Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
New Thai Version (NTV-BIBLE)
Version
ปฐมกาล 34

ดีนาห์กับชาวฮีว

34 ฝ่ายดีนาห์บุตรหญิงที่เลอาห์ให้กำเนิดแก่ยาโคบ ออกไปเยี่ยมเยียนพวกผู้หญิงในถิ่นนั้น เมื่อเชเคมบุตรของฮาโมร์ชาวฮีวผู้นำถิ่นเห็นดีนาห์ ก็ใช้กำลังจับตัวเธอไปและข่มขืนเธอ เพราะเขามีจิตใจผูกพันอยู่กับดีนาห์บุตรหญิงของยาโคบ เขารักหญิงสาวจึงได้พูดจาอ่อนหวานกับเธอ เชเคมจึงพูดกับฮาโมร์บิดาของเขาว่า “ช่วยสู่ขอหญิงสาวคนนี้มาเป็นภรรยาลูกเถิด”

ยาโคบได้ยินว่าเชเคมได้ทำให้ดีนาห์บุตรหญิงของท่านเสียสาวแล้ว แต่พวกบุตรชายของตนอยู่กับปศุสัตว์ในทุ่ง ยาโคบจึงนิ่งเงียบไว้จนกว่าพวกเขากลับมา ขณะนั้นฮาโมร์บิดาของเชเคมออกไปพูดกับยาโคบ ลูกๆ ของยาโคบกลับมาจากทุ่ง เมื่อพวกเขาได้ยินเรื่องราวก็ตกใจ และโกรธแค้นที่เชเคมกระทำความอัปยศในอิสราเอลโดยนอนกับบุตรหญิงของยาโคบ เพราะเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้น

แต่ฮาโมร์พูดกับพวกเขาว่า “จิตใจของเชเคมลูกชายฉันนึกถึงเพียงลูกสาวของท่าน ฉันขอร้องท่านให้เธอแต่งงานกับเขาเถิด มาเป็นทองแผ่นเดียวกันเถิด ยกบรรดาลูกสาวของท่านให้เรา และรับลูกสาวของเราไว้สำหรับพวกท่านเอง 10 ท่านจะได้อาศัยอยู่กับพวกเรา ท่านจะอยู่ที่ไหนก็ได้ อยู่เสียที่นี่ เดินทางได้โดยอิสระ และเป็นเจ้าของที่ดินได้” 11 เชเคมก็พูดกับบิดาและพวกพี่ชายของเธอด้วยว่า “โปรดกรุณาข้าพเจ้าเถิด และข้าพเจ้าจะให้ทุกสิ่งตามที่ท่านต้องการ 12 เรียกร้องค่าสินสอดและของขวัญจากข้าพเจ้ามากเท่าไหร่ก็ได้ ข้าพเจ้าจะให้ตามที่เรียกร้อง ขอเพียงแต่ยกเธอให้เป็นภรรยาของข้าพเจ้า”

13 พวกลูกๆ ของยาโคบตอบโกหกเชเคมและฮาโมร์บิดาของเขา เพราะเขาทำให้ดีนาห์น้องสาวของเขาเสียสาว 14 พวกเขาพูดว่า “พวกเราทำไม่ได้ การยกน้องสาวให้คนที่ไม่ได้เข้าสุหนัตเป็นความอัปยศสำหรับพวกเรา 15 มีเงื่อนไขก่อนยินยอมทำตามคือ ท่านจะต้องเป็นเหมือนพวกเราโดยให้ชายทุกคนของท่านเข้าสุหนัต 16 แล้วเราจึงจะยกลูกสาวของเราให้พวกท่าน และเราจะรับลูกสาวของท่านไว้สำหรับพวกเราเอง แล้วเราจะอาศัยร่วมกับพวกท่าน และมาเป็นชนชาติเดียวกัน 17 แต่ถ้าท่านไม่ยอมฟังเรา และไม่เข้าสุหนัต พวกเราก็จะพาลูกสาวของเราไปเสีย”

18 ข้อเสนอของพวกเขาเป็นที่พอใจของฮาโมร์และเชเคมบุตรของฮาโมร์ 19 ชายหนุ่มคนนั้นรีบทำตามคำแนะนำ เพราะเขาต้องตาต้องใจบุตรหญิงของยาโคบมาก และเขาเป็นคนสำคัญที่สุดในครอบครัวด้วย 20 ดังนั้นฮาโมร์และเชเคมบุตรของเขาจึงไปที่ประตูเมือง พูดกับพวกผู้ชายของเมืองนั้นว่า 21 “ชายพวกนี้เป็นมิตรกับเรา ปล่อยให้เขาอาศัยอยู่ในแผ่นดินและค้าขายที่นี่เถิด ดูสิ แผ่นดินออกจะกว้างใหญ่พอสำหรับพวกเขา เรามาแต่งงานกับพวกลูกสาวของเขา และยกลูกสาวของเราให้เขาไป 22 ชายเหล่านี้ยอมตกลงอาศัยอยู่กับเรา เพื่อจะได้เป็นชนชาติเดียวกันตามเงื่อนไขนี้คือ ชายของเราทุกคนจะต้องเข้าสุหนัตตามอย่างพวกเขา 23 ปศุสัตว์ของเขา ทรัพย์สมบัติ และสัตว์เลี้ยงทุกชนิดของพวกเขาจะไม่ตกเป็นของพวกเราหรือ เราเพียงตกลงกับเขา แล้วเขาก็จะอาศัยอยู่กับเรา” 24 ทุกคนที่มายังประตูเมืองก็ฟังฮาโมร์และเชเคมบุตรของเขา และชายทุกคนก็เข้าสุหนัต ทุกคนที่มายังประตูเมืองทำตามนั้น

25 สามวันต่อมา เมื่อพวกเขายังเจ็บอยู่ สิเมโอนกับเลวีบุตรของยาโคบ คือพี่ชายทั้งสองของดีนาห์คว้าดาบของตน และเข้าไปในเมืองโดยไม่มีใครทราบ เข้าไปฆ่าชายทุกคนตาย 26 เขาทั้งสองฆ่าฮาโมร์กับเชเคมบุตรของเขาด้วยคมดาบ พาดีนาห์ออกจากบ้านเชเคมแล้วหนีไป 27 และบรรดาบุตรของยาโคบไปยังที่เกิดเหตุ และริบข้าวของในเมือง เพราะน้องสาวของพวกเขาเสียสาว 28 พวกเขายึดเอาฝูงแพะแกะ ฝูงโค ลา และทุกสิ่งที่อยู่ในเมืองและในทุ่งไป 29 เขาริบทรัพย์สมบัติทั้งหมดและทุกสิ่งที่อยู่ในบ้าน และยึดตัวเด็กเล็กกับภรรยาของพวกเขาไป

30 ครั้นแล้วยาโคบก็พูดกับสิเมโอนและเลวีว่า “เจ้าหาเรื่องให้ฉัน ทำให้ฉันเป็นที่น่ารังเกียจไปทั่วถิ่นของชาวคานาอันและชาวเปริส คนของฉันมีไม่มาก ถ้าเขารวบรวมพวกเข้าด้วยกัน เพื่อต่อต้านและโจมตีฉัน ฉันก็จะต้องพินาศ ทั้งตัวฉันและครอบครัว” 31 แต่พวกเขาพูดว่า “ควรแล้วหรือที่เขากระทำต่อน้องสาวของเราเยี่ยงหญิงแพศยา”

มาระโก 5

ขับไล่มารพ้นจากชายผู้หนึ่ง

พระเยซูกับเหล่าสาวกข้ามทะเลสาบไปยังดินแดนเก-ราซา เมื่อพระองค์ขึ้นจากเรือ มีชายคนหนึ่งที่มีวิญญาณร้ายสิงอยู่ออกมาจากถ้ำเก็บศพ ได้มาพบพระองค์ทันที เขาอาศัยอยู่ตามถ้ำเก็บศพ และไม่มีใครที่สามารถมัดตัวเขาได้อีก แม้ว่าจะใช้โซ่ก็ตาม เขาถูกล่ามโซ่คล้องตรวนบ่อยครั้ง แต่ก็สามารถหักโซ่และตรวนออกเป็นชิ้นๆ และไม่มีใครที่แข็งแรงพอที่จะทำให้เขาสงบลงได้ ตลอดทั้งวันและคืนเขาร้องลั่นบริเวณถ้ำเก็บศพและตามภูเขา อีกทั้งเอาหินขูดขีดเนื้อตนเอง

เมื่อเขาเห็นพระเยซูอยู่แต่ไกลๆ จึงวิ่งไปหาและก้มลงกราบเบื้องหน้าพระองค์ พลางร้องเสียงดังว่า “ท่านมาเกี่ยวข้องอะไรกับข้าพเจ้า พระเยซูบุตรของพระเจ้าผู้สูงสุด ข้าพเจ้าขอร้องท่านในพระนามของพระเจ้าว่าอย่าทรมานข้าพเจ้าเลย” ที่พูดเช่นนั้นก็เพราะพระองค์ได้กล่าวกับมันว่า “เจ้าวิญญาณร้าย จงออกมาจากร่างของชายคนนี้” พระองค์ถามมันว่า “เจ้าชื่ออะไร” มันตอบพระองค์ว่า “ข้าพเจ้าชื่อเลเกโอน[a] เพราะพวกเรามีหลายตน” 10 มันอ้อนวอนพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ให้ขับพวกมันออกไปจากดินแดนนั้น

11 ขณะนั้นมีหมูฝูงใหญ่ที่กำลังหากินอยู่บนเชิงเขาแห่งหนึ่ง 12 พวกมารอ้อนวอนพระองค์ว่า “โปรดส่งพวกเราเข้าในฝูงหมูเถิด เราจะได้เข้าสิงมัน” 13 พระองค์ก็อนุญาต เหล่าวิญญาณร้ายจึงออกจากตัวของชายคนนั้น แล้วเข้าสิงในตัวหมู และทั้งฝูงก็เตลิดลงจากหน้าผาชันสู่ทะเลสาบ หมูทั้ง 2,000 ตัวพากันจมน้ำตายในทะเลสาบ

14 พวกคนเลี้ยงหมูก็วิ่งหนีไปบอกเรื่องทั้งในเมืองและชนบท และผู้คนจึงมาดูกันว่าได้เกิดอะไรขึ้น 15 พวกเขามาหาพระเยซูและสำรวจดูชายที่เคยมีมารสิงนุ่งห่มเสื้อผ้ามีสติดี ที่กำลังนั่งลงเป็นบุคคลคนเดียวกับที่เคยมีเลเกโอนสิง คนเหล่านั้นจึงพากันกลัว 16 พวกที่ได้เห็นเหตุการณ์ก็บรรยายให้พวกเขาฟังว่า เกิดอะไรขึ้นกับชายที่ถูกมารสิงและเกี่ยวกับฝูงหมูด้วย 17 แล้วพวกเขาก็เริ่มอ้อนวอนให้พระองค์ออกไปเสียจากดินแดนของเขา

18 ขณะที่พระเยซูกำลังลงเรือ คนที่เคยมีมารสิงก็ขอร้องเพื่อจะติดตามพระองค์ไป 19 พระองค์ไม่อนุญาตให้เขาไป แต่กล่าวกับเขาว่า “จงกลับไปบ้าน หาพวกพ้องของเจ้าแล้วบอกให้พวกเขาฟังว่า พระผู้เป็นเจ้าได้ช่วยเจ้ามากมายเพียงไร และพระองค์กรุณาต่อเจ้าขนาดไหน” 20 ดังนั้นเขาก็จากไป และเริ่มประกาศในแคว้นทศบุรีว่า พระเยซูได้ช่วยเขามากมายเพียงไร และทุกคนก็ประหลาดใจยิ่งนัก

พระเยซูผู้รักษาโรคนานาชนิด และผู้พลิกฟื้นความตาย

21 เมื่อพระเยซูได้ลงเรือข้ามฟากไปอีก มหาชนพากันห้อมล้อมพระองค์ที่ชายฝั่งทะเลสาบ 22 ผู้หนึ่งในบรรดาผู้อยู่ในระดับปกครองศาลาที่ประชุมชื่อไยรัสเดินมา เขาเห็นพระเยซูจึงซบลงที่แทบเท้าของพระองค์ 23 และอ้อนวอนพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่า “ลูกสาวที่ยังเล็กอยู่ของข้าพเจ้าใกล้จะตายอยู่แล้ว ขอท่านโปรดวางมือทั้งสองบนตัวเธอ เธอจะได้หายขาดและมีชีวิตอยู่” 24 พระองค์ก็ไปกับเขา

มีผู้คนจำนวนมากที่ติดตามพระองค์ไปและเบียดเสียดพระองค์รอบด้าน 25 มีหญิงคนหนึ่งซึ่งตกโลหิตนานถึง 12 ปีแล้ว 26 เธอทนทุกข์มาก ทั้งๆ ที่มีแพทย์หลายคนดูแลรักษา เธอใช้เงินทั้งหมดที่มี แต่อาการก็มิได้ทุเลา กลับทรุดหนักลงด้วย 27 หลังจากที่ได้ยินถึงเรื่องพระเยซู เธอก็แทรกเข้ามาในหมู่ชนที่เบียดอยู่ด้านหลังของพระองค์และก็แตะเสื้อตัวนอกของพระองค์ 28 เพราะเธอคิดว่า “ถ้าเราเพียงได้แตะต้องเสื้อตัวนอกของพระองค์ เราก็จะหายจากโรค” 29 และโลหิตที่ไหลอยู่ก็หยุดทันที และเธอรู้สึกในตัวว่า ได้หายจากโรคของเธอแล้ว

30 ในทันใดนั้น พระเยซูทราบว่าฤทธานุภาพได้แผ่ซ่านออกจากกายของพระองค์ไป พระองค์หันดูในหมู่คนและกล่าวว่า “ใครแตะต้องเสื้อผ้าของเรา” 31 เหล่าสาวกของพระองค์พูดว่า “พระองค์ก็เห็นว่าคนตั้งมากมายกำลังเบียดเสียดพระองค์อยู่ และพระองค์กล่าวว่า ‘ใครแตะต้องตัวเรา’” 32 พระเยซูมองดูรอบข้างเพื่อหาคนที่แตะต้องพระองค์ 33 หญิงคนนั้นกลัวจนตัวสั่น เพราะเธอรู้ตัวว่าได้เกิดอะไรขึ้นกับเธอ จึงมาหมอบลงแทบเท้าพระองค์เพื่อบอกความจริงทั้งสิ้น 34 พระองค์กล่าวกับเธอว่า “ลูกสาวเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าได้ทำให้เจ้าหายจากโรค จงไปอย่างสันติสุขเถิด และจงหายจากโรคที่เจ้าทนทุกข์มา”

35 ขณะที่พระเยซูยังกล่าวอยู่ ก็มีคนมาจากบ้านของไยรัสผู้อยู่ในระดับปกครองศาลาที่ประชุม และบอกเขาว่า “ลูกสาวของท่านตายแล้ว ยังจะรบกวนอาจารย์อีกทำไม” 36 แต่พระเยซูไม่ได้สนใจกับสิ่งที่คนพูดกัน จึงกล่าวกับผู้อยู่ในระดับปกครองศาลาที่ประชุมว่า “อย่ากลัวเลย จงเชื่อเท่านั้น”

37 ครั้นแล้วพระองค์ไม่ปล่อยให้ใครติดตามไป เว้นแต่เปโตร ยากอบ และยอห์นน้องชายของยากอบ 38 แล้วพากันไปยังบ้านของผู้อยู่ในระดับปกครองศาลาที่ประชุม พระองค์เห็นว่า มีคนเอะอะชุลมุนและผู้คนกำลังร้องไห้และร้องฟูมฟายเสียงดัง 39 พระองค์เดินเข้าไปข้างในและกล่าวกับพวกเขาว่า “ทำไมจึงเอะอะชุลมุนและร้องไห้ฟูมฟายกัน เด็กยังไม่ตาย เพียงแค่หลับไปเท่านั้น” 40 ผู้คนก็หัวเราะเยาะพระองค์ และพระองค์ให้ทุกคนออกไปอยู่กันข้างนอก แต่ให้เฉพาะบิดามารดาและสาวกที่มากับพระองค์เข้าไปในห้องที่เด็กอยู่ 41 พระองค์จับมือเด็กและกล่าวกับเธอว่า “ทาลิธา คูม” ซึ่งแปลได้ความว่า “เด็กหญิงน้อยเอ๋ย เราบอกเจ้าว่า จงลุกขึ้นเถิด” 42 ในทันใดนั้น เด็กหญิงคนนั้นก็ลุกขึ้นเดิน เธออายุ 12 ปี และทันทีทันใดคนทั้งปวงก็ประหลาดใจยิ่งนัก 43 พระองค์กำชับพวกเขาว่าต้องไม่ให้ใครรู้เรื่องนี้ และให้เอาอาหารมาให้เด็กน้อยรับประทาน

โยบ 1

อุปนิสัยและความมั่งมีของโยบ

ในแผ่นดินอูสมีชายคนหนึ่งชื่อ โยบ ชายคนนี้มีความชอบธรรมและไร้ข้อตำหนิ เขาเกรงกลัวพระเจ้า และหลีกเลี่ยงการทำความชั่ว เขามีบุตรชาย 7 คน และบุตรหญิง 3 คน เขาเป็นเจ้าของแกะ 7,000 ตัว อูฐ 3,000 ตัว โค 500 คู่ และลาตัวเมีย 500 ตัว เขามีผู้รับใช้มากมาย และเป็นชายที่มั่งมีที่สุดในบรรดาชาวตะวันออกทั้งปวง บุตรชายของเขามักจะผลัดกันจัดงานเลี้ยงที่บ้านของตน และจะเชิญน้องสาวทั้งสามคนให้มารับประทานและดื่มด้วยกัน เมื่องานเลี้ยงฉลองของบุตรเสร็จสิ้นครั้งใด โยบจะทำพิธีชำระตัวเพื่อให้บุตรบริสุทธิ์ เขาจะลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ และมอบสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวาย ตามจำนวนบุตรของเขาทุกคน เพราะโยบพูดว่า “ลูกๆ ของเราอาจจะกระทำบาปและแช่งพระเจ้าในใจ” โยบปฏิบัติเช่นนี้เสมอมา

โยบถูกทดสอบครั้งแรก

อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อบรรดาบุตรของพระเจ้า[a]มาเข้าเฝ้าพระผู้เป็นเจ้า และซาตานก็เข้ามาด้วย พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับซาตานว่า “เจ้าไปทำอะไรที่ไหนมา” ซาตานตอบพระผู้เป็นเจ้าว่า “ไปๆ มาๆ และเดินขึ้นเดินลงบนโลก” พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับซาตานว่า “เจ้าสังเกตโยบผู้รับใช้ของเราหรือไม่ว่า ไม่มีใครในโลกที่เหมือนกับเขา เป็นคนที่มีความชอบธรรมและไร้ข้อตำหนิ เขาเกรงกลัวพระเจ้า และหลีกเลี่ยงการทำความชั่ว” ซาตานตอบพระผู้เป็นเจ้าว่า “โยบเกรงกลัวพระเจ้าโดยไม่มีเหตุจูงใจอย่างนั้นหรือ 10 พระองค์ไม่ได้ปกป้องตัวเขาและครัวเรือนของเขา รวมทั้งทุกสิ่งที่เขามีในทุกด้านหรือ พระองค์ได้ให้พรในสิ่งที่เขาลงมือทำ และทรัพย์สมบัติของเขาเพิ่มพูนขึ้นในแผ่นดิน 11 แต่ถ้าพระองค์ยื่นมือของพระองค์ออกและแตะต้องทุกสิ่งที่เขามี เขาก็จะแช่งพระองค์ซึ่งๆ หน้า” 12 พระผู้เป็นเจ้าจึงกล่าวกับซาตานว่า “ดูเถิด เราให้ทุกสิ่งที่เป็นของเขาอยู่ในมือของเจ้า แต่อย่ายื่นมือของเจ้าแตะต้องตัวเขา” ดังนั้น ซาตานจึงไปจากเบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า

ซาตานเอาทรัพย์สินและบุตรไปจากโยบ

13 อยู่มาวันหนึ่ง ในขณะที่บุตรชายบุตรหญิงกำลังรับประทานและดื่มเหล้าองุ่นที่บ้านพี่ชายคนหัวปี 14 มีผู้ส่งข่าวคนหนึ่งมาหาโยบ และแจ้งว่า “ขณะที่โคกำลังไถนา และลากำลังเล็มหญ้าอยู่ใกล้ๆ 15 พวกเช-บาก็มาทำร้ายและต้อนพวกมันไป และฆ่าฟันพวกผู้รับใช้ ข้าพเจ้าเป็นคนเดียวที่รอดมาแจ้งให้ท่านทราบ” 16 ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ ก็มีอีกคนมาบอกว่า “ไฟของพระเจ้าตกลงมาจากท้องฟ้า เผาไหม้แกะและพวกผู้รับใช้ ข้าพเจ้าเป็นคนเดียวที่รอดมาแจ้งให้ท่านทราบ” 17 ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ ก็มีอีกคนมาบอกว่า “พวกเคลเดียตั้งโจรขึ้น 3 กลุ่ม และมาปล้นอูฐ ฆ่าฟันพวกผู้รับใช้ ข้าพเจ้าคนเดียวที่รอดมาแจ้งให้ท่านทราบ” 18 ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ ก็มีอีกคนมาบอกว่า “บุตรชายบุตรหญิงของท่านกำลังรับประทานและดื่มเหล้าองุ่นอยู่ที่บ้านพี่ชายคนหัวปีของพวกเขา 19 ดูเถิด ลมพายุพัดผ่านถิ่นทุรกันดาร และโหมกระหน่ำลงที่บ้านทั้ง 4 ด้าน จนบ้านพังทับพวกเขา ทุกคนตายหมด ข้าพเจ้าเป็นคนเดียวที่รอดมาแจ้งให้ท่านทราบ”

20 ครั้นแล้ว โยบก็ลุกขึ้นฉีกเสื้อคลุมของตน โกนศีรษะและหมอบลงที่พื้นและนมัสการ 21 เขาพูดว่า “ข้าพเจ้าออกจากครรภ์มารดาตัวเปล่า และข้าพเจ้าจะกลับไปตัวเปล่า พระผู้เป็นเจ้าได้มอบให้ และพระผู้เป็นเจ้าได้เอาคืนไป สรรเสริญพระนามของพระผู้เป็นเจ้า

22 จากเหตุการณ์เหล่านี้ โยบไม่ได้ทำบาปหรือกล่าวโทษพระเจ้าเลย

โรม 5

ความเชื่อนำมาซึ่งความชื่นชมยินดี

ฉะนั้น ในเมื่อเราพ้นผิดได้โดยการมีความเชื่อ เราจึงมีสันติสุขกับพระเจ้าโดยผ่านพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา เราได้รับพระคุณที่ประสบนี้เพราะเรามีความเชื่อในพระองค์ และเราชื่นชมยินดีที่มีความหวังว่าจะได้ร่วมในพระบารมีของพระเจ้า และไม่เพียงเท่านั้น แต่เรายังชื่นชมยินดีที่เราทนทุกข์ทรมานด้วย เพราะเราทราบว่าการทนทุกข์นั้นก่อให้เกิดความบากบั่น ความบากบั่นก่อให้เกิดคุณลักษณะที่ดี และคุณลักษณะที่ดีก่อให้เกิดความหวัง และความหวังไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะความรักของพระเจ้าได้หลั่งเข้ามาในจิตใจของเรา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระองค์ได้มอบให้แก่เราแล้ว

ขณะที่เรายังอ่อนกำลัง พระคริสต์ได้เสียชีวิตเพื่อคนที่ไร้คุณธรรมอย่างเราในเวลาที่เหมาะสม หายากเหลือเกินที่จะมีใครตายเพื่อคนที่มีความชอบธรรม แต่อาจจะมีบางคนที่กล้าตายเพื่อคนดีก็ได้ แต่พระเจ้าแสดงความรักของพระองค์เองต่อเรา คือพระคริสต์สิ้นชีวิตเพื่อเรา ขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่ เราพ้นผิดแล้วโดยโลหิตของพระองค์ แล้วเราจะพ้นจากการลงโทษของพระเจ้าโดยพระองค์ยิ่งกว่านั้นเสียอีก 10 ถ้าขณะที่เราเป็นศัตรูของพระเจ้า เรากลับคืนดีกับพระองค์ได้ เนื่องจากการสิ้นชีวิตของพระบุตรของพระองค์ ยิ่งกว่านั้นอีกเมื่อเรากลับคืนดีแล้ว เราก็จะรอดพ้นอย่างแน่นอนโดยชีวิตของพระองค์ 11 ไม่เพียงเท่านี้ แต่เรายังชื่นชมยินดีในพระเจ้าด้วย โดยผ่านพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา เราได้กลับคืนดีกับพระเจ้าได้ก็เพราะพระองค์

