพเจ้าจะได้สะอาด
    ชำระล้างข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะได้ขาวยิ่งกว่าหิมะ
ให้ข้าพเจ้าได้สัมผัสกับเสียงแห่งความยินดีและรื่นเริงใจ
    ให้กระดูกที่พระองค์หักเป็นเสี่ยงๆ ยินดีได้เถิด
โปรดซ่อนหน้าพระองค์ไปเสียจากบาปของข้าพเจ้า
    และลบล้างความชั่วทั้งปวงของข้าพเจ้าให้หมดสิ้น
10 โอ พระเจ้า โปรดบันดาลให้ใจของข้าพเจ้าสะอาด
    และทำให้วิญญาณของข้าพเจ้ามั่นคงขึ้นมาใหม่
11 อย่าขับไสข้าพเจ้าไปให้พ้นจากพระองค์
    และอย่าพรากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ไปจากข้าพเจ้า
12 ขอให้ความรอดพ้นที่มาจากพระองค์ช่วยให้ข้าพเจ้าเกิดความยินดีขึ้นอีก
    และด้วยวิญญาณที่ยอมเชื่อฟัง พระองค์ให้ข้าพเจ้ายืนหยัดได้

13 แล้วข้าพเจ้าจะสอนวิถีทางของพระองค์แก่คนที่ล่วงละเมิด
    และพวกคนบาปจะกลับมาหาพระองค์
14 โอ พระเจ้า ช่วยข้าพเจ้าให้พ้นโทษอันเนื่องมาจากการฆาตกรรม
    พระองค์เป็นพระเจ้าผู้ช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้น
    และลิ้นของข้าพเจ้าจะเปล่งเสียงร้องด้วยความยินดีถึงความชอบธรรมของพระองค์
15 โอ พระผู้เป็นเจ้า เปิดริมฝีปากของข้าพเจ้าเถิด
    และปากของข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์
16 เพราะพระองค์ไม่ชื่นชอบกับเครื่องสักการะ
    ถ้าหากว่าข้าพเจ้ามอบสัตว์ที่เผาเป็นของถวาย พระองค์จะไม่พึงพอใจ
17 เครื่องสักการะอันแท้จริงสำหรับพระเจ้าคือจิตวิญญาณที่น้อมนอบถ่อมลง
    โอ พระเจ้า พระองค์ไม่ปฏิเสธคนที่สำนึกตัวและกลับใจอย่างแท้จริง

18 ขอพระองค์กรุณาต่อศิโยนตามความประสงค์อันเป็นพระคุณของพระองค์
    ขอพระองค์สร้างกำแพงเมืองของเยรูซาเล็มขึ้นใหม่
19 แล้วพระองค์จะพึงพอใจกับเครื่องสักการะอันแท้จริง
    กับสัตว์ทั้งตัวที่เผาเป็นของถวาย
    และโคจะเป็นเครื่องสักการะบนแท่นบูชาของพระองค์

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation