M’Cheyne Bible Reading Plan
ดาวิดไว้ชีวิตซาอูลอีก
26 ชาวศิฟมาหาซาอูลที่เมืองกิเบอาห์ และกล่าวว่า “ดาวิดกำลังหลบซ่อนตัวอยู่บนเนินเขาฮาคีลาห์ ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของเยชิโมนมิใช่หรือ” 2 ซาอูลจึงลงไปยังถิ่นทุรกันดารศิฟกับชายชาวอิสราเอลที่คัดเลือกแล้ว 3,000 คนทันที เพื่อเสาะหาดาวิดในถิ่นทุรกันดารศิฟ 3 ซาอูลตั้งค่ายอยู่ที่เนินเขาฮาคีลาห์ ที่อยู่ข้างถนนทางตะวันออกของเยชิโมน ส่วนดาวิดยังคงอยู่ในถิ่นทุรกันดาร เมื่อท่านได้ยินว่าซาอูลมาตามหาท่านจนเกือบจะถึงถิ่นทุรกันดาร 4 ดาวิดจึงให้บรรดาผู้สอดแนมไป และก็ทราบจริงว่าซาอูลมาแล้ว 5 ดาวิดไปยังที่ซึ่งซาอูลตั้งค่ายอยู่ และเห็นว่าซาอูลนอนอยู่ที่ไหน กับอับเนอร์ผู้บังคับกองพันทหารผู้เป็นบุตรของเนอร์ก็อยู่ด้วย ซาอูลกำลังนอนหลับอยู่ในค่าย มีกองทหารตั้งค่ายอยู่โดยรอบ
6 ดาวิดพูดกับอาหิเมเลคชาวฮิต และกับพี่ชายโยอาบ คืออาบีชัยบุตรของนางเศรุยาห์ว่า “ใครจะลงไปหาซาอูลในค่ายกับเรา” อาบีชัยตอบว่า “ข้าพเจ้าจะลงไปกับท่าน” 7 ดังนั้นดาวิดและอาบีชัยจึงเข้าไปในกองทหารในเวลากลางคืน ซาอูลกำลังนอนหลับอยู่ในค่ายที่นั่น มีหอกปักดินที่ใกล้ศีรษะ อับเนอร์และทหารก็นอนหลับอยู่รอบข้างท่าน 8 อาบีชัยจึงพูดกับดาวิดว่า “วันนี้พระเจ้าได้มอบศัตรูของท่านไว้ในมือท่านแล้ว ได้โปรดให้ข้าพเจ้าใช้หอกแทงเขาให้ติดดินในครั้งเดียว ข้าพเจ้าจะไม่แทงเขาสองครั้ง” 9 แต่ดาวิดพูดกับอาบีชัยว่า “อย่าทำร้ายท่าน ใครจะยื่นมือออกต่อสู้คนที่พระผู้เป็นเจ้าเจิมได้ แล้วจะไม่พ้นผิด” 10 และดาวิดพูดว่า “ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด พระผู้เป็นเจ้าจะเป็นผู้สังหารท่าน หรือไม่ท่านก็จะจบชีวิตเอง หรือไม่ท่านก็จะลงไปสู้รบในสงครามและตาย 11 พระผู้เป็นเจ้าห้ามไม่ให้เรายื่นมือต่อสู้คนที่พระผู้เป็นเจ้าเจิม แต่ตอนนี้ให้เอาหอกที่อยู่ใกล้ศีรษะท่านกับเหยือกน้ำไป และเราไปได้แล้ว” 12 ดาวิดจึงเอาหอกและเหยือกน้ำที่อยู่ใกล้ศีรษะของซาอูลไป และออกไปจากที่นั่น โดยที่ไม่มีใครเห็นหรือทราบเรื่อง และไม่มีผู้ใดตื่นขึ้น เพราะทุกคนนอนหลับกันหมด เนื่องจากพระผู้เป็นเจ้าบันดาลให้พวกเขาหลับสนิท
13 แล้วดาวิดไปที่อีกด้านหนึ่งของหุบเขา ยืนบนยอดเขา โดยสองฝ่ายได้เว้นระยะระหว่างกันไกลพอประมาณ 14 ดาวิดตะโกนเรียกพวกทหารและอับเนอร์บุตรของเนอร์ว่า “อับเนอร์ ท่านจะไม่ตอบหรือ” อับเนอร์ตอบว่า “นั่นใครที่มาร้องเรียกกษัตริย์” 15 ดาวิดบอกอับเนอร์ว่า “ท่านไม่ใช่ผู้ชายหรอกหรือ มีใครในอิสราเอลบ้างที่เป็นเหมือนอย่างท่าน แล้วทำไมท่านจึงไม่เฝ้าระวังเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ของท่าน