เปรียบเทียบระหว่างอาดัมและพระคริสต์

12 ฉะนั้น บาปได้เข้ามาในโลกโดยผ่านคนๆ หนึ่ง และบาปนั้นนำความตายมาฉันใด ความตายก็แผ่ไปถึงมนุษย์ทุกคนฉันนั้น เพราะทุกคนทำบาป 13 บาปอยู่ในโลกก่อนที่พระเจ้าจะให้กฎบัญญัติ แต่ที่ใดไม่มีกฎก็ถือว่าบาปไม่ได้ละเมิดกฎ 14 ถึงกระนั้น ความตายก็ได้ครอบงำตั้งแต่อาดัมจนถึงโมเสส และครอบงำแม้แต่บรรดาผู้ที่ไม่ได้กระทำบาปอย่างที่อาดัมได้ละเมิดคำสั่ง อาดัมเป็นแบบขององค์ผู้ที่จะมาภายหลัง

15 แต่สิ่งที่พระเจ้ามอบให้นั้นไม่เหมือนการล่วงละเมิด ด้วยว่าถ้าการล่วงละเมิดของคนๆ เดียวเป็นเหตุให้คนมากมายต้องตาย พระคุณของพระเจ้ากับสิ่งที่มอบให้โดยพระคุณของพระเยซูคริสต์ผู้เดียว ย่อมหลั่งท่วมท้นให้แก่คนมากมายยิ่งกว่านั้นเสียอีก 16 และสิ่งที่พระเจ้ามอบให้นั้นไม่เหมือนกับผลที่เกิดจากบาปของคนๆ เดียวคือ การตัดสินเกิดขึ้นจากการทำบาปครั้งเดียว และผลที่ได้คือการกล่าวโทษ แต่สิ่งที่มอบให้นั้นเกิดขึ้นหลังจากการล่วงละเมิดหลายครั้ง และผลที่ได้กลับเป็นการพ้นผิด 17 ถ้าโดยการล่วงละเมิดของคนๆ เดียว ทำให้ความตายครอบงำเพราะคนๆ เดียวนั้น ยิ่งกว่านั้นที่บรรดาผู้ซึ่งได้รับทั้งพระคุณท่วมท้น และความชอบธรรมอันเป็นของประทาน ก็จะครอบครองชีวิตโดยผ่านพระองค์ผู้เดียว คือพระเยซูคริสต์

18 ฉะนั้น หากผลที่เกิดขึ้นจากการล่วงละเมิดครั้งเดียว คือการที่ทุกคนถูกกล่าวโทษฉันใด การกระทำอันมีความชอบธรรมครั้งเดียวก็เกิดผล คือการพ้นผิดอันนำมาซึ่งชีวิตสำหรับทุกคนฉันนั้น 19 คนๆ เดียวที่ไม่เชื่อฟังทำให้คนจำนวนมากเป็นคนบาปฉันใด พระองค์ผู้เดียวที่ได้เชื่อฟัง ก็จะทำให้คนจำนวนมากมีความชอบธรรมฉันนั้น 20 เมื่อมีกฎบัญญัติขึ้น ผลที่ตามมาคือการละเมิดเพิ่มขึ้น แต่ที่ใดมีบาปเพิ่มขึ้น ที่นั้นพระคุณก็มีเพิ่มมากยิ่งขึ้น 21 เพื่อว่า ตามที่บาปครอบงำซึ่งนำไปสู่ความตายฉันใด พระคุณก็ครอบครองด้วยความชอบธรรมให้ถึงชีวิตอันเป็นนิรันดร์ โดยพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราฉันนั้น

New Thai Version (NTV-BIBLE)

Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation