Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
2 ซามูเอล 23

คำพูดสุดท้ายของดาวิด

23 นี่คือคำพูดสุดท้ายของดาวิด

“คำพูดนี้เป็นของดาวิดลูกชายเจสซี
    คำพูดนี้เป็นของชายที่พระเจ้ายกย่อง
ชายผู้ที่พระเจ้าของยาโคบได้เจิมให้เป็นกษัตริย์
    เป็นนักร้องคนโปรดของอิสราเอล[a]
พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ พูดผ่านข้าพเจ้า
    คำพูดของพระองค์อยู่ที่ลิ้นของข้าพเจ้า
พระเจ้าของอิสราเอลพูดไว้
    หินกำบังของอิสราเอลพูดกับข้าพเจ้าว่า
‘คนที่ปกครองประชาชนอย่างเป็นธรรม
    คนที่ปกครองด้วยความยำเกรงพระเจ้า
เป็นเหมือนแสงอรุณ
    เป็นเหมือนดวงอาทิตย์ที่ขึ้นในเวลาเช้าที่ไม่มีเมฆ
    ที่สดใสหลังฝนตก ที่ทำให้ต้นหญ้างอกขึ้นจากดิน’

ครอบครัวของข้าพเจ้าได้ปกครองอย่างนั้น
    พระองค์ได้ทำสัญญากับข้าพเจ้าที่จะคงอยู่ตลอดไป
    และไม่เปลี่ยนแปลง
พระองค์จะทำให้ข้าพเจ้าประสบความสำเร็จ
    และให้สิ่งที่ข้าพเจ้าหวังไว้

แต่คนชั่วเป็นเหมือนหนามที่ต้องถูกขว้างทิ้งไปให้หมด
    หยิบมันด้วยมือไม่ได้
ต้องใช้เครื่องมือที่เป็นเหล็กหรือด้ามหอก
    เขี่ยกองมันไว้และเผามันตรงนั้นเลย”

นักรบผู้กล้าสามคน

(1 พศด. 11:10-47)

ต่อไปนี้เป็นชื่อนักรบผู้กล้าของดาวิด คือเยชบาอัลชาวฮัคโมนี[b] เขาเป็นหัวหน้าของกองทหารของกษัตริย์ที่แบ่งเป็นกลุ่มละสามคน[c] เขาใช้หอกของเขา[d] ฆ่าแปดร้อยในการรบครั้งเดียว

รองจากเขา คือเอเลอาซาร์ลูกชายโดโด[e] จากตระกูลอาโหไฮ เป็นหนึ่งในสามผู้กล้า เขาอยู่กับดาวิดตอนที่พวกเขาได้ท้าทายชาวฟีลิสเตียที่รวมตัวกันอยู่ที่ปัสดัมมิม[f] ให้ออกมาสู้รบ ทหารอิสราเอลต่างหลบหนีไปกันหมด 10 แต่เขากลับยืนหยัดอยู่กับที่และฆ่าชาวฟีลิสเตียจนมือของเขาเป็นเหน็บแข็งติดดาบ ในวันนั้นพระยาห์เวห์ได้นำชัยชนะอันยิ่งใหญ่มาให้เขา กองทัพอิสราเอลได้หวนกลับมาหาเอเลอาซาร์ เพื่อปลดข้าวของจากคนที่ถูกฆ่าตายเท่านั้น

11 รองจากเขาคือชัมมาห์ลูกชายอาเกชาวฮาราร์ เมื่อชาวฟีลิสเตียรวมตัวกันในที่ที่เป็นทุ่งนาที่เต็มไปด้วยถั่วแขก[g] กองทัพของอิสราเอลได้หลบหนีไป 12 แต่ชัมมาห์ยังคงยืนหยัดอยู่ที่กลางทุ่ง เขาต่อสู้และฆ่าชาวฟีลิสเตีย และพระยาห์เวห์ได้นำชัยชนะอันยิ่งใหญ่มาให้เขา

13 ครั้งหนึ่งในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว นักรบผู้กล้าทั้งสามคนนี้ จากกองทหารของดาวิดที่แบ่งเป็นกลุ่มละสามคน[h] ได้ลงมาหาดาวิด[i] ที่ถ้ำอดุลลัม ขณะที่กองทัพฟีลิสเตียตั้งค่ายอยู่ในหุบเขาเรฟาอิม

14 ในเวลานั้นดาวิดอยู่ในที่กำบังแข็งแกร่ง[j] และกองทหารชาวฟีลิสเตียตั้งป้อมอยู่ที่เบธเลเฮม 15 ดาวิดหิวน้ำและเปรยๆขึ้นว่า “ใครหนอจะเอาน้ำจากบ่อน้ำใกล้ประตูเมืองเบธเลเฮมมาให้เราดื่มได้”

16 นักรบผู้กล้าทั้งสามคนจึงได้ฝ่าแนวทหารชาวฟีลิสเตีย ไปตักน้ำจากบ่อน้ำใกล้ประตูเมืองเบธเลเฮมและนำกลับมาให้ดาวิด แต่ดาวิดไม่ยอมดื่ม เขากลับเทมันทิ้งต่อหน้าพระยาห์เวห์ แล้วดาวิดก็พูดว่า 17 “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าไม่ได้คิดจะทำอย่างนี้เลย ข้าพเจ้าจะดื่มเข้าไปได้ยังไง นี่มันเป็นเหมือนเลือดของคนที่ต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อไปเอามันมา ไม่ใช่หรือ” แล้วดาวิดก็ไม่ยอมดื่มมัน

สิ่งเหล่านี้คือการกระทำของนักรบผู้กล้าทั้งสามนั้น

นักรบผู้กล้าสามสิบคน

18 อาบีชัยน้องชายโยอาบลูกนางเศรุยาห์เป็นหัวหน้าของกองทหารของดาวิดที่แบ่งเป็นกลุ่มละสามคน[k] เขาใช้หอกของเขาต่อสู้คนสามร้อยคนและฆ่าพวกนั้นจนหมด แต่เขาไม่ได้กลายเป็นคนหนึ่งในนักรบผู้กล้าสามคนนั้น[l] 19 เขามีชื่อเสียงเท่ากับนักรบผู้กล้าสามคนนั้นไม่ใช่หรือ เขาได้กลายเป็นผู้นำของสามคนนั้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นหนึ่งในสามคนนั้นก็ตาม

20 เบไนยาห์ลูกชายเยโฮยาดาเป็นนักรบผู้กล้าจากเมืองขับเซเอล เขาทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย เขาฆ่าคนใจสิงห์[m] สองคนของโมอับ วันหนึ่งเมื่อหิมะตก เขาได้ลงไปในหลุมและฆ่าสิงโตตายไปตัวหนึ่ง 21 และเขาได้ฆ่าทหารอียิปต์ตัวใหญ่คนหนึ่ง ทั้งๆที่ทหารอียิปต์นั้นถือหอกอยู่ในมือ เบไนยาห์ต่อสู้กับทหารนั้นด้วยไม้กระบองท่อนหนึ่ง เขาแย่งหอกจากมือของทหารอียิปต์นั้นมาได้ และฆ่าทหารนั้นด้วยหอกของเขาเอง 22 นั่นคือการกระทำที่กล้าหาญทั้งหลายของเบไนยาห์ลูกชายเยโฮยาดา แต่เขาไม่ได้กลายเป็นคนหนึ่งในนักรบผู้กล้าสามคนนั้น 23 เขามีเกียรติที่สุดในกองทหารของกษัตริย์ที่แบ่งเป็นกลุ่มละสามคน[n] แต่เขาไม่ได้กลายเป็นคนหนึ่งในผู้กล้าสามคนนั้น ดาวิดได้แต่งตั้งให้เขาเป็นหัวหน้าทหารประจำตัวพระองค์

24 คนต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่งของนักรบผู้กล้าสามสิบคน[o]

คือ อาสาเฮลน้องชายโยอาบ เอลฮานันลูกชายโดโดจากเบธเลเฮม

25 ชัมมาห์ชาวฮาโรด เอลีคาชาวฮาโรด

26 เฮเลสชาวเปเลท อิราลูกชายอิกเขชชาวเมืองเทโคอา

27 อาบีเยเซอร์ชาวเมืองอานาโธท เมบุนนัย[p] ชาวหุชาห์

28 ศัลโมนชาวอาโหไฮ มาหะรัยชาวเนโทฟาห์

29 เฮเลด[q] ลูกชายบาอานาห์ชาวเนโทฟาห์ อิททัยลูกชายรีบัยจากกิเบอาห์ชาวเบนยามิน

30 เบไนยาห์ชาวปิราโธน ฮิดดัย[r] จากลำธารกาอัช

31 อาบีอัลโบนชาวอารบา อัสมาเวทชาวบาฮูริม

32 เอลียาบาชาอัลโบน บรรดาลูกชายของยาเชน โยนาธาน

33 ลูกชาย[s] ของชัมมาห์ชาวฮาราร์ อาหิอัมลูกชายชาราร์ชาวฮาราร์

34 เอลีเฟเลทลูกชายอาหัสบัยชาวมาอาคาห์ เอลีอัมลูกชายอาหิโธเฟลชาวกิโลห์

35 เฮสโรชาวคารเมล ปารัยชาวอาราบ

36 อิกาลลูกชายนาธันชาวเมืองโศบาห์ ลูกชายของฮากรี[t]

37 เศเลกชาวอัมโมน นาหะรัยชาวเบเอโรท คนถืออาวุธให้โยอาบลูกชายนางเศรุยาห์

38 อิราชาวอิทไรต์ กาเรบชาวอิทไรต์

39 อุรียาห์ชาวฮิตไทต์ รวมทั้งหมดสามสิบเจ็ดคน

กาลาเทีย 3

พระพรของพระเจ้าเกิดจากความไว้วางใจ

ชาวกาลาเทีย ทำไมถึงโง่อย่างนี้ มีใครมาร่ายมนตร์สะกดคุณหรืออย่างไร ผมได้อธิบายจนคุณเห็นภาพเรื่องที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึงบนไม้กางเขนนั้นอย่างชัดเจนแล้ว ผมขอถามสักคำว่า คุณได้รับพระวิญญาณ เพราะทำตามกฎ หรือเพราะเชื่อฟังข่าวดีกันแน่ ทำไมคุณถึงโง่อย่างนี้ คุณได้เริ่มต้นชีวิตในพระคริสต์ด้วยพระวิญญาณ แล้วตอนนี้คุณคิดว่าคุณจะทำให้มันสำเร็จด้วยพลังอำนาจของคุณเองอย่างนั้นหรือ ประสบการณ์มากมายที่คุณเจอมา ไม่มีความหมายอะไรเลยหรือ ผมหวังว่ามันจะมีความหมายบ้าง ขอถามหน่อยว่า ที่พระเจ้าให้พระวิญญาณกับคุณและแสดงปาฏิหาริย์ท่ามกลางพวกคุณ เป็นเพราะคุณทำตามกฎหรือเป็นเพราะคุณเชื่อฟังข่าวดีที่ได้ยินกันแน่

ดูอย่างอับราฮัมสิ เขาไว้วางใจในพระเจ้า[a] และเพราะความไว้วางใจของเขานั่นเอง พระเจ้าถึงยอมรับเขา ขอให้รู้เอาไว้ว่า คนที่ไว้วางใจในพระเจ้า ก็ถือว่าเป็นลูกหลานที่แท้จริงของอับราฮัม พระคัมภีร์รู้ล่วงหน้านานมาแล้วว่า พระเจ้าจะยอมรับคนที่ไม่ใช่ยิวเพราะพวกเขาจะไว้วางใจในพระองค์ และพระเจ้าได้ประกาศข่าวดีนี้กับอับราฮัมก่อนล่วงหน้าแล้วว่า “ทุกชนชาติจะได้รับพระพรเพราะอับราฮัม”[b] ดังนั้นคนที่ไว้วางใจในพระเจ้า จะได้รับพระพรด้วยกันกับอับราฮัมที่ไว้วางใจในพระองค์ 10 แต่คนที่พึ่งการทำตามกฎจะตกอยู่ภายใต้คำสาปแช่ง เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “คนที่ไม่ทำตามกฎทุกข้อที่เขียนไว้ตลอดเวลา ก็จะตกอยู่ภายใต้คำสาปแช่ง”[c] 11 แต่เราก็รู้อยู่แล้วว่า ไม่มีใครเป็นที่ยอมรับของพระเจ้าได้เพราะทำตามกฎ เพราะพระคัมภีร์บอกว่า “คนที่พระเจ้ายอมรับนั้น จะต้องมีชีวิตอยู่โดยความไว้วางใจ”[d] 12 กฎไม่ได้ขึ้นอยู่กับความไว้วางใจ เพราะพระคัมภีร์พูดว่า “คนที่ทำตามกฎ ก็จะได้ชีวิตตามกฎนั้น”[e] 13 พระคริสต์ได้ช่วยพวกเราให้เป็นอิสระจากคำสาปแช่งของกฎโดยยอมถูกสาปแช่งเสียเอง เหมือนกับที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “ทุกคนที่ถูกแขวนอยู่บนต้นไม้[f] คือคนที่ถูกสาปแช่ง”[g] 14 พระคริสต์ทำอย่างนี้เพื่อว่าคนที่ไม่ใช่ยิวจะได้รับพระพรตามที่พระเจ้าได้สัญญาไว้กับอับราฮัม โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ และเพื่อว่าพวกเราทุกคนจะได้รับพระวิญญาณตามที่พระเจ้าสัญญาไว้นั้นโดยความไว้วางใจ

กฎและคำสัญญา

15 พี่น้องครับ ผมขอยกตัวอย่างให้ฟังสักเรื่องหนึ่งจากชีวิตประจำวัน คือเมื่อคนสองฝ่ายตกลงเซ็นต์สัญญากันแล้ว ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลง แก้ไข หรือยกเลิกสัญญานั้นได้อีกแล้ว 16 มันก็เหมือนกับสัญญาที่พระเจ้าได้ทำไว้กับอับราฮัมและลูกหลานของเขา สัญญานั้นไม่ได้บอกว่า “ลูกหลานของเขา” หมายถึง ลูกหลานมากมายของเขา แต่หมายถึง “ลูกหลานคนนั้นของเขา” เพียงคนเดียวคือพระคริสต์ 17 ความหมายของผมคือว่า กฎของโมเสสที่มาทีหลังถึงสี่ร้อยสามสิบปีไม่สามารถมาเปลี่ยนแปลงแก้ไข หรือยกเลิกข้อตกลงที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ก่อนหน้านี้แล้วกับอับราฮัมได้หรอก 18 แต่ถ้าการที่จะได้รับมรดกนี้ขึ้นอยู่กับกฎ ก็แสดงว่าไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำสัญญาของพระเจ้า แต่ความจริงแล้ว พระเจ้าได้ให้มรดกนี้เปล่าๆกับอับราฮัมโดยผ่านทางคำสัญญาของพระองค์

19 ถ้าอย่างนั้นจะมีกฎเอาไว้ทำไมกัน ก็มีไว้ให้คนที่ทำผิดรู้ตัวว่าเขากำลังฝ่าฝืนกฎอยู่นั่นเอง กฎนี้จะอยู่แค่ชั่วคราวจนกว่าลูกหลานคนนั้นของอับราฮัมที่พระเจ้าได้พูดถึงในคำสัญญาจะมาถึง พระเจ้าได้ใช้ทูตสวรรค์ให้เอากฎนี้ไปให้กับโมเสส เพื่อโมเสสจะได้เป็นคนกลางเอาไปให้กับประชาชน 20 แต่พระเจ้าได้ให้คำสัญญานี้โดยตรงกับอับราฮัม จึงไม่ต้องมีคนกลาง เพราะพระองค์ทำเองฝ่ายเดียว

จุดมุ่งหมายของกฎโมเสส

21 ถ้าอย่างนั้น กฎที่พระเจ้าให้กับโมเสสขัดแย้งกับคำสัญญาที่พระเจ้าให้กับอับราฮัมหรือ ไม่มีทาง เพราะถ้ากฎที่พระเจ้าให้กับโมเสสนี้ สามารถให้ชีวิตกับเราได้ ป่านนี้พระเจ้าก็คงยอมรับเรา เพราะเราทำตามกฎนั้นแล้ว 22 แต่พระคัมภีร์บอกว่า มนุษย์ทุกคนถูกขังไว้ในบาป ที่เป็นอย่างนี้ ก็เพื่อว่า โดยความซื่อสัตย์ของพระเยซูคริสต์[h] พระเจ้าจะได้ให้สิ่งที่พระองค์สัญญาไว้กับพวกคนที่ไว้วางใจ

23 ก่อนที่ความซื่อสัตย์นั้นจะมาถึง เราได้ถูกขังไว้อย่างนักโทษภายใต้กฎ จนกว่าพระเจ้าจะแสดงความซื่อสัตย์นั้นให้เห็น 24 กฎก็เลยเป็นเหมือนพี่เลี้ยง[i] จนกว่าพระคริสต์จะมาถึง เพื่อว่าพระเจ้าจะได้ยอมรับเราเพราะเราไว้วางใจ 25 ตอนนี้ความซื่อสัตย์นั้นได้มาถึงแล้ว เราก็เลยไม่ต้องมีพี่เลี้ยงอีกต่อไป

26 พวกคุณทุกคนเป็นลูกของพระเจ้า เพราะความไว้วางใจในพระเยซูคริสต์ 27 เพราะพวกคุณทุกคนที่ได้เข้าพิธีจุ่มน้ำเพื่อมีส่วนในพระคริสต์ ก็ได้สวมใส่พระคริสต์ เหมือนกับใส่เสื้อผ้า 28 ไม่มีคนยิวหรือคนกรีก ไม่มีทาสหรือคนอิสระ ไม่มีชายหรือหญิง เพราะพวกคุณทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์ 29 ถ้าคุณเป็นของพระคริสต์แล้ว คุณก็เป็นลูกหลานแท้ๆของอับราฮัม และเป็นผู้รับมรดกตามที่พระเจ้าได้สัญญาไว้กับอับราฮัม

เอเสเคียล 30

30 คำพูดของพระยาห์เวห์ได้มาถึงผมว่า “เจ้าลูกมนุษย์ ให้พูดแทนเราว่า ‘นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูด

ให้ร้องคร่ำครวญและพูดว่า
    “ซวยแน่ๆวันนั้น”
วันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว
วันของพระยาห์เวห์ใกล้มาถึงแล้ว
    จะเป็นวันที่เมฆมืดครึ้มไปหมด
    จะเป็นเวลาแห่งการตัดสินชนชาติทั้งหลาย
ดาบจะมาต่อสู้กับอียิปต์
    ความปวดร้าวใจจะมาอยู่ที่คูช
เมื่อเกิดการฆ่าฟันขึ้นในอียิปต์
    เมื่อทรัพย์สมบัติของเมืองอียิปต์ถูกขนไป
    เมื่อรากฐานของตึกทั้งหลายในเมืองอียิปต์แตกสลาย

คูช พูต ลูดและอาระเบียทั้งหมด

ลิเบีย[a] กับประชาชนของแผ่นดินที่เข้าเป็นพันธมิตรกับอียิปต์[b] จะล้มลงด้วยดาบพร้อมกับอียิปต์ด้วย

นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์พูด
“พวกที่อยู่ฝ่ายเดียวกับประเทศอียิปต์จะล้มลง
    ความแข็งแกร่งที่พวกเขาลำพองจะล้มครืนลง
ตั้งแต่มิกดลไปจนถึงอัสวัน พวกเขาจะล้มลงด้วยดาบในแผ่นดินอียิปต์”
พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูดว่าอย่างนั้น
พวกเขาจะถูกทิ้งให้รกร้างท่ามกลางประเทศต่างๆที่รกร้าง
    เมืองทั้งหลายของพวกเขาจะอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังของเมืองอื่นๆ
เราจะจุดไฟเผาแผ่นดินอียิปต์
    และพวกคนที่มาช่วยเมืองนี้จะถูกบดขยี้
แล้วพวกเขาจะได้รู้ว่าเราคือยาห์เวห์

ในวันนั้นเราจะส่งพวกผู้ส่งข่าวออกไปทางเรือ เพื่อทำให้พวกคูชที่ตอนนี้คิดว่าปลอดภัย ตื่นตระหนก ความปวดร้าวใจจะมาอยู่กับพวกเขา ในวันที่อียิปต์ถูกลงโทษ เพราะเหตุการณ์นี้กำลังจะเกิดขึ้นแล้ว’”

10 นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูด
“เราจะทำให้กองทัพอียิปต์สิ้นสุดลง
    ด้วยน้ำมือของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน
11 เขากับกองทัพของเขาเป็นชนชาติที่เหี้ยมโหดที่สุด
    เราจะนำพวกเขาเข้ามาเพื่อทำลายแผ่นดินอียิปต์
พวกเขาจะชักดาบต่อสู้อียิปต์
    และทำให้แผ่นดินเต็มไปด้วยซากศพ
12 เราจะทำให้น้ำในแม่น้ำไนล์แห้งไป
    เราจะขายแผ่นดินอียิปต์ให้กับคนชั่ว
เราจะให้คนต่างชาติมาทำให้แผ่นดินอียิปต์และทุกสิ่งทุกอย่างในมันรกร้างว่างเปล่า
เรา ยาห์เวห์ ได้ลั่นคำพูดออกไปแล้ว”

13 นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูด
“เราจะทำลายพวกรูปเคารพ
    และกำจัดพวกรูปปั้นพระในเมืองเมมฟิสให้หมดไป
จะไม่มีผู้นำในอียิปต์อีก
    เราจะแผ่กระจายความกลัวไปทั่วแผ่นดิน
14 เราจะทิ้งอียิปต์ตอนบน[c] ให้ร้าง
    เราจะจุดไฟเผาเมืองโศอัน
    และลงโทษเมืองเธเบส[d]
15 เราจะเทความเดือดดาลของเราลงบนเมืองเปลูเซียม[e] ซึ่งเป็นป้อมปราการของอียิปต์
    และเราจะตัดชาวเมืองเธเบสออกไป
16 เราจะจุดไฟเผาอียิปต์
    เมืองเปลูเซียมจะดิ้นพราดด้วยความเจ็บปวด
เมืองเธเบสจะถูกบุกทะลวงเข้าไป
    ส่วนเมืองเมมฟิสจะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูตลอดเวลา
17 คนหนุ่มของเมืองเฮลิโอโพลิสและเมืองบูบัสติส[f] จะล้มลงด้วยดาบ
    และคนในเมืองต่างๆจะถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย
18 ความมืดจะปกคลุมเมืองทาปานเหสในกลางวัน
    เมื่อเราทำลายอำนาจการควบคุมของอียิปต์[g]
ความแข็งแกร่งที่เมืองนั้นลำพองนักหนาจะสิ้นสุดลงที่นั่น
    มันจะถูกปกคลุมด้วยเมฆและคนตามหมู่บ้านต่างๆก็จะถูกจับไปเป็นเชลย
19 เราจะลงโทษอียิปต์อย่างนี้แหละ
    แล้วพวกเขาจะได้รู้ว่าเราคือยาห์เวห์”

อียิปต์จะอ่อนแอตลอดไป

20 ในวันที่เจ็ดเดือนหนึ่ง ปีที่สิบเอ็ด[h] คำพูดของพระยาห์เวห์ได้มาถึงผมว่า 21 “เจ้าลูกมนุษย์ เราได้หักแขนของกษัตริย์ฟาโรห์แห่งอียิปต์ มันยังไม่ได้ต่อกลับคืนหรือเข้าเฝือก เพื่อให้แข็งแรงพอที่จะถือดาบได้”

22 ดังนั้น นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตพูด

“เราต่อต้านกษัตริย์ฟาโรห์แห่งอียิปต์ เราจะหักแขนทั้งสองข้างของเขา

ทั้งแขนข้างที่ดีและข้างที่หักอยู่แล้ว และทำให้ดาบหลุดจากมือของเขา

23 เราจะทำให้ชาวอียิปต์แตกกระจายไปอยู่ตามชนชาติต่างๆและทำให้พวกเขากระเจิดกระเจิงไปอยู่ตามประเทศอื่นๆ

24 เราจะทำให้แขนของกษัตริย์บาบิโลนแข็งแกร่งและวางดาบของเราไว้ในมือของเขา

แต่เราจะหักแขนของกษัตริย์ฟาโรห์

เขาจะร้องครวญครางต่อหน้ากษัตริย์บาบิโลนเหมือนกับคนบาดเจ็บสาหัส

25 เราจะทำให้มือของกษัตริย์บาบิโลนแข็งแกร่ง แต่มือของกษัตริย์ฟาโรห์จะตกลงอย่างอ่อนปวกเปียก

เมื่อเราวางดาบของเราไว้ในมือของกษัตริย์บาบิโลน เขาก็จะยื่นมันออกสู้กับอียิปต์ แล้วพวกเขาจะได้รู้ว่าเราคือยาห์เวห์

26 เราจะทำให้ชาวอียิปต์แตกกระจายไปอยู่ตามชนชาติต่างๆและทำให้พวกเขากระเจิดกระเจิงไปอยู่ตามประเทศอื่นๆ แล้วพวกเขาจะได้รู้ว่าเราคือยาห์เวห์”

สดุดี 78:38-72

38 แต่พระเจ้านั้นมีความเมตตา
    พระองค์ลบความผิดของพวกเขาออกไป
    พระองค์ไม่ได้ทำลายล้างพวกเขา
พระองค์ระงับความโกรธของพระองค์ไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า
    พระองค์ไม่ยอมกวนความโกรธของพระองค์ให้พลุ่งขึ้นมา
39 พระเจ้าระลึกอยู่เสมอว่าพวกเขาเป็นแค่มนุษย์
    พวกเขาเป็นเหมือนกับลมที่พัดผ่านไปและไม่หวนกลับมาอีก
40 พวกเขากบฏต่อพระองค์หลายครั้งหลายคราในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งนั้น
    พวกเขาทำให้พระองค์เสียใจในดินแดนนั้น
41 พวกเขาลองดีกับพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่า
    และทำให้องค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งอิสราเอลต้องเจ็บปวดใจ
42 พวกเขาไม่เคยจดจำฤทธิ์อำนาจของพระองค์
    หรือจดจำวันที่พระองค์ช่วยกู้พวกเขาให้รอดพ้นจากศัตรู
43 หรือเวลาที่พระองค์ได้ทำการอัศจรรย์ในประเทศอียิปต์
    หรือที่พระองค์ได้แสดงสิ่งน่าทึ่งต่างๆในแคว้นโศอัน
44 พระองค์เปลี่ยนแม่น้ำให้กลายเป็นเลือด
    พวกเขาจึงไม่สามารถดื่มน้ำจากลำธารได้
45 พระองค์ให้เหลือบมากัดพวกเขา
    และส่งกบทั้งหลายมาทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง
46 พระองค์ยกพืชผลของพวกเขาให้กับตั๊กแตนวัยคลาน
    และยกผลผลิตของพวกเขาให้กับตั๊กแตนวัยบิน
47 พระองค์ทำให้ลูกเห็บตกลงมาทำลายเถาองุ่นของชาวอียิปต์
    พระองค์ทำให้ฝนตกห่าใหญ่ทำลายผลมะเดื่อของพวกเขา
48 พระองค์ส่งลูกเห็บลงมาฆ่าฝูงวัวของพวกเขา
    และให้ฟ้าผ่าฝูงสัตว์ของเขา
49 พระองค์แสดงความเคืองแค้นอันร้อนแรงของพระองค์ต่อชนชาวอียิปต์
    พระองค์ส่ง ความเกรี้ยวโกรธ ความเดือดดาล และความอาฆาตแค้นเป็นคณะทูตมาทำลายล้างพวกเขา
50 พระองค์ระบายความโกรธของพระองค์ออกมาอย่างเต็มที่
    พระองค์ไม่ได้ไว้ชีวิตของชาวอียิปต์แต่กลับยกพวกเขาให้ตายด้วยโรคระบาด
51 พระเจ้าฆ่าลูกชายหัวปีทั้งหมดในอียิปต์
    พระองค์ทำลายสิ่งที่พิสูจน์ถึงความเป็นชายของครอบครัวทั้งหลายของฮาม[a]
52 แต่พระเจ้านำทางคนของพระองค์ออกจากที่นั่นเหมือนนำแกะ
    และพระองค์นำทางพวกเขาในที่เปล่าเปลี่ยวเหมือนนำฝูงสัตว์
53 พระเจ้านำพวกเขาสู่ความปลอดภัย พวกเขาจึงไม่ต้องหวาดกลัว
    เพราะพระเจ้าทำให้ศัตรูของพวกเขาถูกน้ำทะเลซัดกลบตายหมด
54 แล้วพระเจ้าก็นำพวกเขาไปถึงพรมแดนของแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
    คือดินแดนแห่งเนินเขาที่พระองค์ยึดมาด้วยมือขวาอันทรงฤทธิ์ของพระองค์
55 แล้วพระองค์ก็ขับไล่ชนชาติต่างๆออกไปต่อหน้าคนของพระองค์
    พระองค์แบ่งปันดินแดนนั้นให้กับเผ่าต่างๆของอิสราเอลและให้พวกเขาตั้งถิ่นฐานอยู่ในบ้านทั้งหลายของศัตรู

56 แต่พวกอิสราเอลก็ยังลองดีกับพระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งสูงสุด
    กบฏต่อพระองค์และไม่ได้เชื่อฟังกฎทั้งหลายของพระองค์
57 ชาวอิสราเอลไม่จงรักภักดีและทรยศต่อพระเจ้า เหมือนกับที่บรรพบุรุษของพวกเขาเคยทำ
    พวกเขาเชื่อถือไม่ได้เหมือนคันธนูที่ใช้การไม่ได้
58 พวกเขาทำให้พระองค์โกรธด้วยการสร้างสถานศักดิ์สิทธิ์มากมาย
    และทำให้พระองค์หึงหวงด้วยการสร้างรูปเคารพมากมาย
59 เมื่อพระเจ้าได้ยินเรื่องเหล่านี้ พระองค์โกรธ
    และพระองค์ทอดทิ้งอิสราเอลอย่างสิ้นเชิง
60 พระองค์ละทิ้งเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ในเมืองชิโลห์ไป
    ซึ่งเคยเป็นที่สถิตของพระองค์ท่ามกลางมนุษย์
61 พระองค์ยอมปล่อยให้หีบอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ถูกยึดไป
    พระองค์ยอมปล่อยให้ศัตรูยึดเอาสัญลักษณ์แห่งฤทธิ์อำนาจและสง่าราศีของพระองค์ไป
62 พระองค์เกรี้ยวโกรธคนของพระองค์
    และปล่อยให้คนของพระองค์ตายด้วยคมดาบ
63 พวกทหารหนุ่มถูกไฟเผาตายหมด
    และพวกสาวบริสุทธิ์ยังคงไม่ได้แต่งงาน[b]
64 พวกนักบวชล้มตายด้วยคมดาบ
    แต่ภรรยาหม้ายของพวกเขาไม่สามารถไว้ทุกข์ได้ตามปกติ
65 แล้วองค์เจ้าชีวิตก็ตื่นขึ้นมาเหมือนคนที่เพิ่งตื่นนอน
    เหมือนกับนักรบที่เพิ่งตื่นขึ้นจากการเมาเหล้าองุ่น
66 พระองค์ตีเหล่าศัตรู ขับไล่พวกเขากลับไป
    และทำให้พวกเขาอับอายขายหน้าตลอดไป

67 แล้วพระองค์ทอดทิ้งครอบครัวของโยเซฟ
    และไม่ได้เลือกเผ่าของเอฟราอิม
68 แล้วพระองค์ก็เลือกเผ่ายูดาห์ขึ้นปกครอง
    และเลือกภูเขาศิโยนที่พระองค์รัก เป็นที่ตั้งของวิหาร
69 พระองค์สร้างสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์เหมือนกับภูเขาสูงต่างๆ
    เหมือนโลกนี้ที่พระองค์ตั้งให้อยู่ตลอดไป
70 พระองค์เลือกดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์
    และเอาเขาออกมาจากคอกแกะทั้งหลาย
71 พระองค์เอาดาวิดมาจากการติดตามดูแลแม่แกะและลูกของมัน
    มาเป็นผู้เลี้ยงยาโคบคนของพระองค์
    และเป็นผู้เลี้ยงอิสราเอลสมบัติของพระองค์
72 ดาวิดดูแลพวกเขาด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์
    และนำพวกเขาด้วยมือที่ชำนาญยิ่ง

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International