เพราะว่ามีผู้หนึ่งเข้ามาทำร้ายเจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ของท่าน 16 ท่านละเลยเช่นนี้ ใช้ไม่ได้ ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ฉันใด ท่านสมควรตาย เพราะท่านไม่ได้เฝ้าระวังเจ้านายของท่าน ผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าเจิม บัดนี้ท่านจงดูซิว่า หอกของกษัตริย์ และเวลานี้เหยือกน้ำที่อยู่ตรงศีรษะของกษัตริย์อยู่ที่ไหน”
17 ซาอูลจำเสียงของดาวิดได้จึงพูดว่า “ดาวิด ลูกเอ๋ย นี่เป็นเสียงของเจ้าใช่ไหม” ดาวิดตอบว่า “โอ เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ เสียงของข้าพเจ้าเอง” 18 และดาวิดพูดต่อว่า “เหตุใดเจ้านายของข้าพเจ้าจึงไล่ตามผู้รับใช้ของท่าน ข้าพเจ้ากระทำสิ่งใดหรือ ข้าพเจ้ากระทำผิดเรื่องอะไร 19 ฉะนั้นขอให้เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ฟังสิ่งที่ผู้รับใช้พูดเถิด ถ้าหากว่าพระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ดลใจให้ท่านมาทำร้ายข้าพเจ้า ขอให้พระองค์รับของถวายจากข้าพเจ้า แต่ถ้าเป็นมนุษย์ก็ขอให้พวกเขาถูกสาปแช่งต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้า เพราะพวกเขาได้ขับไล่ข้าพเจ้าออกมาในวันนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่ควรได้รับส่วนแบ่งจากแผ่นดินของพระผู้เป็นเจ้าเป็นมรดก โดยพูดว่า ‘ไปบูชาบรรดาเทพเจ้าเถิด’ 20 ฉะนั้น บัดนี้อย่าให้ข้าพเจ้าถูกฆ่าตายในที่ห่างไกลจากเบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า เนื่องจากกษัตริย์แห่งอิสราเอลได้ออกมาตามหาตัวหมัด ประหนึ่งผู้ไล่ล่านกกระทาบนภูเขา”
21 ซาอูลจึงกล่าวว่า “เราได้กระทำผิดแล้ว ดาวิด ลูกเอ๋ย เจ้ากลับมาเถิด เราจะไม่ทำร้ายเจ้าอีกแล้ว เพราะในวันนี้ชีวิตของเรามีค่าในสายตาของเจ้า ดูเถิด เราประพฤติตนอย่างโง่เขลา และได้กระทำผิดมาก” 22 ดาวิดตอบว่า “โอ กษัตริย์ หอกอยู่นี่ ให้คนหนึ่งในกลุ่มชายหนุ่มมารับเอาไปเถิด 23 พระผู้เป็นเจ้าประทานรางวัลแก่ทุกคนที่มีความชอบธรรมและความสัตย์จริง ด้วยว่าวันนี้พระผู้เป็นเจ้าได้มอบท่านไว้ในมือข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะไม่ยื่นมือต่อสู้คนที่พระผู้เป็นเจ้าเจิม 24 ดูเถิด ตราบที่ชีวิตของท่านมีค่าในสายตาของข้าพเจ้าในวันนี้เช่นไร ก็ขอให้ชีวิตข้าพเจ้ามีค่าในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า และขอให้พระองค์ช่วยข้าพเจ้าให้รอดจากความวิบัติทั้งปวง” 25 ครั้นแล้วซาอูลกล่าวกับดาวิดว่า “ดาวิด ลูกเอ๋ย ขอให้เจ้าได้รับพรเถิด เจ้าจะกระทำหลายสิ่ง และจะกระทำทุกอย่างสำเร็จได้” ดังนั้นดาวิดจึงไปตามทางของท่าน และซาอูลกลับไปยังที่ของตน
การแต่งงาน
7 ส่วนเรื่องที่พวกท่านเขียนมาว่า “ผู้ชายไม่มีความสัมพันธ์กับผู้หญิงย่อมดีกว่า” 2 แต่เพราะมีการยั่วยุให้ประพฤติผิดทางเพศ ชายแต่ละคนควรมีภรรยาเป็นของตนเอง และหญิงแต่ละคนควรมีสามีเป็นของตนเอง 3 สามีควรปฏิบัติต่อภรรยาอย่างสมควรตามหน้าที่ ส่วนภรรยาก็เช่นกัน 4 ร่างกายของภรรยาไม่ได้เป็นของนางเพียงผู้เดียว แต่เป็นของสามีด้วย ร่างกายของสามีไม่ได้เป็นของเขาเพียงผู้เดียว แต่เป็นของภรรยาด้วยเช่นกัน 5 อย่าปฏิเสธกันและกันเว้นแต่มีการตกลงกันก่อน เพื่อท่านจะได้อุทิศเวลาสำหรับการอธิษฐาน ครั้นแล้วก็มาอยู่ร่วมกันอีก เพื่อซาตานจะได้ไม่อาจยั่วยุท่านได้ในยามที่ท่านควบคุมตนเองไม่ได้ 6 ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้เพื่อเป็นการอนุญาต ไม่ใช่การสั่ง 7 ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะให้ทุกคนเป็นเหมือนข้าพเจ้า แต่ทุกคนได้รับของประทานจากพระเจ้าต่างกัน คนหนึ่งได้รับอย่างหนึ่ง ในขณะที่อีกคนหนึ่งได้รับอีกอย่างหนึ่ง
8 สำหรับคนที่ยังไม่แต่งงานและพวกแม่ม่าย ข้าพเจ้าขอกล่าวว่าพวกเขาไม่แต่งงานจะดีกว่า เหมือนอย่างที่ข้าพเจ้าเป็น 9 แต่ถ้าพวกเขาไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ก็ควรแต่งงาน เพราะว่าแต่งงานเสียจะดีกว่าปล่อยให้กามราคะเผาใจให้รุ่มร้อน
10 สำหรับผู้ที่แต่งงานแล้วข้าพเจ้าขอสั่งว่า (ไม่ใช่ข้าพเจ้า แต่เป็นพระผู้เป็นเจ้า) ภรรยาต้องไม่แยกไปจากสามี 11 แต่ถ้านางแยกจากไป นางต้องไม่แต่งงานใหม่ มิฉะนั้นต้องกลับมาคืนดีกับสามี และสามีต้องไม่หย่าร้างภรรยา
12 สำหรับคนอื่น ข้าพเจ้าขอกล่าวว่า (เป็นข้าพเจ้าเอง ไม่ใช่พระผู้เป็นเจ้า) ถ้าพี่น้องคนใดมีภรรยาผู้ไม่เชื่อในพระคริสต์ แต่ตั้งใจจะอยู่กับสามี สามีต้องไม่หย่าร้างนาง 13 และถ้าหญิงคนใดมีสามีผู้ไม่เชื่อในพระคริสต์ แต่ตั้งใจจะอยู่กับนาง นางต้องไม่หย่าร้างสามี 14 เพราะว่าสามีที่ไม่เชื่อได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ทางภรรยาแล้ว และภรรยาที่ไม่เชื่อได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ทางสามีผู้มีความเชื่อ มิฉะนั้นลูกของท่านจะมีมลทิน แต่เท่าที่เป็นอยู่ลูกๆ นั้นก็บริสุทธิ์ 15 แต่ถ้าคู่ครองที่ไม่เชื่อในพระคริสต์แยกจากไป ก็ปล่อยให้เขาไป ชายหรือหญิงที่เชื่อในพระคริสต์ ไม่มีข้อผูกมัดให้จำใจอยู่ด้วยกัน เพราะพระเจ้าได้เรียกเราให้อยู่อย่างสันติ 16 ผู้เป็นภรรยา ท่านทราบได้อย่างไรว่าท่านจะช่วยสามีให้รอดพ้นได้หรือไม่ หรือผู้เป็นสามี ท่านทราบได้อย่างไรว่า ท่านจะช่วยภรรยาให้รอดพ้นได้หรือไม่
17 อย่างไรก็ดี ท่านแต่ละคนควรดำรงชีวิตของตนตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้กำหนดไว้ และตามที่พระเจ้าเรียกท่าน นี่ก็เป็นกฎของข้าพเจ้าสำหรับทุกคริสตจักร 18 มีชายใดบ้างไหมที่ได้เข้าสุหนัตแล้ว เวลาที่พระเจ้าเรียกเขา ถ้าเข้าแล้วก็ไม่ควรเลิก มีชายใดบ้างไหมที่ยังไม่ได้เข้าสุหนัต เวลาที่พระเจ้าเรียกเขา ก็ไม่ต้องให้เขาเข้า 19 การเข้าสุหนัตหรือไม่นั้นไม่สำคัญเลย สิ่งสำคัญคือการปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเจ้า 20 ทุกคนควรดำรงอยู่ในฐานะที่เป็นอยู่เมื่อพระเจ้าเรียก 21 เมื่อพระเจ้าเรียกท่าน ท่านเป็นทาสอยู่หรือ ถ้าเป็นก็ไม่ต้องกังวลใจ แต่ถ้าหากสามารถเป็นอิสระได้ก็เป็นเถิด 22 ด้วยว่าคนที่พระผู้เป็นเจ้าเรียก แม้จะเป็นทาสอยู่ ก็นับว่าเป็นอิสระชนของพระผู้เป็นเจ้า ในทำนองเดียวกันคืออิสระชนที่พระผู้เป็นเจ้าเรียก ก็เป็นทาสของพระคริสต์ 23 พระเจ้าได้ซื้อท่านไว้แล้วในราคาสูง ดังนั้นอย่าเป็นทาสของมนุษย์ 24 พี่น้องแต่ละคนจงดำรงตนตามฐานะที่เป็นอยู่เวลาที่พระเจ้าเรียก
25 ส่วนเรื่องพรหมจารี ไม่มีคำสั่งจากพระผู้เป็นเจ้า แต่ตามความเห็นของข้าพเจ้าที่ไว้วางใจได้ด้วยพระเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า 26 ข้าพเจ้าลงความเห็นตามความทุกข์ในขณะนี้ว่า ท่านอยู่อย่างที่เป็นอยู่นี้ก็ดีแล้ว 27 ท่านแต่งงานแล้วหรือ ไม่ต้องดิ้นรนหย่าร้างหรอก ท่านยังไม่ได้แต่งงานหรือ ก็อย่าเสาะหาคู่เลย 28 แต่หากว่าท่านแต่งงานก็ไม่นับว่าทำบาป แม้ว่าพรหมจาริณีแต่งงาน เธอก็ไม่ได้ทำบาป แต่พวกที่แต่งงานจะเผชิญความยุ่งยากในชีวิตนี้ และข้าพเจ้าพยายามช่วยให้ท่านหลุดพ้นจากความยุ่งยากดังกล่าว 29 พี่น้องเอ๋ย ข้าพเจ้าหมายความว่าเวลามีน้อย ตั้งแต่นี้ไปบรรดาผู้มีภรรยาควรดำเนินชีวิตเหมือนไม่มีภรรยา 30 บรรดาผู้เศร้าโศกดำเนินชีวิตเหมือนกับไม่เศร้าโศก บรรดาผู้ชื่นชมยินดีดำเนินชีวิตเหมือนกับไม่ชื่นชมยินดี บรรดาผู้ซื้อก็เหมือนไม่ได้สิ่งนั้นมาเป็นของตนเอง 31 บรรดาผู้ใช้สิ่งของในโลกก็เหมือนกับไม่ได้ใช้อย่างเต็มที่ เพราะตามแบบที่เป็นอยู่ของโลกนี้กำลังจะสูญสิ้นไป
32 ข้าพเจ้าอยากจะให้ท่านพ้นจากความห่วงใย ชายที่ไม่ได้แต่งงานมีความห่วงใยในพระผู้เป็นเจ้าว่า เขาจะทำอย่างไรจึงจะเป็นที่พอใจของพระผู้เป็นเจ้า 33 แต่คนที่แต่งงานแล้วก็จะห่วงใยในเรื่องของโลกนี้ว่า เขาจะเอาใจภรรยาได้อย่างไรบ้าง 34 เขาก็ต้องแบ่งความสนใจออกไป หญิงที่ไม่ได้แต่งงานหรือเป็นพรหมจาริณีจะมีความห่วงใยในเรื่องของพระผู้เป็นเจ้าว่า เธอจะอุทิศตนต่อพระผู้เป็นเจ้าด้วยความบริสุทธิ์ทั้งกายและวิญญาณได้อย่างไร แต่หญิงที่แต่งงานจะห่วงใยในเรื่องของโลกนี้ว่า นางจะเอาใจสามีได้อย่างไรบ้าง 35 ข้าพเจ้ากล่าวมานี้เพื่อประโยชน์ของท่านเอง ไม่ใช่เป็นบ่วงบาศคล้องท่านไว้ แต่ให้ท่านดำเนินชีวิตในทางที่ถูกต้องในการอุทิศตนต่อพระผู้เป็นเจ้า โดยไม่ต้องแบ่งความสนใจ
36 ถ้าชายใดคิดว่าเขาไม่ปฏิบัติตนอันสมควรต่อพรหมจาริณีที่หมั้นไว้ ถ้าเขาควบคุมความรุ่มร้อนในกามราคะไม่ได้ ก็ต้องเป็นไปตามนี้ คือปล่อยให้เขาแต่งงานได้ตามใจปรารถนา ไม่นับว่าเป็นการทำบาป และให้เขาแต่งงานกันเสีย 37 แต่ถ้าชายใดมั่นใจและเห็นว่าไม่จำเป็นต้องแต่งงาน เขาบังคับใจตนเองได้ และตัดสินใจให้คู่หมั้นของตนเป็นพรหมจาริณีอยู่คงเดิม เขาก็กระทำถูกต้องดีแล้ว 38 ฉะนั้นคนที่แต่งงานกับพรหมจาริณีกระทำดีแล้ว แต่คนที่ไม่แต่งงานกับเธอกระทำดียิ่งกว่า
39 ภรรยามีข้อผูกมัดอยู่กับสามี ตราบเท่าที่เขามีชีวิตอยู่ แต่ถ้าสิ้นสามีแล้ว นางมีอิสระที่จะแต่งงานกับคนที่นางต้องการได้ แต่เขาต้องเป็นผู้ที่เชื่อในพระผู้เป็นเจ้า 40 ตามความเห็นของข้าพเจ้าแล้ว นางจะมีความสุขมากกว่าถ้าไม่แต่งงานอีก และข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้ามีพระวิญญาณของพระเจ้าเช่นกัน
เยรูซาเล็มจะพินาศ
5 โอ บุตรมนุษย์เอ๋ย เจ้าจงหยิบดาบคมกริบเล่มหนึ่ง ใช้ดาบเหมือนกับที่ช่างตัดผมใช้มีดโกนของเขา เพื่อโกนผมและหนวดเครา และใช้ตราชูชั่งผมออกเป็นส่วนๆ 2 เมื่อการล้อมเมืองของเจ้าสิ้นสุดลง จงใช้ไฟเผาผมของเจ้าหนึ่งส่วนสามที่กลางเมือง จากนั้นเจ้าจงใช้ดาบฟันผมหนึ่งส่วนสามที่รอบๆ เมือง และอีกหนึ่งส่วนสามเจ้าจงโปรยให้กระจายไปกับสายลม เพราะเราจะชักดาบไล่ล่าพวกเขาไป 3 เจ้าจงเหน็บผมสองสามเส้นเก็บไว้ที่ชายเสื้อคลุมของเจ้า 4 และจงหยิบผมอีกสองสามเส้นเผาทิ้งในกองไฟ ไฟจะลุกลามและแพร่ไปทั่วพงศ์พันธุ์อิสราเอล”
5 พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “นี่คือเยรูซาเล็ม เราได้ตั้งเมืองนี้ไว้ที่ท่ามกลางบรรดาประชาชาติ ซึ่งมีหลายดินแดนอยู่โดยรอบนาง 6 และนางได้ขัดขืนต่อคำบัญชาและกฎเกณฑ์ของเรา ยิ่งกว่าบรรดาประชาชาติและหลายดินแดนรอบตัวนาง นางไม่ยอมรับฟังคำบัญชาและไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของเรา” 7 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “เพราะว่าเจ้าขัดขืนเรายิ่งกว่าบรรดาประชาชาติที่อยู่โดยรอบเจ้า และไม่ได้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์หรือรักษากฎบัญญัติของเรา พวกเจ้าไม่ได้ทำตามแม้แต่กฎของบรรดาประชาชาติที่อยู่โดยรอบเจ้า” 8 