M’Cheyne Bible Reading Plan
คนของพระเจ้าเผชิญหน้าเยโรโบอัม
13 ดูเถิด คนของพระเจ้าคนหนึ่งจากยูดาห์มายังเบธเอลตามคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า ขณะนั้นเยโรโบอัมกำลังยืนมอบเครื่องสักการะอยู่ที่ข้างแท่นบูชา 2 ชายผู้นั้นพูดเสียงดังตามคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้าว่า “โอ แท่นบูชา แท่นบูชาเอ๋ย พระผู้เป็นเจ้ากล่าวดังนี้คือ ‘ดูเถิด จะมีบุตรคนหนึ่งชื่อโยสิยาห์ที่จะเกิดมาในพงศ์พันธุ์ของดาวิด ขณะนี้บรรดาปุโรหิตวางเครื่องสักการะบนแท่นนี้ แต่โยสิยาห์จะวางร่างของบรรดาปุโรหิตที่ประจำสถานบูชาบนภูเขาสูงเพื่อเป็นเครื่องสักการะบนแท่น และกระดูกมนุษย์จะถูกเผาบนแท่น’”[a] 3 และท่านมีเครื่องพิสูจน์ให้เห็นในวันเดียวกันโดยกล่าวว่า “นี่คือเครื่องพิสูจน์ให้เห็นดังที่พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวว่า ‘ดูเถิด แท่นบูชาจะพังลง และเถ้าถ่านที่อยู่บนแท่นจะถูกเททิ้ง’” 4 ครั้นกษัตริย์ได้ยินสิ่งที่คนของพระเจ้ากล่าวด้วยเสียงอันดังต่อต้านแท่นบูชาที่เบธเอล เยโรโบอัมจึงยื่นมือออกจากแท่นบูชาพลางพูดว่า “จับตัวเขาไว้” มือของท่านที่ยื่นออกต่อต้านคนของพระเจ้าก็แข็งเกร็งจนค้างอยู่กับที่ 5 แท่นบูชาก็พังลง เถ้าถ่านก็เทลงจากแท่น ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นอย่างที่คนของพระเจ้าบอกตามคำกล่าวของพระผู้เป็นเจ้า 6 กษัตริย์กล่าวกับคนของพระเจ้าว่า “ท่านโปรดขอความเมตตาจากพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเพื่อข้าพเจ้าเถิด โปรดอธิษฐานรักษามือของข้าพเจ้าให้หาย” คนของพระเจ้าจึงอธิษฐานขอ และมือของกษัตริย์ก็กลับเป็นเหมือนเดิม 7 กษัตริย์จึงกล่าวกับคนของพระเจ้าว่า “ขอเชิญท่านกลับบ้านกับข้าพเจ้าเถิด ไปรับประทานอาหาร แล้วข้าพเจ้าจะให้รางวัลแก่ท่าน” 8 คนของพระเจ้าตอบกษัตริย์ว่า “แม้ว่าท่านจะให้สมบัติแก่ข้าพเจ้าครึ่งหนึ่ง ข้าพเจ้าก็จะไม่ไปด้วย และข้าพเจ้าจะไม่รับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่นี่ 9 เพราะพระผู้เป็นเจ้าสั่งข้าพเจ้าว่า ‘เจ้าอย่ารับประทานอาหารหรือดื่มน้ำ หรือกลับไปทางเดียวกับที่เจ้ามา’” 10 ดังนั้น ท่านจึงไปอีกทางหนึ่ง และไม่กลับไปทางที่ท่านมายังเบธเอล
ผู้เผยคำกล่าวผู้ชราที่เบธเอล
11 ครั้งหนึ่งมีผู้เผยคำกล่าวผู้หนึ่งซึ่งเป็นคนสูงอายุ เขาอาศัยอยู่ในเบธเอล บุตรของเขามาเล่าทุกสิ่งให้ฟังว่า คนของพระเจ้าได้ทำอะไรบ้างในวันนั้นที่เบธเอล ทั้งกับบอกบิดาของพวกเขาอีกด้วยว่า ท่านกล่าวสิ่งใดกับกษัตริย์ 12 บิดาของเขาจึงถามว่า “ท่านไปทางไหน” บุตรของเขาจึงชี้ทางที่คนของพระเจ้าที่มาจากยูดาห์มุ่งหน้าไป 13 เขาจึงพูดกับบุตรว่า “ผูกอานลาให้พ่อ” และบุตรก็ผูกอานลาให้เขาขึ้นขี่ 14 เขาไปตามหาคนของพระเจ้าจนพบ และเห็นว่าท่านกำลังนั่งอยู่ใต้ต้นโอ๊ก เขาจึงถามว่า “ท่านเป็นคนของพระเจ้า ซึ่งมาจากยูดาห์หรือ” ท่านก็ตอบว่า “ใช่” 15 เขาพูดว่า “ไปบ้านข้าพเจ้า และรับประทานอาหารด้วยกันเถิด” 16 ท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าไปกับท่านไม่ได้หรอก จะเข้าไปในบ้านกับท่าน รับประทานอาหารหรือดื่มน้ำกับท่านในที่นี้ไม่ได้ 17 เพราะพระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับข้าพเจ้าว่า ‘เจ้าอย่ารับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่นั่น หรือกลับไปทางเดียวกับที่เจ้ามา’” 18 และเขาตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าผู้หนึ่งเหมือนกัน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวแก่ข้าพเจ้าผ่านทางทูตสวรรค์ว่า ‘จงไปพาเขากลับมาบ้านกับเจ้า เขาจะได้รับประทานอาหาร และดื่มน้ำ’” แต่ว่าผู้สูงอายุคนนั้นพูดเท็จ 19 ดังนั้นท่านจึงกลับไป และรับประทานอาหารที่บ้านของเขา และได้ดื่มน้ำ
20 ขณะที่ทั้งสองกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะ พระผู้เป็นเจ้ากล่าวผ่านผู้เผยคำกล่าวที่พาท่านกลับมา 21 เขาจึงพูดเสียงดังกับคนของพระเจ้าที่มาจากยูดาห์ว่า “พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า ‘เป็นเพราะเจ้าไม่เชื่อฟังคำของพระผู้เป็นเจ้า และไม่รักษาคำสั่งที่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของเจ้าบัญชาไว้ 22 แต่กลับมาและรับประทานอาหาร และดื่มน้ำในที่ที่พระองค์กล่าวกับเจ้าว่า “อย่ารับประทานอาหาร และอย่าดื่มน้ำ” ศพของเจ้าจะไม่ได้อยู่ในถ้ำเดียวกับบรรพบุรุษของเจ้า’” 23 หลังจากที่ท่านได้รับประทานอาหารและดื่มแล้ว ผู้เผยคำกล่าวก็ผูกอานลาให้ท่านเดินทางต่อไป 24 ขณะที่ท่านเดินทางจากไป สิงโตตัวหนึ่งออกมาประจันหน้าและฆ่าท่านตาย ศพท่านก็ถูกทิ้งไว้ที่ถนน ลายังยืนอยู่ข้างๆ และสิงโตก็ยืนอยู่ข้างศพด้วย 25 ดูเถิด ผู้คนเดินผ่านมาและเห็นว่าศพถูกทิ้งไว้ที่ถนน และสิงโตก็ยืนอยู่ข้างศพ พวกเขาจึงเข้าไปเล่าเรื่องในเมืองที่ผู้เผยคำกล่าวที่เป็นคนสูงอายุอาศัยอยู่
26 ครั้นผู้เผยคำกล่าวที่เป็นผู้ที่ได้นำท่านกลับมาได้ยินเรื่องดังกล่าว เขาพูดว่า “คนของพระเจ้าเป็นผู้ที่ไม่เชื่อฟังคำของพระผู้เป็นเจ้า ฉะนั้นพระผู้เป็นเจ้าจึงให้ตกเป็นเหยื่อของสิงโตที่ขย้ำตัวและฆ่าท่าน อย่างที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับท่านไว้” 27 และเขาพูดกับบุตรว่า “ผูกอานลาให้พ่อ” พวกเขาก็ผูกอานลาให้ 28 และเขาก็ขี่ลาไป พบว่าศพท่านถูกทิ้งไว้ที่ถนน ลาและสิงโตก็ยังยืนอยู่ข้างศพ สิงโตไม่ได้ขย้ำกินศพ หรือขย้ำลา 29 และผู้เผยคำกล่าวก็หามศพคนของพระเจ้า และวางไว้บนหลังลา นำกลับเข้าไปในเมืองเพื่อร้องคร่ำครวญตามพิธี และทำพิธีเก็บศพ 30 เขาวางศพไว้ในถ้ำเก็บศพของเขาเอง และพวกเขาร้องคร่ำครวญถึงท่านว่า “โธ่เอ๋ย พี่ชายของข้าพเจ้า” 31 หลังจากที่ได้เก็บศพไว้ในถ้ำแล้ว เขาพูดกับบุตรว่า “เมื่อพ่อตาย เจ้าจงเก็บศพพ่อไว้ในถ้ำที่เก็บศพคนของพระเจ้าเถิด และวางกระดูกพ่อไว้ที่ข้างๆ กระดูกของท่านผู้นี้ด้วย 32 เพราะสิ่งที่ท่านได้เปล่งเสียงดัง และคัดค้านตามคำของพระผู้เป็นเจ้าเรื่องแท่นบูชาที่เบธเอล และคัดค้านบรรดาวิหารบนภูเขาสูงที่อยู่ในเมืองต่างๆ ของสะมาเรียจะเกิดขึ้นจริงอย่างแน่นอน”
33 หลังจากนั้น เยโรโบอัมก็ยังไม่กลับใจจากการกระทำชั่ว มิหนำซ้ำยังแต่งตั้งบรรดาปุโรหิตจากประชาชนทั้งปวง เพื่อประจำอยู่ที่สถานบูชาบนภูเขาสูง และใครที่ต้องการเป็นบรรดาปุโรหิตที่สถานบูชาบนภูเขาสูง ท่านก็ได้แต่งตั้งให้เป็น 34 สิ่งนี้กลายเป็นบาปของพงศ์พันธุ์ของเยโรโบอัม ซึ่งนำไปสู่ความพินาศและทำให้พวกเขาต้องสาบสูญไปจากแผ่นดินโลก
4 ฉะนั้น พี่น้องที่รักและคิดถึงยิ่ง ท่านจงยืนหยัดในพระผู้เป็นเจ้า พี่น้องที่รักทั้งหลายทำให้ข้าพเจ้ายินดี ท่านเป็นเสมือนมงกุฎแห่งความมีชัยของข้าพเจ้า
การตักเตือน
2 ข้าพเจ้าขอร้องนางยูโอเดียและนางสุนทิเคให้ปรองดองกันฉันพี่น้องในพระผู้เป็นเจ้า 3 ท่านก็เช่นกัน ข้าพเจ้าขอให้ท่านผู้เป็นเพื่อนร่วมงานที่แท้จริงได้ช่วยหญิงทั้งสองนี้ เพราะเขาต่างก็ทำงานหนักเคียงข้างข้าพเจ้าในกิจการของข่าวประเสริฐ รวมทั้งเคลเม้นท์และคนอื่นๆ ที่เป็นเพื่อนร่วมงานของข้าพเจ้า ที่มีชื่อบันทึกไว้ในหนังสือแห่งชีวิต
4 จงชื่นชมยินดีในพระผู้เป็นเจ้าเสมอ ข้าพเจ้าขอพูดอีกว่า จงชื่นชมยินดีเถิด 5 จงให้ความอ่อนโยนของท่านเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคน พระผู้เป็นเจ้าอยู่ใกล้แล้ว 6 อย่ากังวลในสิ่งใดเลย แต่จงอธิษฐานเกี่ยวกับทุกสิ่ง และขอสิ่งที่ต้องการจากพระเจ้าด้วยใจขอบคุณ 7 และสันติสุขของพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจของมนุษย์จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านในพระเยซูคริสต์
8 สุดท้ายนี้ พี่น้องทั้งหลายเอ๋ย ขอให้ความคิดของท่านอยู่กับสิ่งที่เป็นจริง สิ่งที่น่ายกย่อง สิ่งที่ยุติธรรม สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่น่าชมเชย สิ่งที่ดีเลิศและสมควรแก่การสรรเสริญเถิด 9 จงฝึกตนตามสิ่งต่างๆ ที่ท่านได้เรียนรู้และได้รับ ได้ยินและได้เห็นในตัวข้าพเจ้า และพระเจ้าแห่งสันติสุขจะอยู่กับท่าน
เปาโลแจ้งชาวฟีลิปปีว่าได้รับของฝากแล้ว
10 ข้าพเจ้าชื่นชมยินดีอย่างยิ่งในพระผู้เป็นเจ้า ที่ท่านมีความห่วงใยข้าพเจ้าอีกครั้งหนึ่ง จริงทีเดียวที่ท่านห่วงใยข้าพเจ้า แต่ท่านไม่มีโอกาสแสดงออก 11 ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้มิใช่ว่าขัดสนสิ่งใด ด้วยว่าข้าพเจ้าได้เรียนรู้ที่จะพึงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ในทุกสถานการณ์ 12 ข้าพเจ้ารู้จักทั้งความเป็นอยู่อย่างขัดสน และความเป็นอยู่อย่างมั่งคั่ง ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ถึงเคล็ดลับที่จะพึงพอใจในทุกสภาพ ไม่ว่าจะอิ่มหรืออด ไม่ว่าจะมีเหลือล้นหรือขาดแคลน 13 ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้เพราะมีพระองค์ผู้เสริมกำลังให้แก่ข้าพเจ้า
14 ถึงกระนั้นก็ตาม เป็นความกรุณาของท่านที่ได้มีส่วนร่วมทุกข์กับข้าพเจ้า 15 พวกท่านชาวฟีลิปปีก็ทราบด้วยว่า หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐครั้งแรก และเดินทางต่อไปจากแคว้นมาซิโดเนีย ก็ไม่มีคริสตจักรใดนอกจากพวกท่านเท่านั้นที่มีส่วนร่วมกับข้าพเจ้า ทั้งในการให้และการรับ 16 แม้ที่เมืองเธสะโลนิกาท่านก็ได้ส่งความช่วยเหลือไปหลายครั้งในยามที่ข้าพเจ้าขัดสน 17 มิใช่ว่าข้าพเจ้าใจจดจ่อเพื่อคอยรับของฝาก แต่ข้าพเจ้าใจจดจ่อที่จะเห็นท่านได้รับผลเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นส่วนได้ของท่าน 18 ข้าพเจ้าได้รับทุกสิ่ง และได้อย่างเต็มเปี่ยม ข้าพเจ้าไม่ขาดสิ่งใดเลยในเมื่อข้าพเจ้าได้รับสิ่งที่ท่านส่งไปกับเอปาโฟรดิทัสซึ่งเป็นเสมือนของถวายที่หอมกรุ่น เป็นเครื่องสักการะที่พระเจ้าโปรดปรานและพึงใจมาก 19 และพระเจ้าของข้าพเจ้าจะมอบสิ่งที่จำเป็นทุกสิ่งให้แก่ท่าน จากทรัพย์สมบัติอันยิ่งใหญ่ของพระองค์โดยผ่านพระเยซูคริสต์ 20 ขอพระบารมีจงมีแด่พระเจ้า ผู้เป็นพระบิดาของเรานิรันดร์กาลเถิด อาเมน
คำลงท้าย
21 ฝากความคิดถึงมายังผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าทุกคน ซึ่งเป็นคนของพระเยซูคริสต์ พี่น้องที่อยู่กับข้าพเจ้าก็ฝากความคิดถึงมายังท่าน 22 บรรดาผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าทุกคนฝากความคิดถึงมายังท่านทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่ทำงานในวังของซีซาร์
23 ขอพระคุณของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าจงอยู่กับวิญญาณของท่านทั้งหลายเถิด อาเมน[a]
พระบารมีปรากฏในพระตำหนัก
43 แล้วท่านนำข้าพเจ้าไปยังประตูที่หันไปทางทิศตะวันออก 2 และข้าพเจ้าเห็นพระบารมีของพระเจ้าของอิสราเอลมาจากทิศตะวันออก และสุรเสียงของพระองค์ดังประดุจกระแสน้ำไหลแรงกล้า และแผ่นดินโลกสว่างไสวด้วยพระบารมีของพระองค์ 3 ภาพนิมิตที่ข้าพเจ้าเห็นเป็นเหมือนภาพนิมิตที่ข้าพเจ้าเคยเห็นเมื่อพระองค์มาเพื่อทำลายเมือง และเหมือนภาพนิมิตที่ข้าพเจ้าเคยเห็นที่ข้างแม่น้ำเคบาร์[a] และข้าพเจ้าซบหน้าลงกับพื้น 4 ขณะที่พระบารมีของพระผู้เป็นเจ้าเข้าไปในพระตำหนักทางประตูที่หันไปทางทิศตะวันออก 5 พระวิญญาณพาข้าพเจ้าขึ้นไป และพาข้าพเจ้าเข้าไปในลานพระตำหนัก ดูเถิด พระบารมีของพระผู้เป็นเจ้าปรากฏทั่วพระตำหนัก
6 ขณะที่ชายผู้นั้นยืนอยู่ข้างข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ยินเสียงของผู้หนึ่งพูดกับข้าพเจ้า ซึ่งเป็นเสียงที่มาจากพระตำหนัก 7 พระองค์กล่าวกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย นี่เป็นสถานที่สำหรับบัลลังก์ของเรา และเป็นที่สำหรับใต้ฝ่าเท้าของเรา เป็นที่เราจะพำนักในท่ามกลางชาวอิสราเอลไปตลอดกาล พงศ์พันธุ์อิสราเอลและบรรดากษัตริย์ของพวกเขาจะไม่มีวันทำให้นามอันบริสุทธิ์ของเราเป็นมลทินด้วยการทำตนดั่งหญิงแพศยา และด้วยรูปเคารพของบรรดากษัตริย์ที่สถานบูชาบนภูเขาสูงอีก 8 เมื่อพวกเขาวางธรณีประตูของพวกเขาที่ข้างธรณีประตูของเรา และตั้งวงกบประตูของพวกเขาที่ข้างวงกบประตูของเรา มีแต่เพียงผนังกั้นระหว่างเราและพวกเขา พวกเขาทำให้นามอันบริสุทธิ์ของเราเป็นมลทินด้วยการปฏิบัติอันน่ารังเกียจ เราจึงได้ทำลายพวกเขาด้วยความโกรธของเรา 9 บัดนี้ จงให้พวกเขาเลิกทำตนเป็นหญิงแพศยาและด้วยรูปเคารพของบรรดากษัตริย์ และเราจะอยู่ในท่ามกลางพวกเขาไปตลอดกาล
10 บุตรมนุษย์เอ๋ย จงอธิบายเรื่องตำหนักแก่พงศ์พันธุ์อิสราเอล พวกเขาจะได้ละอายในบาปของตน เพื่อจะได้พิจารณาแผนผังตำหนัก 11 และพวกเขาจะละอายในทุกสิ่งที่ได้กระทำ จงบอกให้พวกเขารู้แบบของตำหนัก ให้พวกเขารับรู้ว่าควรจะสร้างอย่างไร ทางเข้าและทางออกอยู่ที่ไหน และรายละเอียดทุกอย่าง จงให้พวกเขารับรู้ข้อปฏิบัติและกฎบัญญัติทั้งสิ้น จงเขียนสิ่งเหล่านี้ให้พวกเขาเห็น เพื่อให้ทุกคนรักษาข้อปฏิบัติและกฎเกณฑ์ทั้งสิ้น และปฏิบัติตาม 12 กฎบัญญัติตำหนักคือ ที่รอบบริเวณบนยอดภูเขาจะบริสุทธิ์ที่สุด ดูเถิด นี่เป็นกฎบัญญัติตำหนัก
แท่นบูชา
13 การวัดขนาดแท่นบูชา (แต่ละศอกคำนวณได้เท่ากับ 1 ศอกกับ 1 ฝ่ามือ) ฐานแท่นลึก 1 ศอก และกว้าง 1 ศอก มีขอบรอบริมฐานกว้าง 1 คืบ นี่คือความสูงของแท่นบูชา 14 จากขอบที่อยู่บนพื้นถึงสันล่างสูง 2 ศอก กว้าง 1 ศอก และจากสันเล็กถึงสันใหญ่สูง 4 ศอก กว้าง 1 ศอก 15 ฐานพื้นเตาผิงที่แท่นบูชาสูง 4 ศอก ตอนบนมีเขาสัตว์เป็นเชิงงอน 4 เชิงงอน 16 ฐานพื้นเตาผิงเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างยาวเท่ากันคือ 12 ศอก 17 สันตอนบนเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสเช่นกัน กว้างยาวเท่ากันคือ 14 ศอก มีริมกว้างครึ่งศอกโดยรอบ และฐาน 1 ศอกโดยรอบ ขั้นบันไดของแท่นบูชาหันไปทางทิศตะวันออก”
18 และท่านพูดกับข้าพเจ้าว่า พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กล่าวดังนี้ว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย นี่คือกฎเกณฑ์สำหรับแท่นบูชา ในวันที่สร้างแท่นบูชาเพื่อมอบสัตว์ที่เผาเป็นของถวาย และการสาดเลือดที่แท่น 19 เจ้าจงมอบโคหนุ่มจากฝูงเป็นเครื่องสักการะเพื่อลบล้างบาปแก่บรรดาปุโรหิตซึ่งเป็นชาวเลวีจากเชื้อสายศาโดก พวกเขาเข้าใกล้เราเพื่อรับใช้เรา พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น 20 เจ้าจงใช้เลือดป้ายเชิงงอนทั้งสี่ของแท่นบูชา และมุมทั้งสี่ของสันตอนบน และริมโดยรอบ เมื่อทำดังนี้ เจ้าจะทำแท่นบูชาให้บริสุทธิ์ และลบล้างมลทินจากแท่น 21 เจ้าจงเอาโคสำหรับเครื่องสักการะเพื่อลบล้างบาปไปเผาในบริเวณที่กำหนดไว้ของตำหนัก ซึ่งอยู่นอกที่พำนัก 22 และในวันที่สอง เจ้าจงถวายแพะตัวผู้ปราศจากตำหนิเป็นเครื่องสักการะเพื่อลบล้างบาป และจะต้องทำแท่นบูชาให้บริสุทธิ์ อย่างที่ทำให้บริสุทธิ์จากการใช้โค 23 เมื่อเจ้าทำแท่นให้บริสุทธิ์แล้ว เจ้าจงถวายโคหนุ่มปราศจากตำหนิจากฝูงโคและแกะตัวผู้ปราศจากตำหนิ 24 เจ้าจงถวายสัตว์เหล่านั้น ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า และบรรดาปุโรหิตจะโรยเกลือบนสัตว์ และเผาสัตว์เพื่อเป็นของถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า 25 เจ้าจงจัดเตรียมและถวายสิ่งเหล่านี้ทุกวันเป็นเวลา 7 วันคือ แพะตัวผู้เป็นเครื่องสักการะเพื่อลบล้างบาป โคหนุ่มจากฝูงและแกะตัวผู้ปราศจากตำหนิจากฝูง 26 บรรดาปุโรหิตจะทำพิธีลบล้างมลทินให้กับแท่น และชำระล้างแท่นเป็นเวลา 7 วัน เพื่อทำให้แท่นบริสุทธิ์ 27 และหลังจากนั้น ตั้งแต่วันที่แปดเป็นต้นไป บรรดาปุโรหิตจะมอบสัตว์ที่ใช้เผาเป็นของถวายของเจ้า และของถวายเพื่อสามัคคีธรรมของเจ้า และเราจะพอใจในตัวเจ้า” พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ประกาศดังนั้น
ร้องเพลงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า
1 มาเถิด เรามาเปล่งเสียงร้องด้วยความยินดีถวายแด่พระผู้เป็นเจ้ากันเถิด
เรามาส่งเสียงร้องอันรื่นเริงแด่ศิลาแห่งความรอดพ้นของเราเถิด
2 เราไปเข้าเฝ้าพระองค์เพื่อกล่าวขอบคุณพระองค์
เรามาร่วมเปล่งเสียงอันรื่นเริงถวายแด่พระองค์ด้วยบทเพลงสรรเสริญ
3 เพราะพระผู้เป็นเจ้าเป็นพระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่ง
กษัตริย์ผู้ใหญ่ยิ่งเหนือเทพเจ้าทั้งปวง
4 ความลึกของแผ่นดินโลกอยู่ในมือของพระองค์
ความสูงของภูเขาก็เป็นของพระองค์เช่นกัน
5 ทะเลเป็นของพระองค์เพราะพระองค์สร้างมันขึ้นมา
และสร้างพื้นดินแห้งขึ้นด้วยมือของพระองค์เอง
6 มาเถิด เรามาก้มตัวลงราบกับพื้น
น้อมตัวลงเพื่อกราบนมัสการ ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า ผู้สร้างพวกเรา
7 เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าของเรา
และพวกเราเป็นชนชาติในทุ่งหญ้าของพระองค์
เป็นฝูงแกะภายใต้การดูแลของพระองค์
วันนี้ ถ้าพวกท่านได้ยินเสียงของพระองค์
8 “ก็อย่าทำใจของเจ้าให้แข็งกระด้างเหมือนกับที่ได้ทำในเมรีบาห์
เหมือนกับวันที่ได้ทำที่มัสสาห์[a]ในถิ่นทุรกันดาร
9 เวลาบรรพบุรุษของเจ้าได้ลองดีกับเราโดยการทดสอบเรา
แม้ว่าเขาได้เห็นสิ่งที่เรากระทำแล้วก็ตาม
10 เราขยะแขยงชนยุคนั้นอยู่ 40 ปี
เราจึงกล่าวว่า ‘จิตใจของเขาเหล่านั้นหลงผิดเสมอ
และเขาไม่รู้วิถีทางของเรา’
11 เราจึงประกาศให้คำปฏิญาณด้วยความกริ้วว่า
‘พวกเขาจะไม่มีวันเข้าสู่ที่พำนักของเรา’”[b]
พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ครองบัลลังก์
1 ทั่วทั้งโลกเอ๋ย จงร้องเพลงบทใหม่ถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า
จงร้องเพลงถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า
2 จงร้องเพลงถวายแด่พระผู้เป็นเจ้า สรรเสริญพระนามของพระองค์
ประกาศความรอดพ้นที่มาจากพระองค์โดยไม่เว้นวัน
3 บอกเล่าถึงพระบารมีของพระองค์ท่ามกลางบรรดาประชาชาติ
การกระทำอันมหัศจรรย์ท่ามกลางชนชาติทั้งปวง
4 เพราะพระผู้เป็นเจ้ายิ่งใหญ่และสมควรแก่การสรรเสริญยิ่งนัก
พระองค์เป็นที่น่าเกรงขามเหนือเทพเจ้าทั้งปวง
5 เพราะว่า เทพเจ้าทั้งปวงของบรรดาชนชาติเป็นเพียงรูปเคารพ
แต่พระผู้เป็นเจ้าสร้างฟ้าสวรรค์
6 ความเรืองรองและความยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหน้าพระองค์
พละกำลังและพระบารมีอยู่ในที่พำนักของพระองค์
7 เหล่าตระกูลของบรรดาชนชาติจงป่าวร้องแด่พระผู้เป็นเจ้าเถิด
จงป่าวร้องว่า พระผู้เป็นเจ้ากอปรด้วยพระบารมีและพลานุภาพ
8 จงป่าวร้องว่า พระนามของพระผู้เป็นเจ้ายิ่งใหญ่
จงนำของถวายมาและเข้าไปในลานพระตำหนักของพระองค์
9 กราบนมัสการพระผู้เป็นเจ้าในความบริสุทธิ์ของพระองค์
ทั่วทั้งโลกจงสั่นสะท้าน ณ เบื้องหน้าพระองค์
10 จงพูดในบรรดาประชาชาติว่า “พระผู้เป็นเจ้าครองบัลลังก์”
โลกถูกสร้างขึ้นอย่างมั่นคง และไม่อาจเคลื่อนย้ายไปที่ใด
พระองค์จะพิพากษาบรรดาชนชาติด้วยความยุติธรรม
11 ให้ฟ้าสวรรค์ชื่นชมยินดี ให้แผ่นดินโลกเริงร่า
ให้ทะเลและสรรพสิ่งที่อยู่ในนั้นส่งเสียงครืนครั่น
12 ให้ทุ่งนาและทุกสิ่งในนั้นเปรมปรีด์
แล้วต้นไม้ทุกต้นในป่าไม้จะส่งเสียงร้องด้วยความยินดี
13 ณ เบื้องหน้าพระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์จะมา
พระองค์จะมาพิพากษาแผ่นดินโลก
พระองค์จะพิพากษาโลกด้วยความชอบธรรม
และพิพากษาบรรดาชนชาติด้วยความสัตย์จริงของพระองค์
Copyright © 1998, 2012, 2020 by New Thai Version Foundation