M’Cheyne Bible Reading Plan
รูธและโบอาสที่ลานนวดข้าว
3 นาโอมีแม่สามีของนางพูดกับนางว่า “ลูกเอ๋ย เราควรจะหาเหย้าเรือนให้เจ้าอยู่อย่างมั่นคง เจ้าจะได้สบาย 2 โบอาสคนที่ให้เจ้าไปกับหญิงรับใช้ของเขา เป็นญาติของเราไม่ใช่หรือ เอาล่ะ คืนนี้เขาจะไปแยกแกลบข้าวบาร์เลย์ที่ลานนวดข้าว 3 ฉะนั้นจงอาบน้ำและชโลมน้ำมัน แล้วสวมเสื้อคลุมลงไปที่ลานนวดข้าว แต่เจ้าอย่าให้ชายคนนั้นรู้ จนกว่าเขาจะรับประทานและดื่มเสร็จแล้ว 4 พอเขานอนลง จงสังเกตดูว่าเขานอนที่ไหน และเจ้าก็ไปเปิดผ้าคลุมเท้าของเขาและนอนลง[a] แล้วเขาจะบอกเจ้าว่าให้ทำอะไร” 5 นางตอบว่า “ลูกจะทำตามทุกสิ่งที่แม่บอก”
6 ดังนั้น นางจึงลงไปที่ลานนวดข้าว และปฏิบัติตามที่แม่สามีสั่งทุกประการ 7 เมื่อโบอาสรับประทานและดื่มแล้ว เขาก็สำราญใจ เขาจึงไปนอนลงที่ข้างกองข้าว รูธก็ย่องเข้าไปหาและเปิดผ้าคลุมเท้าของเขา และนอนลง 8 ตอนเที่ยงคืนเขาสะดุ้งตื่นและพลิกตัว ดูเถิด มีผู้หญิงนอนอยู่ที่เท้าของเขา 9 เขาถามว่า “เจ้าเป็นใคร” นางตอบว่า “ฉันคือรูธผู้รับใช้ของท่าน กางชายเสื้อของท่านให้ผู้รับใช้ได้ห่มด้วยเถิด เพราะว่าท่านเป็นผู้คุ้มครองดูแลตระกูลคนหนึ่ง” 10 เขาพูดว่า “ลูกเอ๋ย ขอให้พระผู้เป็นเจ้าอวยพรเจ้าเถิด ความกรุณาของเจ้าครั้งนี้ยิ่งใหญ่กว่าครั้งแรกตรงที่ว่า เจ้าไม่ได้ไปหาชายหนุ่ม ไม่ว่าจะมั่งมีหรือยากจน 11 บัดนี้ ลูกเอ๋ย อย่ากลัวเลย เราจะทำตามที่เจ้าขอ เพราะว่าคนของเราทุกคนในเมืองรู้ว่า เจ้าเป็นผู้หญิงที่ประเสริฐ 12 และเป็นความจริงที่ว่า เราคือญาติสนิทคนหนึ่ง แต่ยังมีญาติสนิทอีกคนซึ่งเป็นญาติที่สนิทกว่าเรา 13 จงอยู่ที่นี่คืนนี้ พอถึงรุ่งเช้า ถ้าเขาจะปฏิบัติต่อเจ้าในฐานะญาติสนิท ก็ดีไป ให้เขาปฏิบัติต่อเจ้า แต่ถ้าเขาไม่ปรารถนาจะทำเช่นนั้น เราก็จะปฏิบัติต่อเจ้าในฐานะญาติสนิท ตราบที่พระผู้เป็นเจ้ามีชีวิตอยู่ เจ้าจงนอนที่นี่จนถึงเช้าเถิด”
14 ดังนั้น นางจึงนอนที่เท้าของเขาจนกระทั่งเช้า แต่ลุกขึ้นก่อนที่ใครจะจำหน้าได้ และเขาพูดว่า “อย่าให้ใครรู้ว่ามีผู้หญิงมาที่ลานนวดข้าว” 15 เขาพูดว่า “เอาผ้าคลุมไหล่ที่เจ้าคลุมอยู่กางออก” นางก็กางมันออก และเขาก็ตวงข้าวบาร์เลย์ให้ 6 เครื่องตวง ให้นางแบก นางก็เข้าไปในเมือง 16 เมื่อนางไปหานาโอมี นาโอมีถามว่า “ลูกเอ๋ย เป็นไงบ้าง” นางก็เล่าทุกสิ่งที่ชายคนนั้นกระทำต่อนาง 17 พลางพูดว่า “ท่านให้ข้าวบาร์เลย์ 6 เครื่องตวงนี้แก่ลูก ท่านบอกลูกว่า ‘เจ้าต้องไม่กลับไปหาแม่สามีมือเปล่า’” 18 นางตอบว่า “เดี๋ยวก่อน ลูกเอ๋ย รอจนกว่าจะรู้ว่าเรื่องจะลงเอยอย่างไร เพราะว่าชายคนนั้นจะไม่อยู่เฉยแน่ แต่เขาจะจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จในวันนี้”
โบอาสคุ้มครองดูแลรูธ
4 โบอาสได้ขึ้นไปที่ประตูเมือง ไปนั่งอยู่ที่นั่น ดูเถิด ผู้คุ้มครองดูแลที่โบอาสพูดถึงเดินผ่านมา โบอาสจึงพูดว่า “เพื่อนเอ๋ย มานั่งที่นี่เถิด” เขาก็แวะมานั่งด้วย 2 เขาเชิญพวกผู้ใหญ่ในเมือง 10 คนมาและพูดว่า “เชิญนั่งลงที่นี่” พวกเขาก็นั่งลง 3 และเขาพูดกับผู้คุ้มครองดูแลคนนั้นว่า “นาโอมีผู้ที่กลับมาจากดินแดนของโมอับ กำลังขายที่ดินผืนหนึ่งที่เป็นของเอลีเมเลคญาติของเรา 4 เราจึงคิดว่าจะบอกท่านเรื่องนี้ และบอกว่า ‘จงซื้อที่ดินนี้ต่อหน้าคนที่นั่งอยู่ที่นี่ และต่อหน้าบรรดาผู้ใหญ่ของประชาชน’ ถ้าหากว่าท่านจะไถ่ไว้ ก็จงไถ่เถิด แต่ถ้าหากว่าท่านจะไม่ทำ ก็บอกเรา เราจะได้รู้ เพราะไม่มีใครนอกจากท่านที่จะไถ่ เพราะว่าเราเป็นคนถัดไป” และเขากล่าวว่า “เราจะไถ่เอง” 5 ครั้นแล้วโบอาสพูดว่า “ในวันที่ท่านซื้อที่นาจากมือนาโอมี ท่านก็จะได้รูธชาวโมอับแม่ม่ายของคนตายด้วย เพื่อให้ชื่อของผู้ตายคงอยู่ในมรดกของเขา” 6 และญาติสนิทที่สุดตอบว่า “เราไม่อาจไถ่ให้ตัวเองได้ เกรงว่ามันอาจจะเสี่ยงต่อมรดกของเราเอง ท่านไถ่ให้ตัวท่านเองเถิด ท่านรับสิทธิในการไถ่ของเราไปก็ได้ เพราะเราไม่อาจไถ่ได้”
7 อิสราเอลในสมัยนั้นมีประเพณีอันเกี่ยวกับการไถ่และการโอนที่ดินให้จบขั้นตอนคือ ฝ่ายหนึ่งจะถอดรองเท้ายื่นให้อีกฝ่ายหนึ่ง นี่คือวิธีการรับรองในอิสราเอล 8 ดังนั้นญาติสนิทที่สุดพูดกับโบอาสว่า “ท่านซื้อให้ตัวเองเถิด” เขาถอดรองเท้า 9 แล้วโบอาสพูดกับบรรดาผู้ใหญ่และประชาชนทั้งปวงว่า “พวกท่านเป็นพยานในวันนี้ว่า เราได้ซื้อทุกสิ่งที่เป็นของเอลีเมเลค และทุกสิ่งที่เป็นของคิลิโอนและมาห์โลนจากมือนาโอมีแล้ว 10 รวมถึงรูธหญิงม่ายชาวโมอับของมาห์โลน เราได้รับไว้เป็นภรรยาของเราแล้ว เพื่อให้ชื่อของผู้ตายคงอยู่ในมรดกของเขา เพื่อชื่อของผู้ตายจะไม่ถูกตัดขาดเสียจากครอบครัวของเขาและจากบ้านเกิดเมืองนอนของเขา พวกท่านเป็นพยานในวันนี้” 11 แล้วประชาชนทั้งปวงที่อยู่ที่ประตูเมือง และบรรดาผู้ใหญ่กล่าวว่า “พวกเราเป็นพยาน ขอให้พระผู้เป็นเจ้าโปรดให้หญิงคนที่จะเข้ามาอยู่ในบ้านท่านคนนี้ เป็นเหมือนราเชลและเลอาห์ หญิงทั้งสองทำให้พงศ์พันธุ์อิสราเอลคงไว้ ขอให้ท่านมั่งมีอยู่ในเอฟราธาห์ และมีชื่อเสียงในเบธเลเฮม 12 และขอให้พงศ์พันธุ์ของท่านเป็นเหมือนของพงศ์พันธุ์ของเปเรศ ซึ่งทามาร์ให้กำเนิดแก่ยูดาห์[b] เนื่องจากเชื้อสายที่พระผู้เป็นเจ้าจะมอบแก่ท่าน ผ่านทางหญิงคนนี้”
รูธและโบอาสแต่งงาน
13 โบอาสจึงรับตัวรูธมาอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยา พระผู้เป็นเจ้าให้นางตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชาย 14 บรรดาผู้หญิงพูดกับนาโอมีว่า “สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าที่ในเวลานี้ไม่ปล่อยให้เธออยู่โดยไม่มีญาติสนิทที่สุด และขอให้ชื่อของเด็กน้อยเป็นที่รู้จักในอิสราเอล 15 เขาจะเป็นผู้นำชีวิตใหม่มาให้เธอ และดูแลเธอในวัยชรา ด้วยว่าบุตรสะใภ้ของเธอรักเธอ นางปฏิบัติต่อเธอดียิ่งกว่าบุตรชาย 7 คน และยังให้กำเนิดเด็กคนนี้อีกด้วย” 16 และนาโอมีก็อุ้มทารกไว้ที่ตัก และดูแลเขา 17 บรรดาผู้หญิงในละแวกเพื่อนบ้านตั้งชื่อให้เขา และพูดว่า “นาโอมีได้บุตรชาย” และตั้งชื่อเขาว่า โอเบด ผู้เป็นบิดาของเจสซี ผู้เป็นบิดาของดาวิด
ลำดับวงศ์ของดาวิด
18 ต่อไปนี้เป็นลำดับวงศ์ของเปเรศๆ เป็นบิดาของเฮสโรน 19 เฮสโรนเป็นบิดาของรามๆ เป็นบิดาของอัมมีนาดับ 20 อัมมีนาดับเป็นบิดาของนาโชนๆ เป็นบิดาของสัลโมน 21 สัลโมนเป็นบิดาของโบอาสๆ เป็นบิดาของโอเบด 22 โอเบดเป็นบิดาของเจสซี และเจสซีเป็นบิดาของดาวิด
เปาโลที่เกาะมอลตา
28 ครั้นรอดชีวิตกันแล้วพวกเราจึงรู้ว่าเกาะนั้นชื่อมอลตา 2 ชาวเกาะแสดงความกรุณาต่อพวกเราอย่างผิดปกติ และได้ก่อไฟต้อนรับพวกเราทุกคน เพราะว่าฝนตกและอากาศหนาวเย็น 3 เปาโลเก็บกิ่งไม้แห้งได้กองหนึ่งมาใส่ไฟ งูพิษตัวหนึ่งหนีออกมาเพราะความร้อนจากไฟ แล้วกัดติดอยู่ที่มือของเปาโล 4 เมื่อชาวเกาะเห็นงูห้อยอยู่ที่มือของท่านจึงพูดกันว่า “ชายผู้นี้ต้องเป็นฆาตกรแน่ เพราะถึงแม้ว่าเขาพ้นจากทะเลมาได้ เจ้าแห่งความยุติธรรมก็ยังไม่ยอมให้เขามีชีวิตอยู่” 5 แต่ว่าเปาโลสะบัดมือให้งูตกเข้ากองไฟ และไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด 6 คนทั้งหลายคิดว่าแผลของท่านจะบวมขึ้นหรือล้มตายทันที แต่หลังจากที่ได้รอเป็นเวลานานก็เห็นว่าท่านไม่เป็นอะไรเลย เขาจึงเปลี่ยนใจพูดว่าท่านเป็นเทพเจ้า