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “ดูเถิด แม้เราเองก็คัดค้านเจ้า เยรูซาเล็มเอ๋ย และเราจะลงโทษเจ้าต่อหน้าบรรดาประชาชาติ 9 เพราะรูปเคารพอันน่ารังเกียจทั้งสิ้นของเจ้า เราจะกระทำต่อเจ้าอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน และจะไม่มีวันที่จะกระทำอีก 10 ฉะนั้น บรรดาบิดาจะกินบุตรของพวกเขาเองในท่ามกลางพวกเจ้า และบรรดาบุตรก็จะกินบิดาของพวกเขาเอง และเราจะลงโทษเจ้า และจะทำให้บรรดาผู้รอดชีวิตกระจัดกระจายไปทั่วทุกสารทิศ” 11 ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนี้ว่า “ตราบที่เรามีชีวิตอยู่ฉันใด เราเองจะโค่นเจ้าลง เราจะไม่มองดูเจ้าด้วยความเมตตา หรือไว้ชีวิตเจ้า เพราะเจ้าได้ทำให้ที่พำนักของเราเป็นมลทินด้วยสิ่งอันน่ารังเกียจ และด้วยสิ่งอันน่าขยะแขยงทั้งปวง 12 หนึ่งในสามของพวกเจ้าจะตายจากโรคระบาดหรือไม่ก็อดอยากตายในท่ามกลางพวกเจ้า หนึ่งในสามจะล้มตายด้วยดาบที่นอกกำแพงเมือง และอีกหนึ่งในสาม เราจะทำให้กระจัดกระจายไปทั่วทุกสารทิศ และจะชักดาบไล่ล่าพวกเจ้าไป
13 และความโกรธของเราจะแสดงออก และเราจะระบายความกริ้วลงที่พวกเขาจนเราจะพอใจ และเมื่อเราลงโทษพวกเขาแล้ว พวกเขาจะรู้ว่า เราคือพระผู้เป็นเจ้า และเราได้พูดด้วยความหวงแหน 14 เราจะทำให้เจ้าเป็นที่ร้าง และเป็นที่ดูหมิ่นในบรรดาประชาชาติโดยรอบเจ้า ต่อหน้าทุกคนที่ผ่านมา 15 เจ้าจะเป็นที่ดูหมิ่น เป็นที่หัวเราะเยาะ เป็นการเตือนและสภาพที่น่าหวาดกลัวสำหรับบรรดาประชาชาติที่อยู่โดยรอบเจ้า เมื่อเราลงโทษเจ้าด้วยความโกรธและกริ้ว เราตักเตือนเจ้าด้วยความโกรธ เราคือพระผู้เป็นเจ้า เราได้กล่าวแล้ว 16 เมื่อเรายิงศรแห่งความอดอยากที่นำความตายและหายนะมายังเจ้า เราจะทำเพื่อให้เจ้าพินาศ เราจะนำความอดอยากมาให้เจ้ามากยิ่งขึ้น และจะทำให้อาหารขาดแคลน 17 เราจะทำให้เกิดความอดอยาก และรังควานเจ้าด้วยสัตว์ป่า และลูกๆ ของเจ้าจะถูกพรากจากไป เจ้าจะประสบกับโรคระบาดและโลหิตตก และเจ้าจะไม่อาจหลีกเลี่ยงจากคมดาบ เราคือพระผู้เป็นเจ้า เราได้กล่าวแล้ว”
ภาค 2
บทที่ 42-72
อธิษฐานต่อพระเจ้าจากห้วงลึกแห่งจิตวิญญาณ
ถึงหัวหน้าวงดนตรี เพลงสดุดีแห่งความฉลาดรอบรู้ของตระกูลโคราห์
1 กวางกระเสือกกระสนหาธารน้ำไหลฉันใด
โอ พระเจ้า จิตวิญญาณข้าพเจ้าก็กระเสือกกระสนหาพระองค์ฉันนั้น
2 จิตวิญญาณข้าพเจ้ากระหายหาพระเจ้า
หาพระเจ้าผู้ดำรงอยู่
เมื่อใดข้าพเจ้าจึงจะได้เห็นใบหน้าของพระเจ้า
3 ข้าพเจ้ากินน้ำตาต่างข้าว
ทั้งวันและคืน
ในขณะเดียวกันมีคนพูดกับข้าพเจ้าตลอดวันเวลาว่า
“พระเจ้าของท่านอยู่ที่ไหน”
4 ขณะที่หัวใจข้าพเจ้ากำลังแตกสลาย
มีสิ่งที่ข้าพเจ้าจำได้คือ
ข้าพเจ้าเคยนำขบวนฝูงชน
ไปยังพระตำหนักของพระเจ้า
พร้อมด้วยเสียงโห่ร้องและเพลง เป็นการแสดงความขอบคุณ
ท่ามกลางหมู่ชนในงานฉลองเทศกาล
5 โอ จิตวิญญาณของข้าพเจ้าเอ๋ย ทำไมจึงเศร้าสลดหดหู่เช่นนี้
และทำไมใจจึงว้าวุ่นนัก
ตั้งความหวังในพระเจ้าเถิด
เพราะข้าพเจ้ายังจะสรรเสริญพระองค์อีก
โอ ผู้ช่วยเหลือของข้าพเจ้า 6 และพระเจ้าของข้าพเจ้า
จิตวิญญาณข้าพเจ้าเศร้าสลดหดหู่อยู่ภายใน
ฉะนั้นข้าพเจ้าระลึกถึงพระองค์
จากดินแดนแห่งแม่น้ำจอร์แดนและแห่งเทือกเขาเฮอร์โมน
จากภูเขามิซาร์
7 ห้วงน้ำลึกร้องเรียกหากันและกัน
เสียงกึกก้องจากน้ำตกของพระองค์
คลื่นทั้งลูกเล็กและลูกใหญ่
ซัดผ่านท่วมตัวข้าพเจ้า
8 พระผู้เป็นเจ้าบัญชาให้ความรักอันมั่นคงของพระองค์ในยามกลางวัน
และเพลงของพระองค์อยู่กับข้าพเจ้าในยามค่ำ
คำอธิษฐานต่อพระเจ้าแห่งชีวิตของข้าพเจ้า
9 ข้าพเจ้าพูดกับพระเจ้า ศิลาของข้าพเจ้าว่า
“ทำไมพระองค์จึงลืมข้าพเจ้าเสียแล้ว
ทำไมข้าพเจ้าต้องเดินไปด้วยความเศร้าโศก
เพราะศัตรูบีบบังคับข้าพเจ้าเล่า”
10 พวกศัตรูถากถางข้าพเจ้า
ประหนึ่งเป็นแผลร้ายในกระดูกข้าพเจ้า
พวกเขาพูดกับข้าพเจ้าตลอดวันเวลาว่า
“พระเจ้าของท่านอยู่ที่ไหน”
11 โอ จิตวิญญาณของข้าพเจ้าเอ๋ย ทำไมจึงเศร้าสลดหดหู่เช่นนี้
และทำไมใจจึงว้าวุ่นนัก
จงตั้งความหวังในพระเจ้าเถิด
เพราะข้าพเจ้ายังจะสรรเสริญพระองค์อีก
โอ ผู้ช่วยเหลือของข้าพเจ้า และพระเจ้าของข้าพเจ้า
ความหวังในพระเจ้ายามลำบาก
1 โอ พระเจ้า โปรดพิสูจน์ให้เห็นเถิดว่าข้าพเจ้าไม่ใช่ฝ่ายผิด
และปกป้องข้าพเจ้าจากพวกที่ไร้คุณธรรม
หลอกลวง และไร้ความชอบธรรม
ช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้นเถิด
2 เพราะพระองค์เป็นพระเจ้า เป็นที่หลบภัยของข้าพเจ้า
ทำไมพระองค์จึงทอดทิ้งข้าพเจ้าไป
ทำไมข้าพเจ้าต้องเดินไปด้วยความเศร้าโศก
เพราะถูกศัตรูบีบบังคับเล่า
3 โปรดมอบแสงสว่างและความจริงของพระองค์
เพื่อนำทางข้าพเจ้า
เพื่อนำข้าพเจ้าไปยังภูเขาอันบริสุทธิ์ของพระองค์
และยังกระโจมที่พำนักของพระองค์
4 แล้วข้าพเจ้าจะไปยังแท่นบูชาของพระเจ้า
เพื่อหาพระเจ้าแห่งความชื่นชมยินดีของข้าพเจ้า
และข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์ด้วยพิณ
โอ พระเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า
5 โอ จิตวิญญาณของข้าพเจ้าเอ๋ย ทำไมจึงเศร้าสลดหดหู่เช่นนี้
และทำไมใจจึงว้าวุ่นนัก
จงตั้งความหวังในพระเจ้าเถิด
เพราะข้าพเจ้ายังจะสรรเสริญพระองค์อีก
โอ ผู้ช่วยเหลือของข้าพเจ้า และพระเจ้าของข้าพเจ้า
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation