Print Page Options
Previous Prev Day Next DayNext

M’Cheyne Bible Reading Plan

The classic M'Cheyne plan--read the Old Testament, New Testament, and Psalms or Gospels every day.
Duration: 365 days
Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)
Version
นางรูธ 2

นางรูธได้พบกับโบอาส

นาโอมีมีญาติสนิทคนหนึ่ง เป็นญาติฝ่ายสามี เขาเป็นคนมีอำนาจมาจากตระกูลเดียวกันกับเอลีเมเล็ค เขามีชื่อว่า โบอาส[a]

อยู่มาวันหนึ่ง นางรูธชาวโมอับพูดกับนาโอมีว่า “ขอให้ฉันไปยังทุ่งนา เพื่อเดินเก็บเศษรวงข้าวที่ตกอยู่ตามทุ่ง[b] จากใครก็ตามที่มีน้ำใจกับฉัน” นาโอมีตอบว่า “ไปเถิดลูก”

นางรูธจึงไปยังทุ่งนา และเดินตามหลังคนเกี่ยวข้าว เพื่อจะรวบรวมเศษรวงข้าวที่ตก เผอิญรูธได้เข้าไปทำงานในทุ่งนาของโบอาส จากตระกูลของเอลีเมเล็ค

เมื่อโบอาสเดินทางจากเมืองเบธเลเฮมมาถึงที่นาของเขา เขาได้พูดทักทายพวกคนเกี่ยวข้าวว่า “ขอพระยาห์เวห์สถิตอยู่กับพวกท่าน” และพวกนั้นตอบว่า “ขอให้พระยาห์เวห์อวยพรท่านเถิด”

โบอาสเรียกทาสที่มีหน้าที่ดูแลคนเกี่ยวข้าวของเขามาถามว่า “ผู้หญิงคนนั้นเป็นทาสของใคร”

ทาสคนนั้นตอบว่า “หญิงคนนั้นเป็นชาวโมอับที่เดินทางมากับนาโอมี จากแผ่นดินโมอับ นางพูดว่า ‘ขอโปรดให้ฉันเดินตามพวกคนเก็บเกี่ยว และเก็บรวบรวมเศษรวงข้าวที่ตกด้วยเถิด’ นางมาทำงานที่ทุ่งนี้ตั้งแต่เช้ามืดจนถึงเดี๋ยวนี้ ได้พักแค่ประเดี๋ยวเดียวในเพิงนั้น”

โบอาสจึงพูดกับนางรูธว่า “ลูกเอ๋ย ฟังข้าให้ดี เจ้าไม่ต้องไปเก็บเศษรวงข้าวในทุ่งนาอื่นๆ อย่าไปจากที่นี่เลย อยู่ที่นี่กับพวกทาสหญิงของข้าเถิด พวกทาสของข้าไปเก็บเกี่ยวที่ไหน ก็ให้ตามพวกเขาไปเถิด ข้าได้สั่งพวกหนุ่มๆว่าอย่ามายุ่งกับเจ้า ถ้าเจ้าหิวน้ำเมื่อไหร่ ก็ไปดื่มจากพวกไหน้ำนั้นที่คนหนุ่มๆได้ตักไว้”

10 นางรูธก้มหน้ากราบลงถึงพื้น และพูดว่า “ทำไมท่านถึงมีน้ำใจกับฉันอย่างนี้ ทั้งๆที่ฉันเป็นแค่หญิงต่างชาติ ที่ไม่น่าจะอยู่ในสายตาท่านเลย”

11 โบอาสจึงพูดตอบนางว่า “ข้าได้ยินเรื่องดีๆมากมายที่เจ้าได้ทำกับแม่ผัวของเจ้า หลังจากสามีของเจ้าตายไป เจ้าได้ทิ้งพ่อแม่ และบ้านเกิดเมืองนอนมายังแผ่นดินและชนชาติที่เจ้าไม่รู้จักมาก่อน 12 ขอพระยาห์เวห์ตอบแทนเจ้าในสิ่งดีๆที่เจ้าได้ทำนั้น และขอให้เจ้าได้รับบำเหน็จอย่างบริบูรณ์จากพระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอล ผู้ที่เจ้าได้เข้าลี้ภัยใต้ปีกของพระองค์นั้น”

13 นางรูธจึงตอบว่า “ขอให้ท่านมีน้ำใจอย่างนี้กับฉันต่อไป ท่านได้ปลอบประโลมใจฉัน และพูดด้วยความเมตตาเอ็นดูกับฉันผู้เป็นทาส ทั้งๆที่ฉันไม่เหมาะสมแม้แต่จะเป็นทาสของท่าน”

14 เมื่อถึงเวลากิน โบอาสได้พูดกับนางรูธว่า “มาที่นี่สิ มากินอาหารพวกนี้เถิด จุ่มขนมปังลงในน้ำจิ้มนี้เถิด” นางจึงนั่งลงข้างๆพวกคนเกี่ยวข้าว โบอาสได้ส่งข้าวคั่วให้กับนาง นางก็รับไปกินจนอิ่ม แถมนางยังมีอาหารเหลือด้วย 15 เมื่อนางลุกขึ้นกลับไปเก็บเศษรวงข้าวต่อ โบอาสได้สั่งกับพวกคนหนุ่มๆว่า “ให้นางเก็บข้าวที่ตกระหว่างฟ่อนข้าวเถอะ 16 ดึงข้าวรวงโตๆจากฟ่อน ทิ้งไว้ข้างหลังเพื่อนางจะได้เก็บ อย่าต่อว่าหรือห้ามนางเลย”

นาโอมีได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับโบอาส

17 นางรูธได้อยู่ในทุ่งนาจนเย็น เพื่อเก็บรวบรวมเศษรวงข้าว แล้วก็ฟาดข้าวที่เก็บมาได้ นางรูธได้ข้าวที่รวบรวมมาประมาณยี่สิบสองลิตร 18 นางจึงเก็บข้าวที่รวบรวมมาได้ กลับเข้าไปในเมือง และนำมาให้แม่ผัวดูว่าได้มากขนาดไหน และนางรูธยังได้นำอาหารที่เหลือเก็บจากมื้อกลางวัน มาให้นางนาโอมีด้วย

19 เมื่อนาโอมีแม่ผัวเห็นอย่างนั้น นางจึงพูดกับนางรูธว่า “วันนี้ลูกไปเก็บเศษข้าวที่ไหนมา ลูกไปทำงานที่ไหนมา ขอให้คนที่เอาใจใส่ลูกได้รับพระพรเถิด” นางรูธจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้แม่ผัวฟังว่า “ผู้ที่ให้ลูกเข้าไปเก็บข้าวในนานั้นชื่อว่า โบอาส” 20 นาโอมีจึงพูดกับลูกสะใภ้ว่า “ขอพระยาห์เวห์ทรงอวยพรแก่ผู้นั้นที่แสดงความเมตตากรุณาต่อทั้งคนตายและคนเป็น” นาโอมี พูดกับนางรูธว่า “ชายคนนั้นเป็นญาติคนหนึ่งของเรา และเขาเป็นญาติสนิทที่มีสิทธิ์ไถ่เราได้”[c]

21 นางรูธชาวโมอับจึงพูดว่า “โบอาสยังบอกกับลูกว่า ให้อยู่ใกล้ๆคนงานของเขา จนกว่าฤดูเก็บเกี่ยวจะสิ้นสุดลง”

22 นาโอมีจึงพูดกับนางรูธลูกสะใภ้ว่า “ลูกเอ๋ย ดีแล้วที่เจ้าจะออกไปกับทาสหญิงของโบอาส เกรงว่าถ้าไปยังนาอื่นอาจจะถูกคนทำร้ายเอาได้” 23 นางรูธจึงอยู่ใกล้ๆพวกทาสหญิงของโบอาส ที่เก็บเกี่ยวข้าว จนกระทั่งหมดฤดูเกี่ยวข้าวบาร์เลย์และข้าวสาลี และนางก็อาศัยอยู่กับแม่ผัว

กิจการ 27

เปาโลแล่นเรือไปกรุงโรม

27 เมื่อถึงเวลาที่พวกเราจะเดินทางไปประเทศอิตาลี พวกเขาก็ให้นายร้อยยูเลียสในกองทหารของจักรพรรดิ ควบคุมตัวเปาโลและนักโทษคนอื่นๆไป พวกเราไปลงเรือที่เมืองอัดรามิททิยุม เรือนั้นกำลังจะแล่นไปตามท่าต่างๆที่อยู่ตามแนวชายฝั่งของแคว้นเอเชีย แล้วพวกเราก็ออกทะเลไป อาริสทารคัสไปกับพวกเราด้วย เขาเป็นชาวเมืองเธสะโลนิกาในแคว้นมาซิโดเนีย พอวันรุ่งขึ้น พวกเราก็มาถึงเมืองไซดอน ยูเลียสดีกับเปาโลมาก เขายอมให้เปาโลไปเยี่ยมเพื่อนฝูงได้ เพื่อว่าเพื่อนๆจะได้ช่วยเหลือเปาโลตามความจำเป็น จากไซดอน พวกเราแล่นเรือออกสู่ทะเล กระแสลมต้านเรามาก เราจึงแล่นโดยใช้เกาะไซปรัสเป็นที่กำบังลมให้กับเรา พวกเราแล่นเรือข้ามทะเลที่เป็นน่านน้ำของแคว้นซีลีเซียและแคว้นปัมฟีเลียจนมาถึงเมืองมิราในแคว้นลิเซีย ที่นี่นายร้อยพบเรือลำหนึ่งที่มาจากเมืองอเล็กซานเดรียและกำลังจะไปประเทศอิตาลี เขาเลยให้พวกเราลงเรือลำนี้ เรือของพวกเราแล่นไปได้ช้ามากเป็นเวลาหลายวัน ในที่สุดก็มาใกล้เมืองคนีดัส อย่างทุลักทุเล เราไม่สามารถเดินทางต่อไปได้เพราะกระแสลมแรงมาก จึงต้องเปลี่ยนเส้นทางแล่นไปแอบลมอยู่หลังเกาะครีต ที่อยู่ตรงข้ามกับแหลมสัลโมเน เรือแล่นเลียบชายฝั่งเกาะครีตไปด้วยความยากลำบาก แล้วก็มาถึงที่หนึ่งชื่อว่า ท่างามดี ใกล้เมืองลาเซีย

พวกเราเสียเวลาไปมาก และตอนนี้ก็ไม่ปลอดภัยแล้วที่จะแล่นเรือ เพราะวันอดอาหาร[a] ของยิวก็ผ่านไปแล้ว เปาโลจึงเตือนพวกเขาว่า 10 “ท่านทั้งหลาย ผมเห็นว่าการเดินทางครั้งนี้จะประสบกับความหายนะ และจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ไม่ใช่แต่เฉพาะสินค้าและเรือเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชีวิตของพวกเราด้วย” 11 แต่แทนที่นายร้อยจะฟังคำเตือนของเปาโล เขากลับไปเชื่อกัปตันและเจ้าของเรือ 12 เพราะท่าเรือนี้ไม่เหมาะที่จะจอดเรือในฤดูหนาว คนส่วนใหญ่จึงตกลงที่จะแล่นเรือออกจากที่นั่น ถ้าเป็นไปได้พวกเขาอยากจะไปให้ถึงเมืองฟีนิกส์จะได้จอดเรืออยู่ที่นั่นในช่วงฤดูหนาว ฟีนิกส์เป็นเมืองท่าบนเกาะครีต เป็นท่าเรือที่หันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้และทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

พายุในทะเล

13 เมื่อมีลมพัดมาจากทิศใต้เบาๆพวกเขาก็คิดว่า “นี่แหละเป็นลมที่เราอยากได้” พวกเขาจึงถอนสมอเรือขึ้น แล้วแล่นไปตามชายฝั่งเกาะครีต 14 แต่ไม่ช้าก็มีลมพายุคล้ายเฮอร์ริเคน ที่เรียกว่าลมตะวันออกเฉียงเหนือ พัดมาจากเกาะ 15 เรือติดอยู่ท่ามกลางพายุ และไม่สามารถต้านกระแสลมได้ พวกเราจึงปล่อยให้เรือแล่นไปตามลม 16 ในที่สุดเรือก็แล่นไปอยู่หลังเกาะเล็กๆแห่งหนึ่งชื่อ คาวดา ที่ช่วยกำบังลมให้เรา พวกเราได้ดึงเรือชูชีพขึ้นมาผูกไว้กับเรือด้วยความทุลักทุเลยิ่งนัก 17 หลังจากที่ดึงเรือชูชีพขึ้นมาแล้ว พวกเขาก็เอาเชือกลอดใต้ท้องเรือใหญ่แล้วมัดเรือใหญ่ให้แน่นขึ้น เพราะกลัวว่ามันอาจจะแล่นไปเกยตื้นบนสันดอนทรายของอ่าวเสอร์ทิส พวกเขาจึงทิ้งลูกทุ่น[b]ลงทะเล ปล่อยให้เรือลอยไปตามกระแสลม 18 หลังจากถูกพายุโหมกระหน่ำอย่างแรง วันต่อมา พวกเขาก็เริ่มโยนสินค้าลงทะเลไป 19 ถึงวันที่สาม พวกเขาทิ้งอุปกรณ์ต่างๆในเรือลงทะเลด้วยมือตนเอง 20 พวกเราไม่เห็นเดือนเห็นตะวันมาหลายวันแล้ว พายุยังคงโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง ในที่สุดพวกเราก็หมดหวังที่จะมีชีวิตรอด

21 ไม่มีใครยอมกินอะไรมาหลายวันแล้ว เปาโลจึงยืนขึ้นต่อหน้าพวกเขาพูดว่า “พวกคุณน่าจะฟังคำแนะนำของผมว่าอย่าแล่นเรือออกจากเกาะครีต จะได้ไม่ต้องมาพบกับความเสียหายและสูญเสียอย่างนี้ 22 แต่ตอนนี้ผมอยากให้พวกคุณมีกำลังใจกันไว้ จะไม่มีใครตายหรอก มีแต่เรือลำนี้เท่านั้นที่จะพังไป 23 เพราะเมื่อคืนนี้มีทูตสวรรค์ของพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของผม และผู้ที่ผมรับใช้อยู่ได้มายืนอยู่ข้างๆผม 24 แล้วบอกว่า ‘ไม่ต้องกลัวเปาโล เจ้าจะต้องได้ยืนอยู่ต่อหน้าซีซาร์แน่ และพระเจ้าจะช่วยชีวิตทุกคนบนเรือก็เพราะเจ้า’ 25 เพราะฉะนั้นให้พวกคุณมีกำลังใจไว้ เพราะผมไว้ใจพระเจ้าว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นอย่างที่ทูตสวรรค์ได้บอกผมไว้อย่างแน่นอน 26 แต่พวกเราจะต้องวิ่งไปเกยตื้นที่เกาะไหนสักแห่ง”

27 มาถึงคืนที่สิบสี่ เรือของพวกเราลอยคออยู่ในทะเลอาเดรีย[c] ประมาณเที่ยงคืนพวกลูกเรือรู้สึกว่าแผ่นดินอยู่ใกล้ๆ 28 พวกเขาหยั่งระดับน้ำดู และวัดความลึกได้สามสิบเจ็ดเมตร เวลาผ่านไปสักพักพวกเขาก็หยั่งระดับน้ำอีก คราวนี้วัดความลึกได้ยี่สิบเจ็ดเมตร 29 พวกเขากลัวว่าเรือจะไปเกยตื้นบนฝั่งที่มีหินจึงโยนสมอสี่ตัวลงจากด้านหลังของเรือ และอธิษฐานให้ถึงตอนเช้าเร็วๆ 30 พวกลูกเรือพยายามหนีออกจากเรือ พวกเขาจึงหย่อนเรือชูชีพลงในทะเล แกล้งทำเป็นว่าจะไปโยนสมอเรือจากทางหัวเรือ 31 แต่เปาโลบอกกับนายร้อยและพวกทหารว่า “ถ้าคนพวกนี้ไม่อยู่บนเรือ พวกท่านทั้งหมดก็จะไม่รอด” 32 พวกทหารจึงตัดเชือกที่ผูกเรือชูชีพไว้ แล้วปล่อยให้มันลอยไป

33 พอใกล้จะสว่างแล้ว เปาโลก็ชักชวนให้พวกเขากินอาหาร เปาโลบอกว่า “นี่พวกคุณก็ได้เฝ้าคอยด้วยใจระทึกมาตั้งสิบสี่วันแล้ว โดยไม่ได้กินอะไรเลย 34 กินอะไรบ้างเถอะ เพื่อจะได้อยู่ต่อไป ไม่ต้องห่วงหรอก จะไม่มีผมสักเส้นหลุดไปจากหัวของพวกคุณแม้แต่คนเดียว” 35 เมื่อเปาโลพูดเสร็จ เขาก็เอาขนมปังมากล่าวขอบคุณพระเจ้าต่อหน้าคนทั้งหมดแล้วก็หักกิน 36 ทุกคนก็มีกำลังใจขึ้นมาและหยิบอาหารมากินกัน 37 บนเรือมีทั้งหมดสองร้อยเจ็ดสิบหกคน 38 หลังจากที่กินอาหารกันจนอิ่มแล้ว พวกเขาได้โยนข้าวสารทั้งหมดทิ้ง เพื่อให้เรือเบาขึ้น

เรือแตก

39 พอสว่างแล้ว พวกเขาไม่รู้ว่าแผ่นดินที่เห็นนั้นเป็นที่ไหน แต่พวกเขาสังเกตเห็นอ่าวที่มีชายหาดแห่งหนึ่ง พวกเขาจึงตัดสินใจว่าถ้าเป็นไปได้จะนำเรือแล่นไปเกยตื้นบนหาดแห่งนั้น 40 พวกเขาจึงตัดสมอเรือทิ้งลงทะเล แล้วแก้เชือกที่มัดหางเสือออก จากนั้นดึงใบหัวเรือขึ้นให้รับลม และมุ่งหน้าเข้าหาชายหาด 41 แต่พวกเขากลับชนสันดอนทรายและเกยตื้น หัวเรือติดแน่นไม่ขยับเขยื้อน ส่วนท้ายเรือก็ถูกคลื่นซัดจนเรือแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

42 พวกทหารจึงวางแผนที่จะฆ่านักโทษ เพราะกลัวว่าจะมีใครว่ายน้ำหนีไป 43 แต่นายร้อยอยากจะช่วยชีวิตเปาโล จึงสั่งห้ามไม่ให้พวกเขาทำตามแผนนั้น เขาสั่งคนที่ว่ายน้ำเป็นให้กระโดดลงน้ำแล้วว่ายขึ้นฝั่งไปก่อน 44 ส่วนคนที่เหลือก็ให้เกาะไม้กระดานหรือซากเรือที่แตก ในที่สุดทุกคนก็เข้าถึงฝั่งอย่างปลอดภัย

เยเรมียาห์ 37

เยเรมียาห์ถูกขัง

37 เนบูคัดเนสซาร์เป็นกษัตริย์ของบาบิโลน พระองค์ได้แต่งตั้งให้เศเดคียาห์ ขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองแผ่นดินยูดาห์ แทนกษัตริย์โคนิยาห์[a] ลูกชายของเยโฮยาคิม เศเดคียาห์เป็นลูกชายของกษัตริย์โยสิยาห์ แต่กษัตริย์เศเดคียาห์ และผู้รับใช้ของพระองค์ รวมทั้งผู้คนในยูดาห์ ก็ไม่ยอมฟังถ้อยคำต่างๆของพระยาห์เวห์ ที่พระองค์ได้พูดผ่านมาทางเยเรมียาห์ผู้พูดแทนพระเจ้า

กษัตริย์เศเดคียาห์ส่งเยฮูคัลลูกชายของเชเลมิยาห์ พร้อมกับนักบวชเศฟันยาห์ ลูกชายของมาอาเสอาห์ ไปหาเยเรมียาห์ผู้พูดแทนพระเจ้า และบอกว่า “เยเรมียาห์ อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา แทนพวกเราด้วย”

ในเวลานั้นเยเรมียาห์ยังไปไหนมาไหนท่ามกลางผู้คนได้อย่างอิสระ พวกเขายังไม่ได้จับเยเรมียาห์ขังคุก และตอนนี้กองทัพของฟาโรห์ก็ได้เคลื่อนทัพออกจากอียิปต์มาแล้ว และชาวบาบิโลนที่กำลังปิดล้อมเมืองเยรูซาเล็มอยู่รู้ข่าว ก็เลยถอนฐานที่มั่นออกไปจากเมืองเยรูซาเล็ม

แล้วถ้อยคำของพระยาห์เวห์ก็มาถึงเยเรมียาห์ผู้พูดแทนพระเจ้า พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลพูดว่า “เยฮูคัลและเศฟันยาห์ เรารู้ว่าเศเดคียาห์กษัตริย์ของยูดาห์ ได้ส่งให้พวกเจ้ามาร้องขอต่อเรา ให้ไปบอกกับเขาว่า กองทัพของฟาโรห์ที่กำลังออกจากอียิปต์เพื่อมาช่วยเจ้านั้น กำลังจะหันกลับไปอียิปต์แผ่นดินของพวกเขา และชาวบาบิโลนก็จะกลับมาโจมตีเมืองเยรูซาเล็มอีก และพวกนั้นก็จะยึดเมืองเยรูซาเล็มและเผาเมืองทิ้ง” พระยาห์เวห์พูดว่า “อย่าหลอกตัวเอง โดยพูดว่า ‘พวกบาบิโลนจะถอนไปแน่ๆ’ เพราะพวกเขาจะไม่ไปไหน 10 ถึงแม้ว่าพวกเจ้าจะทำให้กองทัพบาบิโลนทั้งกองที่กำลังต่อสู้กับเจ้าอยู่ ได้รับบาดเจ็บ และเหลือแต่พวกที่บาดเจ็บไว้ในเต็นท์ของพวกเขา พวกเขาก็จะลุกฮือขึ้นเผาเมืองนี้อยู่ดี”

11 เมื่อกองทัพบาบิโลนถอยทัพจากเมืองเยรูซาเล็มเพราะกองทัพของฟาโรห์บุกเข้ามา 12 เยเรมียาห์ก็ออกจากเมืองเยรูซาเล็มไปยังแผ่นดินเบนยามิน เพื่อไปรับส่วนแบ่งในมรดกที่ดินร่วมกับคนอื่นที่เหลืออยู่ที่นั่น 13 เมื่อเขามาถึงประตูเมืองเบนยามิน หัวหน้ายามรักษาประตูอยู่ที่นั่น เขามีชื่อว่าอิรียาห์ลูกชายของเชเลมิยาห์ ซึ่งเป็นลูกของ ฮานานิยาห์ อิรียาห์จับกุมตัวเยเรมียาห์ผู้พูดแทนพระเจ้า พร้อมกับบอกว่า “เจ้ากำลังจะไปหาพวกบาบิโลนนี่นา” 14 เยเรมียาห์ตอบว่า “ไม่จริง ผมไม่ได้ไปหาพวกบาบิโลน” แต่อิรียาห์ก็ไม่ฟังเยเรมียาห์ และจับตัวเยเรมียาห์ไปให้พวกเจ้านาย 15 พวกเจ้านายโกรธเยเรมียาห์ พวกเขาก็เลยทุบตีเขา จากนั้นก็จับเขาไปขังไว้ในคุกที่บ้านของโยนาธานผู้เป็นเลขานุการ เพราะพวกเขาทำบ้านหลังนั้นเป็นคุกไว้แล้ว

กษัตริย์เศเดคียาห์ปรึกษากับเยเรมียาห์

16 เยเรมียาห์ถูกจับขังไว้ในบ่อเก็บน้ำที่แห้ง แล้วก็อยู่ที่นั่นหลายวัน 17 หลังจากนั้นกษัตริย์เศเดคียาห์ก็ส่งคนมาเอาตัวไปพบกษัตริย์ แล้วกษัตริย์ก็ถามเขาในวังเป็นการลับๆว่า “มีข่าวสารอะไรจากพระยาห์เวห์บ้างไหม” เยเรมียาห์ก็ตอบว่า “มีครับ” และเขาก็พูดต่อไปว่า “ท่านจะถูกส่งให้ไปอยู่ในเงื้อมมือของกษัตริย์บาบิโลน” 18 จากนั้นเยเรมียาห์ก็พูดกับกษัตริย์เศเดคียาห์อีกว่า “ข้าพเจ้าทำผิดอะไรต่อพระองค์ หรือต่อผู้รับใช้ของพระองค์ หรือต่อคนพวกนี้หรือ พระองค์ถึงได้จับข้าพเจ้าขังคุก 19 แล้วพวกผู้พูดแทนพระเจ้าของพวกท่านหายไปไหนกันหมดแล้ว พวกที่ทำนายให้กับพระองค์ว่า ‘กษัตริย์แห่งบาบิโลนจะไม่มาโจมตีพวกท่านและแผ่นดินนี้’ 20 ข้าแต่กษัตริย์ ขอได้โปรดเมตตาข้าพเจ้าด้วยเถิด อย่าได้ส่งข้าพเจ้ากลับไปที่บ้านของโยนาธานเลขานุการนั้นเลย เพราะข้าพเจ้าจะต้องตายที่นั่นแน่ๆ”

21 ดังนั้นกษัตริย์เศเดคียาห์จึงออกคำสั่ง และพวกเขาก็ส่งเยเรมียาห์ไปอยู่ภายใต้การดูแลของทหารยามที่ลาน พวกเขาให้ขนมปังกับเยเรมียาห์ทุกวัน ขนมปังนี้มาจากถนนของพวกทำขนมปัง จนไม่มีขนมหลงเหลืออยู่ในเมืองอีกแล้ว และเยเรมียาห์ก็ได้อาศัยอยู่ในลานของทหารยามนั้น

สดุดี 10

ข้าแต่พระยาห์เวห์ ในเวลาที่มีปัญหาอย่างนี้ ทำไมพระองค์ถึงยืนอยู่ห่างไกลเหลือเกิน
    และซ่อนพระองค์เอง
พวกคนชั่วไล่ล่าคนยากไร้อย่างหยิ่งผยอง
    ขอให้คนชั่วเหล่านั้นติดกับในแผนการชั่วร้ายที่พวกเขาก่อขึ้นด้วยเถิด

พวกคนชั่วโอ้อวดกิเลสตัณหาของตัวเขาเอง
    และคนโลภที่ขี้โกงจะสาปแช่งและเหยียดหยามพระเจ้า
คนชั่วไม่แสวงหาพระเจ้า เพราะพวกเขาหยิ่งยโส
    พระเจ้าไม่ได้อยู่ในความคิดของพวกเขาเลย

คนชั่วประสบความสำเร็จในทุกอย่างที่ทำ
    การตัดสินของพระองค์ สูงกว่าที่พวกเขาจะเข้าใจได้
    พวกเขาเย้ยหยันศัตรูของพวกเขา
คนชั่วพวกนั้นคิดอยู่ในใจว่า พวกเขาจะไม่มีวันล้มเหลว
    พวกเขาคิดว่า จะไม่มีสิ่งเลวร้ายใดๆเกิดขึ้นกับพวกเขา

ปากของคนชั่วเต็มไปด้วยคำสาปแช่ง คำโกหก และคำขู่
    ภายใต้ลิ้นของเขามีความมุ่งร้าย และแผนการชั่วอยู่
คนชั่วเหล่านี้จะดักซุ่มอยู่ตามหมู่บ้านที่ไม่มีกำแพง
    แอบซุ่มอยู่ในที่ซ่อนเพื่อฆ่าคนบริสุทธิ์
    พวกเขาซุ่มคอยคนที่โชคร้ายเดินผ่านมา
พวกเขาหมอบคอย เหมือนกับสิงโตในพุ่มหญ้าที่พร้อมจะตะครุบเหยื่อ
    พวกเขาเฝ้าคอยจับตัวคนยากไร้ ที่มาติดกับของพวกเขาแล้วลากตัวไป

10 พวกคนชั่วนั้นแข็งแรงมาก
    มันตะครุบเหยื่อที่ไม่มีทางสู้ บดขยี้จนบี้แบนติดพื้น
11 แล้วคนชั่วคิดในใจว่า “พระเจ้าเพิกเฉย
    พระองค์หันหน้าไปทางอื่น และไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น”

12 พระยาห์เวห์ ลุกขึ้นเถอะ พระเจ้า ยกมือขึ้นมาทำโทษคนชั่วเหล่านี้ด้วยเถิด
    ขออย่าได้เพิกเฉยต่อผู้ยากไร้เลย
13 ทำไมคนชั่วถึงได้เหยียดหยามพระเจ้า
    พวกคนชั่วพูดในใจว่า “พระเจ้าจะไม่ลงโทษข้า สำหรับสิ่งที่ข้าทำหรอก”

14 แต่พระองค์เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น พระองค์เห็นความทุกข์ยากและปัญหาทั้งสิ้น
    และพระองค์ได้ยื่นมือออกไปช่วยเหลือ
เหยื่อผู้โชคร้ายเหล่านั้นที่เชื่อพึ่งในพระองค์
    พระองค์เป็นผู้ที่ช่วยเหลือเด็กกำพร้า

15 พระเจ้า ช่วยหักแขนของคนชั่วด้วยเถิด
    ช่วยลงโทษเขาสำหรับความชั่วร้ายที่เขาทำ ที่เขาคิดว่าพระองค์จะไม่มีทางรู้
16 พระยาห์เวห์คือกษัตริย์ตลอดชั่วนิจนิรันดร์
    ชนชาติที่ชั่วช้าเหล่านั้นจะถูกกำจัดออกไปจากแผ่นดินของพระองค์

17 ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์ได้ยินคำร้องขอของคนยากจนแล้ว
    พระองค์จะให้กำลังใจกับพวกเขา พระองค์จะเงี่ยหูฟังพวกเขา
18 แล้วพระองค์จะให้ความเป็นธรรมกับเด็กกำพร้าและคนที่ถูกกดขี่ข่มเหง
    เพื่อจะได้ไม่มีใครในโลกนี้ทำให้พวกเขาหวาดกลัวอีกต่อไป

Thai New Testament: Easy-to-Read Version (ERV-TH)

พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International