7 มีที่ดินแห่งหนึ่งใกล้บริเวณนั้น เป็นที่ดินของปูบลิอัสหัวหน้าใหญ่ของเกาะนั้น ท่านได้ต้อนรับพวกเราอย่างเป็นกันเองถึง 3 วัน 8 ขณะนั้นบิดาของปูบลิอัสนอนป่วยอยู่ เป็นไข้และโรคบิด เปาโลเข้าไปหาท่าน และหลังจากที่ได้อธิษฐานแล้ว ก็วางมือทั้งสองบนตัวท่านและรักษาให้หายจากโรค 9 จากนั้นบรรดาคนป่วยที่อยู่บนเกาะก็พากันมารับการรักษาให้หาย 10 ชาวเกาะให้เกียรติแก่พวกเราหลายประการ เมื่อพวกเราพร้อมที่จะแล่นเรือจากไป เขาทั้งหลายจึงนำสิ่งที่จำเป็นสำหรับเรามาให้
เปาโลที่เมืองโรม
11 สามเดือนผ่านไป พวกเราลงเรือซึ่งได้จอดพักในฤดูหนาวที่เกาะนั้น เรือที่มาจากเมืองอเล็กซานเดรียมีรูปปั้นเทพเจ้าแฝด 2 รูป 12 พวกเราจอดแวะที่เมืองไซราคิ้วส์ 3 วัน 13 เราออกเรือจากที่นั่นไปจนถึงเมืองเรยีอูม วันรุ่งขึ้นลมทิศใต้พัดมา พออีกวันต่อมา พวกเราก็ถึงเมืองปูทีโอลิ 14 เราพบพวกพี่น้องที่นั่นซึ่งได้เชิญเราให้อยู่ด้วย 7 วัน แล้วเราก็ไปยังเมืองโรม 15 พวกพี่น้องที่นั่นได้ข่าวว่าพวกเรากำลังจะมา จึงได้เดินทางไปพบถึงตลาดอัปปีอัสและย่านสามโรงเตี๊ยม เมื่อเปาโลเห็นเหล่าพี่น้องแล้วก็ขอบคุณพระเจ้า ท่านก็มีกำลังใจดีขึ้น 16 เมื่อพวกเรามาถึงเมืองโรมแล้ว เปาโลจึงได้รับอนุญาตให้อยู่ตามลำพังได้โดยมีทหารคนหนึ่งคุมไว้
17 สามวันต่อมาท่านเรียกบรรดาผู้นำชาวยิวมาประชุม เมื่อพวกเขาเข้าประชุมแล้วเปาโลกล่าวว่า “พี่น้องเอ๋ย ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดที่ผิดต่อคนของพวกเรา หรือผิดต่อประเพณีนิยมของบรรพบุรุษของเราเลย แต่ข้าพเจ้าก็ถูกจับกุมในเมืองเยรูซาเล็ม และมอบตัวให้แก่พวกชาวโรมัน 18 พวกเขาไต่สวนข้าพเจ้า และอยากจะปลดปล่อยเพราะว่าข้าพเจ้าไม่มีความผิดที่ต้องโทษถึงตาย 19 แต่เมื่อชาวยิวคัดค้าน ข้าพเจ้าจำต้องถวายฎีกาถึงซีซาร์ ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าฟ้องร้องชนชาติของข้าพเจ้า 20 ด้วยเหตุนี้เองข้าพเจ้าจึงได้ขอพบกับท่านและพูดกับท่าน ข้าพเจ้าถูกล่ามโซ่เช่นนี้ก็เพื่อความหวังของชนชาติอิสราเอล” 21 เขาเหล่านั้นตอบว่า “พวกเราไม่ได้รับจดหมายจากแคว้นยูเดียเกี่ยวกับท่านเลย และไม่มีพี่น้องคนใดที่มาจากที่นั่นได้บอกหรือพูดสิ่งใดเลวร้ายเกี่ยวกับท่าน 22 แต่พวกเราอยากจะฟังว่าท่านมีความคิดเห็นอย่างไร เพราะพวกเราทราบว่าผู้คนทุกแห่งหนกำลังพูดคัดค้านพรรคนี้”
23 พวกเขานัดวันมาพบกับเปาโล และมีคนจำนวนมากที่มาหาท่านยังที่พัก ท่านได้อธิบายและประกาศถึงอาณาจักรของพระเจ้าแก่เขาทั้งปวง ตั้งแต่เช้าจนกระทั่งเย็น และพยายามจะชักชวนให้เขาเหล่านั้นเชื่อในพระเยซู โดยอ้างถึงหมวดกฎบัญญัติของโมเสส และจากหมวดผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้า 24 บางคนก็เชื่อเนื่องจากสิ่งที่ท่านกล่าว แต่บางคนก็ไม่เชื่อ 25 พวกเขามีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน และต่างก็ทยอยจากไปหลังจากที่เปาโลได้กล่าวข้อความสุดท้ายว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้กล่าวความจริงแก่เหล่าบรรพบุรุษของท่าน ครั้งที่พระองค์กล่าวผ่านอิสยาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าว่า
26 ‘จงไปบอกชนชาตินี้ว่า
พวกเจ้าจะได้ยินเรื่อยไป แต่ไม่มีวันที่จะเข้าใจ
และพวกเจ้าจะมองดูเรื่อยไป แต่ไม่มีวันที่จะเห็น
27 เพราะว่าใจของคนเหล่านี้แข็งกระด้าง
และหูของเขาก็แทบจะไม่ได้ยิน
เขาปิดตาของตนเอง
มิฉะนั้นแล้วตาของเขาจะมองเห็น
หูจะได้ยิน
และจิตใจของเขาจะเข้าใจ และหันกลับมา
แล้วเราจะรักษาเขาให้หายขาด’[a]
28 ฉะนั้นท่านทั้งหลายจงทราบว่า ความรอดพ้นที่มาจากพระเจ้าได้ไปยังพวกคนนอก และเขาก็จะฟัง”
[29 ครั้นเปาโลกล่าวเช่นนั้นแล้ว ชาวยิวก็จากไปและเถียงกันไป][b]
30 เปาโลได้อาศัยอยู่ในบ้านเช่า[c]ของท่านเป็นเวลา 2 ปีเต็ม และต้อนรับทุกคนที่มาหาท่าน 31 ท่านประกาศอาณาจักรของพระเจ้าและสั่งสอนเรื่องของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยใจกล้าหาญ และไม่มีผู้ใดยับยั้งได้
เยเรมีย์อยู่ในบ่อเก็บน้ำ
38 เชฟาทิยาห์บุตรมัทธาน เก-ดาลิยาห์บุตรปาชเฮอร์ ยูคาลบุตรเชเลมิยาห์ และปาชเฮอร์บุตรมัลคิยาห์ทราบมาว่า เยเรมีย์กำลังพูดกับประชาชนทั้งปวงดังนี้ 2 “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้ว่า ‘ผู้ที่อยู่ในเมืองนี้จะตายด้วยการต่อสู้ การอดอยาก และด้วยโรคระบาด แต่ผู้ที่ออกไปพบกับพวกชาวเคลเดียจะมีชีวิตคงอยู่ และจะเอาชีวิตหนีรอดไปได้ และมีชีวิตอยู่ 3 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า เมืองนี้จะถูกมอบไว้ในมือของกองทัพของกษัตริย์แห่งบาบิโลน และจะถูกยึดไป’” 4 บรรดาผู้นำพูดกับกษัตริย์ดังนี้ว่า “ฆ่าชายผู้นี้เถิด เพราะเขากำลังทำลายกำลังใจเหล่าทหารที่ยังเหลืออยู่ในเมืองนี้และประชาชนทั้งปวง ด้วยการพูดสิ่งเหล่านี้กับพวกเขา เพราะชายผู้นี้ไม่หวังดีต่อประชาชนเลย แต่กลับหวังร้ายต่อพวกเขา” 5 กษัตริย์เศเดคียาห์ตอบว่า “ดูเถิด เขาอยู่ใต้อำนาจของพวกท่าน กษัตริย์ไม่สามารถจะขัดขวางพวกท่านได้” 6 ดังนั้น พวกเขาจึงจับเยเรมีย์ไป และใช้เชือกหย่อนท่านลงในบ่อเก็บน้ำของมัลคิยาห์บุตรของกษัตริย์ บ่อนั้นอยู่ที่ลานทหารยาม เป็นบ่อน้ำแห้งซึ่งมีแต่โคลน เยเรมีย์จึงจมลงในโคลน
เยเรมีย์ขึ้นจากบ่อน้ำ
7 เมื่อเอเบดเมเลคขันทีชาวคูชผู้อยู่ในวังกษัตริย์ ทราบว่าเยเรมีย์ถูกบังคับให้อยู่ในบ่อน้ำ ขณะนั้นกษัตริย์กำลังนั่งอยู่ที่ประตูเบนยามิน 8 เอเบดเมเลคออกไปจากวังของกษัตริย์ และพูดกับกษัตริย์ว่า 9 “เจ้านายผู้เป็นกษัตริย์ ชายเหล่านี้ได้ทำสิ่งชั่วร้ายต่อเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าในทุกเรื่อง เขาให้เยเรมีย์ลงไปอยู่ในบ่อเก็บน้ำ ท่านจะต้องหิวตายที่นั่น เพราะไม่มีอาหารเหลืออยู่ในเมืองแล้ว” 10 กษัตริย์จึงสั่งเอเบดเมเลคชาวคูชว่า “พาชาย 30 คนจากที่นี่ไปกับเจ้า และช่วยดึงเยเรมีย์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าออกจากบ่อเก็บน้ำก่อนที่เขาจะตาย” 11 ดังนั้น เอเบดเมเลคจึงพาพวกผู้ชายไปยังวังของกษัตริย์กับเขา เขาเอาเศษผ้าและเสื้อเก่าจากห้องใต้คลัง พร้อมกับหย่อนเชือกลงในบ่อเก็บน้ำให้เยเรมีย์ 12 เอเบดเมเลคชาวคูชบอกเยเรมีย์ว่า “ใช้เศษผ้าหนุนระหว่างใต้รักแร้กับเชือก” เยเรมีย์ก็ทำตาม 13 แล้วพวกเขาก็ใช้เชือกดึงเยเรมีย์ขึ้นออกจากบ่อน้ำ เยเรมีย์อยู่ที่ลานทหารยามต่อไป
เยเรมีย์ให้คำเตือนแก่เศเดคียาห์อีก
14 กษัตริย์เศเดคียาห์ให้คนไปตามเยเรมีย์มาพบท่านที่ทางเข้าที่สามของพระตำหนักของพระผู้เป็นเจ้า กษัตริย์กล่าวกับเยเรมีย์ดังนี้ “เรามีสิ่งหนึ่งที่อยากจะถามท่าน ท่านอย่าปกปิดเรา” 15 เยเรมีย์ตอบเศเดคียาห์ดังนี้ “ถ้าข้าพเจ้าบอกท่าน แล้วท่านจะไม่ฆ่าข้าพเจ้าหรือ ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าให้คำแนะนำ ท่านก็จะไม่ฟังข้าพเจ้า” 16 กษัตริย์เศเดคียาห์สาบานกับเยเรมีย์เป็นการส่วนตัวดังนี้ “พระผู้เป็นเจ้าผู้ให้ชีวิตแก่พวกเรา ตราบที่พระองค์มีชีวิตอยู่ฉันใด เราจะไม่ฆ่าท่านและไม่มอบท่านไว้ในมือของบรรดาผู้ที่ต้องการจะฆ่าท่าน”
17 เยเรมีย์จึงตอบเศเดคียาห์ดังนี้ “พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าจอมโยธา พระเจ้าของอิสราเอลกล่าวว่า ถ้าท่านยอมจำนนต่อบรรดาผู้นำของกษัตริย์แห่งบาบิโลน ท่านก็จะไม่ถูกฆ่า และเมืองนี้จะไม่ถูกไฟเผา ทั้งตัวท่านและครอบครัวก็จะรอดชีวิต 18 แต่ถ้าท่านไม่ยอมจำนนต่อบรรดาผู้นำของกษัตริย์แห่งบาบิโลน เมืองนี้ก็จะถูกมอบไว้ในมือของชาวเคลเดีย และพวกเขาจะเผาเมือง และท่านจะไม่รอดจากมือของพวกเขา” 19 กษัตริย์เศเดคียาห์บอกเยเรมีย์ว่า “เรากลัวชาวยูดาห์ที่ได้ยอมจำนนแก่ชาวเคลเดีย เรากลัวว่าเราจะถูกมอบตัวให้แก่พวกเขา และจะถูกทำร้าย” 20 เยเรมีย์ตอบว่า “ท่านจะไม่ถูกมอบตัวให้แก่พวกเขา เวลานี้ท่านจงเชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้าในสิ่งที่ข้าพเจ้าบอกท่าน และทุกสิ่งจะเป็นไปด้วยดีกับท่าน และท่านจะรอดชีวิต 21 แต่ถ้าท่านไม่ยอมจำนน ภาพนิมิตที่พระผู้เป็นเจ้าให้ข้าพเจ้าเห็นก็คือ 22 ดูเถิด ผู้หญิงทุกคนที่เหลืออยู่ในวังของกษัตริย์แห่งยูดาห์กำลังถูกนำตัวออกไปยังบรรดาผู้นำของกษัตริย์แห่งบาบิโลน พวกเขาพูดถึงท่านดังนี้ว่า
‘เพื่อนทั้งหลายของท่านที่ท่านไว้วางใจได้หลอกลวงท่าน
และทำตามที่พวกเขาต้องการ
เท้าของท่านจมอยู่ในโคลน
พวกเขาทอดทิ้งท่านไป’
23 บรรดาภรรยาและบุตรชายของท่านจะถูกนำออกไปมอบแก่ชาวเคลเดีย และท่านเองจะหนีไม่รอดจากมือของพวกเขา แต่จะถูกกษัตริย์แห่งบาบิโลนจับกุม และเมืองนี้จะถูกไฟไหม้”
24 แล้วเศเดคียาห์พูดกับเยเรมีย์ว่า “อย่าให้ใครรู้เรื่องนี้ แล้วท่านจะไม่ตาย 25 ถ้าบรรดาผู้นำทราบว่าเราได้พูดกับท่าน และพวกเขามาหาท่านเพื่อถามท่านว่า ‘บอกพวกเราเถิดว่า ท่านพูดอะไรกับกษัตริย์ และกษัตริย์พูดอะไรกับท่านบ้าง อย่าปกปิดพวกเรา และพวกเราจะไม่ฆ่าท่าน’ 26 ท่านจงบอกพวกเขาว่า ‘ข้าพเจ้าน้อมตัวลงด้วยคำขอร้องต่อกษัตริย์ว่า ท่านจะไม่ส่งข้าพเจ้ากลับไปที่บ้านของโยนาธานให้ไปตายที่นั่น’” 27 แล้วผู้นำทั้งปวงมาหาเยเรมีย์ และถามท่าน ท่านก็ตอบพวกเขาตามที่กษัตริย์สั่ง ดังนั้น พวกเขาจึงไม่พูดกับท่านอีก เพราะไม่มีใครทราบว่าท่านพูดสิ่งใดกับกษัตริย์ 28 เยเรมีย์จึงอยู่ที่ลานทหารยามต่อไปจนถึงวันที่เยรูซาเล็มถูกยึด
ที่พึ่งของข้าพเจ้าคือพระผู้เป็นเจ้าผู้มีความชอบธรรม
ถึงหัวหน้าวงดนตรี เพลงสดุดีของดาวิด
1 ข้าพเจ้าแสวงหาพระผู้เป็นเจ้าเป็นที่พึ่ง
ท่านพูดกับข้าพเจ้าได้อย่างไรว่า
“หนีไปยังภูเขาของท่านดั่งนก
2 ดูสิ เพราะพวกคนชั่วน้าวคันธนู
แล้วพาดลูกศรไว้กับสายธนู
เพื่อยิงไปยังหัวใจของบรรดาผู้มีใจเที่ยงธรรม
ท่ามกลางความมืด
3 หากว่าฐานรากถูกทำลายเสียแล้ว
ผู้มีความชอบธรรมจะทำอะไรได้”
4 พระผู้เป็นเจ้าอยู่ในพระวิหารอันบริสุทธิ์ของพระองค์
พระผู้เป็นเจ้าอยู่บนบัลลังก์ของพระองค์ในสวรรค์
พระองค์สังเกตดูบรรดาบุตรของมนุษย์
สายตาของพระองค์ตรวจสอบดูพวกเขา
5 พระผู้เป็นเจ้าตรวจสอบผู้มีความชอบธรรม
และจิตวิญญาณของพระองค์เกลียดชังคนชั่วร้ายและพวกนิยมการกระทำอันรุนแรง
6 พระองค์จะทำให้ถ่านและกำมะถัน
ที่ลุกเป็นเพลิงถั่งโถมลงสู่คนชั่ว
ลมร้อนผะผ่าวเป็นส่วนหนึ่งที่เขาจะต้องได้รับ
7 ด้วยว่าพระผู้เป็นเจ้ามีความชอบธรรม
พระองค์รักความยุติธรรม
บรรดาผู้มีความเที่ยงธรรมจะมองเห็นใบหน้าของพระองค์
ยึดมั่นในคำพูดของพระผู้เป็นเจ้า
ถึงหัวหน้าวงดนตรี ตามเสียงสูงต่ำ 1 ช่วง เพลงสดุดีของดาวิด
1 พระผู้เป็นเจ้า โปรดช่วยด้วย เพราะหาผู้ใฝ่ใจในพระเจ้าไม่ได้เลย
คนมีความภักดีได้สาบสูญไปจากบรรดาบุตรของมนุษย์แล้ว
2 ทุกคนพูดปดต่อเพื่อนบ้านของตน
เขาใช้ริมฝีปากพูดยกยอ
โดยไม่มีความจริงใจ
3 ขอให้พระผู้เป็นเจ้าเชือดริมฝีปากที่พูดยกยอ
และทุกลิ้นที่โอ้อวด
4 ว่า “เราจะมีชัยชนะด้วยลิ้นของเรา
ริมฝีปากเป็นของเรา
ใครเป็นเจ้าเป็นนายเรา”
5 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า
“เพราะว่าผู้อ่อนกำลังถูกบีบบังคับ
และผู้มีทุกข์ออกเสียงคร่ำครวญ บัดนี้เราจะลุกขึ้น
เราจะให้เขาอยู่ในที่ปลอดภัยตามที่พวกเขาหวังเป็นอย่างยิ่ง”
6 คำพูดของพระผู้เป็นเจ้าบริสุทธิ์
ดั่งเงินที่ถูกหลอมในเตาไฟ
เพื่อให้บริสุทธิ์ถึง 7 ครั้ง
7 โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะปกป้องพวกเรา
พระองค์จะคุ้มกันเราจากคนยุคนี้ไปตลอดกาล
8 คนชั่วเหิมเกริมอย่างเสรี
ขณะเดียวกับที่ความน่าทุเรศเป็นที่ยกย่องในบรรดาบุตรของมนุษย์
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation