Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
1 ซามูเอล 5-6

ชาวฟีลิสเตียและหีบ

เมื่อชาวฟีลิสเตียยึดหีบของพระเจ้าไป พวกเขานำหีบจากเมืองเอเบนเอเซอร์ไปยังเมืองอัชโดด แล้วชาวฟีลิสเตียเอาหีบของพระเจ้าไปไว้ในวิหารเทพเจ้าดาโกน[a] และวางไว้ข้างเทวรูปดาโกน เมื่อชาวเมืองอัชโดดลุกขึ้นในเช้าวันรุ่งขึ้น ดูเถิด รูปปั้นเทวรูปดาโกนล้มหน้าคะมำอยู่กับพื้นที่เบื้องหน้าหีบของพระผู้เป็นเจ้า พวกเขาจึงตั้งเทวรูปขึ้นไว้ที่เดิม แต่เมื่อพวกเขาลุกขึ้นรุ่งเช้าวันต่อไป ดูเถิด เทวรูปดาโกนล้มหน้าคะมำอยู่กับพื้นที่เบื้องหน้าหีบของพระผู้เป็นเจ้า หัวและมือทั้งสองของเทวรูปดาโกนหักตกอยู่ที่ธรณีประตู เหลืออยู่ก็แต่เพียงลำตัวของดาโกน เนื่องด้วยเหตุนี้พวกปุโรหิตของเทพเจ้าดาโกน และทุกคนที่เข้าไปในวิหารของดาโกนจึงไม่เหยียบธรณีประตูของดาโกนที่เมืองอัชโดดมาจนถึงทุกวันนี้

พระผู้เป็นเจ้าลงโทษชาวเมืองอัชโดดอย่างหนัก พระองค์ทำให้ชาวเมืองพินาศและรับความทุกข์ทรมานด้วยโรคเนื้องอก ทั้งในเมืองอัชโดดและบริเวณใกล้เคียง เมื่อคนในเมืองอัชโดดเห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาจึงพูดกันว่า “หีบของพระเจ้าของอิสราเอลจะต้องไม่อยู่กับพวกเรา เพราะพระองค์กำลังลงโทษพวกเราและเทพเจ้าดาโกนของเราอย่างหนัก” พวกเขาจึงให้คนไปเรียกประชุมบรรดาเจ้าครองเมืองของชาวฟีลิสเตีย และถามว่า “พวกเราจะทำอย่างไรกับหีบของพระเจ้าของอิสราเอล” พวกเขาตอบว่า “ให้คนย้ายหีบของพระเจ้าของอิสราเอลไปไว้ที่เมืองกัท” ดังนั้นพวกเขาจึงนำหีบของพระเจ้าของอิสราเอลไปไว้ที่นั่น แต่หลังจากที่พวกเขาได้ย้ายหีบไป พระผู้เป็นเจ้าก็ลงโทษเมืองนั้น ทำให้ผู้คนสับสนอลหม่านมาก และพระองค์ทำให้ผู้คนในเมือง ทั้งผู้น้อยและผู้ใหญ่จำนวนมากเป็นโรคเนื้องอก 10 ดังนั้นพวกเขาจึงส่งหีบของพระเจ้าไปยังเมืองเอโครน และทันทีที่หีบของพระเจ้ามาถึงเอโครน ชาวเอโครนร้องขึ้นว่า “พวกเขาเอาหีบของพระเจ้าของอิสราเอลมา เพื่อฆ่าเราและคนของเราด้วย” 11 ฉะนั้นพวกเขาจึงให้คนไปเรียกประชุมบรรดาเจ้าครองเมืองของชาวฟีลิสเตีย และพูดว่า “ส่งหีบของพระเจ้าของอิสราเอลไปให้พ้น ให้หีบกลับไปที่เดิม เพื่อหีบนั้นจะได้ไม่มาฆ่าเราและผู้คนของเรา” เพราะคนทั่วทั้งเมืองตื่นตระหนกจากความตายมาก พระเจ้าลงโทษที่นั่นอย่างหนัก 12 ส่วนคนที่ไม่ตายก็ถูกรังควานด้วยโรคเนื้องอก และเสียงร้องของเมืองนั้นขึ้นไปถึงฟ้าสวรรค์

