M’Cheyne Bible Reading Plan
อาคีชส่งดาวิดกลับไปศิกลาก
29 ชาวฟีลิสเตียรวมพลอยู่ที่อาเฟก และชาวอิสราเอลตั้งค่ายอยู่ที่ข้างตาน้ำในยิสเรเอล 2 พวกผู้นำของชาวฟีลิสเตีย ได้เดินนำหน้ากองทัพของเขา ที่แบ่งเป็นกองร้อยและกองพัน ดาวิดกับพวกของเขาก็เดินแถวอยู่ด้านหลังกษัตริย์อาคีช
3 พวกแม่ทัพของกองทัพชาวฟีลิสเตียถามขึ้นว่า “ชาวฮีบรูพวกนี้มาทำอะไรที่นี่”
อาคีชตอบว่า “นี่คือดาวิด นายทหารคนหนึ่งของกษัตริย์ซาอูลแห่งอิสราเอล เขามาอยู่กับเรามากกว่าหนึ่งปีแล้ว ตั้งแต่วันที่เขาหนีซาอูลมาจนถึงวันนี้ เรายังไม่พบว่าเขาทำผิดอะไรเลย”
4 แต่พวกแม่ทัพชาวฟีลิสเตียโกรธเขามากและพูดว่า “ส่งชายคนนี้กลับไป ให้เขากลับไปยังเมืองที่ท่านให้เขาอยู่นั้น เขาจะต้องไม่ไปออกรบกับพวกเรา ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะหันกลับมาสู้รบกับเราในช่วงที่เรารบกันอยู่ก็ได้ เขาอาจจะคืนดีกับเจ้านายของเขา ด้วยหัวของคนของเรา 5 ไม่ใช่ดาวิดคนนี้หรอกหรือที่พวกเขาร้องเพลงระหว่างการเต้นรำของพวกเขาว่า
‘ซาอูลฆ่าคนเป็นพันๆ
และดาวิดฆ่าคนเป็นหมื่นๆ’”
6 อาคีชจึงเรียกดาวิดมาและบอกกับเขาว่า “พระยาห์เวห์มีชีวิตอยู่แน่ขนาดไหน ก็ให้แน่ใจขนาดนั้นเลยว่า เจ้านั้นจงรักภักดีต่อเราแน่ และเราก็ดีใจที่เจ้าได้มารับใช้อยู่ในกองทัพของเรา นับแต่วันที่เจ้ามาอยู่กับเราจนถึงวันนี้ เราไม่เคยพบว่าเจ้าทำอะไรผิด และพวกผู้ครอบครองชาวฟีลิสเตียก็เห็นว่าเจ้าเป็นคนดีเหมือนกัน[a] 7 กลับไปอย่างสันติเถิด อย่าได้ทำอะไรลงไปที่ทำให้พวกผู้ครอบครองชาวฟีลิสเตียไม่พอใจเจ้าเลย”
8 ดาวิดถามว่า “ข้าพเจ้าทำอะไรลงไปหรือ นับแต่วันที่ข้าพเจ้ามาอยู่กับท่านจนถึงวันนี้ ท่านพบว่าคนรับใช้ของท่านได้ทำสิ่งใดผิดหรือ ทำไมข้าพเจ้าถึงไม่สามารถไปต่อสู้กับศัตรูของท่านผู้เป็นกษัตริย์เจ้านายของข้าพเจ้าได้”
9 อาคีชตอบว่า “เรารู้ว่าเจ้าเป็นคนดีมาก ราวกับทูตสวรรค์ของพระเจ้า แต่ว่าพวกแม่ทัพนายกองชาวฟีลิสเตียยังคงพูดว่า ‘เขาจะต้องไม่ไปร่วมรบกับเรา’ 10 ขอให้เจ้าตื่นแต่เช้าพร้อมๆกับคนรับใช้อื่นๆที่มากับเจ้า และออกเดินทางแต่เช้าทันทีที่สว่าง”
11 ดังนั้นดาวิดและพวกของเขาก็ตื่นแต่เช้าและออกเดินทางกลับไปยังดินแดนของชาวฟีลิสเตีย ส่วนชาวฟีลิสเตียก็เดินขึ้นไปที่ยิสเรเอล
ดาวิดรบชนะชาวอามาเลค
30 ดาวิดกับพวกของเขากลับมาถึงเมืองศิกลากในวันที่สาม ปรากฏว่าชาวอามาเลคได้มาปล้นเนเกบและศิกลาก พวกเขาเข้าโจมตีและเผาเมืองศิกลาก 2 และจับผู้หญิงและทุกคนในเมืองไว้ ทั้งเด็กและคนแก่ ชาวอามาเลคไม่ได้ฆ่าใครเลย แต่กวาดต้อนคนทั้งหมดไปตามทางของพวกเขา
3 เมื่อดาวิดและพวกมาถึงเมืองศิกลาก พวกเขาพบว่าเมืองถูกเผาทำลาย ทั้งเมีย ทั้งลูกชายลูกสาวของพวกเขา ถูกจับตัวไปหมด 4 ดังนั้นดาวิดและพวกจึงร้องไห้เสียงดังจนหมดเรี่ยวแรงไม่สามารถร้องต่อไปได้อีก 5 เมียทั้งสองคนของดาวิดคือนางอาหิโนอัมชาวยิสเรเอลและนางอาบีกายิล เมียม่ายของนาบาลชาวคารเมล ก็ถูกจับไปด้วย
6 ดาวิดตกอยู่ในอันตรายเป็นอย่างมาก เพราะผู้คนพูดกันว่าจะเอาหินขว้างเขา แต่ละคนรู้สึกขมขื่นใจ เพราะลูกชายลูกสาวของพวกเขาถูกจับไป แต่ดาวิดก็มีความกล้าขึ้นในพระยาห์เวห์พระเจ้าของเขา 7 ดาวิดพูดกับนักบวชอาบียาธาร์ลูกชายของอาหิเมเลคว่า “เอาเอโฟดมาให้เราหน่อย” อาบียาธาร์ก็เอามาให้เขา
8 และดาวิดก็ร้องถามพระยาห์เวห์ว่า “ข้าพเจ้าควรจะตามโจรกลุ่มนี้ไปหรือไม่ และข้าพเจ้าจะไล่พวกมันทันหรือเปล่า”
พระองค์ตอบว่า “ตามล่ามันไป เจ้าจะไล่พวกมันทัน และช่วยเหลือคนได้สำเร็จ”
9 ดาวิดและชายหนุ่มหกร้อยคน ได้ออกติดตามโจรกลุ่มนั้นไปจนถึงลุ่มแม่น้ำเบโสร์ ที่นั่นเขาได้ทิ้งคนกลุ่มหนึ่งไว้ 10 เพราะมีสองร้อยคนที่เหน็ดเหนื่อยมากจนไม่สามารถข้ามลุ่มแม่น้ำไปได้ จึงหยุดพักอยู่ที่นั่น ส่วนดาวิดและคนอีกสี่ร้อยคนยังคงไล่ตามต่อไป
11 พวกเขาพบคนอียิปต์คนหนึ่งในท้องทุ่ง จึงพามาพบดาวิด เขาให้น้ำกับคนอียิปต์นั้นดื่ม ให้อาหารเขากิน 12 เขาให้ผลมะเดื่อแห้งและเค้กองุ่นแห้งสองชิ้น เมื่อเขากินแล้วเขาก็ดีขึ้น เพราะเขาไม่ได้กินและดื่มอะไรเลยมาสามวันสามคืนแล้ว
13 ดาวิดถามคนอียิปต์นั้นว่า “เจ้าเป็นคนของใคร และเจ้ามาจากไหน”
คนอียิปต์ตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนอียิปต์ เป็นทาสของคนอามาเลค นายของข้าพเจ้าทิ้งข้าพเจ้าไว้ เพราะข้าพเจ้าป่วยเมื่อสามวันก่อน 14 พวกเราได้เข้าปล้นเขตแดนเนเกบ ที่คนเคเรธี[b] อาศัยอยู่ และดินแดนที่เป็นของยูดาห์ รวมทั้งเขตแดนเนเกบที่ตระกูลคาเลบอาศัยอยู่ และพวกเราก็เผาศิกลากทิ้ง”
15 ดาวิดถามคนอียิปต์ว่า “เจ้าช่วยพาเราลงไปถึงโจรกลุ่มนี้ได้หรือเปล่า”
คนอียิปต์ตอบว่า “สาบานต่อหน้าพระเจ้าก่อนว่า ท่านจะไม่ฆ่าข้าพเจ้า หรือส่งข้าพเจ้ากลับคืนไปหานายข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะพาท่านลงไปถึงโจรกลุ่มนี้”
16 คนอียิปต์พาดาวิดไปหาอามาเลค และที่นั่น ดาวิดก็ได้พบกับคนเหล่านั้น อยู่กันอย่างกระจัดกระจายในแถบชนบท กำลังกิน ดื่ม และเฉลิมฉลองกันอย่างสนุกสนาน เพราะได้ปล้นของมาเป็นจำนวนมากจากแผ่นดินของชาวฟีลิสเตียและจากยูดาห์ 17 ดาวิดสู้รบกับพวกโจรตั้งแต่ตอนค่ำจนถึงเย็นของอีกวันหนึ่ง และไม่มีใครหนีรอดไปได้เลย นอกจากชายหนุ่มสี่ร้อยคนที่ขี่อูฐหนีไปได้
18 ดาวิดเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่ชาวอามาเลคยึดมา รวมถึงเมียทั้งสองของเขาด้วย 19 ดาวิดยึดเอาทุกสิ่งทุกอย่างกลับมาหมด ไม่มีอะไรขาดเลย ทั้งคนหนุ่ม คนแก่ เด็กชายเด็กหญิง ของที่โจรปล้นเอามา หรืออะไรก็ตามที่พวกโจรได้ปล้นเอาไปนั้น ดาวิดเอากลับมาหมด 20 ดาวิดยึดฝูงแพะแกะและฝูงโคมาได้ และคนของเขาก็ต้อนฝูงสัตว์ไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “นี่คือของที่ดาวิดปล้นมาได้”
21 เมื่อดาวิดมาถึงบริเวณที่คนสองร้อยคน ที่เหนื่อยเกินไปที่จะตามดาวิด และถูกทิ้งไว้ที่ลุ่มแม่น้ำเบโสร์ พวกเขาออกมาพบดาวิดกับพวกที่มากับดาวิด เมื่อดาวิดกับพวกของเขามาถึง พวกนั้นก็ออกมาถามทุกข์สุขของดาวิดและพรรคพวก 22 แต่มีบางคนในพวกที่ติดตามดาวิดไป ที่เป็นคนชั่วร้ายและชอบสร้างปัญหา พูดขึ้นว่า “คนพวกนี้ไม่ได้ออกไปกับพวกเรา ก็ไม่ควรได้รับส่วนแบ่งในของที่เรายึดมาได้ นอกจากลูกเมียของพวกเขาเท่านั้น”
23 ดาวิดพูดขึ้นว่า “พี่น้องทั้งหลาย อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย พวกท่านต้องไม่ทำอย่างนั้นกับสิ่งที่พระยาห์เวห์ให้กับพวกเรา และได้มอบพวกโจรกลุ่มนี้ที่ได้สู้รบกับพวกเราให้ตกอยู่ในกำมือของพวกเรา 24 ใครจะฟังเจ้าในเรื่องนี้ ทุกคนจะได้รับส่วนแบ่งเท่าๆกันหมด ไม่ว่าจะเป็นคนที่เฝ้าสัมภาระอยู่ที่นี่ หรือคนที่ลงไปสู้รบ” 25 ดาวิดทำให้เรื่องนี้เป็นกฏระเบียบของชาวอิสราเอล มาจนถึงทุกวันนี้
26 เมื่อดาวิดมาถึงศิกลาก เขาได้ส่งของที่ยึดมาได้บางส่วนไปให้กับผู้นำอาวุโสในยูดาห์ ที่เป็นเพื่อนกับดาวิด แล้วบอกว่า “นี่คือของขวัญสำหรับท่านจากสิ่งที่ยึดมาได้จากพวกศัตรูของพระยาห์เวห์”
27 ดาวิดส่งของที่ยึดมาได้บางส่วน ไปให้ผู้นำที่อยู่ในเบธเอล ราโมทในเนเกบ และยาททีร์ 28 ไปยังผู้นำที่อยู่ที่อาโรเออร์ สิฟโมท เอชเทโมอา 29 ไปยังราคาล ไปยังหมู่บ้านต่างๆของคนเยราเมเอล และหมู่บ้านต่างๆของคนเคไนต์ 30 ไปยังคนที่อยู่ในโฮรมาห์ โบราชาน อาธาค 31 และเฮโบรน และไปยังทุกๆที่ที่ดาวิดและพวกเคยอาศัยมาก่อน
บทเรียนจากคนของพระเจ้าในอดีต
10 พี่น้องครับ ผมอยากให้พวกคุณรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับบรรพบุรุษของเรา พวกเขาอยู่ใต้เมฆและได้ผ่านทะเลไปทุกคน 2 พวกเขาทุกคนก็เข้าพิธีจุ่มน้ำในเมฆ และในทะเลเพื่อจะได้กลายเป็นผู้ติดตามโมเสส 3 แล้วเขาได้กินอาหารทิพย์อย่างเดียวกัน 4 ดื่มน้ำทิพย์เหมือนกัน ที่ไหลออกมาจากศิลาศักดิ์สิทธิ์นั้นที่ร่วมเดินทางมากับพวกเขา ศิลานั้นคือพระคริสต์นั่นเอง 5 แต่พระเจ้าไม่พอใจพวกเขาส่วนใหญ่ ที่เรารู้ก็เพราะมีคนตายเกลื่อนกลาดในที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งนั้น
6 เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นเพื่อเป็นตัวอย่างไม่ให้เราเกิดความอยากในสิ่งชั่วๆนั้น เหมือนกับความอยากของคนพวกนั้น 7 เราต้องไม่บูชารูปเคารพเหมือนกับที่พวกเขาบางคนทำ พระคัมภีร์บอกไว้ว่า “ผู้คนนั่งลงกินดื่ม และลุกขึ้นมาเต้นรำมั่วสุมทางเพศ”[a] 8 เราต้องไม่ทำผิดทางเพศเหมือนกับที่บางคนในพวกเขาทำ จนมีคนต้องล้มตายลงถึงสองหมื่นสามพันคนในวันเดียว 9 เราต้องไม่ลองดีกับพระคริสต์เหมือนกับที่พวกเขาบางคนทำ จนถูกงูกัดตาย 10 เราต้องไม่บ่นเหมือนกับที่บางคนในพวกเขาบ่น จนพระเจ้าต้องส่งทูตมาฆ่าพวกเขา
11 สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับพวกเขาเพื่อเอาไว้เป็นตัวอย่าง และมันถูกเขียนขึ้นมาเพื่อเตือนสติเราที่อยู่ในช่วงรอยต่อของยุคเก่าและยุคใหม่ 12 ดังนั้นคนที่คิดว่าตัวเองยืนมั่นคงอยู่แล้วก็ระวังตัวให้ดี จะได้ไม่ล้มลง 13 การทดลองที่พวกคุณมีนั้นก็ไม่ได้แตกต่างไปจากที่คนอื่นมีหรอกครับ แต่พระเจ้านั้นซื่อสัตย์ พระองค์จะไม่ปล่อยให้คุณถูกทดลองจนทนไม่ไหว แต่พระองค์จะมีทางออกให้ เพื่อคุณจะทนได้
14 สรุปแล้ว เพื่อนรัก ให้หลีกเลี่ยงการบูชารูปเคารพเสีย 15 ผมกำลังพูดกับพวกคุณอย่างคนที่มีมันสมอง ให้ตัดสินเอาเองถึงสิ่งที่ผมพูดนี้ 16 เมื่อเราขอบคุณพระเจ้าและดื่มจากถ้วยนั้น ก็เป็นการเข้าส่วนในเลือดของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ และขนมปังที่เราหักนั้น เป็นการเข้าส่วนในร่างกายของพระคริสต์ไม่ใช่หรือ 17 มีขนมปังแค่ก้อนเดียว พวกเราที่มีกันหลายคนก็เลยเป็นกายเดียวกัน เพราะเราทุกคนได้กินขนมปังก้อนเดียวกัน
18 ดูชนชาติอิสราเอลสิ เมื่อพวกเขากินของที่บูชามา เขาก็เป็นส่วนหนึ่งในแท่นบูชานั้นไม่ใช่หรือ 19 ผมพยายามจะพูดอะไรหรือ ผมกำลังพูดว่าเนื้อสัตว์ที่เอามาเซ่นไหว้นั้นมีค่าและรูปเคารพนั้นสำคัญหรืออย่างไร 20 ไม่ใช่อย่างนั้นเลย แต่ผมกำลังพูดว่า เนื้อที่เอามาเซ่นไหว้รูปเคารพนั้นทำให้กับพวกปีศาจ[b]ไม่ใช่พระเจ้า ผมไม่อยากให้พวกคุณไปมีส่วนร่วมกับปีศาจพวกนั้น 21 พวกคุณจะดื่มทั้งถ้วยขององค์เจ้าชีวิตพร้อมกับถ้วยของพวกปีศาจด้วยก็ไม่ได้ และจะร่วมโต๊ะขององค์เจ้าชีวิตพร้อมกับโต๊ะของพวกปีศาจด้วยก็ไม่ได้ 22 เราพยายามจะทำให้องค์เจ้าชีวิตหึงหรือ เราคิดว่าเราแข็งแรงกว่าพระองค์หรือ
ใช้เสรีภาพเพื่อให้เกียรติพระเจ้าเถิด
23 บางคนพูดว่า “ฉันมีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้” แต่ผมว่าไม่ใช่ทุกอย่างที่ทำไปนั้นจะเป็นประโยชน์ บางคนว่า “ฉันมีสิทธิ์จะทำอะไรก็ได้” แต่ผมว่าไม่ใช่ทุกอย่างที่จะทำให้คนเข้มแข็งขึ้น 24 อย่าเห็นแก่ตัว ให้คิดถึงคนอื่น
25 เนื้อที่วางขายอยู่ตามท้องตลาดนั้นกินได้หมด ไม่ต้องไปถามซอกแซกว่าเนื้อมาจากไหน เพื่อความสบายใจของคุณเอง 26 เพราะพระคัมภีร์บอกไว้ว่า “โลกและทุกสิ่งในโลกนี้เป็นขององค์เจ้าชีวิต”[c]
27 ถ้าคนที่ไม่ไว้วางใจพระเจ้าได้เชิญคุณไปกินอาหาร และคุณก็อยากไป ก็ให้กินทุกอย่างที่เขาจัดมาให้ ไม่ต้องถามอะไรเพื่อความสบายใจของตัวคุณเอง 28 แต่ถ้ามีคนมาบอกคุณว่า “เนื้อนี้เอาไปบูชามา” ก็อย่ากินเลย เพื่อเห็นกับคนที่บอกคุณนั้น และเพื่อความสบายใจด้วย 29 ผมไม่ได้หมายถึงความสบายใจของคุณนะ แต่หมายถึงความสบายใจของคนนั้นที่คิดว่า ถ้าคุณกินก็ผิดแน่ พวกคุณบางคนอาจจะย้อนถามผมว่า “ทำไมสิทธิ์ของผมจะต้องถูกจำกัดด้วยความคิดของคนอื่นด้วย 30 ถ้าผมกินร่วมกับพวกเขาและขอบคุณพระเจ้าแล้ว ทำไมผมจะต้องถูกต่อว่าในสิ่งที่อย่างน้อยผมได้ขอบคุณพระเจ้าแล้ว”
31 คำตอบคือ ไม่ว่าจะกิน หรือจะดื่ม หรือจะทำอะไรก็ตาม ให้ทำทุกอย่างเพื่อถวายเกียรติกับพระเจ้า 32 อย่าสร้างปัญหาให้กับใครเลย ไม่ว่าจะเป็นยิวหรือไม่ใช่ยิวหรือหมู่ประชุมของพระเจ้า 33 เหมือนกับที่ผมพยายามจะเอาใจทุกคนในทุกเรื่อง โดยไม่ได้คิดถึงประโยชน์ของตัวเอง แต่คิดถึงประโยชน์ของทุกๆคน เพื่อพวกเขาจะได้รอด
เรื่องน่ารังเกียจต่างๆที่เกิดขึ้นในวิหาร
8 ในวันที่ห้า เดือนที่หกปีที่หก[a] ในขณะที่ผมกำลังนั่งอยู่ในบ้านและพวกผู้นำอาวุโสของยูดาห์ก็นั่งอยู่ต่อหน้าผม มือของพระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตได้มาอยู่บนตัวผมที่นั่น 2 ผมมองไป และเห็นร่างร่างหนึ่งที่เหมือนกับมนุษย์ ตั้งแต่ส่วนเอวลงไป เขาดูเหมือนกับไฟ และจากเอวขึ้นมา เขาดูสว่างสดใสเหมือนกับเหล็กที่กำลังร้อนระอุ[b] 3 เขายื่นสิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนมือของเขาออกมาจับเส้นผมบนหัวของผม พระวิญญาณได้ยกผมลอยขึ้นไปอยู่ระหว่างพื้นดินกับฟ้าสวรรค์ และในนิมิตที่พระเจ้าให้นั้น พระองค์ได้พาผมไปที่เมืองเยรูซาเล็ม พระองค์พาผมไปที่ทางเข้าของประตูทางทิศเหนือ ที่นำเข้าไปสู่ลานข้างในของวิหาร ที่ประตูนี้มีรูปเคารพที่ยั่วยุให้พระเจ้าหึงหวงตั้งอยู่ 4 รัศมีของพระเจ้าของอิสราเอลปรากฏอยู่ต่อหน้าผมที่นั่น เหมือนกับที่ผมเคยเห็นในนิมิตที่เกิดขึ้นในหุบเขาใกล้คลองขุดเคบาร์
5 แล้วพระองค์พูดกับผมว่า “เจ้าลูกมนุษย์ มองไปทางทิศเหนือสิ” แล้วผมก็มองไป และตรงทิศเหนือนั้น ข้างๆทางเข้าของประตูที่นำไปสู่แท่นบูชา มีรูปเคารพที่ทำให้พระเจ้าหึงหวงตั้งอยู่
6 พระองค์พูดกับผมว่า “เจ้าลูกมนุษย์ เจ้าเห็นหรือเปล่า สิ่งน่ารังเกียจที่ชาวอิสราเอลกำลังทำอยู่ที่นี่ ซึ่งไล่เราให้ห่างไกลไปจากวิหารของเรา ตามเรามาสิ แล้วเจ้าจะได้เห็นสิ่งที่น่ารังเกียจยิ่งกว่านั้นอีก”
7 แล้วพระองค์ได้นำผมไปที่ทางเข้าของลานวิหาร ผมมองเห็นรูรูหนึ่งในกำแพง 8 พระองค์พูดกับผมว่า “เจ้าลูกมนุษย์ เจาะเข้าไปในกำแพงนั้นสิ”
ผมจึงเจาะเข้าไปในกำแพง และเห็นประตูทางเข้าอยู่ในนั้น
9 แล้วพระองค์พูดกับผมว่า “เข้าไปสิ ไปดูสิ่งชั่วร้ายและน่ารังเกียจที่พวกเขาทำกันในนั้น”
10 ผมจึงเข้าไปดู และเห็นรูปแกะสลักตลอดแนวกำแพง เป็นรูปของสัตว์เลื้อยคลาน[c] พวกรูปสัตว์ต่างๆที่น่ารังเกียจ และยังมีพวกรูปเคารพของครอบครัวชาวอิสราเอลด้วย
11 ผมยังเห็น ยาอาซันยาห์ ลูกชายของชาฟาน พร้อมกับพวกผู้นำอาวุโสเจ็ดสิบคนของครอบครัวชาวอิสราเอล ยืนอยู่กับผู้คนที่นั่น ผู้นำแต่ละคนถือกระถางเผาเครื่องหอมอยู่ในมือ และมีควันจากเครื่องหอม ลอยขึ้นมา 12 พระองค์พูดกับผมว่า “เจ้าลูกมนุษย์ เจ้าเห็นหรือยังว่าพวกผู้นำอาวุโสของครอบครัวชาวอิสราเอลทำอะไรกันในความมืด แต่ละคนอยู่ตามช่องเล็กที่วางรูปเคารพของเขาเอง พวกเขาพูดว่า ‘พระยาห์เวห์ไม่เห็นพวกเรา พระยาห์เวห์ทิ้งแผ่นดินนี้ไปแล้ว’” 13 แล้วพระองค์พูดว่า “ตามเรามา แล้วเจ้าจะได้เห็นพวกเขาทำสิ่งที่น่ารังเกียจยิ่งกว่านั้นอีก”
14 พระองค์จึงนำผมไปที่ทางเข้าวิหารของพระยาห์เวห์ ประตูนี้ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ ผมเห็นพวกผู้หญิงกำลังนั่งร้องไห้คร่ำครวญให้กับพระทัมมุส[d] อยู่ที่นั่น
15 พระองค์พูดกับผมว่า “เจ้าลูกมนุษย์ เจ้าเห็นสิ่งนี้หรือยัง เจ้าจะได้เห็นสิ่งที่น่ารังเกียจยิ่งกว่านี้อีก” 16 แล้วพระองค์ได้นำผมเข้าไปที่ลานด้านในของวิหารของพระยาห์เวห์ ที่ทางเข้าวิหาร ตรงพื้นที่ระหว่างระเบียงกับแท่นบูชานั้น มีผู้ชายประมาณยี่สิบห้าคนหันหลังให้กับวิหารของพระยาห์เวห์ และหันหน้าไปทางทิศตะวันออก พวกเขากำลังก้มกราบดวงอาทิตย์ที่อยู่ทางทิศตะวันออกกันอยู่
17 พระองค์พูดกับผมว่า “เจ้าลูกมนุษย์ เจ้าเห็นสิ่งนั้นหรือยัง เจ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กๆหรือ ที่ครอบครัวของยูดาห์ทำสิ่งที่น่ารังเกียจเหล่านี้ แผ่นดินนี้เต็มไปด้วยความรุนแรง พวกเขาทำสิ่งที่ยั่วยุความโกรธของเราอยู่เรื่อยๆ ดูสิ พวกเขาเอากิ่งไม้มาแตะจมูกตัวเอง[e] 18 เราจะจัดการกับพวกเขาด้วยความโกรธ เราจะไม่สงสารพวกเขา หรือละเว้นโทษพวกเขาอีกต่อไป ถึงพวกเขาจะตะโกนใส่หูเรา เราก็จะไม่ฟังพวกเขา”
พระเจ้าเป็นป้อมปราการ
ถึงหัวหน้านักร้อง ให้ใช้เครื่องดนตรีอาลามอธ[a] สำหรับคนของตระกูลโคราห์ บทเพลง
1 พระเจ้าเป็นที่ลี้ภัยและเป็นแหล่งกำลังของพวกเรา
ในยามเดือดร้อน พระองค์พร้อมจะช่วยเหลือเสมอ
2 ดังนั้น พวกเราจะไม่หวาดกลัว
แม้เกิดแผ่นดินไหว หรือภูเขาพังทลายลงสู่ทะเล
3 แม้ท้องทะเลจะแผดเสียงคำรามและปั่นป่วน
และภูเขาสั่นสะเทือนด้วยความบ้าคลั่งของทะเลนั้น[b] เซลาห์
4 แต่ยังมีแม่น้ำสายหนึ่งที่มีคลองชลประทานหลายสายนำความสุขไปสู่นครของพระเจ้า
อันเป็นที่ตั้งของวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด
5 พระเจ้าสถิตอยู่ในเมืองนั้น ดังนั้น เมืองนั้นจึงไม่มีวันพังทลาย
พระองค์จะอยู่ที่เมืองนั้น เพื่อช่วยปกป้องเมืองนั้นจากการถูกโจมตีในตอนรุ่งสาง[c]
6 ชนชาติต่างๆปั่นป่วนและอาณาจักรต่างๆพังทลายลง
พระเจ้าตะโกน แผ่นดินโลกก็ละลายไป
7 พระยาห์เวห์ ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นอยู่กับพวกเรา
พระเจ้าแห่งยาโคบเป็นป้อมปราการของพวกเรา เซลาห์
8 มาเถิด มาดูให้เห็นกับตาตัวเองถึงสิ่งอัศจรรย์ต่างๆที่พระยาห์เวห์ทำ
มาดูสิ่งต่างๆที่น่าเกรงขามที่พระองค์ทำในโลกนี้
9 พระเจ้าทำให้สงครามทั้งหลายที่เกิดขึ้นทั่วโลกสงบ
พระองค์หักคันธนู ทำลายหอกทวนหักกระจุย และเผาโล่[d]ทิ้ง
10 พระองค์พูดว่า “หยุดรบกันซะ” และให้รู้ว่า เราคือพระเจ้า
เราจะได้รับการยกย่องเหนือชนชาติทั้งหลาย
และเราจะได้การยกย่องเหนือโลกนี้
11 พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นอยู่กับพวกเรา
พระเจ้าของยาโคบเป็นป้อมปราการของพวกเรา เซลาห์
พระยาห์เวห์เป็นกษัตริย์เหนือชนชาติทั้งหลาย
ถึงหัวหน้านักร้อง สำหรับคนของตระกูลโคราห์ บทเพลงสดุดี
1 ชนชาติทั้งหลายให้ปรบมือ
โห่ร้องยินดีต่อพระเจ้า
2 เพราะ พระยาห์เวห์ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดน่าเกรงขามยิ่งนัก
พระองค์เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ปกครองทั้งโลกนี้
3 พระองค์ทำให้ชนชาติต่างๆอยู่ใต้อำนาจของพวกเรา
พระองค์ปราบชนชาติต่างๆนั้นให้สยบอยู่แทบเท้าของพวกเรา
4 พระองค์เลือกแผ่นดินนี้ให้เป็นมรดกของพวกเรา
แผ่นดินนี้เป็นความภาคภูมิใจของยาโคบผู้ที่พระองค์รัก เซลาห์
5 พระเจ้าขึ้นบนบัลลังก์ของพระองค์ท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดี
พระยาห์เวห์ขึ้นพร้อมกับเสียงเป่าแตรเขาแกะ
6 ร้องเพลงสรรเสริญแด่พระเจ้า ร้องเพลงสรรเสริญเถิด
ร้องเพลงสรรเสริญแด่กษัตริย์ของพวกเรา ร้องเพลงสรรเสริญเถิด
7 เพราะพระเจ้าคือกษัตริย์ของทั้งโลก
ดังนั้น มาร้องเพลงอันไพเราะ[e] ถวายเกียรติแด่พระองค์เถิด
8 พระเจ้าปกครองอย่างกษัตริย์เหนือทุกชนชาติ
พระเจ้านั่งอยู่บนบัลลังก์อันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
9 พวกผู้นำของชนชาติต่างๆมารวมตัวกันกับคนของพระเจ้าของอับราฮัม[f]
เพราะพวกผู้ครอบครองของโลกนี้อยู่ภายใต้อำนาจของพระเจ้า
พระเจ้าคือผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International