M’Cheyne Bible Reading Plan
โกลิอัทท้าทายอิสราเอล
17 ขณะที่คนฟีลิสเตียรวบรวมพล เพื่อทำสงครามที่โสโคห์ในยูดาห์ พวกเขาได้ตั้งค่ายอยู่ที่เอเฟสดัมมิม ซึ่งอยู่ระหว่างโสโคห์และอาเซคาห์
2 ซาอูลและคนอิสราเอลก็รวมพลตั้งค่ายอยู่ในหุบเขาเอลาห์ และวางแนวเตรียมสู้รบกับคนฟีลิสเตีย 3 คนฟีลิสเตียยึดภูเขาลูกหนึ่ง ส่วนคนอิสราเอลก็ยึดภูเขาอีกลูกหนึ่ง โดยมีหุบเขาคั่นกลางพวกเขา
4 มีทหารฝีมือเยี่ยมคนหนึ่งชื่อโกลิอัท ซึ่งมาจากเมืองกัท เขาสูงหกศอกหนึ่งคืบ[a] เขาออกมานอกค่ายฟีลิสเตีย 5 โกลิอัทสวมหมวกทองสัมฤทธิ์ไว้บนหัว และใส่เกราะทองสัมฤทธิ์น้ำหนักห้าสิบเจ็ดกิโลกรัม 6 ที่ขาก็ใส่สนับแข้งทองสัมฤทธิ์ และมีหลาว[b] ทองสัมฤทธิ์ไขว้หลังอยู่ 7 เขามีหอกที่ด้ามใหญ่พอๆกับไม้ที่ใช้ทอผ้า ซึ่งมีหัวหอกทำจากเหล็กหนักเจ็ดกิโลกรัม และมีทหารถือโล่ของเขาเดินนำหน้าเขาไป
8 โกลิอัทยืนตะโกนใส่พวกทหารของอิสราเอลว่า “พวกเจ้าทั้งหลายออกมาตั้งแนวรบอยู่ทำไม ข้าไม่ใช่คนฟีลิสเตียหรอกหรือ และพวกเจ้าไม่ใช่ผู้รับใช้ของซาอูลหรือ เลือกชายคนหนึ่งลงมาสู้กับข้าหน่อย 9 ถ้าเขามีฝีมือและฆ่าข้าได้ พวกเราจะยอมเป็นทาสของคนอิสราเอล แต่ถ้าข้าชนะและฆ่าเขาได้ คนอิสราเอลก็จะกลายเป็นทาสและรับใช้พวกเรา”
10 แล้วโกลิอัทก็พูดว่า “วันนี้ข้าขอท้าให้กองทัพอิสราเอลหาคนมาสู้กับข้า”
11 เมื่อซาอูลและคนอิสราเอลทั้งหมดได้ยินคำพูดของคนฟีลิสเตียคนนั้น ต่างก็กลัวและท้อแท้
ดาวิดเข้าไปในแนวหน้า
12 ดาวิดเป็นลูกชายของเจสซีคนเอฟราธาห์ ผู้มาจากเบธเลเฮมในยูดาห์ เจสซีมีลูกชายแปดคน และในช่วงที่ซาอูลปกครอง เจสซีเองก็แก่มากแล้ว 13 ลูกชายคนโตสามคนของเขาตามซาอูลไปสงคราม คนแรกชื่อเอลีอับ คนที่สองชื่ออาบีนาดับ และคนที่สามชื่อชัมมาห์ 14 ดาวิดเป็นน้องคนสุดท้อง พี่ชายทั้งสามได้ตามซาอูลไปรบ 15 แต่ดาวิดก็จะไปๆมาๆจากซาอูลเป็นครั้งคราว เพื่อไปช่วยเลี้ยงฝูงแกะของพ่อที่เบธเลเฮม
16 โกลิอัทออกมายืนท้าทายอยู่ทุกเช้าเย็นเป็นเวลาสี่สิบวัน
17 วันหนึ่ง เจสซีพูดกับดาวิดลูกชายเขาว่า “รีบเอาข้าวคั่วประมาณยี่สิบสองลิตร และขนมปังสิบก้อน ไปให้พวกพี่ชายของเจ้าที่ค่าย 18 และให้เอาเนยแข็งสิบก้อนนี้ไปให้ผู้บังคับกองพันของพวกพี่ชายเจ้าด้วย ไปดูสิว่าพวกพี่ชายเจ้าเป็นยังไง แล้วให้เอาของจากพวกเขาติดมือเจ้ามาด้วยเพื่อพิสูจน์ว่าพวกเขาสบายดี 19 เพราะพวกพี่ชายเจ้าอยู่กับซาอูลและคนอิสราเอลอื่นๆในหุบเขาเอลาห์ เพื่อสู้รบกับคนฟีลิสเตีย”[c]
20 ตอนเช้ามืด ดาวิดก็ทิ้งแกะไว้ให้ผู้เลี้ยงแกะ แล้วบรรทุกข้าวของทั้งหมดออกเดินทางตามที่เจสซีบอก เขาถึงค่ายในขณะที่พวกทหารกำลังออกไปสู่แนวรบ และกำลังโห่ร้องทำศึก 21 อิสราเอลและฟีลิสเตียต่างยกออกมาประจันหน้ากัน
22 ดาวิดได้ฝากข้าวของของเขาไว้กับคนคุมเสบียง แล้ววิ่งไปหาพวกพี่ชายของเขาในแนวรบ 23 ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่นั้น โกลิอัทนักรบฝีมือกล้าของฟีลิสเตียจากเมืองกัท ก็ออกมาจากกองทัพของฟีลิสเตีย ตะโกนท้ารบอย่างครั้งก่อน ดาวิดเองก็ได้ยิน 24 เมื่อคนอิสราเอลเห็นโกลิอัทก็พากันวิ่งหนีด้วยความกลัว
25 คนอิสราเอลพูดกันว่า “เห็นชายที่ออกมานั้นหรือเปล่า เขามาท้ารบกับคนอิสราเอล ถ้าใครฆ่าเขาได้ กษัตริย์ซาอูลจะให้ทรัพย์สินเงินทองมากมาย และยกลูกสาวของท่านให้แต่งงานด้วย แล้วครอบครัวของเขาก็ยังจะได้รับการยกเว้นภาษีในอิสราเอลอีกด้วย”
26 ดาวิดถามคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆเขาว่า “คนที่ฆ่าคนฟีลิสเตียคนนี้ได้ และเอาความอัปยศอดสูนี้ไปจากคนอิสราเอลได้ จะได้อะไรเป็นรางวัลหรือ แล้วคนฟีลิสเตียที่ไม่ได้เข้าพิธีขลิบคนนี้เป็นใครกัน ถึงกล้ามาท้ารบกับกองทัพของพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่”
27 พวกเขาก็ตอบดาวิดเหมือนกับที่พวกเขาได้บอกไปแล้ว “ผู้ที่ฆ่าโกลิอัทคนฟีลิสเตียนี้ได้ จะได้รับรางวัลอย่างที่พูดไปนั่นแหละ” 28 ฝ่ายเอลีอับพี่ชายคนโตของดาวิด เมื่อได้ยินสิ่งที่ดาวิดพูดกับพวกทหาร เขาก็โกรธดาวิด และถามว่า “เจ้าลงมาที่นี่ทำไม ทิ้งแกะไม่กี่ตัวนั้นไว้ในถิ่นแห้งแล้งกับใคร เรารู้ดีถึงความอวดดีของเจ้า และความคิดชั่วของเจ้า ที่เจ้าลงมานี่ก็แค่อยากจะมาดูเขาสู้รบกัน”
29 ดาวิดตอบว่า “อ้าว ผมทำอะไรผิดหรือ แค่ถามก็ไม่ได้หรือ” 30 แล้วดาวิดก็หันไปถามคนอื่นด้วยคำถามเดิมๆ แล้วคนเหล่านั้นก็ตอบเหมือนที่เคยบอกไปแล้ว
31 มีคนได้ยินเรื่องที่ดาวิดพูด แล้วไปรายงานต่อซาอูล ซาอูลก็เลยเรียกดาวิดมาพบ 32 ดาวิดพูดกับซาอูลว่า “อย่าปล่อยให้ผู้คนต้องเสียขวัญและกำลังใจกับเรื่องของชาวฟีลิสเตียคนนี้ ให้ผู้รับใช้ของท่านคนนี้ออกไปสู้กับมันเถอะ”
33 ซาอูลตอบว่า “เจ้าออกไปสู้กับคนฟีลิสเตียคนนั้นไม่ได้หรอก เจ้าเป็นแค่เด็กหนุ่ม[d] คนหนึ่งเท่านั้น แต่เขาเป็นชายที่ชำนาญศึกมาตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มๆ”
34 แต่ดาวิดตอบซาอูลว่า “ข้าพเจ้า ผู้รับใช้ของท่านคนนี้ เคยดูแลแกะให้กับพ่อของข้าพเจ้า เมื่อมีสิงโตหรือหมีมาจับแกะไปจากฝูง 35 ข้าพเจ้าก็ไล่ตามไปช่วยชีวิตแกะจากปากของมัน เมื่อสัตว์พวกนั้นย้อนกลับมา ข้าพเจ้าก็ดึงหนวดเครามัน แล้วฆ่ามันเสีย 36 ข้าพเจ้าเคยฆ่าทั้งสิงโตและหมี ส่วนคนฟีลิสเตียที่ไม่ได้เข้าพิธีขลิบคนนี้ ก็จะเป็นเหมือนกับสัตว์พวกนั้น เพราะเขาได้ท้าทายกองทัพของพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่ 37 พระยาห์เวห์ได้ช่วยกู้ข้าพเจ้าให้รอดพ้นจากเขี้ยวเล็บสิงโตและหมี พระองค์ก็จะช่วยกู้ข้าพเจ้าให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของคนฟีลิสเตียคนนี้ด้วยเหมือนกัน”
ซาอูลจึงบอกกับดาวิดว่า “ไปเถอะ และขอให้พระยาห์เวห์สถิตอยู่กับเจ้า” 38 จากนั้นซาอูลก็เอาเสื้อของเขามาสวมให้กับดาวิดและเอาหมวกทองสัมฤทธิ์มาใส่ไว้บนหัวของดาวิด และยังให้เสื้อคลุมชุดเกราะกับเขาอีกด้วย 39 ดาวิดเอาดาบของซาอูลมาคาดทับเสื้อคลุมแล้วลองเดินดู เพราะไม่ชินกับพวกมัน แล้วดาวิดพูดกับซาอูลว่า “ข้าพเจ้าใส่ชุดพวกนี้ไม่ได้หรอก เพราะข้าพเจ้าไม่ชินกับพวกมัน” เขาจึงถอดพวกมันออก 40 จากนั้นดาวิดก็หยิบไม้เท้ามาถือ แล้วเลือกลูกหินเกลี้ยงๆมาห้าก้อนจากลำธารแห้ง แล้วเอาใส่ไว้ในถุงที่ใช้เลี้ยงแกะของเขา กับถือสลิงในมือของเขา เพื่อไปพบคนฟีลิสเตีย
ดาวิดฆ่าโกลิอัท
41 ชาวฟีลิสเตียคนนั้นได้เดินเข้ามาใกล้ดาวิด โดยมีคนถือโล่ของเขาเดินนำหน้า 42 เขามองดูดาวิดและดูถูก เพราะเห็นเป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง มีผิวแดง[e] และหน้าตาหล่อเหลา 43 คนฟีลิสเตียพูดกับดาวิดว่า “ข้าเป็นหมาหรือยังไง เจ้าถึงได้ถือไม้มาหาข้า” และเขายังอ้างชื่อพวกพระของเขาแช่งด่าดาวิด 44 เขาพูดว่า “มานี่มา ข้าจะเอาเนื้อเจ้าเป็นอาหารเลี้ยงนกบนฟ้า และเลี้ยงสัตว์ในทุ่งหญ้า”
45 ดาวิดพูดกับคนฟีลิสเตียคนนั้นว่า “เจ้ามาสู้กับข้าด้วยดาบและหอกและหลาว แต่ข้าจะสู้กับเจ้าในนามของพระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น พระเจ้าแห่งกองทัพอิสราเอล ผู้ที่เจ้าท้าทาย
46 วันนี้แหละ พระยาห์เวห์จะให้เจ้าตกอยู่ในกำมือของข้า ข้าจะโค่นเจ้าและตัดหัวเจ้าทิ้ง วันนี้ข้าจะเอาซากศพของกองทัพฟีลิสเตียเลี้ยงนกบนท้องฟ้าและสัตว์ป่าแห่งแผ่นดิน เพื่อทั้งโลกจะได้รู้ว่ามีพระเจ้าอยู่ในอิสราเอล 47 ทุกคนที่มาอยู่รวมกันที่นี่จะได้รู้ว่าพระยาห์เวห์ไม่ได้ช่วยกู้ โดยใช้ดาบหรือหอก เพราะการศึกเป็นของพระยาห์เวห์ และพระยาห์เวห์จะมอบพวกเจ้าไว้ในกำมือของพวกเรา”
48 และชาวฟีลิสเตียคนนั้นได้เข้ามาใกล้เพื่อสู้รบกับดาวิด ดาวิดก็วิ่งอย่างเร็วจากแนวรบเข้าหาเขา 49 และล้วงหินก้อนหนึ่งจากถุง แล้วเหวี่ยงหินก้อนนั้นด้วยสายสลิงโดนหน้าผากของคนฟีลิสเตียคนนั้น ก้อนหินจมเข้าไปในหน้าผากของเขา และเขาก็ล้มหน้าคว่ำลงกับพื้น
50 ดาวิดก็ชนะชาวฟีลิสเตียคนนั้นด้วยสลิง และก้อนหิน โดยไม่มีดาบอยู่ในมือ ดาวิดก็โค่นคนฟีลิสเตียคนนั้นและฆ่าเขาได้ 51 ดาวิดวิ่งไปยืนบนตัวของเขา และดึงดาบของคนฟีลิสเตียคนนั้นออกจากฝัก แล้วดาวิดก็ใช้ดาบนั้นฆ่าเขาและตัดหัวของเขาไป
เมื่อพวกคนฟีลิสเตียเห็นว่าทหารยอดฝีมือของเขาตาย พวกเขาพากันวิ่งหนีไป 52 คนอิสราเอลกับคนยูดาห์ก็โห่ร้องไล่ตามคนฟีลิสเตียไปถึงทางเข้าเมืองกัทและไปถึงประตูเมืองเอโครน คนฟีลิสเตียล้มตายเกลื่อนกลาดตามทางจากถนนธาราอิมไปจนถึงเมืองกัทและเมืองเอโครน 53 เมื่อชาวอิสราเอลกลับจากการไล่ตามคนฟีลิสเตีย ก็มาปล้นของจากค่ายของพวกเขา
54 ดาวิดเอาหัวของคนฟีลิสเตียคนนั้นมาที่เยรูซาเล็ม ส่วนอาวุธต่างๆของเขา ดาวิดทิ้งไว้ที่เต็นท์ของตัวเอง
ซาอูลเริ่มกลัวดาวิด
55 เมื่อซาอูลเห็นดาวิดออกไปสู้รบกับชาวฟีลิสเตียคนนั้น เขาก็ถามอับเนอร์แม่ทัพของเขาว่า “อับเนอร์ เจ้าหนุ่มคนนี้เป็นลูกใคร”
อับเนอร์ตอบว่า “ข้าแต่กษัตริย์ บอกท่านตามตรง ข้าพเจ้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
56 ซาอูลพูดว่า “ไปสืบดูสิว่า พ่อหนุ่มคนนี้เป็นลูกใคร”
57 พอดาวิดกลับมาจากการฆ่าคนฟีลิสเตียนั้น อับเนอร์ได้พาเขามาเฝ้าซาอูล พร้อมกับหัวของคนฟีลิสเตียคนนั้นที่ดาวิดถืออยู่
58 ซาอูลถามเขาว่า “พ่อหนุ่ม เจ้าเป็นลูกของใคร”
ดาวิดตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นลูกของเจสซี ผู้รับใช้ท่าน จากเมืองเบธเลเฮม”
15 พวกเราที่มีความเชื่อเข้มแข็ง มีหน้าที่ที่จะต้องอดทนกับคนที่มีความเชื่ออ่อนแอ และ ไม่ควรทำตามใจตนเอง 2 ให้เราทุกคนเอาใจใส่เพื่อนบ้าน เพื่อเป็นประโยชน์และเสริมสร้างเขาด้วย 3 เพราะพระคริสต์ไม่ได้ทำตามใจตัวเอง แต่ตรงกันข้าม อย่างที่พระคัมภีร์ได้เขียนไว้ว่า “ข้าแต่องค์เจ้าชีวิต คำดูถูกของคนพวกนั้นที่ดูถูกพระองค์ได้ตกอยู่กับเราแล้ว”[a]
4 ทุกอย่างที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ในสมัยก่อนนั้น ก็เขียนไว้เพื่อสั่งสอนเรา เพื่อว่าในขณะที่เราอดทนและได้รับกำลังใจจากพระคัมภีร์ เราจะได้ยึดมั่นในความหวังที่เรามี 5 ขอให้พระเจ้าผู้เป็นแหล่งของความอดทนและกำลังใจ ช่วยให้พวกคุณเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันตามแบบอย่างของพระเยซูคริสต์ 6 เพื่อพวกคุณทั้งหมดจะได้สรรเสริญพระเจ้า ผู้เป็นพระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเราเป็นเสียงเดียวกัน
7 ดังนั้นให้ยอมรับกันและกัน เหมือนกับที่พระคริสต์ยอมรับคุณ เพื่อพระเจ้าจะได้รับเกียรติ 8 ผมขอบอกพวกคุณว่า พระคริสต์ได้มาเป็นผู้รับใช้ของคนยิว เพื่อทำให้เห็นถึงความซื่อสัตย์สุจริตของพระเจ้า เพื่อยืนยันคำสัญญาที่พระองค์ได้ให้ไว้กับพวกบรรพบุรุษ 9 และเพื่อคนที่ไม่ใช่ยิวจะได้สรรเสริญพระเจ้าที่ได้เมตตากรุณากับพวกเขา เหมือนกับที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า
“เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจะให้เกียรติพระองค์ในหมู่คนที่ไม่ใช่ยิว
และข้าพเจ้าจะร้องเพลงสรรเสริญชื่อของพระองค์”[b]
10 พระคัมภีร์พูดไว้อีกว่า
“คนที่ไม่ใช่ยิวทั้งหลายเอ๋ย
ให้มาชื่นชมยินดีพร้อมกับคนของพระเจ้า”[c]
11 และยังพูดอีกว่า
“คนที่ไม่ใช่ยิวทั้งหลายเอ๋ย สรรเสริญองค์เจ้าชีวิตเถิด
และขอให้ชนชาติทั้งหลายสรรเสริญพระองค์”[d]
12 และอิสยาห์ก็พูดไว้เหมือนกันว่า
“ลูกหลานคนหนึ่งของเจสซี[e] จะมา
และขึ้นปกครองคนที่ไม่ใช่ยิว
แล้วคนที่ไม่ใช่ยิวจะฝากความหวังกับพระองค์”[f]
13 ขอให้พระเจ้าผู้เป็นแหล่งของความหวัง ช่วยเติมให้คุณเต็มเปี่ยมบริบูรณ์ไปด้วยความชื่นชมยินดีและสันติสุข ตามความไว้วางใจที่คุณมีในพระองค์ เพื่อคุณจะได้มีความหวังอย่างเหลือล้น ด้วยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์
เปาโลเล่าเรื่องงานของเขา
14 พี่น้องครับ ผมมีความเชื่อมั่นในตัวพวกคุณว่า พวกคุณนั้นเต็มไปด้วยความดี และเพียบพร้อมไปด้วยความรู้ทุกอย่าง พวกคุณสามารถที่จะตักเตือนกันและกันได้ 15 แต่ที่ผมกล้าเขียนบางเรื่องถึงคุณ เพื่อเตือนความจำของคุณ ที่ผมทำอย่างนี้ก็ทำตามพรสวรรค์ที่พระเจ้ามอบให้ 16 คือให้ผมเป็นผู้รับใช้คนที่ไม่ใช่ยิวเพื่อพระเยซูคริสต์เจ้า และทำหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ในการประกาศข่าวดีของพระเจ้าเหมือนกับนักบวช เพื่อคนที่ไม่ใช่ยิวนั้นจะได้เป็นเครื่องบูชาที่พระเจ้ายอมรับ และที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทำให้เป็นของพระองค์โดยเฉพาะ 17 ในฐานะที่ผมเป็นคนของพระเยซูคริสต์ ผมภูมิใจในหน้าที่ของผมที่มีต่อพระเจ้า 18 ผมไม่กล้าพูดถึงเรื่องอื่นหรอก นอกจากเรื่องที่พระคริสต์ได้ทำผ่านผมในการนำคนที่ไม่ใช่ยิวให้มาเชื่อฟังพระเจ้า ผ่านทางคำพูดและการกระทำของผม 19 โดยฤทธิ์อำนาจแห่งปาฏิหาริย์ และการอัศจรรย์ที่มาจากฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณของพระเจ้า ดังนั้นผมได้ประกาศข่าวดีของพระคริสต์จนทั่วแล้ว ตั้งแต่เมืองเยรูซาเล็มไปจนถึงแคว้นอิลลีริคุม 20 ผมตั้งเป้าไว้เสมอว่า จะไปประกาศข่าวดีในที่ที่ยังไม่มีใครเคยรู้จักพระคริสต์มาก่อน ผมจะได้ไม่ไปสร้างบนรากฐานที่คนอื่นวางไว้แล้ว 21 แต่มันเป็นไปตามที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า
“คนที่ไม่เคยมีใครไปบอก ก็จะได้เห็น
และคนที่ไม่เคยได้ยิน ก็จะเข้าใจ”[g]
เปาโลวางแผนจะไปกรุงโรม
22 งานที่ผมทำอยู่ในแคว้นเหล่านี้ ขัดขวางผมหลายครั้งไม่ให้มาหาคุณ 23 แต่ตอนนี้ ไม่เหลือที่ไหนในแคว้นเหล่านี้ให้ผมไปทำงานอีกแล้ว และผมก็ตั้งใจจะมาหาคุณตั้งหลายปีแล้วด้วย 24 ผมจึงวางแผนที่จะแวะมาเยี่ยมคุณเมื่อผมไปสเปน และอยู่สังสรรค์กับพวกคุณสักพักหนึ่ง แล้วหวังว่าหลังจากนั้น คุณจะช่วยสนับสนุนให้ผมเดินทางต่อไปที่สเปน 25 แต่ตอนนี้ ผมกำลังจะเดินทางไปเมืองเยรูซาเล็มเพื่อช่วยเหลือคนที่เป็นของพระเจ้าที่นั่น 26 เพราะบรรดาหมู่ประชุมของพระเจ้าในแคว้นมาซิโดเนีย และแคว้นอาคายาได้ตัดสินใจเรี่ยไรเงินเพื่อช่วยเหลือคนที่เป็นของพระเจ้าที่ยากจนในเมืองเยรูซาเล็ม 27 ดีแล้วที่พวกเขาตัดสินใจทำอย่างนั้น เพราะพวกเขาเป็นหนี้บุญคุณคนพวกนั้นอยู่ เพราะพี่น้องชาวยิวได้แบ่งปันพระพรฝ่ายพระวิญญาณของพวกเขาให้กับคนที่ไม่ใช่ยิว พี่น้องที่ไม่ใช่ยิวก็ควรจะแบ่งปันพระพรฝ่ายวัตถุให้กับพี่น้องชาวยิวด้วย 28 ทันทีที่ผมทำงานนี้เสร็จ โดยมอบเงินที่เรี่ยไรมานี้ให้กับพวกเขาดูแลเรียบร้อยแล้ว ผมก็จะไปสเปนและแวะเยี่ยมคุณในระหว่างทาง 29 ผมรู้ว่าเมื่อผมมาหาคุณ ผมจะมาแบ่งปันพระพรอันเต็มเปี่ยมของพระคริสต์กับพวกคุณ 30 พี่น้องครับ เป็นเพราะเห็นแก่พระเยซูคริสต์เจ้า และความรักจากพระวิญญาณ ผมถึงขอร้องคุณให้มาร่วมต่อสู้กับผม คืออธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อผม 31 อธิษฐานขอให้พระองค์ช่วยผมให้ปลอดภัยจากพวกที่ไม่เชื่อในแคว้นยูเดีย และอธิษฐานให้คนที่เป็นของพระเจ้าที่เมืองเยรูซาเล็มเต็มใจรับเงินเรี่ยไรที่ผมเอามาให้ 32 เพื่อว่าถ้าเป็นไปตามความต้องการของพระเจ้า ผมจะได้แวะมาหาคุณด้วยความยินดี และผมจะได้พักผ่อนหย่อนใจร่วมกับคุณ
33 ขอให้พระเจ้าผู้เป็นแหล่งของสันติสุข อยู่กับคุณทุกคนเถิด อาเมน
พระยาห์เวห์ทำลายเยรูซาเล็ม
2 แย่แล้ว แย่แล้ว ด้วยความโกรธของพระยาห์เวห์ พระองค์ได้ทำให้นางสาวศิโยน น่าขยะแขยง
พระองค์ได้โยนศักดิ์ศรีของอิสราเอลจากท้องฟ้าลงสู่ดิน
พระองค์ไม่สนใจที่จะปกป้องเกียรติของที่วางเท้าของพระองค์[a] ตอนที่พระองค์โกรธ
2 พระยาห์เวห์ได้ทำลายที่พักอาศัยทั้งหมดของยาโคบ
พระองค์ไม่มีเมตตากับเขาเลย
ตอนที่พระองค์โกรธ พระองค์ได้ทำลายพวกป้อมปราการของนางสาวยูดาห์
พระองค์ดึงเธอลงมาบนดิน
พระองค์ทำให้อาณาจักรของยูดาห์และผู้นำทั้งหลายเสื่อมเกียรติไป
3 ตอนที่พระองค์โกรธ พระองค์ได้ตัดเขาสัตว์ของอิสราเอล[b]
พระองค์เลิกปกป้องอิสราเอล[c]
ในขณะที่ข้าศึกกำลังบุกเข้ามาใกล้
และพระองค์ก็เผายาโคบ
เหมือนเปลวเพลิงที่เผาผลาญทุกอย่างรอบๆมัน
4 พระองค์โก่งคันธนูราวกับว่าเป็นศัตรู
มือขวาของพระองค์เล็งอย่างไม่สั่นไหวราวกับเป็นปรปักษ์
พระองค์ฆ่าชายที่หล่อเหลาของยูดาห์จนหมด
พระองค์เทความโกรธแค้นของพระองค์เหมือนไฟเข้าไปในเต็นท์ของนางสาวศิโยน
5 องค์เจ้าชีวิตเป็นเหมือนศัตรู
พระองค์กลืนกินอิสราเอล
พระองค์กลืนกินป้อมปราการทั้งหมดของเธอ
พระองค์กลืนกินเมืองทั้งหลายของเธอที่มีกำแพงกั้น
พระองค์ทวีความเศร้าโศกและการคร่ำครวญให้กับนางสาวยูดาห์
6 พระองค์ถอนวิหารของพระองค์เหมือนกับถอนเพิงในสวน
พระองค์ทำลายเต็นท์นัดพบของพระองค์
พระองค์ทำให้เทศกาลและวันหยุดทางศาสนาทั้งหลายจบสิ้นไปในเมืองศิโยน
พระองค์ดูถูกเหยียดหยามทั้งกษัตริย์และนักบวชตอนที่พระองค์โกรธจัด
7 พระยาห์เวห์ทอดทิ้งแท่นบูชาของพระองค์
พระองค์บอกปัดสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
พระองค์มอบกำแพงป้อมปราการของเยรูซาเล็มให้ตกอยู่ในกำมือศัตรู
พวกศัตรูต่างโห่ร้องกันในวิหารของพระยาห์เวห์
เหมือนกับมีงานเทศกาล
8 พระยาห์เวห์ได้ตัดสินใจทำลายกำแพงเมืองของนางสาวศิโยน
พระองค์ได้วัดดูแล้วว่าจะทำลายถึงแค่ไหน
พระองค์ไม่ได้หดมือกลับจากการทำลายมัน
พระองค์ทำให้ป้อมปราการและกำแพงร้องคร่ำครวญ
พวกมันทรุดโทรมไปด้วยกัน
9 ประตูเมืองต่างๆของเยรูซาเล็มทรุดลงในดิน
พระองค์ทำลายเหล็กดาลประตูทั้งหลาย จนแตกละเอียด
กษัตริย์และผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย
ไม่เหลือใครเลยที่จะอยู่ให้คำสั่งสอน
แม้แต่พวกผู้พูดแทนพระเจ้าของเธอก็ไม่ได้รับนิมิตจากพระยาห์เวห์
10 พวกผู้อาวุโสของนางสาวศิโยน
ต่างพากันนั่งเงียบอยู่กับพื้น
พวกเขาต่างก็โยนฝุ่นลงบนหัวของตน
พวกเขาสวมใส่เสื้อผ้ากระสอบ
พวกหญิงสาวบริสุทธิ์ของเยรูซาเล็มต่างก้มหัวลงถึงพื้นด้วยความเสียใจ
11 ตาของผมมีน้ำตาคลอเบ้า
ท้องไส้ผมปั่นป่วนไปหมดแล้ว
ตับผมทะลักลงสู่ดินแล้ว
เพราะคนของผมถูกทำลาย
ลูกเล็กเด็กแดงก็เป็นลมล้มพับไปบนถนนในเมือง
12 พวกเด็กๆพูดกับแม่ของพวกเขาว่า
“แม่จ๋า อาหารและเครื่องดื่มอยู่ที่ไหน”
พวกเขาเป็นลมล้มพับไปที่ลานเมือง
เหมือนคนบาดเจ็บและตายไปในอ้อมอกของแม่
13 นางสาวเยรูซาเล็ม จะให้ผมเปรียบเจ้าเหมือนกับอะไรดี
จะให้เปรียบเจ้ากับอะไรดี
นางสาวศิโยน จะให้ผมเอาเจ้าไปเปรียบกับอะไรดี
จะให้ผมปลอบโยนเจ้ายังไงดี
ความหายนะของเจ้านั้นยิ่งใหญ่เหมือนทะเล ใครจะเยียวยารักษาเจ้าได้
14 พวกผู้พูดแทนพระเจ้าของเจ้าได้บอกเจ้าเกี่ยวกับนิมิตที่พวกเขาเห็น
แต่นิมิตพวกนั้นมันไร้สาระและเชื่อไม่ได้
พวกเขาไม่ได้เปิดเผยความผิดบาปของเจ้า
เพื่อเจ้าจะได้คืนสู่สภาพดีเหมือนเดิม
แต่พวกเขากลับพูดนิมิตจอมปลอมเกี่ยวกับเจ้า
เพื่อนำให้เจ้าหลงไป
15 ทุกคนที่เดินผ่านมาทางนั้นต่างตบมือเยาะเจ้า
พวกเขาผิวปากและส่ายหัวต่อเจ้า นางสาวเยรูซาเล็ม
พวกเขาพูดเยาะว่า “นี่นะหรือเมืองที่ผู้คนต่างพูดกันว่า
เป็นเมืองที่สวยอย่างไม่มีที่ติ
ซึ่งเคยให้ความสุขกับคนทั้งโลก”
16 พวกศัตรูทั้งหมดของเจ้าจะเปิดปากกว้างหัวเราะเยาะเจ้า
พวกเขาจะผิวปากและกัดฟันและพูดว่า
“เราได้กลืนกินพวกเขาไปจนหมด
นี่แหละเป็นวันที่พวกเรารอคอย วันนั้นได้มาถึงแล้ว
และเราก็ได้เห็นมันกับตาของพวกเราเอง”
17 พระยาห์เวห์ได้ทำในสิ่งที่พระองค์วางแผนไว้
พระองค์ได้ทำตามคำขู่ของพระองค์
พระองค์ได้ทำตามที่พระองค์ได้สัญญาไว้นานมาแล้ว
พระองค์ได้ทำลายมันลงโดยไม่สงสาร
พระองค์ทำให้ศัตรูของเจ้าเฉลิมฉลองกัน
พระองค์ได้ทำให้ศัตรูของเจ้าเข้มแข็งขึ้น
18 กำแพงเมืองของนางสาวศิโยน
ร้องเรียกองค์เจ้าชีวิตจากใจของเจ้า
ให้น้ำตาของเจ้าไหลพรั่งพรูออกมาเหมือนลำธาร ทั้งวันทั้งคืน
อย่าได้หยุดร้องเลย
อย่าให้ดวงตาของเจ้าได้หยุดพักจากการร้องไห้
19 ลุกขึ้นมาร้องตะโกนในยามค่ำคืน
ลุกขึ้นมาร้องตะโกนในทุกช่วงต้นยาม
เทใจของเจ้าออกมาเหมือนน้ำต่อหน้าองค์เจ้าชีวิต
ชูมือของเจ้าขึ้นต่อพระองค์เพื่อขอชีวิตของลูกๆเจ้าที่เป็นลมล้มพับไปเพราะความหิวตามหัวถนนต่างๆ
20 มองดูสิ พระยาห์เวห์ สังเกตดูสิว่า
พระองค์ได้ทำอย่างนี้กับใคร
สมควรแล้วหรือที่ผู้หญิงจะกินลูกของตัวเอง ลูกๆที่พวกเขาดูแล
สมควรแล้วหรือที่พวกนักบวชและพวกผู้พูดแทนพระเจ้าจะถูกฆ่าในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ขององค์เจ้าชีวิต
21 ทั้งคนหนุ่มและคนแก่นอนคว่ำอยู่บนพื้นกลางถนน
คนสาวๆและหนุ่มๆของผมถูกดาบฆ่าฟันล้มลง
พระองค์ฆ่าพวกเขาในวันที่พระองค์โกรธ
พระองค์สังหารพวกเขาอย่างไร้ความเมตตา
22 พระองค์เรียกศัตรูจากรอบข้างให้มาข่มขวัญฉันราวกับว่าพระองค์เชิญพวกเขามางานเลี้ยง
ในวันที่พระยาห์เวห์โกรธนั้น ไม่มีใครหนีพ้นหรือรอดชีวิตอยู่
ศัตรูของฉันได้ทำลายลูกๆที่ฉันเฝ้าทะนุถนอมเลี้ยงดูมาจนหมดสิ้น
เพลงสรรเสริญพระยาห์เวห์ผู้สร้างและผู้ครอบครองโลกนี้
1 พวกเจ้าที่ทำตามใจพระเจ้า ให้ชื่นชมยินดีในพระยาห์เวห์เถิด
สมควรแล้วที่คนซื่อตรงจะสรรเสริญพระองค์
2 สรรเสริญพระยาห์เวห์ ด้วยการเล่นพิณสี่สายเถิด
ร้องเพลงสรรเสริญพระองค์ด้วยการเล่นพิณสิบสายเถิด
3 ร้องเพลงบทใหม่ให้กับพระยาห์เวห์
ให้เล่นพิณอย่างชำนิชำนาญ และโห่ร้องด้วยความยินดี
4 พระคำของพระยาห์เวห์นั้นซื่อตรง
และพระองค์สัตย์ซื่อต่อคนของพระองค์ในทุกสิ่งที่พระองค์ทำ
5 พระยาห์เวห์รักความดีและความยุติธรรม
โลกนี้เต็มไปด้วยความรักมั่นคงของพระองค์
6 โดยคำสั่งของพระยาห์เวห์ สวรรค์ก็ถูกสร้างขึ้น
โดยคำพูดจากปากของพระองค์ ดวงดาวทั้งหมดก็เกิดขึ้น
7 พระองค์ได้รวบรวมน้ำทะเลมาอยู่ด้วยกัน
และเคลื่อนน้ำในมหาสมุทรไปไว้ในคลังเก็บน้ำ
8 พลเมืองทุกคนของโลกเอ๋ย ให้ยำเกรงพระยาห์เวห์เถิด
พวกเจ้าทุกคนที่อยู่บนโลกนี้ ให้เกรงกลัวพระองค์เถิด
9 เพราะว่า เมื่อพระองค์พูด มันก็เกิดขึ้น
เมื่อพระองค์ออกคำสั่ง โลกก็ตั้งขึ้น
10 พระองค์สามารถทำให้แผนการต่างๆที่ชนชาติทั้งหลายวางไว้นั้นไม่สำเร็จ
และพระองค์สามารถทำให้โครงการต่างๆของชาติต่างๆล้มเหลวได้
11 แต่แผนการต่างๆของพระยาห์เวห์นั้นยั่งยืนตลอดไป
โครงการต่างๆในใจของพระองค์นั้นจะอยู่ไปตลอดชั่วลูกชั่วหลาน
12 ชนชาติที่มีพระยาห์เวห์เป็นพระเจ้าของพวกเขานั้น ถือว่ามีเกียรติจริงๆ
ชนชาติที่พระองค์ได้เลือกมาเป็นคนของพระองค์เองนั้น ถือว่ามีเกียรติจริงๆ
13 พระยาห์เวห์มองลงมาจากสวรรค์
มองเห็นมนุษย์ทุกคน
14 พระองค์มองลงมาจากบัลลังก์ของพระองค์
เห็นมนุษย์ทุกคนที่อาศัยอยู่บนโลก
15 พระองค์คือผู้ที่สร้างจิตใจของพวกเขาขึ้นมาทุกคน
และพระองค์เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขากำลังทำอยู่
16 ชัยชนะของกษัตริย์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับทหารมากมาย
ชัยชนะของนักรบก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของเขา
17 ความแข็งแกร่งของม้าศึกไม่ได้นำชัยชนะมาให้หรอก
พลังอันแข็งแกร่งของมันไม่ช่วยให้ใครรอดได้หรอก
18 ดูเถิด พระยาห์เวห์เฝ้าดูคนที่ยำเกรงพระองค์
พระองค์ดูแลคนที่ฝากความหวังไว้กับความรักมั่นคงของพระองค์
19 พระองค์ช่วยให้พวกเขารอดพ้นจากความตาย
และช่วยให้เขามีชีวิตอยู่ได้ในยามที่ขาดแคลนอาหาร
20 พวกเราเฝ้ารอพระยาห์เวห์มาช่วย
เพราะพระองค์คือผู้ช่วยให้รอดและโล่กำบังของพวกเรา
21 เพราะจิตใจของเราชื่นชมยินดีในพระองค์
เพราะพวกเราไว้วางใจในชื่ออันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
22 ข้าแต่พระยาห์เวห์ขอให้ความรักอันมั่นคงของพระองค์อยู่กับพวกเรา
เพราะพวกเราฝากความหวังไว้กับพระองค์
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International