หีบกลับไปยังอิสราเอล

หีบของพระผู้เป็นเจ้าอยู่ในดินแดนของชาวฟีลิสเตียเป็นเวลา 7 เดือน และชาวฟีลิสเตียเรียกให้บรรดาปุโรหิตและผู้ทำนายมา และกล่าวว่า “พวกเราจะทำอย่างไรกับหีบของพระผู้เป็นเจ้า บอกเราด้วยว่า เราควรจะส่งคืนไปที่เดิมพร้อมกับอะไร” พวกเขาตอบว่า “ถ้าท่านส่งหีบของพระเจ้าของอิสราเอลกลับไป ก็อย่าส่งไปเปล่าๆ แต่ให้ส่งคืนไปพร้อมกับของถวายเพื่อไถ่โทษ แล้วพวกท่านจะหายจากโรค และท่านจะได้เห็นว่าเพราะเหตุใดพระองค์จึงไม่หยุดลงโทษพวกท่าน” พวกเขาพูดว่า “เราจะส่งอะไรให้พระองค์ เพื่อเป็นของถวายเพื่อไถ่โทษ” พวกเขาตอบว่า “เนื้องอกทองคำ 5 ก้อนกับหนูทองคำ 5 ตัว อย่างละหนึ่งสำหรับเจ้าครองเมืองของฟีลิสเตียแต่ละคน เพราะภัยพิบัติเดียวกันเกิดขึ้นกับท่านทุกคนและกับเจ้าครองเมืองของท่านด้วย ฉะนั้นท่านต้องทำรูปจำลองเนื้องอกและรูปหนูที่ทำความหายนะให้กับแผ่นดิน และจงถวายพระบารมีแด่พระเจ้าของอิสราเอล บางทีพระองค์จะเพลามือจากการลงโทษพวกท่าน เทพเจ้าของท่าน และแผ่นดินของท่านลงบ้าง ทำไมท่านจึงทำใจแข็งกระด้างเหมือนที่ชาวอียิปต์และฟาโรห์กระทำ หลังจากที่พระองค์กระทำต่อพวกเขาอย่างสาหัสแล้ว พวกเขาไม่ได้ปล่อยให้ประชาชนออกไป และพวกเขาก็ได้จากไปมิใช่หรือ ฉะนั้นแล้ว จงเตรียมเกวียนใหม่เล่มหนึ่งให้พร้อม เอาแม่โค 2 ตัว ที่ยังไม่เคยเทียมแอกมาก่อน เอาโค 2 ตัวนี้เทียมเข้ากับเกวียน ส่วนลูกของมันก็แยกให้กลับเข้าคอกไป จงวางหีบของพระผู้เป็นเจ้าไว้บนเกวียน และในหีบอีกใบ ก็วางไว้ข้างๆ กัน ในหีบใบนั้นจงใส่ของที่ทำจากทองคำที่จะส่งไปมอบแด่พระองค์เป็นของถวายเพื่อไถ่โทษ เสร็จแล้วส่งเกวียนไป ให้เคลื่อนไปเอง แต่จงคอยดู ถ้าหากว่าเกวียนขึ้นไปตามทิศทางแผ่นดินของมันเอง คือไปยังเบธเชเมช แล้วก็จะรู้ว่าเป็นพระองค์ ที่ทำให้พวกเรารับอันตรายครั้งนี้ แต่ถ้าไม่ เราก็จะรู้ว่าไม่ใช่พระองค์ที่ลงโทษพวกเรา แต่เพราะเกิดขึ้นโดยบังเอิญ”

10 พวกผู้ชายก็กระทำตามนั้น คือเอาแม่โค 2 ตัวเทียมเกวียน และขังลูกโคไว้ที่คอก 11 วางหีบพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าไว้บนเกวียน และอีกหีบบรรจุด้วยหนูทองคำกับรูปจำลองเนื้องอก 12 ฝ่ายแม่โคก็เดินตรงไปทางเบธเชเมช เดินไปตามทางถนน ขณะที่ไปก็ได้ส่งเสียงร้องไปด้วย ไม่เลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา ส่วนพวกเจ้าครองเมืองของชาวฟีลิสเตียก็เดินตามไปดู ไกลจนถึงชายแดนของเบธเชเมช 13 ขณะนั้นชาวเมืองเบธเชเมชกำลังเก็บเกี่ยวสาลีอยู่ในหุบเขา เมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้นดู ก็เห็นหีบของพระเจ้า และยินดีที่เห็น 14 เกวียนเข้าไปในทุ่งนาของโยชูวาชาวเบธเชเมช และหยุดอยู่ใกล้หินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งที่นั่น คนแถวนั้นจึงผ่าไม้เกวียน และมอบแม่โคเป็นสัตว์ที่เผาเป็นของถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า 15 และชาวเลวีก็ยกหีบของพระผู้เป็นเจ้า และหีบอีกใบบรรจุด้วยรูปจำลองทองคำที่อยู่ข้างๆ วางไว้บนหินก้อนใหญ่ก้อนนั้น และชาวเบธเชเมชมอบสัตว์ที่เผาเป็นของถวาย และถวายเครื่องสักการะแด่พระผู้เป็นเจ้าในวันนั้น 16 เมื่อเจ้าครองเมืองทั้งห้าของฟีลิสเตียเห็นทุกอย่างแล้ว พวกเขาก็กลับไปเอโครนในวันนั้น

17 เนื้องอกทองคำที่ชาวฟีลิสเตียส่งให้เป็นของถวายแด่พระผู้เป็นเจ้าเพื่อไถ่โทษ สำหรับเมืองละ 1 ก้อนตามรายชื่อเมืองคือ อัชโดด กาซา อัชเคโลน กัท และเอโครน 18 และมีหนูทองคำตามจำนวนเมืองของชาวฟีลิสเตียที่เป็นของเจ้าครองเมืองทั้งห้า เป็นทั้งเมืองที่มีการคุ้มกันอย่างแข็งแกร่ง และหมู่บ้านที่ไม่มีกำแพงกั้น หินก้อนใหญ่ที่ตั้งอยู่ข้างหีบของพระผู้เป็นเจ้า ในทุ่งนาของโยชูวาชาวเบธเชเมช ก็เป็นพยานมาจนถึงทุกวันนี้

19 พระเจ้าประหารชาวเบธเชเมชบางคน เพราะพวกเขามองหีบของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ประหาร 70 คน ประชาชนก็ร้องคร่ำครวญ เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้ประหารคนจำนวนมาก 20 แล้วชาวเบธเชเมชพูดว่า “ใครจะสามารถยืน ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้บริสุทธิ์องค์นี้ได้ และหีบจากพวกเราจะขึ้นไปอยู่กับผู้ใด” 21 ดังนั้นพวกเขาจึงให้พวกผู้ส่งข่าวไปยังชาวเมืองคีริยาทเยอาริม กล่าวว่า “ชาวฟีลิสเตียได้คืนหีบของพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ลงมาเอาหีบขึ้นไปอยู่กับพวกท่านเถิด”

โรม 5

ความเชื่อนำมาซึ่งความชื่นชมยินดี

ฉะนั้น ในเมื่อเราพ้นผิดได้โดยการมีความเชื่อ เราจึงมีสันติสุขกับพระเจ้าโดยผ่านพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา เราได้รับพระคุณที่ประสบนี้เพราะเรามีความเชื่อในพระองค์ และเราชื่นชมยินดีที่มีความหวังว่าจะได้ร่วมในพระบารมีของพระเจ้า และไม่เพียงเท่านั้น แต่เรายังชื่นชมยินดีที่เราทนทุกข์ทรมานด้วย เพราะเราทราบว่าการทนทุกข์นั้นก่อให้เกิดความบากบั่น ความบากบั่นก่อให้เกิดคุณลักษณะที่ดี และคุณลักษณะที่ดีก่อให้เกิดความหวัง และความหวังไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะความรักของพระเจ้าได้หลั่งเข้ามาในจิตใจของเรา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระองค์ได้มอบให้แก่เราแล้ว

ขณะที่เรายังอ่อนกำลัง พระคริสต์ได้เสียชีวิตเพื่อคนที่ไร้คุณธรรมอย่างเราในเวลาที่เหมาะสม หายากเหลือเกินที่จะมีใครตายเพื่อคนที่มีความชอบธรรม แต่อาจจะมีบางคนที่กล้าตายเพื่อคนดีก็ได้ แต่พระเจ้าแสดงความรักของพระองค์เองต่อเรา คือพระคริสต์สิ้นชีวิตเพื่อเรา ขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่ เราพ้นผิดแล้วโดยโลหิตของพระองค์ แล้วเราจะพ้นจากการลงโทษของพระเจ้าโดยพระองค์ยิ่งกว่านั้นเสียอีก 10 ถ้าขณะที่เราเป็นศัตรูของพระเจ้า เรากลับคืนดีกับพระองค์ได้ เนื่องจากการสิ้นชีวิตของพระบุตรของพระองค์ ยิ่งกว่านั้นอีกเมื่อเรากลับคืนดีแล้ว เราก็จะรอดพ้นอย่างแน่นอนโดยชีวิตของพระองค์ 11 ไม่เพียงเท่านี้ แต่เรายังชื่นชมยินดีในพระเจ้าด้วย โดยผ่านพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา เราได้กลับคืนดีกับพระเจ้าได้ก็เพราะพระองค์

เปรียบเทียบระหว่างอาดัมและพระคริสต์

12 ฉะนั้น บาปได้เข้ามาในโลกโดยผ่านคนๆ หนึ่ง และบาปนั้นนำความตายมาฉันใด ความตายก็แผ่ไปถึงมนุษย์ทุกคนฉันนั้น เพราะทุกคนทำบาป 13 บาปอยู่ในโลกก่อนที่พระเจ้าจะให้กฎบัญญัติ แต่ที่ใดไม่มีกฎก็ถือว่าบาปไม่ได้ละเมิดกฎ 14 ถึงกระนั้น ความตายก็ได้ครอบงำตั้งแต่อาดัมจนถึงโมเสส และครอบงำแม้แต่บรรดาผู้ที่ไม่ได้กระทำบาปอย่างที่อาดัมได้ละเมิดคำสั่ง อาดัมเป็นแบบขององค์ผู้ที่จะมาภายหลัง

15 แต่สิ่งที่พระเจ้ามอบให้นั้นไม่เหมือนการล่วงละเมิด ด้วยว่าถ้าการล่วงละเมิดของคนๆ เดียวเป็นเหตุให้คนมากมายต้องตาย พระคุณของพระเจ้ากับสิ่งที่มอบให้โดยพระคุณของพระเยซูคริสต์ผู้เดียว ย่อมหลั่งท่วมท้นให้แก่คนมากมายยิ่งกว่านั้นเสียอีก 16 และสิ่งที่พระเจ้ามอบให้นั้นไม่เหมือนกับผลที่เกิดจากบาปของคนๆ เดียวคือ การตัดสินเกิดขึ้นจากการทำบาปครั้งเดียว และผลที่ได้คือการกล่าวโทษ แต่สิ่งที่มอบให้นั้นเกิดขึ้นหลังจากการล่วงละเมิดหลายครั้ง และผลที่ได้กลับเป็นการพ้นผิด 17 ถ้าโดยการล่วงละเมิดของคนๆ เดียว ทำให้ความตายครอบงำเพราะคนๆ เดียวนั้น ยิ่งกว่านั้นที่บรรดาผู้ซึ่งได้รับทั้งพระคุณท่วมท้น และความชอบธรรมอันเป็นของประทาน ก็จะครอบครองชีวิตโดยผ่านพระองค์ผู้เดียว คือพระเยซูคริสต์

18 ฉะนั้น หากผลที่เกิดขึ้นจากการล่วงละเมิดครั้งเดียว คือการที่ทุกคนถูกกล่าวโทษฉันใด การกระทำอันมีความชอบธรรมครั้งเดียวก็เกิดผล คือการพ้นผิดอันนำมาซึ่งชีวิตสำหรับทุกคนฉันนั้น 19 คนๆ เดียวที่ไม่เชื่อฟังทำให้คนจำนวนมากเป็นคนบาปฉันใด พระองค์ผู้เดียวที่ได้เชื่อฟัง ก็จะทำให้คนจำนวนมากมีความชอบธรรมฉันนั้น 20 เมื่อมีกฎบัญญัติขึ้น ผลที่ตามมาคือการละเมิดเพิ่มขึ้น แต่ที่ใดมีบาปเพิ่มขึ้น ที่นั้นพระคุณก็มีเพิ่มมากยิ่งขึ้น 21 เพื่อว่า ตามที่บาปครอบงำซึ่งนำไปสู่ความตายฉันใด พระคุณก็ครอบครองด้วยความชอบธรรมให้ถึงชีวิตอันเป็นนิรันดร์ โดยพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราฉันนั้น

เยเรมีย์ 43

เยเรมีย์ถูกพาไปยังอียิปต์

43 เมื่อเยเรมีย์พูดทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพวกเขาให้ประชาชนทั้งปวงฟังจบแล้ว คือทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าสั่งให้ท่านแจ้งแก่พวกเขา อาซาริยาห์บุตรโฮชายาห์ โยฮานานบุตรคาเรอัค รวมทั้งพวกผู้ชายใจยโสทุกคน ได้พูดกับเยเรมีย์ว่า “ท่านกำลังพูดเท็จ พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเราไม่ได้ส่งท่านให้มาพูดว่า ‘อย่าไปอาศัยอยู่ในอียิปต์’ แต่บารุคบุตรเนริยาห์ได้กระตุ้นท่านให้ขัดกับพวกเรา เพื่อมอบเราไว้ในมือของชาวเคลเดีย พวกเขาจะได้ฆ่าพวกเรา หรือไม่ก็จับไปเป็นเชลยที่บาบิโลน” ดังนั้น โยฮานานบุตรคาเรอัค บรรดาผู้บัญชาการ และประชาชนทั้งปวงไม่เชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า ด้วยการปฏิเสธที่จะอยู่ในยูดาห์ โยฮานานบุตรคาเรอัคและบรรดาผู้บัญชาการจึงพาผู้ที่มีชีวิตเหลืออยู่ของยูดาห์ทั้งหมดไปยังอียิปต์ ซึ่งพวกเขาเคยถูกขับไล่ไปยังประชาชาติทั้งปวงก่อนหน้านี้ และได้กลับมาอาศัยอยู่ในแผ่นดินยูดาห์ ทั้งพวกผู้ชาย ผู้หญิง เด็กๆ บรรดาธิดาของกษัตริย์ และทุกๆ คนที่เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารคุ้มกันปล่อยให้อยู่กับเก-ดาลิยาห์บุตรอาหิคามผู้เป็นบุตรของชาฟาน รวมทั้งเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า และบารุคบุตรเนริยาห์ และพวกเขาทุกคนก็มาถึงทาปานเหสในแผ่นดินอียิปต์ เพราะไม่เชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้า

และพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับเยเรมีย์ที่ทาปานเหสดังนี้ “จงหยิบก้อนหินขนาดใหญ่ไปซ่อนในปูนสอที่ถนนทางเข้าไปวังของฟาโรห์ในทาปานเหส และทำให้คนยูดาห์เห็น 10 และจงพูดกับพวกเขาว่า ‘พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวว่า ดูเถิด เราจะนำเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์แห่งบาบิโลนผู้รับใช้ของเรามา และเราจะตั้งบัลลังก์ของเขาบนก้อนหินพวกนี้ที่เราได้ซ่อนไว้ และเขาจะแผ่ปะรำของเขาบนก้อนหิน 11 เขาจะมาโจมตีแผ่นดินอียิปต์ ผู้คนทั้งหลายที่ต้องตายด้วยโรคระบาดก็จะตายด้วยโรคระบาด ที่ต้องถูกจับเป็นเชลยก็จะถูกจับไปเป็นเชลย และที่ต้องตายจากการสู้รบก็จะตายจากการสู้รบ 12 เขาจะเผาวิหารของปวงเทพเจ้าของอียิปต์ และจะขนรูปเคารพไป เขาจะกวาดล้างแผ่นดินอียิปต์จนเกลี้ยง อย่างผู้เลี้ยงดูฝูงแกะกำจัดตัวหมัดออกจากเสื้อคลุมของเขา และเขาจะกลับไปด้วยความมีชัย 13 เขาจะพังเสาหินที่วิหารแห่งดวงอาทิตย์ ซึ่งอยู่ในแผ่นดินอียิปต์ และเขาจะเผาวิหารทั้งหลายของปวงเทพเจ้า’”

สดุดี 19

สิ่งที่พระเจ้าสร้าง และกฎบัญญัติที่แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์

ถึงหัวหน้าวงดนตรี เพลงสดุดีของดาวิด

ฟ้าสวรรค์กล่าวถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
    และแผ่นฟ้าป่าวประกาศถึงสรรพสิ่งที่พระองค์สร้าง
วันแล้ววันเล่าสรรพสิ่งเหล่านั้นกล่าวให้รู้กัน
    คืนแล้วคืนเล่าก็แสดงให้เห็นเป็นความรู้
ไม่มีหนใดที่มีภาษาและการพูดจา
    แล้วจะไม่ได้ยินเสียงของสรรพสิ่งเหล่านั้น
เสียงของสิ่งเหล่านั้นได้กระจายออกไปทั่วแหล่งหล้า
    และคำประกาศได้แผ่กระจายไปจนสุดขอบโลก[a]
พระองค์ตั้งกระโจมให้ดวงอาทิตย์บนฟ้า
    ซึ่งเป็นเสมือนเจ้าบ่าวกำลังออกมาจากพลับพลา
    ดั่งผู้มีพละกำลังมหาศาลวิ่งไปตามที่กำหนดไว้ด้วยความยินดี
และขึ้นจากมุมหนึ่งของฟ้าสวรรค์
    และโคจรไปสู่อีกฟากหนึ่ง
    โดยไม่มีส่วนใดหลบเร้นจากความร้อนได้

กฎบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าบริบูรณ์ทุกประการ
    ทำให้จิตวิญญาณฟื้นขึ้นได้
คำสั่งของพระผู้เป็นเจ้าไว้วางใจได้ว่า
    จะทำให้คนเขลากลับกลายเป็นผู้เรืองปัญญา
ข้อบังคับของพระผู้เป็นเจ้าถูกต้อง
    ทำให้ใจยินดี
คำสั่งของพระผู้เป็นเจ้าแจ่มชัด
    ทำให้ตาสว่าง
ความเกรงกลัวที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้าบริสุทธิ์
    และยั่งยืนตลอดกาล
คำบัญชาที่พระผู้เป็นเจ้าประกาศเป็นความจริง
    และเป็นที่ชอบธรรมโดยสิ้นเชิง

10 เป็นที่พึงปรารถนายิ่งกว่าทองคำ
    แม้จะเป็นทองคำแท้อันบริสุทธิ์ก็ตามที
ความหวานนั้นยิ่งกว่าน้ำผึ้ง
    หวานยิ่งกว่าหยดน้ำผึ้งจากรวง
11 ผู้รับใช้ของพระองค์ถูกเตือนแล้วว่า
    เวลากระทำตามข้อควรปฏิบัติจะได้รับผลตอบแทนอันยิ่งใหญ่
12 แต่ใครจะหยั่งรู้ความผิดของตนได้
    โปรดให้อภัยความผิดของข้าพเจ้าที่ถูกซ่อนไว้
13 โปรดยับยั้งผู้รับใช้ของพระองค์จากบาปที่เกิดขึ้นโดยเจตนา
    อย่าให้บาปพวกนั้นมีอำนาจเหนือข้าพเจ้าเลย
แล้วข้าพเจ้าจะไร้ข้อตำหนิ
    และพ้นจากข้อกล่าวหาในความผิดหลายประการ

14 ขอให้คำพูดจากปากข้าพเจ้า และการใคร่ครวญจากใจ
    เป็นที่ยอมรับของพระองค์
    โอ พระผู้เป็นเจ้า ศิลาของข้าพเจ้า และองค์ผู้ไถ่ข้าพเจ้าให้รอดพ้น

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation