M’Cheyne Bible Reading Plan
คนเลวีกับเมียน้อย
19 ในตอนนั้น อิสราเอลยังไม่มีกษัตริย์ มีชายชาวเลวีคนหนึ่งเป็นคนต่างถิ่นอาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลของเทือกเขาเอฟราอิม เขาได้ผู้หญิงคนหนึ่งจากเมืองเบธเลเฮมในยูดาห์มาเป็นเมียน้อย 2 เมียน้อยของเขาโกรธเขาขึ้นมา จึงหนีกลับไปที่บ้านพ่อของเธอ ที่เมืองเบธเลเฮมในยูดาห์ และพักอยู่ที่นั่นสี่เดือน 3 จากนั้นสามีเธอก็ตามไปเพื่อจะง้อให้เธอกลับมาอยู่กับเขาอีก เขาพาคนใช้คนหนึ่งและลาอีกคู่หนึ่งไปด้วย เมื่อเขาไปถึงบ้านพ่อของหญิงสาวนั้น[a] พ่อของหญิงสาวเห็นเขาและออกมาต้อนรับด้วยความดีใจ 4 แล้วพ่อตาของเขาซึ่งเป็นพ่อของหญิงสาวนั้น ได้ชวนให้เขาอยู่ และเขาก็ได้พักค้างคืนอยู่ที่นั่นกับพ่อตาเป็นเวลาสามวัน แล้วพวกเขาได้กินและดื่มกันและพักค้างคืนที่นั่น
5 ในวันที่สี่ พวกเขาตื่นแต่เช้าและเตรียมตัวออกเดินทาง แต่พ่อของหญิงสาวนั้นพูดกับลูกเขยว่า “พวกเจ้ากินอาหารให้มีแรงกันก่อนแล้วหลังจากนั้นค่อยไป” 6 พวกเขาจึงนั่งลงและทั้งสองคนก็กินและดื่มด้วยกัน แล้วพ่อของหญิงสาวก็พูดกับชายนั้นว่า “ได้โปรดค้างอีกสักคืนหนึ่งเถิด ทำใจให้สบาย” 7 เมื่อชายนั้นลุกขึ้นจะไป พ่อตาของเขาก็ชวนให้ค้างต่อ เขาก็ตกลงอยู่และค้างคืนที่นั่น
8 เขาตื่นแต่เช้าในวันที่ห้าเพื่อออกเดินทาง พ่อของหญิงสาวนั้นก็พูดว่า “ท่านพักเอาแรงก่อน” พวกเขาก็ได้เอ้อระเหยอยู่จนบ่ายแก่ๆทั้งสองคนก็ได้กินและดื่ม
9 เมื่อชายคนนั้นลุกขึ้นพร้อมกับเมียน้อยและคนใช้เพื่อออกเดินทาง พ่อตาของเขาซึ่งเป็นพ่อของหญิงสาวนั้นก็พูดกับชายนั้นว่า “ดูสิ นี่ก็ใกล้จะมืดค่ำแล้ว ได้โปรดค้างอีกสักคืนเถิด ทำใจให้สบาย พรุ่งนี้พวกเจ้าก็ตื่นแต่เช้าได้ เพื่อออกเดินทางกลับไปยังบ้านของเจ้า”
10 แต่ชายนั้นไม่ยอมค้างคืนอีก เขาจึงลุกขึ้นและออกเดินทางมาพร้อมกับเมียน้อยและลาเทียมอานคู่หนึ่ง จนเข้าใกล้เมืองเยบุส (หรือเยรูซาเล็ม) ซึ่งก็เกือบจะหมดวันแล้ว 11 คนใช้จึงพูดกับเจ้านายของเขาว่า “ให้พวกเราแวะเข้าไปพักค้างคืนในเมืองเยบุสกันเถอะ”
12 เจ้านายของเขาตอบว่า “พวกเราจะไม่แวะเข้าไปในเมืองของคนต่างชาติ ที่ไม่ใช่คนอิสราเอล ให้พวกเราเลยไปยังเมืองกิเบอาห์[b] กันเถิด” 13 แล้วเขาก็บอกคนใช้ว่า “ไปกันเถอะ ให้พวกเราไปสักที่หนึ่ง ไม่ค้างคืนที่กิเบอาห์ก็ที่รามาห์”
14 พวกเขาก็เลยเดินทางต่อ ดวงอาทิตย์ตกดินแล้วเมื่อใกล้เมืองกิเบอาห์ ซึ่งเป็นของคนเผ่าเบนยามิน 15 พวกเขาแวะเข้าไปค้างคืนในเมืองกิเบอาห์ และนั่งลงที่ลานเมือง[c] แต่ไม่มีใครชวนเขาไปค้างคืนที่บ้าน
16 จนถึงตอนเย็น มีชายแก่คนหนึ่งกลับจากทำงานในท้องทุ่ง เขาเป็นคนจากแถบเทือกเขาเอฟราอิมและพักอยู่ในกิเบอาห์ เป็นคนต่างเผ่า (ชาวเมืองกิเบอาห์มาจากครอบครัวของเบนยามิน) 17 เมื่อชายแก่เงยหน้าขึ้นมาเห็นคนเดินทางอยู่ที่ลานเมือง ท่านก็ถามว่า “พวกท่านมาจากไหน และจะไปที่ไหนกัน”
18 ชายคนนั้นจึงตอบว่า “ผมมาจากเมืองเบธเลเฮมในยูดาห์ จะไปในดินแดนที่ห่างไกลแถบเทือกเขาเอฟราอิม ผมมาจากที่นั่น ผมได้ไปเมืองเบธเลเฮมในยูดาห์มา และกำลังจะกลับไปบ้านของผม[d] แต่ไม่มีใครเชิญผมไปค้างบ้านของเขา 19 ผมมีฟางและอาหารสำหรับลา มีขนมปังและเหล้าองุ่นสำหรับตัวผม ผู้หญิง และเด็กรับใช้ พวกเราไม่ขาดอะไรเลย”
20 ชายแก่พูดว่า “ยินดีต้อนรับ ท่านไปอยู่ที่บ้านของข้า ข้าจะจัดการดูแลทุกอย่างที่ท่านต้องการ ขออย่างเดียวอย่านอนค้างคืนที่ลานเมืองเลย” 21 ชายแก่จึงพาเขาไปที่บ้าน ให้อาหารแก่ลา และพวกเขาต่างก็ล้างเท้าของตนเอง และร่วมกันกินและดื่ม 22 ขณะที่พวกเขากำลังสนุกสนานกันอยู่นั้น กลุ่มอันธพาลเมืองก็มาล้อมบ้านและทุบประตู พวกมันพูดกับชายแก่เจ้าของบ้านว่า “ส่งผู้ชายคนนั้นที่มาพักที่บ้านเจ้าออกมา เราจะได้ร่วมเพศกับมัน”
23 ชายแก่เจ้าของบ้านได้ออกไปหาพวกนั้น และพูดว่า “อย่าเลยพี่น้องของข้า ขออย่าทำสิ่งชั่วร้ายอย่างนั้นเลย เนื่องจากชายคนนี้ได้มาอยู่บ้านของข้า[e] ขออย่าได้ทำสิ่งที่น่าอัปยศอดสูอย่างนี้เลย 24 ดูนี่ซิ นี่คือลูกสาวที่ยังบริสุทธิ์ของข้ากับเมียน้อยของชายคนนั้น ข้าจะเอาพวกเธอออกมาให้พวกเจ้าทารุณและทำกับพวกเธอตามที่พวกเจ้าต้องการ แต่อย่าได้ทำสิ่งที่น่าอัปยศอดสูต่อชายคนนี้เลย”
25 แต่พวกมันไม่ยอมฟังชายแก่คนนั้น ชายคนนั้นจึงจับเมียน้อยของตัวเองและผลักนางออกไปหาพวกมัน พวกมันก็ข่มขืนและทรมานนางอย่างหนักตลอดคืนจนเช้า เมื่อใกล้สว่าง พวกมันก็ปล่อยเธอไป 26 พอใกล้รุ่ง เธอได้มาล้มลงอยู่ที่ทางเข้าบ้านของชายแก่คนนั้นที่นายของเธอพักอยู่จนกระทั่งถึงเช้า
27 ในตอนเช้านายของเธอตื่นขึ้นมา เมื่อเขาเปิดประตูบ้านเพื่อที่จะออกเดินทางต่อ ก็เจอผู้หญิงที่เป็นเมียน้อยของเขานอนอยู่ที่ทางเข้าประตู มือพาดธรณีประตูอยู่ 28 เขาก็พูดกับเธอว่า “ลุกขึ้นไปกันเถอะ” แต่ไม่มีคำตอบ
เขาจึงเอาเธอขึ้นหลังลาและออกเดินทางกลับบ้าน 29 เมื่อมาถึงบ้าน เขาก็เอามีดหั่นศพเมียน้อยออกเป็นท่อนๆสิบสองท่อน และเขาได้ส่งชิ้นส่วนของเธอไปทั่วเขตแดนของอิสราเอลทั้งหมด 30 ทุกคนที่เห็นเธอต่างพูดว่า “ไม่เคยมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นมาก่อน ไม่เคยพบเห็นเรื่องอย่างนี้เลย ตั้งแต่ชาวอิสราเอลออกมาจากแผ่นดินอียิปต์จนถึงทุกวันนี้ (แล้วเขาก็สั่งพวกผู้ชายที่เขาได้ส่งไปนั้นว่า ‘เจ้าจะต้องพูดอย่างนี้กับชายทุกคนในอิสราเอลว่า ตั้งแต่วันที่ชาวอิสราเอลออกมาจากแผ่นดินอียิปต์จนถึงวันนี้ เคยมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นหรือ’)[f] ให้คิดเรื่องนางดู ปรึกษากันดูแล้วว่ามา ว่าจะเอายังไงกับเรื่องนี้”
23 เปาโลจ้องมองไปที่พวกสมาชิกสภา แล้วพูดว่า “พี่น้องทั้งหลาย ผมได้ใช้ชีวิตต่อหน้าพระเจ้า โดยมีจิตใจที่บริสุทธิ์ทุกเรื่องมาตลอดจนถึงทุกวันนี้” 2 อานาเนีย[a] ซึ่งเป็นหัวหน้านักบวชสูงสุด สั่งให้คนที่ยืนอยู่ใกล้กับเปาโลตบปากเปาโล 3 แล้วเปาโลก็พูดกับอานาเนียว่า “พระเจ้าจะตบแกเหมือนกัน แกเป็นเหมือนกำแพงผุพังที่ทาสีขาว แกนั่งอยู่ตรงนั้นตัดสินผมตามกฎของโมเสส แต่แกกลับทำผิดกฎเสียเอง ด้วยการสั่งตบผมอย่างนั้นหรือ”
4 คนที่ยืนอยู่ใกล้ๆเปาโลพูดว่า “แกกล้าดูถูกหัวหน้านักบวชสูงสุดของพระเจ้าเชียวรึ” 5 เปาโลพูดว่า “พี่น้องครับ ผมไม่รู้ว่าชายคนนี้เป็นหัวหน้านักบวชสูงสุด ถ้ารู้ก็คงไม่พูดอย่างนี้ เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘เจ้าจะต้องไม่แช่งด่าผู้นำประชาชนของเจ้า’”[b] 6 พอเปาโลรู้ว่าที่ประชุมสภานี้ มีทั้งพวกสะดูสี และพวกฟารีสี เขาก็ประกาศก้องในที่ประชุมสภาว่า “พี่น้องทั้งหลาย ผมเป็นฟารีสี และเป็นลูกหลานของฟารีสีด้วย ที่ผมถูกสอบสวนนี้ก็เพราะผมเชื่อว่าคนตายจะฟื้นขึ้นมาอีก”
7 เมื่อเปาโลพูดอย่างนี้ พวกฟารีสีกับพวกสะดูสีก็เริ่มเถียงกัน ที่ประชุมจึงแบ่งออกเป็นสองพวก 8 (พวกสะดูสีไม่เชื่อเรื่องทูตสวรรค์ วิญญาณ หรือการฟื้นขึ้นมาจากความตาย ส่วนพวกฟารีสีนั้นเชื่อในสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด) 9 เกิดความโกลาหลวุ่นวาย มีครูสอนกฎปฏิบัติบางคนที่เป็นฟารีสีได้ยืนขึ้นเถียงคอเป็นเอ็นว่า “พวกเราไม่เห็นว่าชายคนนี้ทำผิดอะไรเลย ไม่แน่อาจจะเป็นวิญญาณหรือทูตสวรรค์พูดกับเขาจริงๆก็ได้”
10 การโต้เถียงดุเดือดรุนแรงมากขึ้น จนผู้พันกองทัพทหารโรมันกลัวว่าเปาโลจะถูกพวกเขาฉีกออกเป็นชิ้นๆเขาจึงสั่งให้ทหารลงไปดึงตัวเปาโลให้ห่างออกมาจากคนพวกนั้น แล้วพากลับไปที่ค่ายทหาร
11 ในคืนต่อมา องค์เจ้าชีวิตได้มายืนอยู่ข้างๆเปาโลและพูดว่า “กล้าหาญไว้ เจ้าบอกเรื่องของเราที่เมืองเยรูซาเล็มยังไง เจ้าก็จะต้องทำอย่างนั้นที่กรุงโรมเหมือนกัน”
ยิวบางคนวางแผนที่จะฆ่าเปาโล
12 วันรุ่งขึ้น พวกยิวมาวางแผนกัน โดยสาบานกันว่าจะไม่กินหรือดื่มอะไรเลย จนกว่าจะฆ่าเปาโลเสียก่อน 13 มีมากกว่าสี่สิบคนที่สมรู้ร่วมคิดกันวางแผนนี้ 14 แล้วพวกเขาก็ไปบอกกับพวกหัวหน้านักบวชและพวกผู้นำอาวุโสว่า “พวกเราสาบานกันว่าจะไม่กินอะไรจนกว่าจะได้ฆ่าเปาโลเสียก่อน 15 ตอนนี้ ขอให้พวกท่านและสมาชิกสภาไปร้องเรียนต่อผู้พันกองทัพทหารโรมันให้นำเปาโลมาให้กับพวกท่าน โดยแกล้งทำเป็นว่า พวกท่านอยากจะสืบสวนเรื่องของมันให้แน่ชัดยิ่งขึ้น แล้วพวกเราจะฆ่ามันก่อนที่จะมาถึงที่นี่”
16 แต่ลูกชายของน้องสาวเปาโลได้ยินเรื่องแผนการนี้ เขาจึงเข้าไปในค่ายทหารและเล่าเรื่องนี้ให้เปาโลฟัง 17 เปาโลจึงเรียกนายร้อยคนหนึ่งมาบอกว่า “พาเด็กหนุ่มคนนี้ไปหาผู้พัน เพราะเขามีบางอย่างจะบอกให้ผู้พันทราบ” 18 นายร้อยจึงนำเด็กหนุ่มคนนี้ไปหาผู้พันและรายงานว่า “นักโทษเปาโลเรียกผมให้พาเด็กหนุ่มคนนี้มาหาท่าน เพราะเขามีบางอย่างจะบอกให้ท่านทราบ” 19 ผู้พันจึงจูงเด็กหนุ่มไปยังที่ส่วนตัวแล้วถามว่า “เจ้ามีอะไรจะบอกเราหรือ”
20 เด็กหนุ่มตอบว่า “พวกยิวได้ตกลงกันที่จะขอให้ท่านนำเปาโลไปที่สภาในวันพรุ่งนี้ โดยแกล้งทำเป็นว่าพวกเขาอยากจะไต่สวนเปาโลให้ละเอียดมากยิ่งขึ้น 21 อย่ายอมทำตามนั้นนะครับ เพราะมีพวกเขามากกว่าสี่สิบคนกำลังคอยซุ่มทำร้ายเปาโลอยู่ พวกเขาสาบานกันว่าจะไม่กินหรือดื่มจนกว่าจะได้ฆ่าเปาโล และตอนนี้พวกเขาก็พร้อมแล้ว เพียงแต่รอให้ท่านตกลงเท่านั้น” 22 แล้วผู้พันก็ให้เด็กหนุ่มกลับไป พร้อมกับสั่งกำชับว่า “อย่าไปบอกให้ใครรู้นะว่าเจ้าได้บอกเรื่องนี้กับเรา”
เปาโลถูกส่งตัวไปที่เมืองซีซารียา
23 จากนั้นผู้พันเรียกนายร้อยของเขาสองคนมาสั่งว่า “ให้ไปเตรียมทหารสองร้อยนายกับทหารม้าเจ็ดสิบนาย และพลหอกเดินเท้าอีกสองร้อยนายให้พร้อมสำหรับเดินทางไปเมืองซีซารียา ในตอนสามทุ่มคืนนี้ 24 เตรียมม้าให้เปาโลขี่ด้วย และคุ้มกันเขาให้ไปถึงเจ้าเมืองเฟลิกส์อย่างปลอดภัย” 25 แล้วผู้พันเขียนจดหมายมีข้อความว่า
26 ถึง ท่านผู้ว่าเฟลิกส์[c]
จาก คลาวดิอัส ลีเซียส
27 ชายคนนี้ถูกชาวยิวจับกุมมา เกือบจะถูกพวกนั้นฆ่าด้วย แต่พอผมรู้ว่าเขาเป็นพลเมืองโรมัน ก็รีบนำทหารออกไปช่วยเขา 28 เนื่องจากผมอยากจะรู้ว่าพวกยิวกล่าวหาเขาด้วยเรื่องอะไร จึงได้นำตัวเขาไปที่สภาของพวกยิว 29 และผมพบว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับข้อโต้แย้งทางด้านกฎปฏิบัติของพวกเขา ไม่เห็นว่าจะมีอะไรร้ายแรงถึงกับต้องตายหรือติดคุกเลย 30 พอผมรู้ว่ามีพวกยิวบางคนวางแผนจะฆ่าเขา ผมจึงรีบส่งเขามาให้ท่านทันที แล้วผมก็สั่งให้พวกนั้นที่กล่าวหาเขามาฟ้องร้องเขากับท่าน
31 พวกทหารทำตามที่นายพันสั่ง ในคืนนั้นเองพวกทหารพาเปาโลออกเดินทางไปที่เมืองอันทิปาตรีส์ 32 ในวันต่อมา พวกทหารเดินเท้าให้ทหารม้าพาเปาโลเดินทางต่อ ส่วนพวกเขากลับค่ายไป 33 เมื่อพวกทหารม้ามาถึงเมืองซีซารียา ก็ได้นำจดหมายไปให้เจ้าเมือง พร้อมกับมอบตัวเปาโลให้กับเขา 34 เจ้าเมืองอ่านจดหมาย และถามเปาโลว่ามาจากแคว้นไหน เมื่อรู้ว่ามาจากแคว้นซีลีเซีย 35 เจ้าเมืองจึงพูดว่า “เมื่อผู้กล่าวหาเจ้ามาถึง เราจะฟังคำให้การของเจ้า” และเขาสั่งให้ควบคุมตัวเปาโลไว้ในวังที่เฮโรด[d] สร้างขึ้น
คำสัญญาของพระเจ้า
33 ถ้อยคำของพระยาห์เวห์มีมาถึงเยเรมียาห์เป็นครั้งที่สอง ในขณะที่เขายังถูกคุมขังอยู่ในลานคุก 2 พระยาห์เวห์ คือผู้ที่สร้างโลกนี้ และเป็นผู้ที่ทำให้มันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา เพื่อที่จะวางรากฐานของมัน พระยาห์เวห์คือชื่อของพระองค์ พระองค์พูดว่า 3 “ยูดาห์ เรียกเราสิ แล้วเราจะตอบเจ้า เราจะบอกเจ้าถึงสิ่งอัศจรรย์ต่างๆและเรื่องลึกลับที่เจ้ายังไม่รู้ 4 เพราะนี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอล ได้พูดไว้เกี่ยวกับพวกบ้านเรือนในเมืองนี้ และวังของบรรดากษัตริย์แห่งยูดาห์ ที่จะถูกศัตรูรื้อทำลายไป ศัตรูจะสร้างเนินดินบุกขึ้นบนกำแพงและจะใช้ดาบฆ่าฟันคนในเมือง
5 พวกบาบิโลนกำลังจะมาสู้รบกับเมืองนี้ และจะทำให้เมืองนี้เต็มไปด้วยซากศพของผู้คนที่ถูกเราฆ่าเพราะความโกรธแค้นของเรา และเราก็ได้ซ่อนหน้า[a] ของเราไปจากเมืองนี้ เพราะความชั่วช้าทั้งหลายที่ชาวเมืองนี้ทำ
6 แต่เรากำลังจะมาเยียวยารักษาให้ เราจะรักษาพวกเขา และจะให้พวกเขามีความสงบสุขและความปลอดภัยอย่างล้นเหลือ 7 เราจะพลิกสถานการณ์ให้กับยูดาห์และอิสราเอล และเราจะสร้างพวกเขาขึ้นมาใหม่ให้เป็นเหมือนในตอนแรกที่พวกเขาเป็น 8 เราจะทำให้พวกเขาสะอาดบริสุทธิ์จากความผิดบาปที่พวกเขาเคยทำไว้กับเรา และเราจะยกโทษให้กับพวกการอธรรมและการละเมิดต่างๆทั้งหมดที่พวกเขาเคยทำกับเรา
9 แล้วหลังจากนั้นเมืองนี้ก็จะเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นเมืองที่นำความสุข คำสรรเสริญ และความภูมิใจมาให้กับเรา ต่อหน้าชนชาติทั้งหลายในโลกนี้ ชนชาติต่างๆเหล่านั้น จะได้ยินสิ่งดีๆทั้งหมดที่เรากำลังทำให้กับชาวยูดาห์ที่กลับมานั้น ชนชาติทั้งหลายจะเกรงกลัวจนตัวสั่น เพราะสิ่งดีๆทั้งหลายและความสงบสุขที่เรากำลังมอบให้กับผู้ที่อยู่อาศัยในเยรูซาเล็ม”
10 พระยาห์เวห์พูดว่าอย่างนี้ “พวกเจ้าพูดว่า ‘บ้านเมืองของเราถูกทิ้งรกร้าง ไม่มีแม้แต่ผู้คนและสัตว์อาศัยอยู่’ แต่ในอนาคต ในเมืองต่างๆของยูดาห์และตามท้องถนนของอิสราเอลที่เงียบสงัด เพราะถูกทำลายไปจนไม่มีผู้คนและพลเมืองอาศัยอยู่ ไม่มีแม้แต่สัตว์นั้น พวกเจ้าจะได้ยิน 11 เสียงร้องเพลง เสียงเฉลิมฉลอง และเสียงของเจ้าบ่าวเจ้าสาวอีกครั้งหนึ่ง จะได้ยินเสียงของผู้คนร้องว่า ‘สรรเสริญพระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้น เพราะว่าพระองค์แสนดี เพราะความรักของพระองค์นั้นอยู่ชั่วนิจนิรันดร์’ และจะได้ยินเสียงคนนำเครื่องถวายมาถวายเพื่อแสดงความขอบคุณในวิหารของพระยาห์เวห์อีกครั้งหนึ่ง เพราะเราจะพลิกสถานการณ์ของแผ่นดินนี้” พระยาห์เวห์พูดว่าอย่างนั้น
12 พระยาห์เวห์ผู้มีฤทธิ์ทั้งสิ้นพูดว่าอย่างนี้ “ในสถานที่ที่ถูกทิ้งร้างและไม่มีคนหรือสัตว์อาศัยอยู่นี้ รวมทั้งเมืองต่างๆของมันด้วย จะกลับมามีทุ่งหญ้าให้กับคนเลี้ยงแกะที่กำลังเลี้ยงแกะอีกครั้ง 13 คนเลี้ยงแกะจะได้นับแกะของพวกเขาอีกครั้ง แกะพวกนี้จะเดินผ่านมือของผู้นับไป ผู้คนจะนับแกะของเขากันไปทั่วเมือง ไม่ว่าจะเป็นเมืองต่างๆในแถบเนินเขา ในแถบที่ลุ่มเชิงเขาด้านตะวันตก ในแถบเนเกบ ในยูดาห์ ในแผ่นดินของเบนยามิน และในพื้นที่บริเวณรอบๆเมืองเยรูซาเล็ม” พระยาห์เวห์พูดว่าอย่างนั้น
กิ่งก้านที่ดี
14 พระยาห์เวห์พูดว่า “วันนั้นใกล้จะมาถึงแล้ว เมื่อเราจะทำให้สัญญาที่เราได้ทำไว้กับครอบครัวของอิสราเอลและครอบครัวของยูดาห์เป็นจริง 15 ในวันนั้นและในเวลานั้น เราจะทำให้กิ่งอันชอบธรรมงอกออกมาสำหรับราชวงศ์ของดาวิด เขาจะรักษาความยุติธรรมและความชอบธรรมบนแผ่นดินนี้ 16 ในวันนั้นยูดาห์จะได้รับการช่วยกู้ และเยรูซาเล็มจะอยู่อย่างปลอดภัย และผู้คนจะเรียกเมืองนี้ว่า ‘พระยาห์เวห์คือความชอบธรรมของพวกเรา’”
17 เพราะพระยาห์เวห์พูดว่าอย่างนี้ “ดาวิดจะไม่ขาดทายาทที่จะมานั่งอยู่บนบัลลังก์ของชนชาติอิสราเอล
18 และพวกนักบวชชาวเลวีจะไม่ขาดทายาทที่จะมาถวายเครื่องเผาบูชา เครื่องบูชาจากเมล็ดพืช เครื่องสังสรรค์บูชา ให้กับเราตลอดไป”
19 ถ้อยคำของพระยาห์เวห์มาถึงเยเรมียาห์ว่า 20 “นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์พูด ‘ถ้าเมื่อไหร่ที่เจ้าสามารถหักข้อตกลงที่เราได้ทำไว้กับวันและคืน คือทำให้วันและคืนไม่เกิดขึ้นตามเวลาของมัน 21 เมื่อนั้นแหละ เจ้าถึงจะสามารถหักข้อตกลงที่เราได้ทำไว้กับดาวิดผู้รับใช้ของเรา และกับพวกนักบวชชาวเลวีที่เป็นผู้รับใช้ของเราด้วย
22 เราจะทำให้ลูกหลานของดาวิดผู้รับใช้เรา และชาวเลวีที่รับใช้เรา มีลูกหลานเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เหมือนกับดวงดาวบนท้องฟ้าที่ไม่สามารถนับได้ และเหมือนกับเม็ดทรายที่ทะเลที่นับไม่ถ้วน’”
23 ถ้อยคำของพระยาห์เวห์ มีมาถึงเยเรมียาห์ว่า 24 “เยเรมียาห์ เจ้าไม่เห็นหรือว่าคนพวกนี้พูดอะไรออกไป พวกเขาพูดว่า ‘ตอนนี้พระยาห์เวห์ได้ปฏิเสธครอบครัวของอิสราเอลและครอบครัวของยูดาห์ สองครอบครัวที่พระเจ้าเคยเลือกไว้ แต่ตอนนี้พระองค์ได้ปฏิเสธพวกเขาไปแล้ว’ และชนชาติอื่นๆก็ดูถูกดูหมิ่นคนของเรา และชนชาติเหล่านั้นก็ไม่ได้นับพวกเขาว่าเป็นชนชาติหนึ่งอีกต่อไป”
25 พระยาห์เวห์พูดว่าอย่างนี้ “ถ้าเราไม่ได้รักษาข้อตกลงกับวันและคืน และไม่ได้ออกกฎควบคุมฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกแล้วละก็ 26 เมื่อนั้นแหละ เราก็จะปฏิเสธลูกหลานของยาโคบและลูกหลานของดาวิดผู้รับใช้ของเรา เราก็คงไม่ให้ลูกหลานของดาวิดปกครองอยู่เหนือลูกหลานของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ ที่เราพูดอย่างนี้ก็เพราะเราจะพลิกสถานการณ์ให้กับพวกเขา และเราจะแสดงความเมตตากับพวกเขา”
วางใจในพระยาห์เวห์ในยามคับขัน
บทเพลงของกษัตริย์ดาวิด เขียนในขณะที่พระองค์หนีจากอับซาโลมลูกชายของพระองค์
1 พระยาห์เวห์เจ้าข้า ข้าพเจ้ามีศัตรูมากมายเหลือเกิน
ผู้คนมากมายต่างลุกขึ้นมาต่อสู้กับข้าพเจ้า
2 มีหลายคนพูดต่อต้านข้าพเจ้าว่า
“พระเจ้าจะไม่ช่วยเจ้าให้รอดพ้นหรอก” เซลาห์
3 แต่พระยาห์เวห์เจ้าข้า พระองค์เป็นโล่กำบังของข้าพเจ้า
พระองค์เป็นศักดิ์ศรีของข้าพเจ้า พระองค์เป็นผู้ที่ยกหัวของข้าพเจ้าขึ้น[a]
4 ข้าพเจ้าเปล่งเสียงเรียกพระยาห์เวห์
พระองค์ตอบข้าพเจ้าจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ เซลาห์
5 ข้าพเจ้านอนลงและหลับไป แล้วก็ตื่นขึ้นมาอีก
เพราะพระยาห์เวห์ปกป้องข้าพเจ้าไว้
6 ข้าพเจ้าจึงไม่หวาดกลัว
ผู้คนนับหมื่นที่รายล้อมโจมตีข้าพเจ้า
7 ลุกขึ้นเถิด พระยาห์เวห์ พระเจ้าของข้าพเจ้า
ช่วยให้ข้าพเจ้ารอดพ้นด้วยเถิด
เมื่อพระองค์ตบแก้มศัตรูทั้งหลายของข้าพเจ้า
ฟันของคนชั่วช้าเหล่านั้นจะหักจนหมดปาก
8 ความรอดพ้นมาจากพระยาห์เวห์
ขอพระองค์อวยพรคนของพระองค์ด้วยเถิด เซลาห์
คำอธิษฐานก่อนนอน
ถึงหัวหน้านักร้อง ให้ใช้เครื่องสายประกอบการร้องด้วย เพลงสดุดีของดาวิด
1 ข้าแต่พระเจ้า ผู้พิสูจน์ว่าข้าพเจ้าเป็นฝ่ายถูก ช่วยตอบข้าพเจ้าด้วยเถิด เมื่อข้าพเจ้าเรียกหาพระองค์
ตอนที่ข้าพเจ้าจนตรอก พระองค์ได้ช่วยให้ข้าพเจ้าออกมาเป็นอิสระ
ขอเมตตาข้าพเจ้า ช่วยฟังคำร้องขอของข้าพเจ้าด้วยเถิด
2 ไอ้พวกมนุษย์ เจ้าจะพูดใส่ร้ายเราไปอีกนานแค่ไหน
เจ้ารักการซุบซิบนินทาที่ไร้สาระ แล้วยังพูดโกหกเกี่ยวกับเราอยู่เรื่อยๆ เซลาห์
3 พวกเจ้าทั้งหลาย ให้รู้ไว้เถอะว่า พระยาห์เวห์เอาใจใส่คนที่สัตย์ซื่อต่อพระองค์เป็นพิเศษ
พระองค์จะฟังเสียงของเรา เมื่อเราร้องขอความช่วยเหลือจากพระองค์
4 ให้กลัวจนตัวสั่น และหยุดทำบาปซะ[b]
ให้คิดทบทวนเรื่องนี้อย่างเงียบๆในใจ ตอนที่เจ้านอนอยู่บนเตียง เซลาห์
5 ให้ถวายเครื่องบูชาที่พระองค์กำหนด
และให้ไว้วางใจในพระยาห์เวห์
6 หลายคนพูดว่า
“พวกเราอยากจะเจอกับสิ่งดีๆบ้าง
พระยาห์เวห์เจ้าข้า ให้แสงจากใบหน้าพระองค์ส่องลงมาบนพวกเราด้วยเถิด”
7 พระองค์ทำให้ข้าพเจ้ามีความสุขยิ่งกว่าความสุขของคนเหล่านั้น
ตอนที่เขาเก็บเกี่ยวข้าวและเหล้าองุ่นอย่างล้นหลาม
8 ดังนั้น ข้าพเจ้านอนลงและหลับไปอย่างสงบสุขยิ่งนัก
เพราะ พระยาห์เวห์ พระองค์แต่เพียงผู้เดียวเป็นผู้ที่ทำให้ข้าพเจ้านอนลงอย่างปลอดภัย
พระคริสตธรรมคัมภีร์: ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ภาคคำสัญญาใหม่ © 2015 Bible League International